บทที่
3
เจ้านายกับคุณลุงใจร้าย
หลังจากที่จัดการทุกอย่างจนแล้วเสร็จ ไอดินก็พาเจ้าตัวแสบของบ้านเดินทางไปห้างสรรพสินค้าซึ่งตั้งอยู่ใจกลางเมืองใหญ่
โดยที่สรรพสินค้าแห่งนี้ เป็นห้างเปิดใหม่ที่เพิ่งสร้างเสร็จได้เพียงไม่นาน จึงทำให้ในเวลานี้มีผู้คนทยอยมาใช้บริการอยู่ไม่มาก แต่ก็มีอย่างไม่ขาดสาย และมันก็เป็นครั้งที่สองที่ไอดินพาเจ้านายเหยียบย่างเข้ามา
พอเดินทางมาถึงเจ้านายก็แหงนหน้ามองอาคารหลังใหญ่ จู่ๆ ภายในหัวก็พลันมีข้อมูลมากมายหลั่งไหลเข้ามา จึงทำให้เขารู้ว่าห้างสรรพสินค้าแห่งนี้เป็นห้างห้างหนึ่งในเครือของตระกูล ‘อัครพิทักษ์’ นามสกุลเดียวกันกับเจ้าขุนอดีตคนรักของไอดิน
ส่งผลให้เขาอดไม่ได้ที่จะกลอกตาไปมาอย่างใช้ความคิดอยู่ครู่ใหญ่ แล้วเหลียวหน้าเงยมองอาคารตรงหน้าด้วยสีหน้าตื่นตกใจ ก่อนจะพึมพำออกอยู่ในใจว่า ‘ห้างนี้เนี่ยนะ’ คิดเพียงแค่นั้นเขาก็เหลียวหน้าหันไปมองไอดินอีกที ‘แม่รู้เรื่องนี้หรือเปล่าว่าห้างห้างนี้เป็นห้างของคนพวกนั้น’
จึงทำให้คนข้างกายอย่างไอดินที่ได้เห็นท่าทางลุกลี้ลุกลนของเจ้านาย คิดไปเองว่าบุตรชายของตัวเองนั้นมีอาการประหลาดใจที่เห็นอาคารหลังใหญ่
เขาที่ได้เห็นท่าทางเช่นนั้นของอีกฝ่าย ก็อดไม่ได้ที่จะลอบยิ้มขำ แล้วถามออกไปว่า “อะไรกันครับ เจ้านาย เจ้านายลืมไปแล้วเหรอว่าที่นี่คือที่ไหน”
สิ้นเสียงดังกล่าวเจ้านายคิดอยู่ในใจ ‘ถึงจะเป็นห้างของตระกูลคนคนนั้น แต่โลกคงไม่กลมจนทำให้คนสองคนโคจรมาเจอกันในที่ห่างไกลแบบนี้หรอกมั้ง’
ก่อนเจ้าตัวจะส่ายศีรษะเล็กน้อย แล้วตอบกลับไปว่า “ไม่ไม่ นายนายไม่ยืม” ว่าจบเขาก็ยกนิ้วชี้ของตัวเองชี้เข้าไปในอาคารหลังใหญ่ “ดินดินเจย...เจยพานายนาย...ซื้อ...เล่น นายนายไม่ยืม (ดินดินเคยพานายนายมาของซื่อเล่นนายนายไม่ลืม)”
พูดได้เพียงแค่นั้นเจ้านายก็อดไม่ได้ที่จะคิ้วกระตุกอยู่หลายที ที่คำพูดคำจาของเขานั้นติดๆ ขัดๆ จนฟังไม่ออกว่าพูดอะไร แล้วอดไม่ได้ที่จะสบถอยู่ในใจว่า ‘ที่โลกเก่าเราอายุสิบเก้าแล้วนะ ทำไมถึงยังพูดไม่ชัดอีก’
ก่อนจะเหลียวหน้ามองใบหน้าของคนที่อุ้มตัวเองเอาไว้ ก็เห็นอีกฝ่ายระบายรอยยิ้มอยู่เกลื่อนใบหน้า
จึงทำให้เขาที่ไม่เคยได้รับความอบอุ่นจากคำว่าครอบครัวมาก่อนรู้สึกสบายใจจนเผยรอยยิ้มออกมา เจ้านายจึงเผลอยื่นมืออ้วนๆ ป้อมๆ ของตัวเองไปจับผิวแก้มของอีกฝ่ายอย่างแผ่วเบา
พร้อมกับพึมพำอยู่ในใจว่า ‘เจ้านายแกมาเกิดใหม่แล้ว ไม่ได้เป็นนักฆ่าเหมือนสมัยก่อนแล้ว แกคือลูกชายของเขา เขาเป็นครอบครัวคนเดียวของแก ที่แกต้องปกป้องไม่ใช่หรือไง แค่พูดไม่ชัดพูดไม่เป็นคำก็เพราะว่าตอนนี้แกยังเด็กเกินไปเท่านั้นเอง’
คิดมาถึงตรงนี้นายจึงระบายยิ้มน้อยๆ ออกมา ก่อนจะพูดออกไปอีกทีว่า “ดินดินอย่ายืมซื้อเย่นให้นายนายนะ นายนายชอบของเย่น (ดินดินอย่าลืมซื่อของเล่นให้นายนายนะนายนายชอบของเล่น)”
ส่งผลให้ไอดินที่ได้ยินดังนั้นเผยรอยยิ้มบางออกมา ก่อนจะพยักหน้าลงเล็กน้อย แล้วพูดออกไปว่า “ได้สิถ้าเจ้านายไม่ดื้อไม่ซนไม่วิ่งไปเรื่อย หม่าม๊าจะซื้อของเล่นให้นะครับ”
เจ้านายจึงพยักหน้าลงไปเป็นคำตอบกลับไป ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงแข็งขันว่า “ฮับ...นายนายจะไม่ดื้อ นายนายจะไม่จน”
สิ้นเสียงดังกล่าวไอดินที่ใบหน้าเปื้อนไปด้วยรอยยิ้ม ก็เหลียวหน้าหันไปมองห้างสรรพสินค้าที่ตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้า แล้วชักสายตาหันกลับมามองบุตรชายของตัวเองอีกที “แล้วเจ้านายอยากได้อะไรล่ะครับ”
เจ้านายจึงยกนิ้วอ้วนๆ ป้อมๆ ของตัวเองชี้ไปด้านในอาคารหลังใหญ่ พร้อมกับพูดออกไปว่า “เต้าไปดูก่อนฮับ อยู่ตรงนี้ (เข้าไปดูก่อนครับ อยู่ตรงนี้)” ก่อนจะส่ายศีรษะไปมาเล็กน้อย แล้วพูดออกไปอีกทีว่า “นายนาย...เลือกมะถูก (นายนายเลือกไม่ถูก)”
หลังจากที่ได้ฟังคำพูดของเด็กน้อยที่ตัวเองอุ้มเอาไว้ ไอดินก็เหลียวหน้าหันไปมองอาคารหลังใหญ่อีกที
โดยที่ถึงแม้ห้างสรรพสินค้าแห่งนี้เพิ่งสร้างเสร็จได้เพียงไม่นาน แต่ก็มีเจ้าของกิจการต่างๆ มาตั้งร้านรวงแทบจะทันที อีกทั้งยังได้รับความนิยมจากผู้คนอยู่มาก
พอเห็นท่าทางดีอกดีใจของผู้เป็นบุตรชายที่แสดงออกมา ชายหนุ่มก็สาวเท้าเดินเข้าไปด้านในอาคารหลังใหญ่นี้อย่างรวดเร็ว
พอเข้ามาด้านในได้ไอดินเข็นรถเข็นคันหนึ่งโดยให้เจ้านายยืนอยู่บนรถเข็นเพื่อจะได้จับจ่ายใช้สอยได้ง่ายขึ้น สองแม่ลูกซื้อของใช้จำเป็น โดยมีเสียงหัวเราะของเจ้านายดังให้ได้ยินยามที่ไอดินคุยเล่นกับอีกฝ่าย
แต่แล้วในระหว่างที่ไอดินกำลังเลือกซื้อขนมปังแถวหนึ่งอยู่นั้น เพื่อนำมาทำแซนด์วิชให้กับเจ้านาย ก็มีเสียงของชายหนุ่มคนหนึ่งดังขึ้นมาไม่ได้ยินอยู่ไม่ห่าง “นี่นายน่ะ”
ส่งผลให้ไอดินก็เหลียวหน้าหันไปมองคนพูดทันใด พอหันไปก็เห็นว่าคนที่พูดเมื่อครู่นี้เป็นโอเมก้าคนหนึ่ง ที่มีรูปร่างและหน้าตาที่เขารู้สึกคุ้นเคยเป็นอย่างยิ่ง แต่เป็นเพราะอีกฝ่ายสวมหน้ากากอนามัยเอาไว้จึงทำให้เขาคิดไม่ออกว่าคนคนนี้คือผู้ใด
แม้อีกฝ่ายจะจ้องมองมาอย่างไม่พอใจ แต่ไอดินที่เห็นเช่นนั้นก็ยังไม่เข้าใจว่าเหตุใดคนคนนี้ ถึงได้ตั้งแง่เป็นอริกับตน ก่อนจะถามออกไปด้วยน้ำเสียงที่ค่อนข้างสุภาพ ทั้งๆ ที่ยังรู้สึกมึนงงอยู่ว่า “คุณเรียกผมเหรอครับ”
สิ้นเสียงดังกล่าวชายหนุ่มตรงหน้าก็พูดขึ้นมาว่า “ถ้าไม่เรียกนายแล้วจะให้ไปเรียกแมวแถวนี้หรือไง นายไม่มีตาหรือไงว่าที่ยืนอยู่ตรงนี้มีใครบ้างนอกจากนาย”
หลังจากที่ได้ยินคำพูดของอีกฝ่าย ไอดินก็เหลียวมองรอบกายของตัวเองอีกที ก่อนจะหันหน้ากลับมา แล้วพยักหน้าขึ้นลงอย่างเข้าใจ พร้อมกับครางเสียงเบาออกมาว่า “อ้อ” ว่าจบเขาก็ถามกลับไปว่า “แล้วคุณเรียกผมมีธุระอะไรหรือเปล่าครับ”
ก่อนจะมีเสียงของชายหนุ่มดังให้ได้ยินว่า “ก็จะอะไรซะอีกล่ะ นายดูแลลูกของนายหน่อยสิ อย่าให้ส่งเสียงดังให้มันมากนัก ไม่เห็นหรือไงว่าคนอื่นเขารำคาญ”
ส่งผลให้ไอดินที่ได้ยินคำพูดดังกล่าว ก็อดไม่ได้ที่จะกวาดตามองไปมารอบๆ กายของตัวเองอีกที ก็เห็นว่ารอบๆ กายของเขานั้นนี้แทบไม่มีใครสนใจพวกเขาเลยสักคน
แต่เป็นเพราะเสียงดังของคนตรงหน้า เพียงเดี๋ยวเดียวก็ทำให้ผู้คนเริ่มเหลียวหน้าหันมามองด้วยสายตาฉงนปนสงสัย
เขาจึงชักสายตาคืนกลับไปมองใบหน้าของคู่สนทนาทันใด แล้วพูดออกไปอย่างสุภาพว่า “ต้องขอโทษด้วยครับ” ก่อนจะหันหน้าไปพูดกับคนที่ขึ้นชื่อว่าเป็นบุตรชาย “เจ้านายเดี๋ยวเราพูดเบาๆ หน่อยนะครับ เห็นไหมคนเขารำคาญพวกเราแล้ว”
ได้ยินเช่นนั้นเจ้านายจึงเหลียวหน้าหันไปมองชายหนุ่มตรงหน้าด้วยสายตาไม่ชอบใจ แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่ได้คิดที่จะใส่ใจอะไรมากสักเท่าไร ก่อนจะหันหน้ากลับมามองใบหน้าของผู้เป็นมารดาแล้วพยักหน้าลง พร้อมกับพูดออกไปว่า “ได้ฮับ นายนายจะไม่พูดเจียงดัง”
สิ้นเสียงดังกล่าวไอดินก็ยกมือขึ้นลูบศีรษะของอีกฝ่าย พร้อมกับพูดออกไปด้วยรอยยิ้มว่า “ดีมากครับ เจ้านายของหม่าม๊าเป็นเด็กดีที่สุดเลย” ว่าจบเจ้าตัวก็เหลียวหน้าหันไปมองใบหน้าของคู่กรณีอีกที แล้วชักสายตาคืนกลับมาพร้อมกับพูดกับบุตรชายของตัวเองว่า “เอาล่ะในเมื่อรู้แล้วก็ขอโทษคุณน้าเขาสิลูก”
หลังจากที่ได้ยินคำพูดของผู้เป็นมารดา แม้จะไม่ชอบใจแต่เขาก็ไม่อยากให้ไอดินมีเรื่องกับคนคนนี้ เจ้านายจึงพยักหน้าลงเป็นคำตอบกลับไป ก่อนจะหันหน้าไปมองชายหนุ่มที่ยืนอยู่ไม่ไกล แล้วก้มศีรษะลงเล็กน้อยพร้อมกับพูดออกไปว่า “นายนายขอโต๊ดฮับ”
พอเห็นว่าเด็กน้อยยอมก้มหัวขอโทษแต่โดยดี ชายหนุ่มก็สะบัดหน้าหนี แล้วแค่นเสียงในลำคอดัง ‘เฮอะ’ ออกมา พร้อมกับสบถเสียงดังให้ได้ยินว่า “พวกโอเมก้าชั้นต่ำ ไม่ยอมสอนลูกสอนหลานของตัวเองให้ดี แล้วยังกล้ามาเดินเพ่นพ่านในที่สาธารณะอีก”
ได้ยินดังนั้นไอ้ดินก็ยิ้มเจื้อนแล้วเหลียวหน้าหันไปมองเด็กชายตัวน้อยที่อยู่ข้างกาย ก่อนจะยกมือลูบศีรษะของอีกฝ่ายเพื่อปลอบประโลมสิ่งที่ได้ยินเมื่อครู่นี้
แต่ดูเหมือนเจ้านายที่เห็นผู้เป็นมารดาถูกคนนิสัยไม่ดีรังแก คนอย่างเจ้านายที่ไม่ชอบให้ใครมาดูถูกดูแคลนสักเท่าไร มิหนำซ้ำคนคนนี้ยังเป็นแม่ที่เขาต้องทำภารกิจภารกิจปกป้องดูแลให้ดี เพื่อให้เขาได้มีชีวิตที่ยืนยาวต่อไป
เจ้านายจึงโพล่งเสียงดังออกไปทันทีว่า “อย่าว่าดินดินของนายนายนะ จนบ้า”
ส่งผลให้ไอดินรีบปรามเจ้านายเสียงดุออกไป “เดี๋ยวเถอะไม่ดีนะครับ ห้ามพูดแบบนี้นะ”
ทว่าไอดินพูดออกมาได้เพียงแค่นั้น ก็มีเสียงของคนที่อยู่ไม่ไกลดังขึ้นมาว่า “แกว่าไงนะ” เพราะดูเหมือนคำพูดของเจ้านายจะถูกส่งไปถึงหูของอีกฝ่าย
จึงทำให้ชายหนุ่มเหลียวหน้าหันกลับมามองเด็กน้อยที่ยืนอยู่ไม่ไกล พร้อมกับพูดเสียงเย็นออกมาอีกครั้งว่า “เมื่อกี้แกว่าไงนะไอ้เด็กเปรต” ก่อนเจ้าตัวจะสาวเท้าเข้าไปหาเด็กชายตัวเล็กที่ยืนอยู่บนรถเข็นด้วยท่าทางที่ไม่พอใจ
พอเห็นเช่นนั้นไอดินซึ่งสาวเท้าเดินมาบังลูกชายของตัวเองเอาไว้ แล้วพูดออกไปว่า “คุณกำลังจะทำอะไรน่ะ” ก่อนจะใช้มืออีกข้างโอบกอดเด็กชายตัวน้อยไว้ในอ้อมอกด้วยสีหน้าหวาดหวั่น
ชายหนุ่มจึงพูดเสียงดังใส่ “แกก็ถามลูกแกดูสิว่ามันพูดอะไรกับฉัน”
เจ้านายที่เห็นเช่นนั้นจึงตวาดออกมาอีกทีว่า “นายนาย...ว่า...ว่า....ยุง...เป็น เป็น...จนบ้า จน...สัยม่ายดี (นายนายว่าคุณลุงเป็นคนบ้าคนนิสัยไม่ดี)”
ไอดินจึงรีบปรามลูกชายของตัวเองอีกทีว่า “ไม่เอานะครับเจ้านายไม่พูดไม่เพราะแบบนี้ หม่าม๊าสอนแล้วไม่ใช่หรือไง ว่าเวลาพูดกับผู้ใหญ่ให้พูดดีๆ”
ก่อนจะมีเสียงของเจ้านายสวนขึ้นมาทันทีว่า “นาย...นาย” พร้อมกับส่ายศีรษะไปมาอย่างจ้าละหวั่น แล้วพูดออกมาอีกครั้งว่า “มะ...ไม่...ชอบยุงจนนี้ ยุงจนนี้ใจย้าย (ไม่ชอบลุงคนนี้ ลุงคนนี้ใจร้าย)”
ส่งผลให้ชายหนุ่มที่ได้ยินเสียงของเจ้านาย ถึงกับฟิวส์ขาดแบบทันทีทันใด แล้วโพล่งเสียงดังอย่างไม่พอใจว่า “ไอ้เด็กบ้า นี่” ก่อนจะถลาเข้าไปหาเด็กน้อยตรงหน้าอย่างไม่สนหน้าใครที่ไหน “วันนี้ขอจัดการเด็กปากเสียอย่างแกหน่อยเถอะ”
พอเห็นว่าคนคนนี้จะเข้ามาทำร้ายบุตรชาย ไอดินก็คว้าร่างของอีกฝ่ายเอาไว้ “คุณจะทำอะไรลูกผม” แล้วพยายามยื้อร่างที่สูงกว่าตัวเองอย่างเอาเป็นเอาตาย
จึงทำให้ชายหนุ่มเหลียวหน้าหันมามองไอดินอยากไม่ชอบใจ ก่อนเจ้าตัวจะพยักหน้าขึ้นลง แล้วแค่นเสียงเย็นออกไปว่า “ทำอะไรอย่างนั้นเหรอ” ว่าจบยกมือขึ้นเพื่อหมายจะจัดการกับคนคนนี้ให้พ้นทางไป
ทว่าในขณะที่ชายหนุ่มแปลกหน้ากำลังจะเงื้อมมือฟาดฝ่ามือลงไปบนผิวหน้าของไอดินอยู่นั้นเอง จู่ๆ ก็มีเสียงที่แสนคุ้นเคยของใครบางคนดังให้ได้ยินอยู่ไม่ไกล
“นี่มันเกิดเรื่องบ้าอะไรกัน” ก่อนเจ้าของเสียงนั้นจะเข็นรถเข็นเดินเข้ามา
ส่งผลให้ไอดินที่เห็นใบหน้าของอีกฝ่ายถึงกับเบิกตากว้างอยู่ตกใจ เขารีบสะบัดมือแล้วผลักร่างของชายตรงหน้าให้ถอยออกไป เพื่อหมายจะหมุนกายแล้วพาลูกน้อยที่ยืนอยู่ในรถเข็นหนีออกไปจากจุดนี้อย่างจ้าล่ะหวั่น
แต่ดูเหมือนเรี่ยวแรงของชายหนุ่มคนนี้จะมีมากกว่าไอดินอยู่หลายส่วน จึงทำให้เขาไม่สามารถสะบัดร่างของคนคนนี้ให้ถอยออกไปได้อย่างที่ใจต้องการ พร้อมกับเสียงของอีกฝ่ายที่พูดขึ้นมาว่า “ฉันไม่อนุญาตให้นายไป นายก็ไม่มีสิทธิ์จะไปไหนทั้งนั้น”
จึงทำให้ไอดินยิ่งพยายามดิ้นรนเพื่อให้ตัวเองหลุดพ้นจากพันธนาการนี้ไปอย่างเอาเป็นเอาตาย และยังไม่ทันที่ไอดินจะได้จัดการอะไรต่อ คนจับตัวเขาไว้พูดขึ้นมาอีกทีว่า “ก็จะอะไรซะอีกล่ะครับ ไอ้เด็กเปรตนี่มันมาว่าต้า ว่าต้าว่าเป็นคนบ้า พี่ขุนต้องจัดการมันให้ผมด้วยนะครับ”
ได้ยินเช่นนั้นเจ้าขุนก็เหลียวหน้าหันไปมองใบหน้าของคู่กรณีของคนรักตัวเองด้วยสายตาไม่ชอบใจ แต่สิ่งที่เห็นทำให้เขาต้องเบิกตากว้างอย่างตกใจ และเขาตกใจยิ่งกว่าคือเด็กน้อยที่ยืนอยู่ในรถเข็นที่ดูก็รู้ว่าเป็นลูกของอีกฝ่าย
ความรู้สึกหวงแหนอย่างแรงกล้าก่อตัวขึ้นมาทันใด ก่อนตัวเองจะสบถออกมาอย่างไม่พอใจว่า “กล้าที่จะมีคนอื่นนอกจากฉันอย่างนั้นเหรอ”
พอถูกจ้องมองมาไอดินก็รีบก้มหน้าลง แล้วพยายามจะดึงแขนที่ถูกคนตรงหน้าดึงเอาไว้คืนกลับมา พร้อมกับพูดออกไปว่า “ผมขอโทษด้วยครับ ต่อไปผมจะดูแลลูกให้ดีๆ ช่วยปล่อยผมสักทีเถอะ”
แต่ดูเหมือนอิสรภาพที่เขาต้องการจะไม่ได้มาง่ายๆ ด้วยเช่นกัน เพราะนอกจากชายหนุ่มตรงหน้าจะไม่ยอมปล่อยเขาไปแล้ว เจ้าขุนอดีตที่แสนเจ็บปวดยังสาวเท้าเข้ามาจับหัวไหล่
จึงทำให้คนที่เห็นท่าทางของเจ้าขุนอย่างกีตาร์ มองเห็นเจ้าขุนก้าวขาเข้าไปหาโอเมก้าตรงหน้าด้วยท่าทางที่เดือดดาล เขาก็อดไม่ได้ที่จะขยับริมฝีปากยกขึ้นเล็กน้อยอย่างพอใจ แล้วพูดเสียงเย็นออกไปให้คนที่อยู่ไม่ไกลได้ยิน “แกโดนดีแน่ไอ้โอเมก้าชั้นต่ำ”
พูดได้เพียงแค่นั้นเจ้าขุนก็เหลียวหน้าหันไปมองกีตาร์ที่ยืนอยู่ข้ากัน แล้วพูดเสียงเรียบออกไปว่า “ถอยไปก่อนต้าพี่มีเรื่องจะคุยกับคนคนนี้ก่อน”
กีตาร์ที่ได้เห็นท่าทางเช่นนั้นของคนรัก ตอนแรกเขาก็ขยับยกริมฝีปากของตัวเองออกมาอย่างดีใจ แล้วยอมปล่อยมือจากอีกฝ่ายอย่างว่าง่ายในทันที
ทว่าเพียงเดี๋ยวเดียวเขาก็สังเกตเห็นใบหน้าของคนรักที่ดูยังไงก็เหมือนตกตะลึงกับสิ่งที่เห็นตรงหน้ามากกว่าที่จะเข้ามาจัดการเรื่องของเขาให้
ภายในใจก็บังเกิดลางสังหรณ์บางอย่างที่ผุดขึ้นมาอย่างช้าๆ เขาจึงหันไปถลึงตาใส่ไอดินอย่างไม่ชอบใจ
ส่งผลให้ไอดินที่ไม่อยากคุยกับคนตรงหน้านี้สักเท่าไร หันไปพูดกับคู่ขาของอีกฝ่ายว่า “แต่ผมไม่อยากคุยกับเขา คุณช่วยเอาแฟนของคุณไปไว้ที่อื่นที”
ชายหนุ่มที่ได้เห็นเช่นนั้นแม้จะไม่พอใจอีกฝ่าย แต่เพื่อต้องการแยกคนทั้งสองออกจากกัน เขาก็ไม่คิดที่จะให้คนทั้งคู่ได้คุยกันดีๆ ด้วยเช่นกัน
กีตาร์จึงยื่นมือไปคว้าท่อนแขนของคนรักตัวเองเอาไว้ แล้วพูดออกไปว่า “พี่ขุนถึงต้าจะไม่ชอบมัน ก็ไม่เห็นว่าพี่จะต้องทำกับมันถึงขนาดนี้เลยนี่ครับ แค่ไล่สองแม่ลูกคู่นี้ออกจากห้างของพี่ไปก็พอแล้วนี่ครับ” ว่าจบเขาก็หันไปถลึงตาใส่ไอดินอีกที แล้วขมุบขมิบปากเป็นคำพูดออกไปให้อีกฝ่ายได้เห็นว่า ‘รีบๆ ใส่หัวไปซะสิ...’
แต่ยังไม่ทันที่จะได้ทำอะไร เจ้าขุนก็เหลียวหน้าหันไปมองใบหน้าของกีตาร์ด้วยสายตานิ่ง แล้วพูดเสียงเรียบออกมาว่า “ต้า...”
ส่งผลให้กีตาร์ที่ได้เห็นสายตาดังกล่าว ก็เกิดอาการหวาดหวั่นขึ้นมาทันที จนตัวเองต้องปล่อยมือทั้งสองข้างออกจากแขนของคนตรงหน้าแบบทันทีทันใด แล้วก้าวถอยหลังออกมาอย่างว่าง่ายโดยที่ไม่กล้าแม้แต่จะเอ่ยคำใดออกมา
เมื่อไม่มีผู้ใดรั้งตัวเขาไว้ เจ้าขุนก็เหลียวหน้าหันไปมองไอดินอีกที ก่อนจะเผลอบีบฝ่ามือลงไปบนท่อนแขนของอีกฝ่ายอย่างเต็มกำลัง แล้วถามด้วยน้ำเสียงลอดไรฟันออกมาว่า “เด็กคนนี้ลูกใคร”
เจ้านายที่เห็นเช่นนั้น จึงร้องออกมาไม่พอใจเต็มที่ “ป่อยดินดิน จองนายนายนะ (ปล่อยดินดินของนายนายนะ)” แล้วเขย่งปลายเท้าพร้อมกับยื่นฝ่ามืออ้วนๆ ป้อมๆ ของตัวเอง ฟาดลงไปบนท่อนแขนของคนตรงหน้าอยู่หลายที
เพราะอย่างไรเสียภารกิจในชาตินี้ของเขาคือปกป้องคนคนนี้จนสุดความสามารถของตัวเองเช่นกัน
จึงทำให้เจ้าขุนที่ถูกฝ่ามือเล็กๆ ของเด็กน้อยข้างกายตีลงมาอย่างเต็มกำลัง อดไม่ได้ที่จะเหลียวหน้าหันไปมองใบหน้ากลมๆ ของอีกฝ่ายอย่างไม่พอใจ พร้อมกับขู่ออกไปว่า “นี่เจ้าเด็กน้อย...ถ้ายังไม่เลิกวอแวอย่าหาว่าฉันไม่เตือน”
แต่มีหรือคนอย่างเจ้านายจะยอมให้อีกฝ่ายมารังแกได้ง่ายๆ เขาจึงก้มลงไปคว้าเอาขวดนมที่กินหมดแล้วในกระเป๋าของใช้เด็กที่วางอยู่ในรถเข็นขึ้นมา แล้วเขวี้ยงใส่ปลายคางของเจ้าขุนอย่างแม่นยำ
พร้อมกับพูดออกไปว่า “นี่แหนะคุณยุงใจย้าย ยังแกดินดินจองนายนายหยอ (นี่แหนะคุณลุงใจร้ายรังแกดินดินของนายนายเหรอ)”
ส่งผลให้เจ้าขุนที่ถูกขวดนมพิฆาตจากมืออ้วนๆ ป้อมๆ ปาใส่เต็มปลายคาง เขาก็ถึงกับเซถอยหลังไปอยู่หลายก้าวทันใด ฝ่ามือที่จับท่อนแขนของไอดินเอาไว้ก็จำต้องปล่อยอย่างไม่เต็มใจสักเท่าไร
ก่อนตัวเองจะยกมือขึ้นมากุมปลายคางที่ถูกขวดนมกระแทกใส่ แล้วจ้องมองใบหน้ากลมๆ ของเด็กน้อยตรงหน้าที่กำลังพยายามเชิดหน้า พร้อมกับยกมือทั้งสองข้างขึ้นมากอดอกอย่างหมายมาด แต่ทำไม่ได้สักที
เจ้าขุนจ้องมองเด็กน้อยตรงหน้าได้เพียงครู่เดียว จู่ๆ ความรู้สึกบางอย่างในร่างกายก็แผ่ซ่านขึ้นมากลางใจ จนรู้สึกปวดร้าวก้อนเนื้อในอกข้างซ้ายขึ้นมาเสียอย่างนั้น
แต่ยังไม่ทันที่จะได้ทำอะไรต่อ กีตาร์คนรักของตัวเองก็รีบสาวเท้าเข้ามาใกล้ ก่อนชายหนุ่มจะยืนมือไปคว้าท่อนแขนของเขาเอาไว้
พร้อมกับกล่าวละล่ำละลักออกมาว่า “พี่ขุนเป็นอะไรไหมครับ” ว่าจบเจ้าตัวจะเหลียวหน้าหันไปมองใบหน้าของเด็กน้อยอย่างไม่พอใจ “เดี๋ยวเถอะไอ้เด็กเวรนี่” แล้วจะถลาเข้ามาหามายจะฟาดสักทีสองทีให้สาแก่ใจ
จึงทำให้ไอดินรีบก้าวขาเข้ามาปกป้องเด็กน้อยเอาไว้ พร้อมกับหันหน้าไปมองใบหน้าของคู่กรณีตรงหน้าด้วยสายตาแข็งกร้าวแบบไม่ยินยอม พร้อมกับพูดออกไปดังๆ ว่า “อย่านะ”
พอได้เห็นสายตาของไอดินที่ไม่ต่างจากแมวที่กำลังพองขนขึ้นมา เจ้าขุนก็ทอดถอนลมหายใจออกมา แล้วพูดออกไปว่า “ต้าพอเถอะคนมุงดูกันมากแล้ว”
สิ้นเสียงดังกล่าวกีตาร์ที่ได้ยินเช่นนั้น ก็เหลียวหน้าหันไปมองเจ้าขุนอย่างไม่เข้าใจก่อนตัวเองจะพูดออกไปว่า “แต่...”
แต่คำพูดก็ของเขาก็ถูกขัดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเข้มๆ ของอีกฝ่าย “ตาพี่พูดนี่ไม่เข้าใจหรือยังไง อย่าให้ต้องมาพูดซ้ำ”
ส่งผลให้คนที่ได้ยินคำพูดห้ามปรามของอีกฝ่ายทำเสียงจิ๊จ๊ะในลำคอออกมาอย่างไม่พอใจ แล้วเหลียวหน้าหันไปพูดกับไอดินอีกที “วันนี้ถือว่าพวกแกโชคดี” ก่อนจะสะบัดหน้า แล้วสาวเท้าเข้าไปหาเจ้าขุนที่ยืนอยู่ไม่ไกล
พอเห็นว่าคนทั้งสองยอมปล่อยเขาออกมาอย่างง่ายๆ ไอ้ดินก็ไม่รอช้ารีบเข็นข้าวของไปยังเคาน์เตอร์คิดเงินตรงหน้า จากนั้นจึงรีบสาวเท้าเดินออกมาจากห้างสรรพสินค้านี้ราวกับถูกไล่ล่าจากสัตว์ร้าย
โดยที่ไม่รู้ตัวเลยสักนิดว่ามีสายตาของเจ้าขุนมองไปจนสุดสายตา