Mag-log in“มาไม่สาย แต่กลับเร็ว เข็มนาฬิกาตรงเป๊ะ ก็ชิ่งเลยครับ”
“ถือว่าไม่ผิด แล้วพักที่ไหนอ่ะ ทำไมไม่พักด้วยกันที่นี่”
“บ้านนั้นหลังคารั่วยังเข้าไม่ได้ครับ” เขาพูดถึงบ้านพักอีกหลังที่ไม่มีคนอยู่มานานมากแล้ว
“อยู่ด้วยกันก็ได้ ดีซะอีก หมอจะได้มีเพื่อน”
“หมอปริญญ์รอมาคุยกับหมออูนก่อนครับว่าจะอนุญาตให้อยู่ด้วยรึเปล่า”
นอกจากคอจะแข็งเพราะเฝือกแล้ว ดวงตาของคุณหมอกิดากานต์ยังจะขยันกระตุกถี่ๆ คล้ายจะเป็นลางบอกเหตุอะไรสักอย่าง
ปริน มันคือปรินแบบไหน ปริญ ปริน ปริณ ปิน ปริญญ์
ไม่หรอกน่า มันคงไม่บังเอิญขนาดนั้น...
ถ้าอย่างนั้น ก็ขอถามอีกสักคำถามแล้วกัน
“คนขอนแก่นเหรอ”
“ไม่นะครับ เพราะตอนนี้พักกับเพื่อนในตัวเมือง ไปกลับหกสิบกิโล เลยอยากพักอยู่ที่นี่”
“คนที่ไหน”
เอาซี้...หากตอบมาว่าเป็นคนกรุงเทพฯ กิดากานต์สาบานกับตัวเองเลยว่า จะขอกรี๊ดให้มันดังๆ เอาให้สุดเสียงตอนนี้ ตรงนี้เลย พับผ่าสิ!
“อันนี้ผมไม่ทราบ”
หญิงสาวพ่นลมหายใจฟืดยาวออกมาไม่รู้ตัว หลังจากลุ้นจนตัวโก่ง แต่แล้วก็ต้องรีบหันไปทางเข้าโรงพยาบาล เมื่อลุงคนขับรถชี้บอกว่า
“นั่นไง หมอมาแล้ว”
เก๋งสีดำ ป้ายทะเบียนกรุงเทพมหานคร ตัวอักษรในป้ายตามระยะสายตาของหมอกิดากานต์ แม้จะยังมองไม่ชัด แต่ทำไมเนื้อตัวถึงได้รู้สึกปั่นป่วนขนาดนี้
อาการป่วยเธอยังไม่หายดีแน่ๆ เหมือนไข้จะกลับ ขาจะสั่น ใครก็ได้ ช่วยมาอธิบายให้เธอได้เข้าใจที ว่ากำลังเกิดอะไรขึ้นกับเธอกันแน่!?
สี่วันที่แล้ว...
การเริ่มงานใหม่ ก็คือการเดินทางสายใหม่ อยู่ในที่ใหม่ๆ พบผู้คนใหม่ๆ มันคือสิ่งที่ปริญญ์ปรารถนามาโดยตลอด และใช้ชีวิตอยู่เพื่อการค้นหาคำว่าความสุขอยู่เสมอมา
แต่เชื่อหรือไม่ว่า การที่พยายามค้นหาคำว่าชีวิตคืออะไรของเธอ มันกลับพบแต่ความผิดหวังมากกว่าความสุข การใช้ชีวิตและความคิดอันสิ้นเปลือง มันหวือหวาแค่เพียงในช่วงวัยหนึ่งเพียงเท่านั้น วัยที่ยังไม่รู้จักความหมายของการมีชีวิตที่แท้จริง วัยที่พร้อมจะกระโจนเข้าสู่ทุกสิ่ง โดยที่คิดว่ายังมีวันข้างหน้าไว้รอการแก้ไข
ซึ่งบางสิ่งก็อาจจะแก้ไขได้ แต่บางสิ่งก็หลุดลอยไปอย่างไม่มีวันหวนกลับ ชีวิตที่ผ่านมาหลายครั้ง เธออยู่กับการเรียนรู้ว่าแค่ปล่อยมันออกไปเสียบ้าง ไม่มีสิ่งใดที่เป็นของเราตลอดไป
แต่ถ้าเป็นเรื่องงาน เธอไม่ได้เปลี่ยนบ่อยๆ เหมือนสิ่งอื่นๆ รอบตัว หากแต่คราวนี้ เธอกลับนึกอยากจะทำอะไรใหม่ๆ เช่น อยากอยู่กับช้าง เหมือนกับคราวที่เคยทำอยู่ในช่วงเวลาหนึ่ง ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่มีความสุขที่สุดในชีวิต
และนั่นคือเหตุผลที่โรงพยาบาลช้างแห่งนี้ ตอบรับเธอเข้ามาแทนคนที่สละสิทธิ์ไปทันที หลังจากข่าววงในแจ้งกับเธอว่าหากสนใจก็ให้รีบมารายงานตัว
ทุกอย่างจึงเกิดขึ้นไวมาก เพราะไม่ต้องทำเรื่องโยกย้าย หรือลาออกจากที่ไหนแต่อย่างใด เพราะมันดันประจวบเหมาะว่าเพิ่งเลิกกับแฟนที่เคยทำคลินิกร่วมกัน เป็นการแยกย้ายที่เสียน้ำตาอยู่ไม่น้อย แต่ก็ไม่ใช่เพราะรักอะไรหนักหนาหรอก เพียงแต่เสียดายเงินที่เคยลงทุนไปเยอะเท่านั้นเอง
โรงพยาบาลช้างขอนแก่น มันมีอะไรที่ดึงดูดกันแปลกๆ ราวกับเป็นสถานที่ที่ไม่มีอยู่ในโลก เพจของโรงพยาบาลแทบไม่มีการเคลื่อนไหว และข่าววงในกระซิบเธอมาว่า กำลังจะไปไม่รอด แล้วยังสนใจที่จะไปเผชิญชะตากรรมกับผู้บริหารโรงพยาบาลแสนชิลล์ ที่ไม่อยากจะสู้กับอะไรอีกแล้ว เขาแค่อยู่ประจำการเพื่อรอวันเกษียณอายุไปสวยๆ เท่านั้น
มันดูไร้ความหวัง ไร้พลังสิ้นดีนะ ไม่ต่างจากคนอกหักอย่างเธอ แถมล้มละลายหมดตัว เพราะแฟนเก่ายึดทรัพย์สินที่เคยสร้างร่วมกันไปเสียหมด เหลือไว้ให้แค่รถที่เพิ่งจะผ่อนหมดคันเดียว
นี่เธอกำลังจะพาตัวเองไปกองรวมกับองค์กรที่เต็มไปด้วยความสิ้นหวังใช่หรือไม่ หากตั้งคำถามมาอย่างนี้ ก็จะตอบชัดๆ ให้ฟังเลยว่า...ใช่!
“ที่นี่ไม่มีปัญหาอะไรครับ เพราะหมอกิเป็นคนเก่ง” ผอ.สุรชัยบอกแล้วยิ้มอบอุ่นอย่างคนอารมณ์ดี
“ขอบคุณมากๆ นะคะ ที่ที่นี้ให้โอกาสดิฉันเข้ามาร่วมงาน และถ้ามีรุ่นพี่เก่งๆ แบบนี้ ก็ถือว่าเลือกไม่ผิดที่”
ทันทีชายใกล้วัยเกษียณก็แหงนหน้ายิ้มหัวเราะชอบใจ ซึ่งปริญญ์ก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่า ขำขันอะไร แต่เธอก็ต้องยิ้มแย้มงงๆ ตามกันไป เพื่อที่จะไม่เบรกอารมณ์ผู้อาวุโส ที่กำลังยิ้มจนตาปิด
“ไม่มีปัญหาๆ ที่นี่อยู่กันอย่างอบอุ่น ถ้าคุณไม่ชอบทำงานกับคนหมู่มาก ที่นี่ก็ใช่เลย เงียบสงบใช่มั้ยล่ะ”
“ใช่ค่ะ บรรยากาศดี”
“ไม่มีปัญหาๆ มีหมอเก่งๆ สองคนมาช่วยกันทำงานยิ่งไม่มีปัญหา ไม่มีปัญ....”
ผอ.พูดยังไม่ทันจะจบ เสียงมือถือก็ดังขัดจังหวะการรายงานตัวของหมอมาใหม่ให้หยุดชะงักกลางคัน
“ผมขออนุญาตรับสายนี้ก่อนนะครับ”
อบอุ่น มารยาทงาม ขำขัน อารมณ์ดี แต่ทำไมปริญญ์รู้สึกแปลกๆ กับผู้คนและสถานที่แห่งนี้เหลือเกิน
“อ้า...ว่ายังไงอู๊ด”
“หมอกิโดนช้างฟาดงวงใส่ครับผอ. ตอนนี้ยังไม่ได้สติ”
ทันทีรอยยิ้มของคนรับสายก็พลันเปลี่ยนเป็นขึงขัง
“เฮ้! ว่ายังไงนะ หมอกิโดนได้ยังไง ทำไมไม่มีใครระวังให้หมอ! แล้วเป็นยังไงบ้าง ยังไม่รู้ตัวเลยเหรอ คิ้วคางแตกบ้างมั้ย เลือดออกหูออกปากรึเปล่า”
และแล้วคำว่า ไม่มีปัญหาๆๆ ของ ผอ. ก็ไร้ความศักดิ์สิทธิ์ไปในบัดดล
ปริญญ์นั่งตัวเย็น หัวใจเต้นแรงด้วยความตื่นเต้น เธอไม่ได้กลัว เพราะรู้ว่าเรื่องเหล่านี้มันเกิดขึ้น ได้แต่เงียบคอยเงี่ยหูฟังด้วยความตั้งใจ
“ไอ่หยา งั้นก็รีบส่งหมอเข้าโรงพยาบาลเลย แล้วเจ้าช้างที่ออกไปดูล่ะ เป็นอะไรมากมั้ย”
“ยังไม่ทันจะรักษาเลยครับ ผอ. เพราะดันเกิดเรื่องซะก่อน”
“อาการรุนแรงมั้ย”
“ขาบวมมาก มันตัวใหญ่มากด้วยครับ ผอ. จะแยกมันไปรักษาที่โรงบาลก็ท่าจะยาก เพราะแม่มันหวงเหลือเกิน หมอกิเลยโดนแม่มันฟาดงวงใส่นี่แหละครับ มันไม่ยอมห่างลูก แต่ลูกก็น่าจะเจ็บมาก”
ว่าแล้ว ผอ.สุรชัยก็สบตากับอีกคนที่พร้อมยืดตัวตรงด้วยท่าทีเตรียมพร้อมรับคำสั่ง
“หมอเคยออกนอกพื้นที่มั้ยครับ”
“เคยค่ะ”
“ช้างขาบวม แต่ยังไม่ทราบสาเหตุ คุณหมอช่วยออกไปตรวจดูก่อนได้มั้ย หากว่ารุนแรง ยังไงก็ต้องย้ายเข้ามารักษาที่นี่”
“ได้ค่ะ”
“ไม่กลัวใช่มั้ยครับ” เขาถามเพื่อความมั่นใจอีกครั้ง
“แค่ช่วยกันแม่ช้างให้ออกห่างๆ ก็พอค่ะ”
รอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความหวังของผู้อำนวยการฉายออกมาจนตาปิดอีกครั้ง
“ผมขอมอบหมายให้เป็นงานแรกของคุณนะ”
“แล้วหมอกิล่ะคะ เป็นยังไงบ้าง”
“ผมยังไม่ทราบว่าเป็นหนักขนาดไหน เพราะตัวเธอเล็กมาก อาจจะพักผ่อนน้อยด้วยล่ะ อยู่เฝ้าช้างท้องเสียมาทั้งคืน เดี๋ยวผมคงออกไปที่โรงบาลเลย จะต้องไปดูหมอกิก่อน ส่วนคุณ เดี๋ยวคนขับรถอู๊ดจะมารับนะครับ”
“ได้ค่ะ แล้วผู้ช่วยก็ยังอยู่ที่นั่นใช่มั้ยคะ”
“ใช่ครับ ผู้ช่วยป๊อบบี้ ผมจะให้เค้าสแตนด์บายรอหมอที่นั่นเลย ขอบคุณมากๆ นะครับ เอาล่ะ เราคงต้องแยกย้าย รับน้องใหม่กันคราวนี้คงไม่หนักไปนะครับ” ผู้อำนวยการพุงโตพูดไปยิ้มไป แล้วลุกขึ้นจากเก้าอี้ด้วยความเร่งรีบ
เสียดายที่กิดากานต์สะบัดหน้าหนีไม่ได้เหมือนทุกครั้ง คนคอแข็งทื่อที่หมดอารมณ์จะต่อกรกันเป็นเด็กๆ ก็หมุนตัวไปอีกทาง เพื่อที่จะเริ่มงานในเช้าวันใหม่ได้อย่างขมุกขมัวปล่อยทิ้งให้อีกคนมองตามด้วยความรู้สึกห่วงใยมากขึ้นไปอีก...จริงๆ แล้ว ตั้งแต่ที่เลิกกัน ปริญญ์ก็ค่อยๆ คายความเป็นตัวตน แล้วกลืนเอาความหลากหลายของกิดากานต์มาเป็นตัวเองเธอเริ่มฟังเพลงลูกทุ่งได้เพราะขึ้นมานานหลายปีแล้ว และเธอไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ ว่าหลงคิดว่าพวกเพลงเหล่านั้นคือสิ่งที่เข้ามาทดแทนคนรักเก่าและที่สำคัญที่สุด คือมันไม่ใช่เหตุผลจริงๆ ที่ทำให้เราเลิกกัน...นับจากนี้ ไม่ว่ากิดากานต์จะจิกกัดกันเรื่องเก่าๆ มากขนาดไหน เธอก็จะพยายามไม่ใส่ใจ เพราะสิ่งที่เธอห่วงใยจนต้องรีบรับปากบ๊อบบี้ในทันที ก็เพราะสิ่งที่กิดากานต์ชื่นชอบ มันล้อมรอบไปด้วยหนุ่มๆ ทั้งหนุ่มแตกสาว และหนุ่มฉกรรจ์ พวกเขาให้เหตุผลว่าเพื่อไปคุ้มครอง คุณหมอรถแห่ ฉายาที่ไม่ใกล้กับบุคลิกที่คนทั่วไปพบเห็นแต่นั่นคือตัวตนที่กิดากานต์ไม่กล้าเปิดเผยกับปริญญ์มาก่อน อยู่ที่นี่ได้ทำอะไรในสิ่งที่ชอบ คุณหมอรถแห่คงมีความสุขมากสินะ แล้วใครจะกล้าทำลายความสดใสนั้นลงคอล่ะไม่คิดว่าการกล
ทำเหมือนห่วง ทั้งที่รู้ทั้งรู้ว่ากิดากานต์นอนเจ็บอยู่ที่โรงพยาบาลมาตั้งสามวัน เขาเรียกว่าห่วงประสาอะไร ไม่เห็นโผล่หัวไปเยี่ยมสักวัน!ผิดหวังอยู่ลึกๆ แล้วถุงผ้าสีเทาก็ถูกจับโยนเข้าไปในตู้เอกสารข้างผนังไปอย่างไม่ใยดี...อารมณ์ของเธอขุ่นมัวตั้งแต่เช้า กาแฟดำยามเช้าน่าจะทำให้อารมณ์ดีขึ้นมาได้...เกล็ดกาแฟสำเร็จรูปถูกตักออกจากขวดด้วยใจจดจ่อ ทีละช้อนอย่างเชื่องช้า แล้วตามด้วยน้ำร้อนจัด ไอขาวพวยพุ่งลอยขึ้นเหนือแก้วกาแฟอย่างอ้อยอิ่งเสียงโทรศัพท์จากกระเป๋าเสื้อดังขึ้น แต่มันก็ไม่ได้ทำลายอารมณ์ที่กำลังจะดีขึ้นให้หม่นลง เพราะปลายสายคือผู้ช่วยที่รู้ใจ“มีอะไรบ๊อบบี้โทรมาแต่เช้า”“อาทิตย์นี้ บ้านดอนย่านาง คุณแม่ว่างมั้ยคะ” สาวสองผมทองผิวเป็นสีขาวจัด กรอกเสียงผ่านมือถือมาอย่างรู้ใจและทุกครั้งคำตอบที่ผู้ช่วยคิดว่าจะได้ก็คือ...กี่โมง?กิดากานต์ไม่มีทางปฏิเสธกิจกรรมที่แสนชื่นชอบเหล่านี้ไปได้!“คิดดูก่อน”มีคนผิดหวังในคำตอบไปแล้วหนึ่ง แต่เขาก็ยังจะกรีดเสียงตามออกมาอีกว่า “ไม่ได้นะแม่ รอบนี้เค้าจัดเต็ม ลุงอู๊ดก็รับปากแล้วด้วย คุณแม่จะมาชิ่งอย่างนี้ไม่ได้นะคะ”“ก็บอกว่าคิดดูก่อน แต่ก็ไม่ได้บอกว่าไม่นี่
เดชะบุญฟิล์มดำของเธอทำให้อีกฝ่ายคงไม่มีทางเห็นหน้าเจื่อนๆ ของกันได้ เฝือกอ่อนที่ดามคออยู่ของกิดากานต์ทำให้ความเป็นห่วงที่พยายามกลบมันไว้ กลับเผยตัวตนออกมาจนรู้สึกหมั่นไส้ตัวเองเมื่อไรเธอจะควบคุมตัวเองได้เสียที เธอเกลียดเลือดลมฟุ้งซ่านนี้เต็มทน เกลียดที่ใบหน้าสวยๆ นั้นยังทำให้ใจเต้นแรงได้เสมอให้ตายเหอะ เธอลืมรักที่ผ่านมาทั้งเจ็ดคนไปได้อย่างไร พวกหล่อนๆ ทั้งหลาย เธอจำได้แค่ชื่อ ไม่เหมือนผู้หญิงคนนั้นที่ยังหมุนตัวมองกันมาจนรถเข้าจอดที่โรงจอดรถ“ป้ายทะเบียนกรุงเทพนี่”“อ๋อใช่ หมอปริญญ์เคยบอกว่าเคยทำงานกับหมออูนมาก่อนนี่นา”ได้ยินอย่างนั้น กิดากานต์ก็ถึงกับกัดฟันแน่น หลับตาปิดลงเพื่อควบคุมสติ เพียงชั่วขณะก็ลืมตาขึ้นมาถามกันชัดๆ ว่า“ปริญญ์ พุทธพัลลภ?”“ใช่ครับ”“....................”หญิงสาวทำเพียงแสยะยิ้ม อารมณ์ใดๆ ไม่หลงเหลือ ตัวมันชา ขามันสั่น ใจเต้นรัว เหมือนเกลียดกลัวอะไรสักสิ่ง แต่เธอก็ไม่ได้คิดที่จะหมุนตัวกลับ หากแต่ยังอยากยืนตั้งรับรออยู่ตรงนี้หญิงวัยสามสิบแปด เธอผ่านร้อนผ่านหนาวมาพอสมควร เลยไม่คิดจะหนี อยากอยู่ตรงนี้ รออยู่ตรงนี้ รักครั้งนั้นเธอไม่ได้ผิด คนที่ควรจะไปจากที่นี่ไม
แต่ขออภัยเถอะ เธอโกรธกันจนไม่อยากจะให้อีกฝ่ายมีความสุขแม้สักวินาทีเดียว“ก็ไม่มีอะไรนะคะ คือที่ถามน่ะ ถามเผื่อพี่ชายที่เพิ่งอกหักค่ะ เผื่อจะได้เป็นแม่สื่อแม่ชักอะไรประมาณนั้น”ปริญญ์หาทางลงด้วยเหตุผลที่ฟังเข้าท่าจนอีกคนเชื่อสนิท และเธอก็ผูกมิตรกับลุงอู๊ดได้ด้วยเวลาอันรวดเร็ว แต่ก็ต้องสารภาพเลยว่า ตลอดเวลาที่ตรวจเช็คร่างกายพลายจุมพล เธอไม่มีสมาธิเท่าใดนัก ในหัวมันมีแต่เรื่องของกิดากานต์ มีทั้งเรื่องที่ทำให้สุขและเรื่องที่ทำให้เสียน้ำตาสรุปแล้วเคสนี้ เธอก็ตัดสินใจบอกกับครวญช้างเจ้าของพลายจุมพลว่าให้เอาตัวไปรักษาที่โรงพยาบาล เพื่อที่จะได้ทำการเอกซเรย์หาจุดแตกหักของกระดูกทุกอย่างเสร็จสิ้นลงไปอย่างง่ายดาย จนกระทั่งกลับมานั่งบนรถ เพื่อเตรียมตัวกลับ คนที่เคยถามมาตลอดทาง ก็เอาแต่นั่งนิ่งคล้ายมีความคิดวิ่งวนอยู่ในสมองตลอดเวลา“ผมจะไปส่งหมอปริญญ์ไว้ที่โรงพยาบาลเลยนะครับ”“อ๋อ...ค่ะ”“ส่งแล้วก็จะออกไปดูหมออูนที่โรงพยาบาลสักหน่อย วันนี้ไม่น่าจะมีอะไรแล้ว”“................”ไม่มีคำพูดใดๆ หลุดออกมาจากใจสั่นๆ ขณะนี้หมอปริญญ์ไม่หลงเหลือความเป็นตัวเองมายาวนานหลายชั่วโมงเหลือเกิน มีแต่แววตาสองจิตสอง
แต่พอเดินตามกันออกมานอกห้อง ผอ. ก็ไม่ลืมที่จะผายมือไปยังทิศทางหน้าอาคารอำนวยการ ว่าให้ยืนรอคนขับรถมารับที่ตรงนั้นเมื่อผู้อำนวยการขับรถจากไป หมอปริญญ์ก็กลับมาอยู่เพียงลำพัง ที่อาคารพยาบาลไม่มีใครอยู่เลย ไม่มีแม้ช้างสักเชือก ซึ่งอันนี้พอเข้าใจได้ว่า อาจจะไม่มีช้างที่ดูแลต่อเนื่องค้างคืน แต่ถึงจะมีก็อาจจะอยู่ในคอกที่เตรียมไว้ให้ต่างหากมันเกิดขึ้นได้ แต่ที่ไม่เคยเกิดขึ้นก็คือ ขนาดเจ้าหน้าที่ก็ยังไม่มีสักคน สิ่งมีชีวิตที่มีตัวๆ พอมองเห็นได้ ก็น่าจะมีแค่เธอ และนกเกาะกิ่งไม้อีกสองตัวเท่านั้นไม่มีปัญหาๆคำๆ นี้ของผู้อำนวยการทำให้เธอถึงกับส่ายหน้ายิ้มขันใครเชื่อก็บ้าแล้ว!หญิงสาวยืนรออยู่ที่เดิมได้เกือบสิบนาที ก็ค่อยๆ สืบเท้ากลับเข้าสู่ตัวอาคารบอร์ดแผนงาน และบอร์ดจิปาถะ ถูกตกแต่งด้วยกระดาษหลากสีแบบฝีมือเด็กประถม ซึ่งมันเคยเหวี่ยงตัวออกจากความน่าสนใจมาตั้งแต่แรกเริ่ม แต่เพราะเวลานี้ ไม่มีสิ่งไหนที่น่าสนใจแม้แต่นิด มันเลยดูมีคุณค่าขึ้นมาทีละนิด ขณะที่คนคิ้วยับย่นเซ็งจัด กำลังขยับเท้าเป็นปู ขนานไปกับบอร์ดติดผนัง เพื่อเดินดูรูปถ่ายการทำงานของคนที่นี่ แต่แล้วหนึ่งในภาพนั้น มันก็ถ่ายติดสัตวแพทย
“มาไม่สาย แต่กลับเร็ว เข็มนาฬิกาตรงเป๊ะ ก็ชิ่งเลยครับ”“ถือว่าไม่ผิด แล้วพักที่ไหนอ่ะ ทำไมไม่พักด้วยกันที่นี่”“บ้านนั้นหลังคารั่วยังเข้าไม่ได้ครับ” เขาพูดถึงบ้านพักอีกหลังที่ไม่มีคนอยู่มานานมากแล้ว“อยู่ด้วยกันก็ได้ ดีซะอีก หมอจะได้มีเพื่อน”“หมอปริญญ์รอมาคุยกับหมออูนก่อนครับว่าจะอนุญาตให้อยู่ด้วยรึเปล่า”นอกจากคอจะแข็งเพราะเฝือกแล้ว ดวงตาของคุณหมอกิดากานต์ยังจะขยันกระตุกถี่ๆ คล้ายจะเป็นลางบอกเหตุอะไรสักอย่างปริน มันคือปรินแบบไหน ปริญ ปริน ปริณ ปิน ปริญญ์ไม่หรอกน่า มันคงไม่บังเอิญขนาดนั้น...ถ้าอย่างนั้น ก็ขอถามอีกสักคำถามแล้วกัน“คนขอนแก่นเหรอ”“ไม่นะครับ เพราะตอนนี้พักกับเพื่อนในตัวเมือง ไปกลับหกสิบกิโล เลยอยากพักอยู่ที่นี่”“คนที่ไหน”เอาซี้...หากตอบมาว่าเป็นคนกรุงเทพฯ กิดากานต์สาบานกับตัวเองเลยว่า จะขอกรี๊ดให้มันดังๆ เอาให้สุดเสียงตอนนี้ ตรงนี้เลย พับผ่าสิ!“อันนี้ผมไม่ทราบ”หญิงสาวพ่นลมหายใจฟืดยาวออกมาไม่รู้ตัว หลังจากลุ้นจนตัวโก่ง แต่แล้วก็ต้องรีบหันไปทางเข้าโรงพยาบาล เมื่อลุงคนขับรถชี้บอกว่า“นั่นไง หมอมาแล้ว”เก๋งสีดำ ป้ายทะเบียนกรุงเทพมหานคร ตัวอักษรในป้ายตามระยะสายตาของห







