ชนัญชิดาไม่พูดอะไรอีก เธอเดินนั่งลงบนเตียงปล่อยให้น้ำตาไหลอาบแก้มอย่างเงียบๆ บิดาของเธอในสิ่งที่ไม่ควรทำและเธอก็ไม่อาจปฏิเสธได้เพราะเขาคือผู้ให้กำเนิด
“พ่อคะ พ่อกลับไปเถอะค่ะ หนูอยากอยู่คนเดียวค่ะ”
“แล้วพรุ่งนี้....” ชนินทร์อยากถามลูกสาวว่าพรุ่งนี้เธอจะเข้าไปที่บริษัทของคุณเมฆินทร์ไหม
“ไม่ต้องห่วงนะคะ พรุ่งนี้หนูจะไปหาเจ้านายพ่อที่บริษัทค่ะ พ่อส่งที่อยู่ให้หนูด้วยก็แล้วกันนะคะ”
“ขอบใจนะมะปราง พ่อสัญญาว่าจากนี้พ่อจะไม่ก่อหนี้อีกเด็ดขาด พ่อจะตั้งใจทำงาน”
“ถ้าพ่อไปเป็นหนี้เขาอีกหนูก็ไม่รู้จะช่วยยังไงแล้วล่ะคะ”
“พ่อไปก่อนนะลูก”
“ถ้าถึงบ้านแล้วไลน์มาบอกหนูด้วยนะคะ” แม้จะโกรธที่บิดาเอาเธอไปเสนอขายแต่ในความเป็นลูกชนัญชิดาก็อดเป็นห่วงไม่ได้ เพราะเธอมีกันแค่สองคนพ่อลูกเท่านั้น
เมื่อบิดาออกไปจากห้องแล้วหญิงสาวเข้าห้องน้ำ เธอยืนอยู่ใต้ฝักบัวอยู่นานและหวังว่าคราบน้ำตามันไหลไปพร้อมกับสายน้ำแต่เมื่ออาบน้ำเสร็จน้ำตาก็ยังคงไหลไม่หยุด
หญิงสาวอยากหนีไปจากตรงนี้ ไปในที่ไกลๆ และไม่อยากต้องมารับผิดชอบกับสิ่งที่ตัวเองไม่ได้ทำแต่ก็ไม่ใจแข็งพอที่จะปล่อยให้บิดาเป็นอันตรายได้ ถ้าหากเธอไม่ช่วยแล้วท่านได้รับอันตรายหรือฆ่าตัวตายขึ้นมาจริงๆ เธอก็คงใช้ชีวิตต่อไปไม่ได้อย่างแน่นอน
เช้าวันใหม่ชนัญชิดาไม่ต้องให้เพื่อนโทรปลุกอย่างเคยเพราะเธอหลับๆ ตื่นมาตลอดทั้งคืน หญิงสาวลงมารอที่หน้าหอพักซึ่งเป็นจุดนัดของเพื่อนก่อนจะเดินเข้าไปที่มหาวิทยาลัยด้วยกัน
“ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าวันนี้มะปรางจะมาถึงก่อนพวกเรา”
“นั่นสิบีบี ฉันว่าวันนี้หิมะตกเมืองไทยแน่เลย” ไอลดาและมารีน่าพากันหัวเราะเพราะน้อยครั้งมากที่ชนัญชิดาจะมารอพวกตนแบบนี้
“เรารีบไปกันเถอะ” ชนัญชิดาไม่สนใจคำแซวของเพื่อนเพราะเธอมีเรื่องให้ต้องเป็นกังวล
“เฮ้ย....มะปรางเป็นอะไร” มารีน่ารีบเดินขึ้นมาตีคู่กับเพื่อน
“นั่นสิ ทำไมตาบวมแบบนั้นเกิดอะไรขึ้นมะปราง” ไอลดาเดินขึ้นมาอีกคนและถามด้วยความเป็นห่วง
“ไม่มีอะไรหรอก รีบไปเถอะ หิวข้าว” หญิงสาวรีบเดินเพราะเรื่องนี้อายเกินกว่าจะเล่าให้เพื่อนฟังได้
“ฉันไม่ให้แกไปไหนทั้งนั้นถ้าไม่บอกฉันสองคนว่าเป็นอะไร” มารีน่าเดินมาขวางและไอลดาก็ตามมาด้วยอีกคน
“ไม่มีอะไรหรอก” ชนัญชิดาก้มหน้าตอบ
“เราคบกันมาสามปีแล้วนะฉันสองคนไม่ใช่เพื่อนแกเหรอ”
“แกสองคนคือเพื่อนที่สนิทที่สุดของฉัน”
“งั้นก็เล่ามาว่าแกเป็นอะไร ฉันกับบีบีเห็นแกเป็นแบบนี้แล้วไม่สบายใจเลยนะ”
“เล่าให้พวกเราฟังได้ไหม”
“ถ้าอยากรู้ก็จะเล่าให้ฟังก็ได้ แต่ขอไปกินข้าวก่อนได้ไหม ฉันหิวจริง” ชนัญชิดายังไม่รู้จะเริ่มต้นพูดยังไง เธอคิดว่าถ้าท้องอิ่มสมองก็คงคิดออก
“อือ งั้นรีบไปกันเถอะนะ”
ทุกคนซื้ออาหารมาวางตรงหน้าแต่ยังไม่มีใครตักอาหารเข้าปากเพราะรอจะฟังเรื่องของเพื่อนที่ตอนนี้ก้มหน้าเขี่ยข้าวมันไก่ในจานไปมา
“จะกินก่อนหรือจะเล่าก่อนมะปราง” มารีน่าถามเพราะรู้สึกว่าชนัญชิดากำลังถ่วงเวลาอยู่
“มะปรางแกรู้ใช่ไหมว่าฉันสองคนเป็นห่วงแก”
“อือ ฉันรู้แต่ขอกินก่อนนะ” ชนัญชิดาตักข้าวมันไก่เข้าปากแต่กลับไม่รู้ถึงรสชาติอาหารเลยแม้แต่น้อย เธอทานไปไม่กี่คำก็วางช้อนลง
“ไม่อร่อยเหรอ”
“กินไม่ลง พ่อฉันเป็นหนี้เยอะมาก”
“เท่าไหร่ พวกเราพอจะช่วยได้ไหม” ไอลดารีบถามเพราะบ้านของเธอพอมีฐานะละคิดว่าคงเช่วยเพื่อนได้
“เจ็ดแสน”
“อะไรนะ / อะไรนะ” มารีน่าและไอลดาอุทานขึ้นมาพร้อมกันทำเอาคนในโรงอาหารต่างหันมามอง
“มะปรางทำไมมันเยอะขนานนั้นล่ะ แบบนี้พ่อแกจะเอายังไงต่อ ฉันอยากช่วยแกนะ แต่มันเยอะมาก ฉันไม่กล้าขอพ่อกับแม่หรอก”
“พ่อฉันมีทางออกเรื่องนี้แล้วล่ะ ขอบใจนะลดา”
“ถ้ามีทางออกแล้วแกจะมานั่งเครียดทำไมล่ะมะปราง แบบนี้ไม่ใช่ตัวแกเลยนะ อย่างแกต้องร่าเริงยิ้มได้ตลอดแม้จะเจอปัญหา” มารีน่าจับมือเพื่อนอ่างให้กำลังใจ
“เพราะทางออกที่ว่าคือพ่อเอาฉันไปแลกกับเงินไงล่ะ”
“ห๊ะ!....../ ห๊ะ!......” มารีน่าและไอลดาตกใจพร้อมกันอีกครั้ง
“มันยังไงกันฉันสองคนงงไปหมดแล้วมะปราง”
ชนัญชิดามองหน้าเพื่อนทั้งสองคนก่อนจะเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟังอย่างละเอียด
“เจ้านายของพ่อแกนี่คือตาแก่ตัณหากลับแน่ๆ”
“นั้นสิ ฉันรู้ว่าแกชอบคนอายุมากกว่าแต่ครั้งนี้คงแก่คราวพ่อ”
“ลดาแกก็อย่าไปพูดแบบนั้นสิ มะปรางมันหน้าเสียแล้ว”
“ฉันขอโทษนะมะปรางที่พูดไม่คิด แล้วแกเคยเจอเข้าหรือยัง”
“ไม่เป็นไรหรอกลดาเขาก็คงแก่จริงๆ นั่นแหละ ฉันยังไม่เจอเขาหรอก เย็นนี้เขานัดให้ไปเจอที่บริษัท”
“ให้ฉันสองคนไปด้วยนะ”
“ไม่เป็นไรหรอก ฉันไปเองได้”
“ถ้าแกมีอะไรก็โทรบอกพวกฉันสองคนนะ แกคุยกับเขาดีๆ บางที่เขาอาจจะเป็นคุณลุงใจก็ได้” ไอลดาพูดอย่างให้กำลังใจ
“ขอบใจจะ ฉันหวังว่าเขาจะเป็นเหมือนที่แกพูดนะ” ชนัญชิดาถอนหายใจและหวังว่าเจ้านายของบิดาจะเป็นคุณลุงใจดีมีเมตตา
“พวกเรากินต่อเถอะ เดี๋ยวเข้าเรียนสายนะ” มารีน่าชวนเพื่อทั้งสองคน
หลังทานอาหารทั้งสามคนก็เดินมายังห้องเรียน
ตลอดทั้งวันชนัญชิดาแทบไม่มีสมาธิเรียนเลย ในหัวเอาแต่คิดถึงการไปเจอเจ้านายของบิดาในตอนเย็น
รถเอสยูวีสีดำแล่นไปตามถนนมุ่งหน้าสู่กรุงเทพฯ ความเงียบเข้าปกคลุมภายในรถอีกครั้งชนัญชิดาเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง ทอดสายตาไปยังความมืดมิดของสองข้างทาง ภาพสายตาของคนในร้านขายของชำยังคงวนเวียนอยู่ในหัวเธอพยายามจะลืมแต่มันก็ยากมากเมฆินทร์เหลือบมองหญิงสาวข้างกายเป็นพักๆ เขาสังเกตเห็นแววตาที่หม่นหมองและไหล่ที่ลู่ลงเหมือนคนสิ้นหวัง ชายหนุ่มรู้สึกเห็นใจที่เธอต้องมาเจอเรื่องแบบนี้เพราะบิดาของเธอ“แวะกินข้าวกันก่อน เธอคงยังไม่ได้กินอะไร”“แต่หนูไม่หิวค่ะ”“แต่ฉันหิวนี่ ถ้าไม่กินคงขับรถไม่ถึงกรุงเทพแน่ๆ”“ก็ได้ค่ะ”ชนัญชิดาไม่ได้รู้สึกหิวเลยแม้แต่น้อย แต่พอเขาบอกว่าหิวเธอก็ยอมทำตาม หญิงสาวเดินลงจากรถตามเมฆินทร์เข้าไปในร้านที่ตกแต่งอย่างเรียบง่ายเมฆินทร์สั่งอาหารให้เธอหลายอย่าง สปาเก็ตตี้ สเต๊กปลา สเต๊กเนื้อและสลัดผักเมื่ออาหารมาเสิร์ฟ เมฆินทร์ก็คะยั้นคะยอให้เธอกิน“กินเยอะๆ จะได้มีแรง”ชนัญชิดาหยิบช้อนขึ้นมาตักอาหารเข้าปากช้าๆ รสชาติอาหารไม่ได้ถูกปากเธอเท่าไหร่ หรืออาจจะเป็นเพราะเรื่องที่เพิ่งเจอมาทำให้ทุกอย่างดูจืดชืดไปหมด“ทำไมกินน้อยจังไม่อร่อยเหรอ”“เปล่าค่ะ หนูไม่ค่อยหิว”“กินอีกนิดนะ ก
ตลอดช่วงเวลาที่เหลือของวันชนัญชิดาใช้เวลาอยู่กับบิดา เธอเล่าเรื่องการเรียนให้ท่านฟัง โดยพยายามเลี่ยงที่จะพูดถึงเรื่องของเมฆินทร์และชีวิตที่คอนโด ชนินทร์เองก็ดูเหมือนจะพยายามทำตัวเป็นพ่อ เขาชวนเธอคุยเรื่องต่างๆ พยายามสร้างบรรยากาศให้กลับมาเป็นเหมือนเดิมมากที่สุดเท่าที่จะทำได้แต่ชนัญชิดาก็ยังคงอดเป็นห่วงบิดาไม่ได้ เธอสังเกตเห็นแววตาที่ยังคงมีความกังวลแฝงอยู่ และมือของท่านที่บางครั้งก็เผลอไปลูบไล้กระเป๋าเงินโดยไม่รู้ตัว มันทำให้เธอรู้ว่าบางทีบิดาของเธออาจจะยังไม่ได้เลิกเล่นพนันอย่างเด็ดขาดในช่วงค่ำหลังจากทานอาหารเย็นเสร็จ ชนัญชิดาก็ตัดสินใจที่จะคุยเรื่องนี้กับบิดาอย่างจริงจัง“พ่อคะ พ่อเลิกเล่นพนันแล้วใช่ไหมคะ”“พ่อ...พ่อก็พยายามอยู่นะลูก” ชนินทร์ตอบด้วยสีหน้าเครียด“พยายามหมายความว่ายังไงคะ พ่อยังไปเล่นอยู่ใช่ไหม” ชนัญชิดาตกใจกับคำตอบที่ได้รับจากบิดา“นิดๆ หน่อยๆ เองลูก ไม่ได้เยอะเหมือนเมื่อก่อนแล้ว”ชนินทร์หลบสายตาของลูกสาว“พ่อคะ หนูไม่อยากให้พ่อต้องไปพัวพันกับเรื่องแบบนี้อีกแล้วนะคะ ครั้งนี้พ่อเอาหนูไปขายให้เจ้านายของพ่อแล้วครั้งต่อไปพ่อจะเอาอะไรไปขายอีกล่ะคะ” เธอพยายามพูดด้วยน้ำเสี
“ตกลงค่ะ หนูจะรีบไปรีบกลับนะคะ” หญิงสาวดีใจที่เขาอนุญาตแม้จะเป็นช่วงสั้นๆ แต่เธอก็ดีใจมาก“แล้วนั่นจะรีบไปไหน” เขาถามเมื่อหญิงสาวลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว ท่าทางเศร้าเมื่อครู่มันหายไปแล้ว ชนัญชิดายิ้มอย่างสดใสจนเขาเผลอยิ้มตาม“ก็จะรีบกลับบ้านสิคะ”“รีบขนาดนั้นเลยเหรอ”“ค่ะ”“แล้วจะกลับยังไง”“รถตู้ค่ะ ออกทุกชั่วโมง หนูขอตัวก่อนนะคะ” หญิงสาวรับเข้าไปในห้องก่อนจะถือเป้ขนาดย่อมกับกระเป๋าสะพายใบเล็กออกมาจากห้องนอน“เก็บของไวจังหรือว่าเก็บรอไว้แล้ว”“ค่ะ หนูเก็บไว้แล้ว”“ถ้าฉันไม่ให้เธอไปล่ะ”ชนัญชิดาชะงักไปเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้แสดงท่าทีตกใจหรือโกรธเคือง เธอจ้องมองเข้าไปในดวงตาของเขาอย่างไม่เกรงกลัว ก่อนจะยิ้มออกมาอย่างน่ารัก“หนูรู้ว่าถึงคุณเมฆจะหน้าดุเหมือนยักษ์แต่คุณก็มีความใจดีซ่อนอยู่จริงไหมคะ” เธอพูดพลางเอียงคอเล็กน้อยอย่างออดอ้อน“เธอกำลังว่าฉันเป็นยักษ์” เมฆินทร์ถามด้วยน้ำเสียงกึ่งขำกึ่งดุ“หนูขอโทษค่ะ หนูก็แค่เปรียบเทียบ คุณเมฆตัวโตแล้วก็ชอบทำหน้าดุ”“ฉันว่าเธอชักจะลามปามแล้วนะมะปราง แล้วนี่จะไปขึ้นรถตู้ยังไง” เมฆินทร์แกล้งทำเสียงเข้ม แต่ในใจกลับรู้สึกเอ็นดูความกล้าของเธอ“นั่งรถเมล์ไปค่
ในขณะที่ชนัญชิดากำลังนั่งคิดถึงแผนการที่จะเดินทางกลับบ้าน เสียงเปิดประตูห้องก็ดังขึ้น หญิงสาวรีบลุกไปดูแล้วก็ต้องตกใจเมื่อเห็นว่าเมฆินทร์กำลังเดินเข้ามาในห้อง“คุณเมฆินทร์....” หัวใจของเธอเต้นแรงกับการเผชิญหน้าเขาหลังจากเขาพรากความบริสุทธิ์ของเธอไปไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้า“ฉันบอกให้เรียกว่าอะไร” เขาพูดเสียงเรียบแล้วเดินไปนั่งบนโซฟากลางห้องรับแขก“คุณเมฆคะ คุณมาทำอะไรที่นี่คะ”“ฉันไม่มาก็บ่นน้อยใจพอฉันมาก็ยังจะถามตกลงเธอจะเอายังไงกันแน่มะปราง” เขาทำเป็นหงุดหงิดแต่ที่มาเพราะรู้สึกว่าอยากจะคุยกับเธอหลังจากที่เมื่อคืนคุยกับเธอไม่ค่อยรู้เรื่องเท่าไหร่“หนูก็แค่แปลกใจ” เธอก้มหน้าซ่อนความดีใจเอาไว้“คุยกับฉันก็มองหน้าฉันสิมะปราง เงยหน้าขึ้น”เขาออกคำสั่งเสียงเข้มแต่พอชนัญชิดาเงยหน้าขึ้นมาเขาก็ตกใจไม่น้อยเมื่อเห็นสังเกตเห็นความบวมช้ำใต้ดวงตาของเธอ เดาได้ไม่ยากว่าเธอคงเสียงใจกับเรื่องเมื่อคืน แต่คนอย่างเขาไม่เคยปลอบใจใคร ในเมื่อเขามีสิทธิ์ในตัวเธออย่างเต็มที่แต่ในใจก็แอบสงสารเธออยู่“แค่นอนกับฉันก็ร้องไห้หนักเลยนะ เด็กชะมัด” เขาสงสารอยากจะปลอบและขอโทษ แต่คำพูดกลับตรงกันความกับความรู้สึก“แล้วจะให
ชนัญชิดาครางหวานร่างกายกระตุกสุขสมอย่างรุนแรงอีกครั้งร่องรักรัดลึงอย่างแรง เมฆินทร์เร่งจังหวะหนักหน่วงติดกันไม่ยั้งก่อนจะทุกอย่างจะระเบิดออก“มะปราง...อ้า......”เขาครางลั่นห้องท่อนเอ็นพ่นน้ำรักออกมาจนหญิงสาวรู้สึกอุ่นในร่องรักที่ยังคงตอดรัดสิ่งแปลกปลอมอย่างรุนแรง ชายหนุ่มกดย้ำขยับเข้าออกจนในที่สุดก็ปลดปล่อยออกมาจนหมด“อ่าห์...เธอเด็ดมากฉันชักติดใจแล้วสิ” เขากระซิบขณะที่ท่อนเอ็นยังแช่อยู่ในร่องรัก“คุณเมฆ....หนูว่า.....”“ว่าอะไร....” น้ำเสียงฟังดูอ่อนขึ้นเมื่อรู้ว่าตนเองได้เป็นคนแรกของเธอ“คือ.....”“ฉันรู้ว่าเธอมีความสุขและอยากจะให้ฉันเอาต่อ ฉันก็คิดอย่างนั้นเหมือนกันนะ เธอต้องชดเชยให้ฉัน หนึ่งเดือนที่ฉันอดทนไม่มาหาเธอ”“แต่หนูก็ไม่ได้ห้าม คุณไม่มาหาหนูเอง” หญิงสาวรู้สึกน้อยใจที่เขาไม่เคยสนใจเธอเลยสักนิด แม่ได้เป็นอะไรกันแต่เขาพูดเองว่าเธอเป็นผู้หญิงของเขาแต่กลับไม่เคยติดต่อมาเลย“เพราะฉันอยากให้เธอสอบเสร็จก่อนยังไงล่ะ นี่อย่าบอกว่ากำลังน้อยใจ”“เปล่าค่ะ”“ก็ดีแล้วเพราะเธอก็แค่นางบำเรอ เธอไม่มีสิทธิ์คิดอะไรแบบนั้น”“หนูรู้ค่ะ”“งั้นก็ดีแล้วจากนี้ ฉันจะให้เธอทำหน้าที่ของเธอเริ่มจากคื
มือใหญ่บีบเคล้นอย่างหลงใหลในความอวบอิ่มและนุ่มแน่น เมื่อได้ยินเสียงหวานดังขึ้นมือที่ฟอนเฟ้นอกอวบก็เลื่อนลงต่ำลงมายังหน้าท้องแบนราบและดึงชั้นในตัวบางออกให้พ้นทาง“อ๊ะ!....”ชนัญชิดาครางสะดุ้งเมื่อนิ้วร้ายกำลังลากไล้ไปมาบนกลีบกุหลาบก่อนจะคลี่ให้แยกออกจากกันปลายนิ้วสะกิดบนยอดเกสรที่ไวต่อความรู้สึก จนร่างหญิงสาวสั่นสะท้าน ชนัญชิดาบิดตัวเกร็งเสียงร้องครางยังคงดังขึ้นเรื่อยๆเมฆินทร์ส่งปลายนิ้วที่ลูบไล้บนกลีบเกสรกุหลาบ ก่อนจะกดเข้าไปโพรงอุ่นร้อนอย่างช้าๆ“อ๊ะ!....”“อื้ม...แค่นิ้วก็ตอดแรงแล้วนะ”เสียงครางแหบพร่าเพราะความคับแน่นที่รัดนิ้วอยู่บนปลายนิ้ว ตอนนี้เมฆินทร์อยากจะเปลี่ยนจากนิ้วเป็นท่อนเอ็นของเขาแต่เมื่อคิดว่าเขามีเวลาสนุกกับเธออีกนานก็เลยอยากจะไปอย่างช้าๆเขาอยากให้ครั้งแรกของเธอกับเขาไปได้ด้วยดีเพราะนั่นหมายถึงครั้งต่อไปมันก็จะดีตามมาด้วยปากร้อนของเมฆินทร์ยังคงวนเวียนดูดดุนเม็ดเชอร์รี่เข้าปากอย่างไม่ยอมหยุด ปลายนิ้วร้ายควานลึกอยู่ในร่องรัก ชนัญชิดารู้สึกเหมือนใจจะขาด มือกดศีรษะเขาให้แนบชิดอกอิ่ม ส่วนปากก็ครวญครางอย่างน่าอาย“อ่ะ...อื้อ...คุณเมฆ....”ความเสียวซ่านพุ่งขึ้นสูงเกินกว