로그인ฉันนั่งฟังเจ๋งพูดไปน้ำเสียงของเขามันแฝงไปด้วยความรู้สึกบางอย่างที่ฉันไม่แน่ใจว่ามันคือความโกรธหรือความน้อยใจในโชคชะตาของตัวเอง
“ถ้าลำบากขนาดนี้ แล้วก่อนหน้านี้นายใช้ชีวิตยังไง”
“พ่อแม่ผมเสียไปตอนปีสอง อยู่ได้เพราะเงินเก็บที่พวกเขาเคยให้กับงานพิเศษ แต่ติดปัญหาตรงที่น้องผมมันต้องเข้ามหาลัย ค่าใช้จ่ายก็เลยเยอะขึ้น”
“ออ แล้วทำไมนายไม่ไปอยู่กับน้อง”
“น้องเรียนที่อื่น ต่างจังหวัด สอบชิงทุนได้แต่ก็ต้องใช้เงินอยู่ดี คิดว่าเดี๋ยวก็เรียนจบพอมีงานทำก็ส่งมันเรียนต่อ”
ฉันพยักหน้าอย่างเข้าใจแล้วก็เงียบไป ตบตีกับความคิดของตัวเองที่กำลังเถียงกันอยู่ว่าตอนนี้ฉันตัดสินใจถูกหรือเปล่าที่จะพาผู้ชายตัวสูงกว่าและร่างใหญ่กว่าคนนี้ไปอาศัยอยู่ห้องตัวเอง
ถ้าเขาจะทำอะไรขึ้นมา มือเดียวก็ยังได้เลย
“พี่กลัวผมหรือเปล่า”
“ก็มีนิดหน่อย มันแปลกๆ นายน่าจะมีเพื่อนหรือคนที่สนิทกว่าฉัน” ที่เป็นแค่พี่สาวเพื่อน
“เพื่อนสนิทก็มีไอ้ธันไง ส่วนเพื่อนในมหาลัยมันติดแฟน ที่ไม่สนิทผมก็เกรงใจ”
“แต่นายไม่เกรงใจฉัน?”
“เพราะว่าพี่ติดหนี้บุญคุณผมไง แล้วเราก็คนบ้านเดียวกัน”
บ้านเดียวกันกับผีนะสิ แค่อยู่จังหวัดเดียวกันเขาอยู่อำเภอไหนฉันยังไม่รู้เลย รู้แต่ว่าเป็นเพื่อนของน้องชาย ซึ่งฉันก็ไม่ได้รู้จักใครสักคนเพราะไม่ค่อยมีโอกาสเจอกัน แค่กับน้องก็เจอกันครึ่งปีครั้งได้ จะมีก็แค่โทร.คุย ส่งข้อความหากันเท่านั้น แล้วธันวามันก็ไม่ค่อยเล่นโซเชียลด้วย
“อย่าบอกไอ้ธันนะ ว่าผมไปอยู่ด้วย”
“ทำไม”
“เถอะน่า เดี๋ยวคนจะมองพี่ไม่ดี แล้วแม่พี่จะมาด่าผมจับผมแต่งานกับพี่ทำไงอะ”
ฉันเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้าอย่างเข้าใจ แบบนี้ค่อยมีเหตุผลหน่อย อย่างน้อยเจ๋งก็คิดเรื่องดีได้บ้างนอกจากปากหมาไปวันๆ
สุดท้ายก็ต้องหิ้วไอ้เด็กปีสี่ที่พูดแต่เรื่องทวงบุญคุณไม่หยุด จนฉันจำใจต้องทำดีด้วยและพาเขามาอาศัยอยู่ที่ห้องพักเดียวกัน ส่วนหนึ่งก็เพราะสงสารเขา ก็ฉันมันคนขี้สงสารไง
คอนโดนี้ฉันเพิ่งถอยมาได้เดือนกว่า ทำให้กลายเป็นหนี้ก้อนโตไปในพริบตา แถมเพิ่งผ่อนไปงวดแรก แต่ก็เป็นหนี้ก่อนเดียวที่ฉันมีอยู่ถือว่าไม่หนักหนาอะไร
“นายนอนตรงโซฟานี้นะ คงนอนได้ใช่ไหม”
“สบายมาก”
” เสื้อผ้าก็เอาไว้ตรงนั้นได้ ลิ้นชักเพิ่งซื้อมาใหม่ยังไม่มีของใส่เลย”
” อืม ขอบคุณนะ”
ฉันเหลือบมองไอ้คนที่มันมาขออาศัยอยู่ด้วยแล้วก็เริ่มนึกอะไรหลายๆ อย่างขึ้นมาได้ ร้านที่เขาทำงานอยู่ไม่ถือกับว่าเป็นร้านประจำแต่ก็เป็นร้านที่ไปบ่อยอยู่เหมือนกัน คงเห็นเขาผ่านๆ แล้วแต่จำไม่ได้ว่าเป็นเพื่อนของธัน ก็เจอกันแค่ครั้งเดียวตั้งแต่เรียนมัธยม
“นายทำงานที่ร้านนั้นนานหรือยัง ฉันก็ไปหลายครั้งแล้วนะ”
“อืม ปีหนึ่งได้แล้วมั้ง ไปแทนนักร้องคนเก่า”
“ออ ปกติไม่ค่อยอยู่ใกล้นักร้อง จำหน้านายไม่ได้เลย”
“แต่ผมก็เห็นพี่บ่อยนะ แต่ทุกทีเห็นมากับผู้หญิง”
ฉันเงียบเมื่อได้ฟังเจ๋งพูดแบบนั้น แปลว่าเขาสังเกตเห็นฉันตอนไปเที่ยว หรือว่าเขาเป็นคนที่จดจำรายละเอียดได้ดีเพราะเขาเป็นนักร้องนักดนตรี แต่คิดอีกทีก็น่ากลัวเหมือนกัน
“จำลูกค้าได้ขนาดนั้นเลย”
“อยู่บนนั้นมันสูงเห็นหมดแหละ”
ไม่รู้คำตอบของเขามันตรงประเด็นไหมแต่ฉันก็ไม่อยากถามเซ้าซี้ปล่อยให้เขาเก็บของตัวเองไปซึ่งมันก็มีไม่มากเพราะเขาบอกว่าขนกลับบ้านต่างจังหวัดเกือบหมดแล้วเหลือแต่เสื้อผ้ากับของใช้จำเป็น ส่วนเรื่องค่าหอที่ค้างฉันก็ใจดีให้เจ๋งยืมมันไปก่อนเพราะไม่อยากซวยเพราะหนีออกมากับเขา แต่เจ๋งไม่รับเขาบอกว่าจะไปคุยกับป้าเขาเอง
แล้วไม่รู้ว่าเขาไปคุยแบบไหนป้าถึงยอมให้เจ๋งออกมาจากหอง่ายๆ แบบนี้ เพราะเจ๋งบอกให้ฉันไปอยู่รถรอเขาได้เลย หลังจากที่เขาจัดการทุกอย่างเสร็จก็จะขี่มอเตอร์ไซค์ตาม
ช่างเป็นวันที่ดีเหลือเกิน...
“แล้วพี่ต้องกลับไปทำงานกับไอ้พวกนั้นอีกเหรอ”
หลังจากที่ปล่อยให้เจ๋งเก็บของตัวเองเสร็จเขาก็เดินมาถามฉันที่กำลังเก็บเสื้อผ้าของตัวเองเพื่อเอามันไปซัก เวลานี้เจ๋งถอดเสื้อเหลือใส่แต่กางเกง ทำตัวอย่างกับอยู่ห้องตัวเอง
“อยู่ห้องคนอื่นก็ช่วยใส่เสื้อหน่อย” รู้ว่าหุ่นมันดี มันน่าจับน่าลูบแต่อย่ามาทำแบบนี้ มันอันตรายต่อใจสาวโสดวัยยี่สิบห้าปีอย่างฉัน
“ร้อนจะตาย”
“ก็เปิดแอร์”
“เดี๋ยวเปลืองไฟอีก ผมไม่มีเงินช่วยจ่าย” เขาบอกแล้วยกแขนขึ้นมากอดอกพิงกับขอบประตูยืนมองฉันจัดการกับเสื้อผ้าของตัวเองที่มันไม่ควรมีใครมายืนมอง
กางเกงในเอย เสื้อชั้นในเอยที่บิดม้วนเป็นเลขแปด แถมยังเป็นลายลูกไม้สีขาวที่เริ่มเหลืองไปทุกที จบต้องรีบรวบมันเข้าตะกร้าไปอย่างรีบร้อน
“มองอะไร”
“ถึงเหรอไซส์นั้น”
เขาถามแล้วยิ้มมุมปากมองของในมือฉันที่รีบรวบเก็บใส่ตะกร้า พร้อมกับเสียงหัวเราะดังหึในลำคออย่างกับเยาะเย้ยกัน
“อย่ามาลามปาม ลามก เดี๋ยวก็ไม่ให้อยู่!”
“เปล่า ผมก็แค่เป็นห่วง เขาบอกว่าถ้าผู้หญิงใส่ไม่ตรงไซส์มันจะมีผลตอนแก่ตัว”
“พูดมาก ถ้าอยากอยู่ก็อย่ามาทำลามกกับฉัน” ฉันบอกเขาแกล้งตีหน้านิ่ง ให้มันดูจริงจัง เด็กนี่จะได้กลัวหรือเกรงใจกันบ้าง
“พี่ไม่ลามกเลย แปะแต่รูปดาราถอดเสื้อ”
“เจ๋ง” ฉันยกมือขึ้นมาเท้าเอวมองเขาอย่างเอาเรื่อง เขาเห็นแบบนั้นก็หัวเราะเบาๆ แล้วเปลี่ยนเรื่องคุย
“แล้วสรุปที่ผมถาม พี่ต้องไปทำงานกับไอ้แก่พวกนั้นอีกเหรอ”
“ก็มันจำเป็น เขาก็ยังไม่ได้ทำอะไร หลักฐานก็ไม่มี งานก็เพิ่งทำได้ไม่กี่เดือน เงินมันก็ดีมาก ฉันไม่ได้มีตัวเลือกขนาดนั้น ถ้าออกกะทันหันก็จะไม่มีรายได้เลย”
“แล้วถ้ามันเห็นว่าพี่ไม่ทำอะไร มันคิดว่าพี่ชอบล่ะ”
“ฉันก็จะอยู่ห่างๆ พวกนั้นและระวังตัวไว้”
ฉันเองก็ลำบากใจเหมือนกันแต่ถ้าลาออกตอนนี้มันก็แย่ คนเราพอมีหนี้สินแล้วก็ต้องทนทำงาน จะทำอะไรใจร้อนไม่คิดหน้าคิดหลังก็ไม่ได้
“อืม ระวังตัวด้วยแล้วกัน มีอะไรก็โทร.หาผมเลย”
ฉันไม่รู้ว่าเขาเป็นคนดีอยู่แล้วหรือเพราะว่าเขาเห็นว่าฉันพึ่งพาได้ เราสองคนต้องพึ่งกันและกันแต่เห็นความจริงใจของเขาแล้วฉันก็รู้สึกดีขึ้นมาได้
“ขอบใจนะ แต่ไม่มีเบอร์”
“เอามาสิ” เจ๋งแบมือมาตรงหน้า
ฉันเดินไปหยิบเอามือถือที่วางอยู่ตรงปลายเตียง กดเลขศูนย์ไว้แล้วยืนไปให้เขาก่อนจะรับมันกลับมาเมื่อเจ๋งพิมพ์เบอร์เสร็จแต่ก็ต้องขมวดคิ้วเมื่อเห็นว่าเขาบันทึกชื่อของตัวเองเรียบร้อยแล้ว ชื่อว่า ‘รูมเมท’
ฉันเงยหน้าขึ้นมองคนตัวสูงกว่า แต่พอเห็นว่าเขายิ้มกวนประสาทก็ต้องรีบหลบตากลับมาที่หน้าจอพร้อมกับพึมพำบ่นใส่เขา ก่อนที่จะเปลี่ยนชื่อเจ๋งเป็น ‘คนบ้า’ แทน
“แล้วพี่หยุดแค่วันอาทิตย์เหรอ”
“ใช่”
ตอนที่ 7 หวั่นไหวตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้วที่ฉันไม่ชอบเสียงฟ้าร้องและไฟดับแบบนี้ ยิ่งเสียงฟ้าผ่ามันทำเอาฉันกลัวจนต้องวิ่งไปหาสิ่งที่พึ่งพิงได้ แล้วมันก็เป็นสิ่งเดียวที่มีอยู่ในห้องนี้“กลัวอะไรขนาดนั้น”สิบสี่ปีก่อนคุณตาของฉันถูกฟ้าผ่าจนเสียชีวิตเพราะยืนอยู่กลางทุ่งนา เป็นวันที่ฉันตามติดตาไปด้วยเพราะอยากไปเที่ยวเล่นช่วงปิดเทอม นานครั้งถึงจะไปที่นั่นไปอยู่กับตาและยาย ภาพนั้นมันยังจำไม่เคยลืมเลย สายฟ้าที่ฟาดลงมาสู่ร่างของตาวันนั้นจนท่านล้มลง อยู่ในระยะสายตาที่ฉันมองเห็น ความสว่างสไวนั้นทำให้เห็นความเจ็บปวดในเสี้ยววินาทีของคนที่ฉันรักมันกลายเป็นเหตุการณ์ที่ถูกฝังลงในจิตใจ ทำให้กลัวเสียงฟ้าร้อง เสียงฟ้าผ่า มาตั้งแต่ตอนนั้น หัวใจของฉันมันสั่นไหวทุกครั้งที่ได้ยินมันรู้ตัวอีกทีฉันก็นั่งอยู่บนตักเจ๋ง กอดคอซบหน้าลงกับบ่าแกร่งจนลืมทุกความอึดอัดที่เคยมีต่อเขา เวลานี้มันแทนที่ด้วยความกลัวไปแล้ว“กลัว”เจ๋งไม่ได้พูดอะไรอีก เขาใช้แขนแข็งแรงนั้นโอบกอดฉันเอาไว้ มือหนาลูบลงกลางหลังราวกับต้องการให้ฉันรู้สึกปลอดภัยขึ้น แล้วมันก็ได้ผล ไม่รู้ทำไมฉันถึงรู้สึกดีขึ้นได้ขนาดนี้หรือเพราะอ้อมกอดของเขามันกว้างและอบ
บริษัทมีเวลาเลิกงานที่สี่โมงเย็น ฉันใช้รถส่วนตัวในการเดินทางไปกลับ ถึงแม้ว่าจะเจอรถติดบ้างแต่ก็สะดวกกว่า ไม่ต้องไปเบียดผู้คนมากมายระหว่างที่รอรถติดก็เพิ่งเห็นข้อความจากเจ๋งที่ส่งมาเมื่อกลางวัน เพราะไม่ได้เปิดดูเลย มีงานเข้าตั้งแต่ช่วงบ่าย ที่แจ้งเตือนมาก็คิดว่าเป็นครามนั่นแหละ จึงไม่ได้สนใจเปิดอ่าน เดี๋ยวเขาจะรู้กันว่าฉันแอบเล่นมือถือตลอดเจ๋ง : เลิกกี่โมง ผมรอที่ล็อบบี้นะตั้งแต่เมื่อคืนที่เกิดเรื่องฉันก็ไม่ได้คุยกับเจ๋งเลย คิดว่าเขาโกรธฉันเสียอีก เพราะปกติเขาจะส่งข้อความมาวอแวกวนประสาทกันไม่เลิกแม้กระทั่งเวลาทำงานมีนา : ใกล้ถึงแล้วฉันตอบแค่นั้นแล้วก็เคลื่อนรถไปข้างหน้า ใช้เวลาจากบริษัทกลับถึงคอนโดก็คงประมาณหนึ่งชั่วโมง ไม่รู้ว่าเขารออยู่ตรงนั้นตั้งแต่ตอนไหน อาจจะเป็นตอนที่ส่งข้อความาหากัน ถ้าเป็นอย่างนั้นคงเกือบสี่ชั่วโมงแล้วเจ๋งมันบ้าหรือเปล่านะ จะรีบกลับมาทำไมทั้งที่รู้ว่าขึ้นห้องไม่ได้“จะรีบกลับมาทำไม” พอเดินเข้ามาที่ล็อบบี้ก็เห็นเจ๋งนั่งรออยู่พร้อมกับโน้ตบุ๊คค่ใจของเขาที่น่าจะใช้ทำงานไปด้วยระหว่างรอฉันจะว่าไปอยู่ตรงนี้รอมันก็ไม่ได้แย่เสียทีเดียวเพราะมีห้องสำหรับให้นั่งเล่น
ตอนที่ 6 เว้นระยะห่างฉันออกมาทำงานตั้งแต่เจ็ดโมงกว่า ส่วนเจ๋งนั้นยังไม่ตื่น ไม่รู้ว่าเขาหลับอยู่จริงๆ หรือแกล้งหลับเพราะไม่อยากคุยกับฉันกันแน่ เพราะปกติถ้าฉันตื่นมาต้องเห็นเขาตื่นรอแล้ว เท่าที่เห็นเขามาเกือบครึ่งดือน เจ๋งไม่ใช่คนตื่นสายเลย“มีนา”เสียงของใครบางคนเรียกฉันไว้ พอหันไปมองก็ต้องแปลกใจที่เป็นคราม ผู้ชายเมื่อคืนนี้ ทั้งที่ปกติไม่เคยเห็นเขาอยู่ในบริษัทมาก่อน“คราม”“นึกว่าจะลาป่วย” เขาแซว คงเป็นเพราะเห็นฉันกลับดึกเมื่อคืน“ไม่ขนาดนั้น คอเกรดเอ” ฉันตอบพลางขำ ทั้งที่เมื่อคืนก็เมาเอาเรื่องแต่ก็พอมีสติถ้าเป็นเมื่อก่อนเวลาไปดื่มกับเพื่อนรับรองว่าถึงไหนถึงกันแน่นอน แต่มีผู้ชายอยู่ด้วยในห้องอีกคนฉันก็ไม่กล้าเมาขนาดนั้น ถึงแม้ว่าเจ๋งจะเอ่ยปากบอกว่าฉันมันไม่สวย ไม่ทำอะไรฉันก็เถอะ มันก็ไม่แน่หรอกนะ“สรุปเมื่อคืน เพื่อนหรือแฟน” ครามถามกันตรงๆ แต่ก็สื่อทางสายตาว่าเขาแค่แซว“น้องน่ะ”“ใช่เหรอ เขามองเราตาขวางขนาดนั้น แถมยังร้องเพลงให้อีก” ครามหัวเราะเบาๆ“จริงๆ ไม่ใช่แฟน” ฉันตอบแล้วยิ้ม เราทั้งคู่เดินเข้าลิฟต์มาด้วยกันเวลานี้มีคนทยอยเข้ามาเรื่อย จนคุยกันเหมือนเดิมไม่ได้ กระทั่งถึงชั้นสาม
เจ๋งพาซ้อนมอเตอร์ไซด์ออกจากร้านแล้วขับช้าๆ รับลมเย็นยามค่ำคืนบนท้องถนนที่เวลานี้รถราบางตากว่าตอนกลางวัน มีแสงไฟเรียงรายอยู่ด้านข้างเพราะมีร้านข้างทางมาเปิดเพื่อรับลูกค้าที่กลับมาจากการท่องราตรี บางร้านเปิดตั้งแต่ดึกถึงเช้ากันเลย“หิวข้าว ขอแวะซื้อแป๊บนึงได้ไหม”“ทานนี่ก็ได้ เดี๋ยวนั่งรอ”“พี่กินไหม”“ไม่ กินเข้าไปคงอ๊วกแตก”บอกตามตรงตอนนี้ฉันก็เมาแล้วเพียงแต่พยายามทำตัวเหมือนไม่เมามาก ให้เจ๋งต้องเยอะเย้ยกัน ถ้าไอ้เด็กนี่รู้เข้ามีหวังหัวเราะเยาะแน่ แต่จะทำยังไงไม่ให้เขารู้นี่สิ แค่จะก้าวขาลงจากรถก็คิดว่าคงได้ล้ม“ลงมาสิ” เจ๋งยืนมองฉันที่ไม่ยอมลงจากรถมอเตอร์ไซด์เสียที“นั่งรอ ตรงนี้แหละ”“พี่เป็นไร” เจ๋งไม่ยอมง่ายๆ เขาขยับเข้ามาใกล้แล้วขมวดคิ้วมองหน้ากันจนฉันต้องรีบหันหน้าหนีเพราะตอนนี้ตาปรือมาก เรียกสติกลับมาหลายรอบแล้วด้วย“เปล่า ไม่อยากลงไป จะนั่งรอตรงนี้แหละ” ว่าแล้วก็ขยับแขนขึ้นมากอดอก มองนั่นมองนี่เรื่อยเปื่อย แต่ไม่มองหน้าเจ๋งหรอก“เมา?”“บ้า!”“งั้นก็ลงมา ไปนั่งตรงนั้น”“บอกว่าจะนั่งตรงนี้”“ดื้อจังวะ” เจ๋งไม่พูดเปล่า เขาก้าวเท้าเข้ามาใกล้แล้วตวัดแขนรวบเอวฉันก่อนจะอุ้มลงไปยืนบน
ตอนที่ 5 อย่ามายุ่งกับเมียชาวบ้านเจ๋งขึ้นร้องเพลงแล้ว เพิ่งรู้ว่าเวลาเขาร้องเพลงอยู่บนนั้นมันมีเสน่ห์มากมายขนาดนี้ ทั้งหน้าตา ทั้งเสียงร้อง ทำเอาสาวๆ หลงกันทั้งร้าน ไม่แปลกใจเลยที่เขาจะมีคนชอบมากมาย เดินไปทางไหนกับเขาฉันก็ต้องเจอกับแรงอาฆาตแค้นเจ๋งถนัดร้องเพลงช้า ส่วนมากจะเป็นเพลงเศร้าซึ้งๆ ซึ่งมันยิ่งสัมผัสได้ถึงน้ำเสียงที่ชวนให้หลงใหลของเขา ระดับเจ๋งไปเป็นดาราหรือนักร้องได้เลย จะไม่มีแมวมองมาเห็นบ้างเลยหรือ น่าแปลกแต่ความเป็นเจ๋งก็ทำให้ฉันคาดไม่ถึงมาหลายเรื่องแล้ว ตั้งแต่เรื่องเพื่อนที่เยอะมากมาย ไหนจะเรื่องผู้หญิงที่ฉันคิดมาตลอดว่าคนปากหมาแบบนี้คงไม่มีใครคบ สุดท้ายเป็นยังไงล่ะ นี่มันหนุ่มฮอตของมหาวิทยาลัยชัดๆ“ขอโทษนะครับ”“คะ”ขณะที่นั่งมองคนหน้าเวทีกำลังร้องเพลงอยู่ จนลืมสนใจสิ่งรอบข้างเพราะเคลิ้มกับเพลงที่เจ๋งกำลังร้อง ปลายนิ้วของใครบางคนก็มาสะกิดที่ไหล่ซ้าย เล่นเอาฉันตกใจรีบหันไปมอง ก่อนจะพบว่าเป็นผู้ชายคนหนึ่งที่น่าจะรุ่นราวคราวเดียวกันกำลังโน้มหน้าลงมาแล้วส่งยิ้มให้“มาคนเดียวเหรอ”“คือ เปล่าค่ะ มากับเพื่อน”“ออ ขอชนแก้วได้ไหม”ฉันไม่รู้ว่าควรจะตอบอย่างไร ก็แค่ชนแก้ว จึงพย
“หมดธุระมึงยัง” เจ๋งถามต่อ“เออ ไปก็ได้วะ แล้วมึงไม่ไปร้องเพลงเหรอวันนี้” เพื่อนลุกออกไปนั่งโต๊ะข้างกันซึ่งมันก็ไม่ได้ต่างจากนั่งตรงนี้เลย โต๊ะติดกันจนกระซิบยังได้ยิน“กำลังจะไป”“โอ้ว พาสาวไปเฝ้า” เพื่อนอีกคนแซวอีกสองสามคนก็แซวกันจนฉันเขิน“เรื่องของกู”“เจ๋งมันไม่น่ารักเลยเนอะพี่”เพื่อนเขาคนหนึ่งยื่นหน้ามาคุยกับฉัน ที่เวลานี้แทบจะไม่กล้ากินก๋วยเตี๋ยวแล้ว ก็มาแซวกันขนาดนี้ใครมันจะไปกล้าคีบเส้นแล้วอ้าปากกินได้ ฉันก็อายเป็นเหมือนกัน เลยได้แต่ยิ้มแห้งเป็นคำตอบ รับบทแฟนเจ๋งคนปากหมาไปเลยยายมีนาดีนะที่ฉันกินลูกชิ้นไปแล้วไม่อย่างนั้นคงเสียดายแย่ นี่ไงล่ะคือเหตุผลที่ว่าทำไมเราต้องกินของที่อร่อยที่สุดก่อนเป็นอันดับแรก“กินไหม”เจ๋งไม่สนใจคำพูดเพื่อนเขาอีก คีบลูกชิ้นลูกใหญ่มาตรงหน้าก่อนจะวางมันในชามของฉันที่เหลือแต่เส้นเล็กขาวๆ อืดๆ กับผักใบเขียวที่ถูกเขี่ยไปด้านข้าง สร้างความแปลกใจให้ฉันไม่น้อยเลย“ไม่กินเหรอ”“แลกกัน” ว่าแล้วเจ๋งก็คีบเส้นฉันไปใส่ในจานตัวเอง แล้วคีบลูกชิ้นอีกสองลูกกลับมาให้กันอีก“คนอะไรไม่ชอบลูกชิ้น”เจ๋งไม่ตอบ เขาหัวเราะเบาๆ ในลำคอแล้วคีบเส้นเข้าปากอย่างไม่เกรงใจ แม้แต่ผั







