Share

บทที่ 6

last update Terakhir Diperbarui: 2025-11-15 09:41:42

บทที่

5

เจ้านายกับน้ำตาของหม่าม๊า

หลังจากที่กลับเข้ามาในบ้านได้ ไอดินก็รีบปิดประตูลงทันใด ก่อนจะวางเจ้านายลงบนโซฟาตัวหนึ่งที่ตั้งอยู่ไม่ไกล แล้วพูดออกมาว่า “เจ้านายนั่งอยู่ตรงนี้ก่อนนะครับ เดี๋ยวหม่าม๊ามา”

ได้ยินเช่นนั้นเจ้านายจึงเหลียวหน้าหันไปมองบานประตูที่ถูกปิดเอาไว้ ก็ทำให้เขารู้เหตุผลของอีกฝ่ายว่ากำลังคิดจะทำอะไร แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่คิดที่จะถามออกไปอยู่ดี

เขาจึงพยักหน้าลงอย่างเข้าใจ แล้วพูดออกไปด้วยรอยยิ้มว่า “ฮับ…นายนายจะยอดินดินตงนี้นะฮับ (ครับนายนายจะรอดินดินตรงนี้นะฮับ)” พร้อมกับใช้ฝ่ามือตบลงไปบนโซฟา เพื่อบอกว่าตัวเองจะนั่งรออยู่ตรงนี้ไม่เดินไปไหน

สิ้นเสียงดังกล่าวไอดินก็พยักหน้าลงเล็กน้อย แล้วลูบศีรษะของเด็กน้อยตรงหน้า ก่อนเจ้าตัวจะรีบสาวเท้าไปยังบานหน้าต่างที่มีผ้าม่านสีทึบบดบังเอาไว้

พอไปถึงเขาก็ไม่รอช้ายกฝ่ามือขึ้นเลิกผ้าม่านผืนหนาออกเล็กน้อย แล้วได้แต่แอบมองดูเจ้าขุนที่กำลังยืนมองบานประตูที่ปิดแน่นด้วยใจหวั่น เพราะเขาเกรงว่าคนคนนี้จะไม่ยอมเลิกราไปง่ายๆ เพียงเท่านี้อย่างที่ใจหวัง

แต่ชั่วอึดใจเดียวไอดินก็เห็นว่าเจ้าขุนยอมหมุนกาย แล้วสาวเท้าไปขึ้นรถที่จอดอยู่ไม่ไกล ก่อนจะยอมขับรถออกไปแต่โดยดี

พอได้เห็นเช่นนั้นไอดินก็พ่นลมหายใจยาวๆ ออกมาหนึ่งที ก่อนเจ้าตัวจะหมุนกายแล้วเอาแผ่นหลังพิงกับผนังข้างๆ บานหน้าต่างอย่างอ่อนกำลังเต็มที่

ร่างทั้งร่างทรุดลงไปนั่งอยู่กับพื้นเบื้องล่างอย่างไร้กำลัง พร้อมกับพึมพำออกมาด้วยน้ำเสียงแหบพร่าและตีบตันว่า “อะไรกัน ทำไมถึงเป็นแบบนี้ไปได้” เขาอดไม่ได้ที่จะยกหัวเข่าทั้งสองขึ้นมา ก่อนจะยื่นมือทั้งสองข้างไปรวบกอดหัวเข่าตัวเองเอาไว้

ไอดินซุกใบหน้าลงไปบนหัวเข่าอย่างหมดหนทางที่จะไป พร้อมกับพึมพำออกมาเบาๆ ว่า “แล้วทีนี้เราจะทำยังไงดี” ว่าได้เพียงแค่นั้นกระบอกตาก็ร้อนผ่าว จนไม่อาจควบคุมหยาดน้ำใสที่เอ่อออกมาอย่างช้าๆ ได้อย่างใจ จนมันไหลอาบผิวแก้มใสลงมา

เพราะในตอนนี้เขายังคิดไม่ออกเลยว่าจะต้องทำเช่นไรต่อไป ที่จะสามารถหลบเลี่ยงคนเหล่านี้ที่พยายามคุกคามครอบครัวของเขาอยู่ตลอดเวลา

เมื่อเห็นว่าผู้เป็นมารดากำลังร้องนั่งร้องไห้อยู่เพียงลำพัง เจ้านายก็ไม่รอช้ารีบหาทางลงจากโซฟาตัวใหญ่ พอลงมาได้เขาก็สาวเท้าเข้าไปหาไอดินที่นั่งร้องไห้อย่างหมดเรี่ยวแรง

ยามที่เดินไปถึงเจ้านายก็ยื่นฝ่ามือเล็กๆ ป้อมๆ ของตัวเอง ไปจับท่อนแขนของคนตรงหน้า แล้วพูดออกไปว่า “ดินดินเป็นอาไย จำไมดินดินย้องไห้ (ดินดินเป็นอะไร ทำไมดินดินร้องไห้)” ก่อนเจ้าตัวจะพยายามเอียงคอมองไปหน้าที่ซุกลงไปบนหัวเข่าด้วยท่าทางไม่เข้าใจ

จึงทำให้ไอดินที่เห็นท่าทางของเด็กน้อยตรงหน้า รีบใช้ฝ่ามือของตัวเองเช็ดคราบน้ำตาบนใบหน้าให้หมดไป แต่ถึงอย่างนั้นไม่ว่าเขาจะพยายามเช็ดมันอย่างไร ก็ไม่สามารถเช็ดออกไปให้หมดได้สักที

ส่งผลให้เจ้านายที่เห็นแบบนั้นอดไม่ได้ที่จะถามออกมาว่า “ดินดินย้องไห้ ดินดินเจ็บตงไหนหยอฮับ (ดินดินร้องไห้ ดินดินเจ็บตรงไหนเหรอครับ)” ก่อนเจ้าตัวจะยื่นปลายนิ้วโป้งป้อมๆ ของตัวเองไปปาดหยาดน้ำตาบนใบหน้าของไอดินเบาๆ อยู่หลายต่อหลายครั้ง

แล้วพูดออกไปอีกว่า “ใคยังแกดินดิน บอกนายนายได้นะ นายนายจะตีตีให้ นายนายจะปกป้องดินดินนะ ดินดินไม่ย้องนะ (ใครรังแกดินดินบอกนายนายได้นะ นายนายจะตีตีให้ นายนายจะปกป้องดินดินนะ ดินดินไม่ร้องนะ)”

ได้ยินเช่นนั้นไอดินจึงเม้มริมฝีปากของตัวเองไว้แน่น แล้วได้แต่คิดอยู่ในใจว่า ‘แกจะร้องไห้ให้มันได้อะไรขึ้นมาวะ อย่าลืมสิว่าแกยังมีคนอีกคนที่ต้องดูแล’

คิดมาถึงตรงนี้ไอดินจึงรีบเช็ดน้ำตาที่เปรอะเปื้อนใบหน้าอย่างสุดกำลัง แล้วพยายามกลั้นความรู้สึกที่ถาโถมเข้ามาอย่างไม่หยุดหย่อนนี้เอาไว้

ก่อนเจ้าตัวจะเหลียวหน้าหันไปมองใบหน้าของเด็กน้อยที่กำลังยืนทำหน้านิ่ว เพราะเห็นตัวเองนั่งร้องไห้อยู่ข้างกาย

จากนั้นจึงส่ายศีรษะไปมา พร้อมกับพูดออกไปด้วยรอยยิ้มว่า “หม่าม๊าไม่ได้เป็นอะไรครับ แค่ขี้ฝุ่นมันเข้าตาเฉยๆ ครับ” ก่อนจะพยายามใช้มือเช็ดใบหน้าอย่างสุดกำลัง

และทันทีที่ตัวเองใช้มือปาดน้ำตาจนรู้สึกว่าใบหน้าแห้งพอสมควรแล้ว เขาจึงพูดออกไปอีกทีด้วยรอยยิ้มว่า “นี่ไงเห็นไหมหม่าม๊าน้ำตาไม่ไหลแล้ว”

พอได้เห็นเช่นนั้นเจ้านายที่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร จึงอดไม่ได้ที่จะพึมพำออกมาอยู่ในใจว่า ‘ทำไมต้องเก็บความรู้สึกขนาดนี้ด้วยล่ะครับ…แม่’ แต่ก็ไม่ได้พูดความในใจนี้ออกไปให้ไอดินได้ยินอยู่ดี

เขาจึงใช้ฝ่ามือของตัวเองไปจับผิวแก้มใสของอีกฝ่าย แล้วพูดออกไปด้วยท่าทางดีใจว่า “ดินดิน หายเจ็บแย้วหยอ (ดินดินหายเจ็บแล้วเหรอ)”

ไอดินจึงพยักหน้าลง แล้วตอบกลับไปว่า “ใช่ครับ หม่าม๊าไม่เจ็บแล้วครับ” ว่าเพียงแค่นั้นเขาก็พยายามทำท่าลุกขึ้นมา แต่ก็ลุกไม่ขึ้นสักที ก่อนจะยื่นมือเขาไปให้เด็กน้อยข้างกาย แล้วพูดออกไปด้วยรอยยิ้มว่า “เจ้านายช่วยหม่าม๊าหน่อย หม่าม๊าลุกไม่ไหว”

พอได้เห็นท่าทางของผู้เป็นมารดาที่ทำเช่นนี้ เจ้านายก็พยักหน้าลงแล้วพูดออกไปว่า “ฮับ” ก่อนจะยื่นมืออ้วนๆ ป้อมๆ ของตัวเองไปจับฝ่ามือเรียวของอีกฝ่าย แล้วออกแรงดึงอย่างสุดกำลัง

ไอดินจึงทำท่าลุกขึ้นยืนอย่างยากลำบาก แล้วพอลุกขึ้นมาได้ เขาก็หันไปเอ่ยกับเด็กน้อยตรงหน้า “ขอบใจนะครับ ถ้าไม่ได้เจ้านายหม่าม๊าลุกไม่ขึ้นแน่ๆ เลย”

ถึงจะรู้อยู่แล้วว่าสิ่งที่ไอ้ดินทำลงไปนั้นคืออะไร แต่เจ้านายก็ฉีกยิ้มกว้าง แล้วพูดออกไปว่า “นายนายแข็งแยง นายนายช่วยดินดินไหว” แล้วทำท่าเบ่งกล้ามให้อีกฝ่ายได้เห็นอีกที

ไอดินที่ได้เห็นท่าทางของเด็กน้อยตรงหน้า ก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะขำออกมา แล้วถามออกไปว่า “เองั้นคนแข็งแรงอยากกินข้าวกับอะไรครับ เดี๋ยวหม่าม๊าทำให้กิน”

เจ้านายที่ได้ยินคำพูดของอีกฝ่าย จึงทำท่านึกอยู่พักใหญ่ แล้วพูดออกไปว่า “นายนายอยากจินข้าวปัด ดินดินทำให้นายนายจินนะ (นายนายอยากกินข้าวผัด ดินดินทำให้นายนายกินนะ)”

ส่งผลให้ไอดินพยักหน้าลงเป็นคำตอบกลับไป ก่อนจะพาเด็กน้อยข้างกายไปนั่งตรงโซฟาที่อยู่ไม่ไกล แล้วพูดออกไปว่า “งั้นเจ้านายมานั่งรอตรงนี้ก่อน หม่าม๊าไปทำกับข้าวให้นะครับ”

เจ้านายจึงส่ายศีรษะไปมา แล้วพูดออกไปว่า “ไม่เอา...นายนายไม่อยากนั่งยอตงนี้” ก่อนเจ้าตัวจะพยายามปีนลงจากโซฟาอีกครั้ง โดยมีไอดินคอยประคองอยู่ไม่ห่าง

จากนั้นจึงสาวเท้าเดินไปที่โต๊ะไม้ที่ตั้งอยู่ข้างๆ ประตูบ้าน แล้วพยายามเขย่งเพื่อหมายจะหยิบถุงของสดที่เพิ่งซื้อมาจากห้างสรรพสินค้าลงมาอีกที

เมื่อเห็นเช่นนั้นไอดินจึงใช้มือช่วยดันถุงผักถุงเล็กๆ ถุงหนึ่งให้เข้าใกล้มือของเด็กน้อยตรงหน้า จึงทำให้เจ้านายสามารถคว้าถุงผักถุงนั้นมาได้อย่างที่ใจต้องการ

ก่อนเจ้าตัวจะหันหน้าไปมองใบหน้าของผู้เป็นมารดาที่กำลังเลิกเรียวคิ้วเข้มขึ้นหนึ่งข้าง แล้วกำลังจ้องมองมาว่าเขากำลังจะทำเช่นไร

เจ้านายจึงไม่รอช้ายื่นถุงผักที่ถืออยู่ไปให้อีกฝ่าย แล้วพูดออกไปว่า “นายนายไม่นั่นยอ นายนายจะช่วย ดินดินทำจับจ้าว”

ได้ยินเช่นนั้นเรียวคิ้วเข้มบนใบหน้าน่ารักของไอดินก็กระตุกถึงสองที แล้วถามย้ำกับไปอีกทีว่า “เจ้านายจะช่วยหม่าม๊าทำกับข้าวเหรอครับ” เพื่อให้แน่ใจว่าตัวเองไม่ได้ฟังผิดไป

สิ้นเสียงดังกล่าวเจ้านายจึงพยักหน้าลง แล้วพูดออกไป “ใจ้แย้วฮับ” ก่อนจะเอาฝ่ามือตีลงไปบนแผงอกของตัวเองอย่างภาคภูมิใจ “นายนายตำจับจ้าวเจ่ง...มาก ดินดินให้นายนายตำนะ (นายนายทำกับข้าวเก่งมากดินดินให้นายนายทำนะ)”

ส่งผลให้คนฟังอย่างไอดินถึงกับคิ้วกระตุกไปอีกสองที แล้วยอบกายลงเล็กน้อย เพื่อให้ร่างกายของเขาเสมอกับเด็กน้อยตรงหน้า พร้อมกับยื่นมือไปลูบศีรษะเล็กๆ พร้อมกับพูดออกมาว่า “เจ้านายทำกับข้าวเป็นจริงๆ เหรอลูก”

ได้ยินเช่นนั้นเจ้านายจึงพยักหน้าลงเป็นคำตอบกลับไป เพราะเมื่อก่อนก่อนที่เขาจะได้มาเกิดใหม่ ก็เป็นคนที่หัวเดียวกระเทียมลีบไม่มีญาติพี่น้องที่ไหน จะกินแต่ละมื้อก็ไม่อยากควักเงินออกมามากมาย เขาเลยเลือกที่จะซื้ออาหารสดมาแช่เอาไว้ แล้วทำกับข้าวกินเองให้พ้นไปแต่ละวัน

แม้กับข้าวในแต่ละมื้อจะไม่ค่อยอร่อย ไหม้บ้างดำบ้างตามประสา แต่เขาก็กินมันอย่างภาคภูมิใจ

เจ้านายจึงพูดออกไปอย่างมั่นอกมั่นใจว่า “นายนายตำเป็นจี้ หมัยก่อนนายนายอยู่จนเดียว นายนายก็ทำจับกับจ้าวจินเอง (นายนายทำเป็นสิ สมัยก่อนนายนายอยู่คนเดียว นายนายก็ทำกับข้าวกินเอง)”

จึงทำให้คนได้ยินอย่างไอดินอดไม่ได้ที่จะเลิกเรียวคิ้วเข้มขึ้นหนึ่งข้างอย่างไม่เข้าใจ แล้วพึมพำออกมาเบาๆ ว่า “สมัยก่อนนี้ มันสมัยไหนกันเหรอครับ...”

ทว่าพูดออกมาได้เพียงเดี๋ยวเดียวเขาก็เบิกตากว้างอย่างตกใจ เมื่อคิดไปเองว่าสมัยก่อนที่เจ้านายพูดถึงคือสมัยที่เจ้านายเริ่มหัดเดินใหม่ๆ แล้วคิดว่าเจ้านายอาจจะหิวข้าวจนแอบมาหากับข้าวกินเองตอนที่เขาเผลอหลับไป

คิดมาถึงตรงนี้เขาจึงพูดละล่ำละลักออกไปว่า “นี่เจ้านายอย่าบอกนะ ว่าผมแอบหาของกินเองตอนที่หม่าม๊าเผลอหลับไปน่ะ” แล้วพยายามสำรวจดูร่างกายของลูกน้อยตรงหน้าอย่างจ้าละหวั่น เพราะเขาคิดไปแล้วว่าสมัยก่อนที่เด็กน้อยคนนี้พูดถึงนั้น

เป็นสมัยที่เจ้านายเพิ่งจะหัดเดินใหม่ๆ จริงๆ เพราะในตอนนั้นตอนที่เขาต้องทำงานหามรุ่งหามค่ำอีกทั้งยังต้องเลี้ยงลูกลูกน้อยวัยแบเบาะอีกเพียงลำพัง จนร่างกายอ่อนล้าเผลอวูบหลับไปอยู่บ่อยครั้ง

ได้ยินเช่นนั้นเจ้านายจึงรีบส่ายศีรษะไปมาอยู่หลายที แล้วพูดออกไปอย่างอารมณ์ดีว่า “ไม่ใจ้ฮับ นายนายไม่ด้านหมายถึง...แบบ...นั้น (ไม่ใช่ครับ นายนายไม่ได้หมายถึงแบบนั้น)”

“ไม่ได้หมายถึงแบบที่หม่าม๊าพูด แล้วเจ้านายหมายถึงแบบไหนล่ะครับ ตัวแค่นี้สมัยก่อนของผมก็ยังนอนแบเบาะอยู่เลยผมไม่ใช่เหรอ จะไปทำกับข้าวตอนไหน”

หลังจากที่ไอดินพูดออกมา เจ้านายก็ถึงกับขมวดคิ้วมุ่นเล็กน้อยอย่างใช้ความคิดอยู่ครู่ใหญ่ เพราะสิ่งที่ตัวเองเผลอพูดออกไปกลายเป็นเรื่องใหญ่ที่หาทางลงไม่เจอ

เขาคิดอยู่หลายตลบท่ามกลางสายตาของผู้เป็นมารดาที่จ้องมองมาอย่างไม่เข้าใจ เจ้านายจึงเผยรอยยิ้มเผล่ พร้อมกับพูดออกไปว่า “ในความปันฮับ (ในความฝันครับ)”

ได้ยินเช่นนั้นไอดินก็ทอดถอนลมหายใจออกมาหนึ่งทีอย่างโล่งอกโล่งใจ ที่เขาไม่ได้พลั้งเผลอให้เด็กน้อยหิวมากเกินไป จนต้องแอบเข้ามาหาอะไรกินเองคนเดียว

คิดมาถึงตรงนี้เจ้านายก็อดไม่ได้ จะลอบพ่นลมหายใจออกมาเบาๆ หนึ่งที ที่ผู้เป็นมารดาได้ยินคำตอบของเขาแล้วเชื่ออย่างสนิทใจ

ไอดินจึงยกฝ่ามือลูกศีรษะเล็กๆ ของเด็กน้อยตรงหน้า แล้วพูดออกไปด้วยรอยยิ้มว่า “เอาเป็นว่าหม่าม๊าไม่กวนเจ้านายดีกว่า...”

แต่คำพูดของเขาก็ถูกหยุดเอาไว้ด้วยดวงตากลมใส ที่มีประกายความคาดหวังจ้องมองมา จึงทำให้ไอดินเม้มริมฝีปากของตัวเองไว้แน่นอย่างใช้ความคิดอยู่ครู่ใหญ่

จากนั้นไม่นานเขาก็พ่นลมหายใจออกมาบางๆ ก่อนจะพูดออกไปว่า “เจ้านายอยากทำกับข้าวช่วยหม่าม๊าจริงๆ เหรอครับ”

สิ้นเสียงดังกล่าวเจ้านายจึงพยักหน้าลงเป็นคำตอบกลับไป แล้วพูดออกไปอย่างภาคภูมิใจว่า “นายนายยักจ้วย ให้นายนายจ้วย...ดินดินนะ (นายนายอยากช่วย ให้นายนายช่วยดินดินนะ)”

ได้ยินเช่นนั้นไอดินก็ทำท่านึกอยู่พักใหญ่ ก่อนจะพยักหน้าลงเป็นคำตอบกลับไปให้ แล้วพูดออกมาว่า “ได้ เดี๋ยวเจ้านายมาช่วยหม่าม๊าล้างผักก็แล้วกัน โอเคไหมครับ”

หลังจากที่ไอดินพูดจบประโยคลง คิ้วบางๆ บนใบหน้าของเจ้านายก็พลันกระตุกเล็กน้อย แล้วอดไม่ได้ที่จะพึมพำอยู่ในใจว่า ‘จะให้พ่อครัวหัวป่าอย่างเรามาแค่ล้างผักเองงั้นเหรอ’

ทว่าคิดออกมาได้เพียงแค่นั้น เจ้านายก็นึกขึ้นได้ว่าในตอนนี้ตัวของเขานั้นยังเป็นเพียงแค่เด็กตัวเล็กๆ คนหนึ่ง ที่ศีรษะยังสูงไม่พ้นโต๊ะตัวหนึ่งด้วยซ้ำไป

แม้จะไม่ชอบใจที่ไม่ค่อยได้ทำอะไรอย่างที่ต้องการ แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังไม่อยากให้ผู้เป็นมารดาหนักอกหนักใจ

เขาจึงพยักหน้าลงเป็นคำตอบกลับไปให้ พร้อมกับพูดออกไปว่า “กะได้ฮับ นายนายจะจ้วยดินดินย้างปัก (ก็ได้ครับนายนายจะช่วยดินดิล้างผัก)”

สิ้นเสียงดังกล่าวไอดินก็พยักหน้าลง แล้วจูบมือเด็กน้อยเดินไปทางครัวที่อยู่ทางด้านหลัง พอเดินมาถึงไอดินก็นำโต๊ะไม้เตี้ยๆ ที่มีขนาดกว้างพอสมควร ตัวหนึ่งที่ค่อนข้างหนัก เพื่อไม่ให้ยามที่เจ้านายขึ้นไปยืนแล้วพลิกคว่ำได้ง่ายๆ มาวางไว้ใกล้ๆ กับอ่างล้างจาน ก่อนจะเอากะละมังล้างผักมาวางซ้อนไว้อีกที

จากนั้นเขาก็อุ้มเจ้านายมายืนบนโต๊ะไม้ตัวนี้ เพื่อให้ความสูงของเจ้านาย สามารถยื่นมือไปล้างผักในอ่างล้างจานได้สะดวก โดยที่ไม่ต้องเขย่งปลายเท้าเพิ่มแต่อย่างใด

หลังจากที่จัดการทุกอย่างจนแล้วเสร็จ ไอดินก็ค่อยๆ เปิดน้ำเบาๆ ออกมา ก่อนจะนำแครอทที่ซื้อมาจากห้างสรรพสินค้าขึ้นมา แล้วนำส่วนที่เหลือไปใส่ไว้ในตู้เย็นอีกที

ไอดินจัดการหั่นแครอทตรงหน้าออกเป็นสามส่วน เขานำแครอทสองส่วนพร้อมกับหั่นผักเพิ่มอีกเล็กน้อยไปแช่ในน้ำที่ใส่ไว้ในกะละมังตรงอ่างล้างจานเพื่อเจ้านายล้างให้ อีกทั้งยังพูดขอร้องให้เด็กน้อยตรงหน้าว่า ”เจ้านายช่วยหม่าม๊าล้างแครอทนี้หน่อยนะครับ”

เจ้านายที่เห็นกองผักหลากสีทั้งแครอท และผักคะน้ากองอยู่ในกะละมังน้อยๆ ตรงหน้า เขาก็หันไปพยักหน้ากับผู้เป็นมารดา พร้อมกับพูดออกไปว่า “ได้ฮับ นายนายจะจ้วยย้างปัก (ได้ครับ นายนายจะช่วยล้างผัก)”

ไอดินที่ได้ยินคำพูดของอีกฝ่ายก็อดไม่ได้ที่จะคลี่ยิ้มออกมาบางๆ อย่างดีใจ ที่ถึงแม้ตัวเขาจะมีเรื่องราวมากมายสารพัดกระทบเข้ามาอย่างไม่หยุดหย่อน

แต่ตัวเขาก็ยังโชคดีที่ยังมีเด็กน้อยคนนี้คอยให้รอยยิ้มเสมอมา ไม่ว่าเมื่อไรเด็กน้อยคนนี้ก็ว่านอนสอนง่าย ไม่เคยงอแงให้เขาได้หนักใจเลยสักครั้ง ก่อนตัวเองจะพูดออกไปว่า “หม่าม๊ารักผมนะครับ เจ้านาย”

ได้ยินเช่นนั้นเจ้านายก็หันไปกอดเอวผอมบางของคนข้างกายเอาไว้ แล้วเงยหน้าขึ้นจ้องมองใบหน้าของอีกฝ่าย พร้อมกับพูดออกไปด้วยรอยยิ้มกว้างว่า “นายนายก็ยักดินดินที่ฉุด (นายนายก็รักดินดินที่สุด)”

ส่งผลคนให้คนที่เห็นท่าทางดังกล่าวไอดินอดไม่ได้ที่จะน้ำตาปริ่มออกมาอย่างตื้นตันใจ แต่เขาก็พยายามใช้มือที่ว่างอยู่ซับหยดน้ำตาเอาไว้ แล้วพูดออกไปว่า “เอาล่ะเอาล่ะ เจ้านายอย่าลืมล้างผักนะครับเดี๋ยวหมาม๊าไปหั่นผักต่อ”

ได้ยินเช่นนั้นเจ้านายจึงพยักหน้าลง พร้อมกับพูดออกไปอย่างแข็งขันว่า “ฮับ” ก่อนจะหันหน้าไปทางอ่างล้างจาน แล้วใช้สองมือเล็กๆ ป้อมๆ ของตัวเองค่อยๆ บรรจงล้างผักที่หั่นแล้วทีละชิ้นทีละชิ้นอย่างใจตั้งใจ

Lanjutkan membaca buku ini secara gratis
Pindai kode untuk mengunduh Aplikasi

Bab terbaru

  • เพชฌฆาตฟันน้ำนม (Omegaverse)   บทที่ 69

    กีตาร์ที่ได้ยินคำคำนี้จึงจ้องมองเจ้าขุนด้วยสายตาที่ไม่ยอมแพ้กลับไป แล้วพยักหน้าขึ้นลงไปมาราวกับเข้าใจทุกอย่างเป็นอย่างดีเพียงไม่นานริมฝีปากบางบนใบหน้าน่ารักก็เหยียดยิ้มหยันออกมา แต่รอยยิ้มดังกล่าวกลับส่งไปไม่ถึงดวงตา พร้อมกับพึมพำออกมาเบาๆ ว่า “ได้ ต้าไปก็ได้” เขาพูดออกมาได้เพียงแค่นั้นน้ำตาแห่งควา

  • เพชฌฆาตฟันน้ำนม (Omegaverse)   บทที่ 68

    ส่งผลให้คุณหญิงเพ็ญแขที่ได้ยินคำพูดของอีกฝ่าย อดไม่ได้ที่จะตวาดเสียงดังลั่นออกไปว่า “นี่ ฉันบอกแกแล้วไม่ใช่หรือไงว่าถ้ารักที่จะอยู่ที่นี่ก็อย่าแตะต้องเด็กคนนั้น...”แล้วปรี่เข้าไปหาอีกฝ่ายอย่างอดรนทนไม่ไหวทว่าคุณหญิงเพ็ญแขพูดออกมาได้ดีเพียงแค่นั้น ก็มีเสียงของเจ้าขุนดังขึ้นมาว่า “แม่...ปล่อยผมจัดการ

  • เพชฌฆาตฟันน้ำนม (Omegaverse)   บทที่ 67

    เจ้าขุนจึงคำรามออกมาอย่างทนไม่ไหว “กีตาร์” แล้วสาวเท้าเข้าไปหาอีกฝ่ายแทบจะทันทีส่งผลให้กีตาร์ที่ได้เห็นสายตาของอีกฝ่าย ถึงกับรีบก้าวถอยหลังหนีอย่างหวาดหวั่น แต่ถึงอย่างนั้นดูเหมือนยิ่งรีบหนีก็ยิ่งลนลานอย่างเต็มกำลัง จึงทำให้ขาทั้งสองข้างพันกัน แล้วล้มลงไปอีกครั้งหนึ่งจนได้ส่งผลให้เจ้าขุนสาวเท้าไปถ

  • เพชฌฆาตฟันน้ำนม (Omegaverse)   บทที่ 66

    สิ้นคำพูดของอีกฝ่าย จึงทำให้กีตาร์รู้ได้ทันทีว่า ในตอนนี้เจ้าขุนรู้เรื่องที่ตัวเองส่งคนไปจัดการกับไอดินแล้วอย่างแน่นอนกีตาร์จึงทำใจดีสู้เสือ เขาทำหน้าตาใสซื่อ พร้อมกับพูดออกไป “พี่ขุนกำลังพูดเรื่องอะไรน่ะ ผมไม่เห็นเข้าใจเลย” แล้วพยายามก้าวเท้าเข้าไปหาอีกฝ่าย เพื่อหมายจะใช้สายตาของตัวเองออดอ้อนให้คน

  • เพชฌฆาตฟันน้ำนม (Omegaverse)   บทที่ 65

    เพราะเขาไม่อยากจะคิดเลยว่าหากกระสุนเหล่านี้เจาะทะลุร่างกายของไอดินและเจ้านายสภาพของคนทั้งสองจะเป็นเช่นไร แล้วอดไม่ได้ที่จะพ่นลมหายใจออกมายาวๆ หนึ่งทีจากนั้นจึงเหลียวหน้าหันไปมองสหายสนิทที่ขอยืมแรงมาช่วยในงานนี้ พร้อมกับพูดออกไปว่า “ขอบใจมาก ถ้าแกมาที่นี่ไม่ทันฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทั้งสองคนจะเป็นย

  • เพชฌฆาตฟันน้ำนม (Omegaverse)   บทที่ 64

    บทที่21จัดการท่ามกลางความโกลาหลที่แสนวุ่นวายภายในบ้านหลังไม่เล็กไม่ใหญ่ เสียงของเจ้าขุนเรียกให้คนที่อยู่ด้านในเหลียวหน้าหันไปมองคนพูดแทบจะทันทีก่อนจะมีเสียงของนายตำรวจหนุ่มที่อุ้มเจ้านายเมื่อครู่นี้ สาวเท้าเดินไปหาอีกฝ่ายพร้อมก็พูดออกไปว่า “พวกเขาสบายดีไม่เป็นอะไรแล้วล่ะ”ได้ยินเช่นนั้นริมฝีปากบ

Bab Lainnya
Jelajahi dan baca novel bagus secara gratis
Akses gratis ke berbagai novel bagus di aplikasi GoodNovel. Unduh buku yang kamu suka dan baca di mana saja & kapan saja.
Baca buku gratis di Aplikasi
Pindai kode untuk membaca di Aplikasi
DMCA.com Protection Status