LOGINพริบตาร่างบางพลันถูกจับพลิกกลับให้หันหน้าเข้าหาเขา กลางกายของสองเรายังคงแนบสนิทไร้ช่องว่าง
หญิงสาวเอื้อมมือเกาะบ่ากว้างจิกเล็บลงอย่างต้องการระบายความเสียวซ่าน พลางขยับเอวตามการสอดเสยของเขา
ชายหนุ่มล้มตัวลงนอนหงายปล่อยให้นางนั่งโยกโยนอย่างรุนแรงตามการควบคุมผ่านฝ่ามือกรุ่นร้อนตรงบั้นท้ายนาง
เงาร่างสองสายพลิ้วไหวอย่างเร่าร้อนแต่งดงามผ่านแสงสว่างจากไฟในตะเกียงนานครู่ใหญ่
หวงลี่ฟางรู้ดีที่สุด ไม่ว่าจ้าวฉีเสวียนจะสุขุมเยือกเย็น ทำตัวลุ่มลึกเป็นวิญญูชนชั้นสูงต่อหน้าผู้อื่นอย่างไร เขาก็มักทำตัวผาดโผนไร้ระเบียบแบบแผนและเอาแต่ใจเหมือนเด็กชายตัวโตที่ดื้อรั้นอย่างร้ายกาจยามมีสัมพันธ์ลึกซึ้งกับนางเสมอ
และนางก็ตามใจเขาอย่างร้อนแรงเสมอตลอดมา
กาลเวลามิได้ทำลายความเป็นตัวตนดังเดิมของหวงลี่ฟาง นางยังคงสง่างาม อ่อนหวานนุ่มนวล อ่อนโยนและพูดน้อยใจเย็น
ทว่าสิ่งหนึ่งกลับตราตรึงลึกล้ำอยู่ในจิตวิญญาณจนทำให้กลายเป็นคนเย็นชาและเมินเฉยต่อโชคชะตาที่เลวร้าย
ไร้ค่าแล้วอย่างไร ไม่มีฐานะแล้วอย่างไร
บนเตียงนอนกรุ่นร้อนที่กำลังลุกโชนไปด้วยเพลิงปรารถนาพาให้ไฟราคาะแผดเผาช่วยคลายความเศร้าในใจให้หวงลี่ฟาง
เมื่อชายหญิงพากันเดินทางไต่บันไดสูงชันจนเกือบถึงฝั่งฝันบนสวรรค์ชั้นฟ้า จ้าวฉีเสวียนพลันลุกขึ้นจับหวงลี่ฟางพลิกตัวนอนหงายอีกครา กลางกายสอดใส่อย่างรุนแรงและเร่งเร้า
“อา...ซื่อจื่อ”
หญิงสาวบิดตัวเร่ายามถูกกระหน่ำโยกโยน
ไม่นาน สองร่างก็กระตุกเกร็ง ต่างได้เห็นดาวพร่างพราวเต็มม่านตาพร้อมกัน
บุรุษหลั่งสายธารอุ่นร้อนเข้ามาในตัวตนคับแน่นฉ่ำชื้นก่อนฟุบตัวฝังใบหน้าคมสันลงในซอกคอหอมหวาน “ฟางเหนียง...”
หลังจากผ่านลมหายใจหอบหนักไปแล้ว จ้าวฉีเสวียนก็เพียงเอียงหน้าพรมจูบขมับชื้นเหงื่ออย่างคนได้รับการปลดปล่อยจนพึงพอใจ ก่อนพลิกตัวนอนหงายและจับร่างนุ่มข้างกายเข้ามากอดแนบชิดก่อนหลับสนิทไปอย่างสนิทสนม
คงเหลือเพียงหวงลี่ฟางที่ยังคงนอนหนุนแขนแข็งแกรง เหม่อมองเขาไม่วางตา
ครู่หนึ่งนางค่อยๆ เอื้อมมือลงต่ำ คลำดูที่กลางกายแกร่ง ซึ่งตัวตนของเขายังคงมิหลับใหลเฉกดวงตา
ชายหนุ่มผู้สุภาพเยือกเย็น เจ้าของกลิ่นกายสะอาดแม้มีหยาดเหงื่อพร่างพราว แต่พร้อมแปรเปลี่ยนเป็นกร้าวกระด้าง แผ่ซ่านกลิ่นอายร้อนแรงดิบเถื่อนคนหนึ่ง เพียงหญิงสาวลูบไล้เบาๆ ตัวตนที่เริ่มอ่อนตัวพลันผงาดกล้าทันทีพร้อมประกาศศักดาทันใด
จ้าวฉีเสวียนเปิดเปลือกตาขึ้นเผยดวงตาคมกริบแฝงริ้วประกายไฟวาบ เขาหรี่ตาลงอย่างอันตราย รอยยิ้มชั่วร้ายผุดขึ้นตรงริมฝีปากได้รูปน่ากดจูบ
“ข้ากำลังจะตายเพราะเจ้า”
จบคำก็พลิกร่างสูงใหญ่ลุกขึ้น เผยเรือนกายกร้าวแกร่งภายใต้แสงตะเกียงนวลตา
บ่ากว้าง เอวสอบ แขนล่ำ กล้ามงาม สะโพกเพรียว ทุกสิ่งแลดูทรงพลังเปี่ยมเสน่หาอันเร่าร้อน
เขาคร่อมทับนาง ส่วนกลางกายแนบสนิทชิดเชื้อในพริบตา จังหวะเริงสวรรค์พลันเริ่มต้นอีกครา
หวงลี่ฟางอมยิ้มนัยน์ตาพราว ใบหน้าหวานละมุนแดงซ่านมากขึ้น บางครั้งนางยังอดคิดมิได้ว่าที่แท้ภรรยาลับเช่นนางกำลังถูกกักขังเพื่อให้บุรุษมาหาความสำราญหรือเป็นฝ่ายรอคอยให้บุรุษมาปรนเปรอมอบความสุขให้กันแน่
หลายครั้งการมีสัมพันธ์ลึกซึ้งไร้กฎเกณฑ์กับจ้าวฉีเสวียนมักจะทำให้หวงลี่ฟางลืมฝันร้ายได้อย่างไม่น่าเชื่อ
อาจเป็นเพราะท่ามกลางชีวิตที่วิกฤตพลิกผันหลายครั้ง นางไม่เคยพบความสุขที่จีรัง กระทั่งได้เจอเขา ความสุขสั้นๆ นี้ ทำให้นางมักจะเผลอใจรักเขาหลายครากระมัง
การกอดเกี่ยวกระหวัดรัดรึงเกิดขึ้นอย่างเร่าร้อนครู่ใหญ่ ก่อนที่ทั้งสองจะกระตุกเรือนกายอย่างเสร็จสมอีกครั้งพร้อมกัน
จ้าวฉีเสวียนยังคงดึงนางมากอดไว้แนบอกแล้วหลับไป
หวงลี่ฟางลอบระบายลมหายใจปลดปลงอย่างไร้เสียง ก้มหน้าแนบชิดแผ่นอกกว้าง หลับตาซึมซับเสียงหัวใจแกร่งที่เต้นในจังหวะหนักแน่นมั่นคงฟังดูทรงพลังพาใจนางเต้นแรงมิสร่างซา
ในห้วงนิทรา หวงลี่ฟางฝันเห็นเพียงจ้าวฉีเสวียน...และเสียงพร่ำเตือนของหลันฮวา
การทอดกายให้เขาเชยชม ยอมมีสัมพันธ์ลึกซึ้งถึงขั้นนี้ มิใช่เรื่องที่ดีก็จริง แต่หากนางไม่ฉวยโอกาสกับเขาในวันนั้น เกรงว่าคงไม่มีโอกาสได้ใกล้ชิดกันเช่นวันนี้ เมื่อไตร่ตรองชั่งน้ำหนักดูแล้ว ความรู้สึกอยากได้สิ่งที่สูญเสียไปกลับคืนมามีมากกว่าความเสียใจที่ต้องสูญเสียพรหมจรรย์ นางแค่ไม่อยากเสียดายโอกาสที่พลาดไป ไม่อยากให้เรื่องของเราสูญเปล่าไร้ประโยชน์เหมือนที่ผ่านมา
“ข้าเป็นของท่าน...”
นางกระซิบบอกเขาเสียงแผ่วพร้อมกับกอดเอวสอบแน่น ทุกการกระทำและการแสดงออกของหญิงสาวล้วนเผยความหมายลึกซึ้งตรึงใจ
ทุกครั้งที่ใกล้ชิดแนบแน่น คลับคล้ายถักทอสายใยผูกพัน หลอมรวมดวงใจให้สมัครสมานโยงไยหมายเป็นหนึ่งเดียว
จากความสัมพันธ์ทางกายค่อยๆ สร้างความสัมพันธ์ทางใจ นานวันเข้าความผูกพันก็ร้อยรัดรึงใจนางไว้จนผสานปมเป็นเกลียวที่แนบแน่นเกินควบคุม
ในเมื่อเขายังไม่มีสตรีใดครอบครอง นางจะผิดมากหรือไม่หากคิดยึดครองเขาไว้ก่อนตอนที่ยังมีโอกาส
จับจองที่ว่างข้างกายของเขาเช่นนี้อย่างคนเห็นแก่ตัว ยึดเขาเป็นหลักให้แก่ชีวิตโดดเดี่ยว
แม้ภายหน้าเขาจะไม่ใช่ตัวคนเดียวก็ไม่เป็นไร ต้องแต่งงานมีฮูหยิน มีลูกสืบหลานห้อมล้อมรอบกายมากมายก็ไม่เป็นไร
เพราะนางก็แค่หลีกทางให้แต่โดยดี ไม่มีทางทำตัวเป็นปัญหาในครอบครัวของเขา
แต่การไปอยู่กับมารดาหรือ? นางคิดไม่ออกจริงๆ ว่าจะทนมองหน้าอีกฝ่ายโดยไม่รู้สึกอันใดได้อย่างไร...
ความชิงชังยิ่งพลุ่งพล่านจนแสบเคืองทั้งม่านตา เพลิงริษยาลุกโหมรุมเร้าไปทั่วทรวงอกกินลึกถึงโพรงใจเหตุใดนางไม่เคยได้รับสิ่งของเหล่านี้จากพี่เสวียนบ้างเพราะเป็นเพียงสหายวัยเด็กหรือ?หญิงสาวเชิดหน้า แววตาแผดแสงไม่ยินยอมแรงกล้า แต่นางมิใช่เพียงสหายแล้วนี่ รอได้หมั้นมีกำหนดวันแต่งก่อนเถิด นางจะมาเผาสวนดอกไม้แห่งนี้ให้วอดหลิงเฟยเดินต่อไปข้างหน้าอย่างแน่วแน่ ในระยะสายตาเห็นสะคราญโฉมที่งดงามหยาดเยิ้มราวปีศาจนั่งอยู่ในศาลาสองคนคนหนึ่งจิบชาก่อนค่อยพูดอย่างรื่นเริงว่าจะขอติดตามไปเดินเที่ยวตลาดด้วยกัน อีกคนก็แย้มยิ้มกล่าวตอบรับอย่างยินดี ท่าทีพร้อมออกไปเผยโฉมอันงดงามยั่วยวนต่อธารกำนัลตลอดเวลาหลิงเฟยมองสตรีทั้งสองนิ่งงันใครกัน? สาวใช้คนสนิทที่ติดตามมาด้วยกระซิบบอก “แม่นางชุดฟ้าคือฟางซิน ส่วนแม่นางชุดสีชมพูคือฟางเหนียงเจ้าค่ะท่านหญิง”ครั้งก่อนที่มา หลิงเฟยเข้าไปอยู่ในห้องกับจ้าวฉีเสวียน นางจึงไม่รู้จัก ส่วนสาวใช้ยืนเฝ้าอยู่หน้าประตูจึงรู้ได้ไม่ยากครั้นรู้แล้วหลิงเฟยก็หรี่ตามองหญิงสาวชุดสีชมพูอ่อนหวาน ที่แท้ก็นังปีศาจจิ้งจอกฟางเหนียง นางขบริมฝีปากอย่างขุ่นเคือง ไฟอารมณ์ลุกไหม้
จวนชินอ๋องทางฝั่งจ้าวฉีเสวียน เขาไม่รู้ว่าช่วงนี้ตนเองเป็นอะไรไป เหตุใดถึงรู้สึกหงุดหงิดรำคาญใจตลอดเวลาครั้นหันไปมองหน้าอันงดงามเปล่งปลั่งของสตรีที่ตัวติดกันตลอดหลายวันมานี้ก็ยิ่งไม่เข้าใจ ไฉนไม่เคยปฏิเสธนางสักครา“น้องเฟยเฟยจะติดตามไปด้วยกันทุกที่ก็ได้”หลิงเฟยแย้มยิ้มเบิกบานราวบุปผา “พี่เสวียนไปที่ใดหรือ?”ชายหนุ่มตอบนิ่งๆ “ข้าจะเข้าไปที่คฤหาสน์หนิงเทียน”“คฤหาสน์หนิงเทียน?” หลิงเฟยให้รู้สึกไม่พอใจอย่างยิ่ง ที่นั่นมีสาวงามหยาดเยิ้มซึ่งนางเทียบไม่ติดอยู่ผู้หนึ่ง “เหตุใดท่านต้องไปที่นั่นอีก เราสองคนกำลังจะหมั้นหมายกันแล้วนะเจ้าคะ”นั่นสิ เหตุใดต้องไปที่นั่น จ้าวฉีเสวียนเองก็ไม่เข้าใจ ในอกพลันร้อนรุ่มแปลกๆ เขารู้สึกเหมือนลืมใครไปสักคนหนึ่งจ้าวฉีเสวียนให้รู้สึกปวดหัว เขาพยายามนึกภาพสตรีผู้นั้น ทว่าในความเลือนรางไม่ชัดเจน กลับเห็นเป็นหลิงเฟยที่ยื่นหน้ามา ภาพที่เพียรนึกถึงพลันอันตรธานหายไป คล้ายถูกมนต์มารล่อลวงและปิดตาบิดเบือนในคราวเดียวกันหลิงเฟยยื่นหน้ามองจ้าวฉีเสวียนอย่างกดดัน สุ้มเสียงที่เคยหวานใสระรื่นหูบัดนี้เปลี่ยนไปเป็นหวานแหลมเฉียบคม“ข้าไม่ให้พี่เสวียนไปเจ
สตรีทั้งสองพากันเดินไปนั่งจิบชาในศาลารับลมริมบึงบัวฟางซินที่ไม่ตามไปจึงได้โอกาสหันมาหาสามีอย่างรักใคร่“พี่เหอ เหนื่อยหรือไม่?”จิ้นเหอหันไปเห็นภรรยาคนงามมีหรือยังกล้าแข็งแรงอยู่อีก เขาบ่นอย่างเหน็ดเหนื่อย“ข้ารู้สึกอ่อนเพลียยิ่งนัก”“โอ...ข้าจะพาท่านพี่ไปพักเจ้าค่ะ”เวลานี้ยังต้องยืนเวรตามหน้าที่ ฟางซินจึงดึงจิ้นเหอให้ไปนั่งลงบนขั้นบันไดหน้าห้องหนังสือไม่ไกลจากตำแหน่งยืนยาม ก่อนลงมือบีบนวดให้อย่างเอาอกเอาใจนางถามเสียงหวาน “ปวดเมื่อยตรงนี้หรือไม่ ข้านวดให้”จิ้นเหอเสียงอ่อน “ปวดมาก เมื่อยยิ่ง ตรงนี้ด้วย”ฟางซินเริ่มตาโต “ท่านพี่ปวดเมื่อยถึงเพียงนี้ ข้าอยากให้ท่านลางานสักคืนเหลือเกิน” นางรีบกระซิบข้างหูน้ำเสียงกระเส่า “แล้วข้าจะนวดให้ท่านทั้งตัว ไร้เสื้อผ้ากางกั้น ดีหรือไม่เจ้าคะ”ดวงตาจิ้นเหอพลันสว่างวาบ ใจเหลวไปหมด“ข้าจะลางานคืนนี้เลย”จิ้นอันที่ยืนอยู่เพียงกลอกตาขึ้นฟ้าอย่างหมั่นไส้เวลาล่วงเลยผ่านไปหนึ่งชั่วยามนับเป็นเวลาที่ไม่นานเลยสำหรับทุกคน ทว่ากลับยาวนานราวชั่วกัปชั่วกัลป์ในความรู้สึกของหวงลี่ฟางเหตุเพราะจ้าวฉีเสวียนอยู่ในห้องกับหลิงเฟยตลอดเวลา หลังจากนั้น พอเขาออกมาจากห
ระเบียงทางเดินระหว่างเรือนรับรองที่ทอดยาวเชื่อมต่อกับเรือนตำราหวงลี่ฟางยืนถือถาดน้ำชารสล้ำหอมกรุ่นยืนนิ่งเงียบงัน มิอาจขยับเขยื้อนไปข้างหน้าได้อีกแม้ครึ่งก้าวเมื่อครู่ จ้าวฉีเสวียนสั่งให้นางรอปรนนิบัติชงชาให้ในห้อง แต่เขาไม่ชอบชาเก่าที่อยู่ในห้องหนังสือ นางจึงออกมาชงชากาใหม่ ทว่าพอกลับมาคนกลับไม่รอชิมชาฝีมือนางอีกต่อไปด้านข้างนางคือฟางซินที่ยืนกระซิบกระซาบอยู่ไม่ห่าง “ซื่อจื่อมีท่านหญิงหลิงคอยดูแลชงชาให้แล้ว เจ้าอย่าเข้าไปเลย”พอพูดจบ ฟางซินลอบกลืนน้ำลายอึกหนึ่งอย่างยากลำบากด้วยหน้าที่ต้องรับผิดชอบ งานต้องทำให้ลุล่วง นางจึงต้องทำอย่างจำใจ ทว่าส่วนลึกกลับรู้สึกผิดเหลือเกินหญิงสาวกลั้นใจเอ่ยอีกว่า “ท่านหญิงหลิงเฟยผู้นี้คือคู่หมั้นของซื่อจื่อเชียวนะ เจ้าควรรู้เอาไว้”คู่หมั้น...ร่างอรชรนิ่งงันราวถูกสาปในที่สุดวันนี้ก็มาถึง...แคว้นจิน นิยมให้ชายแต่งงานอายุยี่สิบ หญิงแต่งสิบห้า ปีหน้าจ้าวฉีเสวียนก็อายุครบยี่สิบปีแล้วคงสมควรแก่เวลาสินะส่วนนางหากไม่เกิดเหตุพลิกผันก่อนอายุสิบห้าปีก็คงไม่แคล้วกลายเป็นชายารัชทายาทอย่างขมขื่น ไหนเลยจะมีโอกาสได้ใกล้ชิดจ้าวฉีเ
พี่น้องสกุลจ้าวล้วนไม่ก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวกันและกัน ทุกคนมีสิทธิ์ทำอะไรตามอำเภอใจเต็มที่ ขอแค่ไม่หลงผิดคิดทำชั่ว เรื่องที่ทำต้องยึดมั่นถือมั่นในคุณธรรมเป็นที่ตั้งอ้อ...แต่อาจมีบ้างในเรื่องคู่ครองที่ออกจะเอาแต่ใจไปบ้างความคิดของจ้าวเล่อเสียล่องลอย ขณะที่หลิงเฟยยังคงพูดถึงจ้าวฉีเสวียน “พี่เสวียนซื้อคฤหาสน์ไว้พักผ่อนจริงดังเจ้าว่า...”และยิ่งเล่า สีหน้าหลิงเฟยยิ่งเผยความนัยคล้ายไม่ยินดี“ที่นั่นน่ะ มิใช่คฤหาสน์ธรรมดา แต่เป็นเรือนทองซ่อนสตรี พี่เสวียนซ่อนสาวงามเอาไว้ถึงสองคน แม่นางฟางซินก็คือหนึ่งในสาวงามของพี่เสวียนที่ยกให้จิ้นเหอ”จ้าวเล่อเสียพยักหน้าเอื่อยๆ แม้จะแปลกใจเพราะนี่มิใช่นิสัยของพี่ชาย แต่นางก็พอทำความเข้าใจได้ว่า“เรื่องนี้หาใช่เรื่องแปลกนี่นา พี่รองอาจได้รับมาเพราะเป็นเครื่องบรรณาการจากขุนนาง เขารับไว้แล้วส่งต่อให้ลูกน้องอีกที บุรุษสกุลจ้าวทำเช่นนี้ตั้งแต่รุ่นท่านพ่อแล้วล่ะ”หลิงเฟยรีบพูดอีกว่า “แต่ก่อนหน้าฟางซิน พี่เสวียนเลี้ยงดูหญิงงามไว้คนหนึ่ง นางผู้นี้อยู่กับพี่เสวียนเต็มหนึ่งปีแล้ว”จ้าวเล่อเสียเริ่มมีปฏิกิริยา “จริงหรือ?”หลิงเฟยถอนหายใจ “ผู้คนเล่าลือกันทั
ธรรมชาติของหวงลี่ฟางดื้อรั้น ยึดมั่นถือมั่น ต้องถูกกระตุ้นด้วยวิธีที่รุนแรงต่อจิตใจระดับนี้เท่านั้นรุ่ยเยียนเหลือบตามองหลันฮวาแวบหนึ่งแล้วนิ่งสนิท พยายามระงับโทสะที่เจียนระเบิดในที่สุดเพลิงพิโรธในอกก็สงบลง นางหรี่ตาลงอย่างครุ่นคิด ก่อนเผยยิ้มเย็นยะเยือก“ดี!” ว่าพลางหันไปหยิบตลับหยกใหม่ในลิ้นชักใต้โต๊ะขึ้นมายื่นให้หลันฮวา“นี่คือผีเสื้อ ‘วสันต์พร่ำรัก’ ละอองเรณูจากปีกผีเสื้อนี้มีฤทธิ์เดชกล้าแกร่งยิ่งกว่าครั้งก่อน มันมิใช่แค่ควบคุมจิตวิญญาณแต่จะทำหน้าที่สร้างปฏิสัมพันธ์ให้จิตวิญญาณผสานเกิดเป็นพันธนาการรัดรึงยากฉุดรั้งให้กลับคืน หากใช้กับคนสองคนที่มีใจผูกพันแต่เดิมไม่ว่าด้วยฐานะใด จะรักกันแน่นแฟ้นมากขึ้น”นั่นหมายความว่า ต่อให้จ้าวฉีเสวียนไม่ได้มีใจให้หลิงเฟย ทว่าแค่รู้จักมักคุ้นกันตั้งแต่เด็กก็จะแปรเปลี่ยนเป็นรักปักใจทันทีหลันฮวาเก็บตลับหยกอันใหม่ใส่แขนเสื้ออย่างระมัดระวัง“รับทราบเจ้าค่ะ”ด้วยไม่แน่ชัดถึงความรู้สึกนึกคิดของจ้าวฉีเสวียนการที่เขาแอบเลี้ยงดูสาวงามไว้ที่คฤหาสน์หนิงเทียนจึงมิใช่เรื่องที่ควรค่าแก่การรายงานบุรุษอายุสิบแปดสิบเก้าปีผู้หนึ่งจะมีสตรีเอาไว้ปล







