บทที่
4
เจ้านายกับแขกที่ไม่ได้รับเชิญ
หลังจากที่คู่กรณีออกไปจากจุดนี้ไปแล้ว แม้กีตาร์จะจำไม่ได้ว่าคนคนนี้เป็นใครก็ตาม แต่ความรู้สึกบางอย่างก็ร้องดังขึ้นมาอยู่ในหัวว่า เจ้าขุนคนรักของเขานั้นจะต้องรู้จักกับโอเมก้าคนนั้นอย่างไม่ต้องสงสัย
กีตาร์ที่อยากรู้เรื่องราวต่างๆ ให้มากกว่านี้ จึงเหลียวหน้าหันกลับมามองใบหน้าของคู่สนทนาอีกที พร้อมกับถามออกไปว่า “พี่ขุนรู้จักกับโอเมก้าคนนั้นด้วยเหรอครับ” ก่อนจะหันไปมองโอเมก้าแม่ลูกหนึ่งที่กำลังรีบออกไปจากที่นี่ ราวกำลังถูกไล่ล่าก็ไม่ปาน
หลังจากที่ได้ยินคำพูดของอีกฝ่าย เจ้าขุนก็หลุบสายตามองคนรักของตัวเองอีกครั้ง แล้วกล่าวออกมาด้วยถ้อยคำสั้นๆ ว่า “ไม่รู้จัก”
จึงทำให้กีตาร์เผยรอยยิ้มบางออกมาอย่างดีใจ แต่เพียงเดี๋ยวเดียวเขาก็ต้องกำหมัดแน่นอย่างไม่พอใจ
เมื่อเห็นว่าคนรักของตัวเองเอาแต่เหลียวหน้าหันไปมองชายคนนั้นอย่างไม่วางสายตา พร้อมกับสบถอยู่ในใจว่า ‘ไม่รู้จักอย่างนั้นเหรอจริงๆ น่ะเหรอ’
แต่ถึงจะไม่พอใจอย่างไร กีตาร์ก็ไม่ได้คิดที่จะพูดออกไปอยู่ดี เพราะอย่างไรเสียต่อให้เค้นเอาความจริงจากปากของเจ้าขุนในเวลานี้ ก็คงไม่ใช่เรื่องง่ายสักเท่าไร ชายหนุ่มจึงเก็บความรู้สึกนี้ไว้ในใจ แล้วหมายจะตามสืบเอาเองอีกที
ส่วนทางด้านเจ้าขุน เมื่อไอดินหอบลูกชายตัวเองเดินหนีออกไปจนสุดตา เขาก็เหลียวหน้าหันไปมองใบหน้าของคนรักของตัวเองอีกที พร้อมกับพูดออกไปว่า “ต้าเดี๋ยวต้ากลับไปก่อนนะ พอดีพี่นึกขึ้นได้ว่ามีธุระที่ต้องไปทำ”
ส่งผลให้กีตาร์ที่ได้ยินคำพูดของคนข้างกายเหลียวมองอีกฝ่ายอย่างไม่เข้าใจ แต่เพียงเดี๋ยวเดียวลางสังหรณ์บางอย่างก็ทำให้เขาต้องเหลียวหน้าหันไปมองชายที่เพิ่งเดินออกไปอีกครั้งด้วยแววตาไหวสั่น
และยังไม่ทันที่เขาจะได้หันกลับมาพูดกับคนรักของตัวเองเลยสักคำ ก็มีเสียงของเจ้าขุนพูดขึ้นมาเสียก่อนว่า “ตามนี้นะ เดี๋ยวพี่โทรให้คนเอารถมารับให้” พูดเพียงแค่นั้นเจ้าขุนก็ยกฝ่ามือตีลงบนบ่าของเขาเบาๆ อยู่สองสามครั้ง แล้วสาวเท้าเดินจากไป
จึงทำให้กีตาร์ที่ได้เห็นท่าทางของอีกฝ่าย อดไม่ได้ที่จะกำหมัดแน่นอย่างไม่ชอบใจ พร้อมกับพึมพำออกมาเบาๆ ว่า “ไอ้โอเมก้าเวรนั่น”
ส่วนทางด้านของไอดิน หลังจากที่พาเจ้านายเดินออกมาจากห้างสรรพสินค้า ก็วิ่งไปที่ทางเท้าริมถนนเพื่อเรียกแท็กซี่อย่างร้อนรน
และทันทีที่ขึ้นมาในรถแท็กซี่ได้ เขาก็ผ่อนลมหายใจยาวๆ ออกมาหนึ่งที แล้วอดไม่ได้ที่จะเหลียวหน้าหันไปมองจุดที่เดินจากมา พร้อมกับพึมพำออกมาเบาๆ ว่า “หวังว่าคงไม่ตามมาหรอกนะ”
ได้ยินเช่นนั้นเจ้านายที่นั่งอยู่บนตักก็เหลียวหน้าหันไปมองใบหน้าของผู้เป็นมารดาของตัวเองนั่งอยู่ทางด้านหลัง สิ่งที่เห็นในคลองสายตาคือใบหน้าตื่นตระหนกของไอดินที่แสดงออกมาอย่างไม่ปิดบัง
และถึงอย่างนั้นเจ้านายที่พอจะรู้ว่าผู้ชายที่เข้ามาหาเรื่องเขาคนนั้นคือใคร แต่เป็นเพราะไม่อยากให้มารดาของตัวเองมีสีหน้าเป็นกังวลและตึงเครียดมากเกินไป เขาจึงคิดอยู่ในใจว่า ‘การได้เจอกับพ่อของเราทำให้แม่เป็นถึงขนาดนี้ แบบนี้ต้องกีดกันไม่ให้สองคนนี้ได้เจอกันอีก’
คิดมาถึงตรงนี้เด็กน้อยจึงยื่นมือไปกุมฝ่ามือเรียวของอีกฝ่ายเอาไว้ พร้อมกับพูดออกมาว่า “ดินดินไม่เป็นอาไยนะฮับ ถ้ากุนยุงใจย้าย...มา...มา...ยังแกดินดินอีก นาย...นายจะตีกุนยุงให้ (ดินดินไม่เป็นอะไรนะครับ ถ้าคุณลุงใจร้ายมารังแกดินดินอีก นายนายจะตีคุณลุงให้)” พร้อมกับยกฝ่ามือขึ้นมา แล้วทำท่าตีอากาศออกไป
ไอดินที่ได้เห็นท่าทางของอีกฝ่าย ก็อดไม่ได้ที่จะเผยรอยยิ้มอย่างเอ็นดูออกมา แล้วส่ายศีรษะไปมา พร้อมกับกล่าวออกไปทั้งๆ ที่สีหน้ายังตื่นตระหนกว่า “หม่าม๊าไม่เป็นอะไรแล้ว เจ้านายล่ะครับตกใจหรือเปล่า”
เจ้านายจึงตอบกลับไปด้วยรอยยิ้มทั้งปากและตาว่า “นาย นายไม่เป็นอาไย” ก่อนจะส่ายศีรษะไปมา พร้อมกับพูดออกมาอีกทีว่า “ดินดินมะ..ไม่ต้อง...ห่วงฮับ นาย...นายแข็งแยง (ดินดินไม่ต้องห่วงครับ นายนายแข็งแรง)” พร้อมกับยกแขนป้อมๆ ของตัวเองขึ้นมาทำท่าเบ่งกล้าม เพื่อให้ผู้เป็นมารดาได้เห็น
ส่งผลให้คนที่เห็นท่าทางดังกล่าวอย่างไอดินเผยรอยยิ้มน้อยๆ ออกมา แล้วยกฝ่ามือขึ้นมาลูบศีรษะของคนที่นั่งอยู่บนตัก ก่อนจะพึมพำเบาๆ ว่า “หม่าม๊าขอโทษที่ทำให้ผมต้องมาเจอเรื่องแบบนี้ ต่อไปนี้หม่าม๊าจะต้องเข้มแข็งให้มากกว่านี้ แล้วจะเผชิญหน้ากับความจริงพวกนี้ให้ได้” แล้วมองตรงไปยังหนทางเบื้องหน้าด้วยสายตามุ่งมั่น
พวกเขาทั้งคู่ใช้เวลาอีกเพียงไม่นาน สองคนแม่ลูกก็เดินทางมาถึงบ้านพักของตัวเองที่ตั้งอยู่ตรงชานเมือง เพื่อหลบเลี่ยงผู้คนมากมาย
หลังจากที่จ่ายเงินให้กับแท็กซี่เรียบร้อยดีแล้ว เขาก็หันไปพูดกับเด็กน้อยข้างกายว่า “เราเข้าบ้านกันเถอะครับ เดี๋ยวหม่าม๊าจะทำของกินอร่อยๆ อร่อยให้”
ได้ยินเช่นนั้นเจ้านายจึงพยักหน้าลง แล้วยื่นฝ่ามือเล็กๆ ป้อมๆ ของตัวเองไปจับฝ่ามือของคนตัวใหญ่ จากนั้นสองแม่ลูกก็พากันสาวเท้าเดินไปยังประตูบ้านหลังเล็กๆ ตรงหน้าอย่างอารมณ์ดี
แต่แล้วในขณะที่ไอดินกำลังไขประตูรั้วหน้าบ้าน ก็มีเสียงรถยนต์คันหนึ่งถูกขับเข้ามา ในตอนแรกเขาก็คิดว่าเป็นรถของคนในหมู่บ้านจึงไม่ได้ใส่ใจเหลียวหลังหันไปมองสักเท่าไร
ทว่าเพียงเดี๋ยวเดียวรถคันดังกล่าวกลับถูกขับมาจอดด้านหลังของเขาเสียอย่างนั้น ส่งผลให้ไอดินถึงกับขมวดคิ้วมุ่นในทันควัน แล้วหันหน้าไปมองด้วยสายตาที่ไม่ไว้วางใจ
แต่ยังไม่ทันได้หันไปดีๆ คนที่อยู่ในรถ เปิดประตูรถออกมา ก่อนจะพูดขึ้นมาว่า “นายมาอยู่ที่นี่เองอย่างนั้นเหรอ”
จึงทำให้ไอดินเบิกตากว้างอย่างตกใจ เขารีบยื่นมือไปดึงลูกชายตัวน้อยที่อยู่ข้างกายให้มาหลบอยู่ข้างข้างหลัง แล้วเหลียวหน้าหันไปมองผู้มาใหม่นี้แบบทันควัน
และภาพบุคคลที่สะท้อนในครรลองสายตาก็ทำให้ใจหวั่น เพราะคนที่มาปรากฏตัวต่อหน้าเขานั้นไม่ใช่ใครที่ไหน นอกจากเจ้าขุนอดีตคนรัก และเป็นคนที่ทำให้เขาต้องหนีหัวซุกหัวซุน
นัยน์ตาสีเข้มหรี่ลงจับจ้องมองใบหน้าของเจ้าขุนด้วยแววตาขุ่น แล้วพูดออกไปว่า “คุณมาที่นี่ทำไม เรื่องในห้างสรรพสินค้ายังไม่ยอมจบอีกหรือไง”
ได้ยินเช่นนั้นเจ้าขุนก็เผยรอยยิ้มเหี้ยมเกรียมออกมา แล้วเหลือบสายตามองเด็กน้อยที่อยู่ทางด้านหลังอยู่ครู่ใหญ่ ก่อนจะชักสายตาคืนกลับมามองคู่สนทนาตรงหน้าอีกครั้ง พลางพูดออกด้วยรอยยิ้มขำว่า “แล้วนายคิดว่าไงล่ะ”
สิ้นเสียงดังกล่าวไอดินก็ตอบกลับไปแบบตรงไปตรงมาว่า “ถ้ามาที่นี่เพราะเรื่องแค่นี้ งั้นผมก็คงต้องขอตัวเข้าบ้านก่อนนะครับ” ก่อนจะหมุนกาย เพื่อหมายจะพาเจ้านายที่ยืนอยู่ด้านหลังเข้าไปในบ้านทันที
แต่ยังไม่ทันที่เขาจะได้ก้าวขาสักก้าว ฝ่ามือแข็งแรงของคนที่อยู่ด้านหลังก็คว้าจับต้นแขนของเขาเอาไว้ ก่อนจะมีเสียงเข้มๆ ดังให้ได้ยิน “ใครบอกให้นายเข้าไปได้กัน”
ส่งผลให้ไอดินเหลียวหน้าหันไปมองใบหน้าของคนข้างหลังอย่างไม่พอใจ แล้วพูดออกไปว่า “พวกอัลฟ่ามีเงินเนี่ย ทำไมถึงชอบวางอำนาจบังคับคนอื่นแบบนี้กันนะ” ก่อนตัวเองจะยกมือขึ้นมา แล้วแกะฝ่ามือของอีกฝ่ายออกด้วยท่าทางไม่ชอบใจ
จึงทำให้เจ้าขุนยิ่งบีบฝ่ามือของตัวเองลงไป ก่อนจะพูดเสียงเย็นออกมา “ไม่ได้เจอกันนาน นายนี่ใจกล้าขึ้นตั้งเยอะเลย แถมยังกล้าที่จะมีคนใหม่ที่ไม่ใช่ฉันอีก”
ส่งผลให้ไอดินที่ได้ยินคำพูดของอีกฝ่าย มองใบหน้าของคนตรงหน้าอย่างไม่พอใจ แล้วพูดออกไปว่า “คุณเป็นฝ่ายบอกเลิกผมเอง ผมจะมีคนใหม่หรือไม่มีมันเกี่ยวอะไรกับคุณ”
หลังจากที่ได้เห็นคนสองคนกำลังยืนลับฝีปากกัน จนเจ้าขุนเริ่มใช้กำลังบีบบังคับผู้เป็นมารดาของตนจนมีใบหน้าที่ไม่สู้ดี
เจ้านายที่ถูกไอดินจับให้มาหลบอยู่ทางด้านหลัง ก็กวาดสายตามองหาอะไรสักอย่าง มาใช้ต่อกรกับคนตัวใหญ่แทบจะทันที
กวาดตามองได้เพียงครู่ก็เห็นว่ารอบตัวของตัวเองมีเพียงขวดนมที่อยู่ในกระเป๋าของใช้เด็ก ซึ่งภายในนั้นยังมีนมเหลืออยู่อีกเกือบครึ่งหนึ่งเห็นจะได้
เมื่อเห็นเช่นนั้นเจ้านายก็ยื่นมือไปคว้าเอาขวดนมที่อยู่ในกระเป๋าออกมา แล้วเงยหน้ามองใบหน้าของเจ้าขุนที่อยู่ไม่ไกล ก่อนจะหลุบสายตาลงมองขวดนมที่อยู่ในมือของตัวเองอีกครั้งอย่างชั่งใจ ‘จะเขวี้ยงใส่ตอนนี้มันก็ไม่ใช่ที่ กินก่อนก็แล้วกัน’
คิดได้เพียงแค่นั้นเจ้านายก็จัดการดูดนมในขวดที่เหลือนมจนหมดขวด ก่อนจะสาวเท้าเข้าไปหาเจ้าขุนด้วยท่าทางไม่พอใจ
พอเดินไปถึงเขาก็ใช้มือป้อมๆ ของตัวเองที่ยังว่างอยู่ ตีลงไปบนต้นขาของเจ้าขุนอย่างเต็มกำลัง แล้วพูดออกไปด้วยน้ำเสียงติดๆ ขัดๆ ว่า “ปะ...ป่อย ดินดินกองนายนายนะ”
จึงทำให้เจ้าขุนที่ถูกตีด้วยฝ่ามืออ้วนๆ ป้อมๆ ของเด็กน้อยที่อยู่ข้างกายอยู่หลายครั้ง ถึงกับชะงักการกระทำของตัวเองลงทันใด แล้วหลุบสายตาลงมองคนตัวเล็กที่พยายามใช้ฝ่ามือน้อยๆ ตีลงบนร่างกายของเขาอย่างแรงด้วยกำลังทั้งหมดที่มี
จึงทำให้ไอดินที่ได้เห็นภาพตรงหน้าก็ถึงกับเบิกตากว้างอย่างตกใจ แล้วร้องออกมาด้วยนำเสียงหวาดหวั่นว่า “เจ้านาย อย่าทำแบบนั้น” ก่อนจะพยายามสาวเท้าเดินเข้าไปหาเด็กน้อยที่กำลังใช้ฝ่ามือตีลงไปบนร่างของอดีตคนรักแบบไม่สนเลยสักนิดว่าตอนนี้ตัวเองจะเป็นเช่นไร
และดูเหมือนการกระทำของไอดินก็ยังช้ากว่าเจ้าขุนอยู่มาก เนื่องจากว่าตรงต้นแขนของไอดินยังคงถูกฝ่ามือแข็งแรงของเจ้าขุนจับยึดเอาไว้
พอเขากัดฟันต้านแรงที่กระชากตัวเองเอาไว้ แล้วพาร่างกายเข้าไปหาเด็กน้อยที่อยู่ห่างเพียงแค่เอื้อมมือ ก่อนจะยื่นมือไปจับตัวของเจ้านายกลับคืนมา
แต่ยังไม่ทันที่ฝ่ามือจะเอื้อมถึง ฝ่ามือแข็งแรงของเจ้าขุนที่ยังว่างอยู่ก็ยื่นมาคว้าใต้รักแร้ของเจ้านาย แล้วอุ้มร่างของเด็กชายวัยสองขวบขึ้นมาเสียก่อนที่ไอดินจะคว้าตัวของลูกชายตัวเองเอาไว้ได้
ส่งผลให้เขาร้องออกมายังตื่นตกใจว่า “คุณช่วยปล่อยลูกผมมาเถอะครับ คุณจะทำอะไรเขาน่ะอย่านะ” ก่อนจะฝืนแรงที่พยายามรั้งตัวเองก้าวเท้าเข้าไปหาอีกฝ่ายอย่างไม่กลัวสิ่งใด
แต่ด้วยแรงของโอเมก้าคนหนึ่งมีหรือจะสู้อัลฟ่าตัวใหญ่ได้อย่างไร สุดท้ายก็ถูกฝ่ามือแข็งแรงของเจ้าขุนกระชากดึงร่างเอาไว้ จึงทำให้ฝ่ามือของเขาห่างจากลูกน้อยเพียงแค่ข้อนิ้วมือ
ส่วนทางด้านเจ้านายเมื่อถูกคนที่ขึ้นชื่อว่าเป็นพ่อที่ทิ้งตัวเองและแม่ไป เขาก็ง้างมือปาขวดนมที่ถือติดมือมา ใส่ปลายคางของคนตรงหน้าอย่างเต็มกำลัง
แต่ในครั้งนี้ดูเหมือนว่าเจ้าขุนจะไม่ยอมปล่อยตัวเขาให้เป็นอิสระเสียอย่างนั้น ชายหนุ่มเพียงแค่จ้องมองเด็กน้อยตรงหน้าด้วยสายตานิ่ง แม้จะเจ็บปลายคางจนเรียวคิ้วกระตุกเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้มีท่าทีอะไรมากมาย
จึงทำให้เจ้านายร้องออกมาด้วยน้ำเสียงที่ค่อนข้างดังและไม่ชอบใจว่า “ปะ...ป่อยนายนายนะ กุนยุงใจย้าย ป่อยนายนายลงเยยนะ (ปล่อยนายนายนะคุณลุงใจร้าย ปล่อยนายนายลงเลยนะ)” แล้วพยายามใช้ฝ่ามือเล็กๆ ป้อมๆ ของตัวเองตีลงไปบนท่อนแขนแข็งแรงอยู่หลายต่อหลายครั้ง
พร้อมกับร้องด้วยน้ำเสียงดังลั่น “กุนยุงใจย้ายป่อยนายนายนะ นี่แหนะนี่แหนะ” โดยที่ไม่ยอมขอความช่วยเหลือจากไอดินแต่อย่างใด
พอเจ้าขุนที่ได้เห็นท่าทางของเด็กน้อยที่ตัวเองอุ้มเอาไวใช้ฝ่ามือฟาดลงมาหลายที ในตอนแรกก็คิดว่าจะใช้เสียงดังๆ ดุให้เจ้าเด็กน้อยผู้นี้หลาบจำ
แต่พอได้เห็นหยาดน้ำตาที่ปริ่มอยู่บนขอบตาบนใบหน้ากลมๆ ของเด็กน้อยตรงหน้า ภายในใจของเขาก็รู้สึกขัดแย้งและวูบโหวงขึ้นมาอย่างห้ามไม่ไหว
จึงทำให้จากที่เคยอยากจะกำราบเด็กน้อยตรงหน้าให้หลาบจำ เขาก็พูดออกไปด้วยน้ำเสียงอ่อนนุ่มว่า “นี่เจ้าเด็กน้อย ถ้านายหยุดร้อง เดี๋ยวฉันจะซื้อของเล่นให้โอเคไหม”
ส่งผลให้คนที่ได้ยินคำว่าของเล่นอย่างเจ้านาย ก็ถึงกับหยุดชะงักเสียงร้องไห้ราวกับถูกสับสวิตช์ปิดระบบลงแบบทันใด
ก่อนเจ้านายจะลืมตาขึ้น แล้วเงยหน้าจ้องมองใบหน้าของคนที่ได้ชื่อว่าเป็นบิดา พร้อมกับพูดออกมาว่า “คุณยุงใจย้าย จะจื้อกองเย่นให้นายนายจริงๆ หยอฮับ (คุณลุงใจร้ายจะซื้อของเล่นให้นายนายจริงเหรอครับ)”
ส่งผลให้คนที่ได้เห็นทำตาแป๋วๆ บนใบหน้ากลมๆ ของเด็กน้อยจ้องมองมา ริมฝีปากบางก็ขยับยกขึ้นเล็กน้อยอย่างพอใจ แล้วพูดออกไปว่า “ก็จริงน่ะสิ แล้วเราล่ะอยากได้ของเล่นหรือเปล่า”
เจ้านายที่ได้ยินคำพูดของคนตัวใหญ่หลอกล่อจิตใจ ก็พยักหน้าลงเป็นคำตอบกลับไป พร้อมกับพูดออกมาว่า “นายนายหยักได้ฮับ...”
แต่แล้วในขณะที่กำลังพูดออกไป ก็มีเสียงสะท้อนอยู่ในใจว่า ‘ไม่ได้นะเจ้านาย ภารกิจของแกคือต้องปกป้องแม่ตัวเองไม่ใช่หรือไง แค่เขาเอาของเล่นนิดๆ หน่อยๆ มาล่อ แกก็เออออห่อหมกไปกับเขาแล้วหรือไง ไอ้ใจง่ายเอ๊ย’
จึงทำให้เจ้านายที่เพิ่งพยักหน้าลง รีบส่ายศีรษะไปมาทันที แล้วตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงติดๆ ขัดๆ ว่า “นายนายไม่อยากได้แย้วกองเย่น...กุงยุงใจย้ายมารังแกดินดินของนายนาย นายนายต้องปกป้องดินดิน นายนายม่ายเอากองเย่น ไม่เอา (นายนายไม่อยากได้แล้วของเล่น คุณลุงใจร้ายมารังแกดินดินของนายนาย นายนายต้องปกป้องดินดิน นายนายไม่เอาของเล่น ไม่เอา)”
ส่งผลให้คนที่ได้ยินคำพูดดังกล่าวอย่างเจ้าขุนถึงกับคิ้วก็กระตุกอยู่หลายที แต่ยังไม่ทันที่จะได้พูดคำใด
ตอบกลับไป ฝ่ามือเล็กๆ อ้วนๆ ป้อมๆ ของคนตรงหน้าก็ฟาดลงมาบนใบหน้าของเขาแบบไม่ได้ตั้งท่าใดๆ
จะว่าไม่เจ็บเลยก็คงไม่ใช่ แต่ที่รู้สึกเจ็บจนหายใจไม่ออกกลับเป็นที่ก้อนเนื้อในอกข้างซ้ายที่รู้สึกปวดหน่วงขึ้นมาเสียอย่างนั้น
ยิ่งเขาได้ยินเสียงร้องไห้ของเด็กน้อยตรงหน้า ที่พยายามร้องออกมาอย่างสุดเสียงว่า “ป่อยนายนายนะ แง้ ปล่อย” แล้วพยายามยื่นฝ่ามือเล็กๆ ของตัวเองโผเข้าหาไอดินที่อยู่ไม่ไกล ก็ทำให้มือทั้งสองข้างของเจ้าขุนถึงกับสั่น
และเป็นช่วงเวลาเดียวกันกับที่ไอดินที่พยายามฝืนแรงที่ถูกเขาจับเอาไว้ ขยับตัวเองมาถึงจุดที่เอื้อมถึงร่างของเด็กน้อยที่เขาอุ้มอยู่ด้วยเช่นกัน
จึงทำให้ในตอนนี้อดีตคนรักของเขานั้น ยื่นมือมาคว้าลูกตัวเองคืนกลับไปได้อย่างง่ายดาย พร้อมกับสะบัดตัวเองอย่างเอาเป็นเอาตาย
เขาที่รู้สึกหมดเรี่ยวแรงอย่างหาสาเหตุไม่ได้ หัวใจปวดหน่วงจนยากจะต้านไหว เลยไม่อาจรั้งร่างของไอดินเอาไว้ได้อีกต่อไป
พอหลุดจากพันธนาการนี้มาได้ ไอดินก็พาเด็กน้อยที่อยู่ในอ้อมแขนก้าวขาห่างออกไป แล้วจ้องมองใบหน้าของเจ้าขุนด้วยแววตาขุ่น พร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่พอใจว่า “ช่วยกลับไปซะทีเถอะ คุณทำให้ลูกผมกลัว”
ว่าจบเจ้าตัวจะหมุนกายกลับ แล้วได้แต่ปลอบประโลมเด็กน้อยที่อยู่ในอ้อมแขน “ไม่เป็นอะไรนะครับ เจ้านายเจ็บตรงไหนหรือเปล่า เขาทำอะไรผมไหมครับ” โดยที่ไม่หันกลับไปมองคนที่ยืนอยู่ข้างหลัง
ส่วนทางด้านเจ้าขุน หลังจากที่มีความรู้สึกอะไรบางอย่างก่อกวนในหัวใจ เขาก็ได้แต่ยืนมองร่างผอมบางของคนตรงหน้า ที่กำลังสาวเท้าเดินเข้าไปในบ้านอย่างช้าๆ ก่อนเจ้าตัวจะยกฝ่ามือขึ้นมาลูบใบหน้าของตัวเองไปมาอยู่หลายทีแต่ก็ไม่ยอมขยับร่างของตัวเองไปไหนด้วยเช่นกัน
และทันทีที่อดีตคนรักเก่าและเด็กชายตัวน้อยเดินเข้าบ้านไป พร้อมกับปิดประตูจนบังเกิดเสียงดัง ‘ปั้ง’ ที่ไม่บอกก็รู้ว่าอีกฝ่ายไม่ต้องการต้อนรับขับสู้เขามากขนาดไหน
พอได้เห็นทุกอย่างผ่านสายตาเจ้าขุนก็พึมพำออกมาเบาๆ ว่า “เห็นทีฉันต้องรู้ให้ได้ว่าเด็กคนนั้นเป็นลูกของใคร” แล้วได้แต่ยืนจ้องมองบ้านตรงหน้าอยู่พักใหญ่ ก่อนเจ้าตัวจะสาวเท้าเดินไปที่รถยนต์ส่วนตัวของตัวเองทันที
โดยที่ไม่รู้เลยว่าในมุมมืดๆ ใกล้ๆ กับจุดที่ตัวเองยืนอยู่ กีตาร์ที่แอบตามมากำลังยืนกำหมัดแน่นจ้องมองทุกอย่างผ่านสายตา แล้วพึมพำออกมาเบาๆ ว่า ‘รู้จักกันจริงๆ ด้วยสินะ’