เจ้าของโชว์รูมรถยนต์ส่งยิ้มทักทายก่อนรับไหว้พี่เบ็ตตี้ขณะเดินออกมาต้อนรับพวกเธอทั้งสี่ เกวลีเปิดยิ้มกว้างรีบทำความเคารพน้าสาวซึ่งเป็นเจ้าของโชว์รูม น้าสุภาคือน้องสาวเพียงคนเดียวของมารดาและเป็นคนที่ผลักดันเธอเข้าสู่วงการเพลงผ่านทางพี่เบ็ตตี้เพื่อนรุ่นน้องร่วมสถาบันนั่นเอง
“สวัสดีครับพี่สุภา ไม่เจอกันนานแค่ไหนพี่ก็ยังสวยไม่เปลี่ยนเลยนะครับ” เบ็ตตี้ทำตาเล็กตาน้อยเอ่ยกระเซ้าเพื่อนรุ่นพี่เบา ๆ
“ไม่ต้องมาหยอดคำหวานใส่พี่เลยเบ็ตตี้ เธอต่างหากที่ดูดีไม่มีเปลี่ยน ไม่แก่ขึ้นเลยนะจ๊ะคุณผู้จัดการดารา” สุภาพรเอ่ยพลางหัวเราะพลาง
“สมัยนี้ใครจะมายอมแก่กันง่าย ๆ ละครับคุณพี่ ศูนย์ความงามโบทงโบท็อกซ์มีเปิดกันให้เกลื่อนทั่วทุกหัวมุมถนน...แต่ผมคงยังไม่จำเป็นต้องพึ่งมือหมอถ้าหลานสาวพี่จะไม่ดื้อขนาดนี้นะครับ” เบ็ตตี้อดเหน็บหลานสาวรุ่นพี่ไม่ได้
“สรุปว่าเป็นความผิดของกรีนอีกแล้วเหรอเนี่ย” เกวลียกไหล่เบา ๆ
“ตกลงจะยืนตากแดดคุยกันอีกนานไหมคะพี่เบ็ตตี้ ผิวกีย่าไม่ได้หนาทนแดดทนฝนอย่างคนบางคนหรอกนะคะ” กันยาปลายตามองเกวลีพร้อมเอ่ยด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดนิดหน่อยก่อนจะเบือนหน้าหนีสายตาตำหนิของผู้จัดการส่วนตัว
“อย่างนั้นพี่ว่าพาสี่สาวไปพักในห้องรับรองก่อนดีกว่านะจ๊ะเบ็ตตี้แล้วเราค่อยไปเช็คเวทีด้วยกัน”
สุภาพรเอ่ยพลางสบตาเพื่อนรุ่นน้องแสดงความอ่อนโยนสื่อความหมายว่าเธอเข้าใจและไม่ถือโกรธหญิงสาวแล้วจึงเป็นฝ่ายเดินนำทั้งห้าตรงไปยังห้องพักที่ทางโชว์รูมจัดเตรียมไว้ให้เป็นห้องพักของศิลปินในขณะที่ผู้จัดการหนุ่มหันไปส่งสายตากำราบกันยานักร้องในสังกัดอีกรอบจึงสะบัดหน้าเชิดขึ้นเล็กน้อยและก้าวตามสาวรุ่นพี่ไปติด ๆ โดยมีสี่สาวเดินตามกันไปเป็นขบวนท่ามกลางสายตาสนใจของบรรดาลูกค้าและพนักงานของโชว์รูม บางคนเปิดยิ้มร่าส่งให้ศิลปินทั้งสี่พร้อมกับยกโทรศัพท์ขึ้นเก็บภาพของพวกเธอ
เกวลีกวาดสายตามองต้นซากุระประดิษฐ์หลายต้นที่ถูกขนมาประดับโดยรอบโชว์รูมพลางแอบนึกค่อนขอดคอนเซ็ปท์ของงานวันนี้ในใจแม้ว่าอีกใจหนึ่งจะเข้าใจว่ารถที่ขายเป็นค่ายรถแบรนด์ดังของญี่ปุ่นแต่ใช่ว่าเธอจะอคติกับความเป็นญี่ปุ่น เธอแค่อยากเห็นการจัดงานอย่างมีเอกลักษณ์ของความเป็นไทยมากกว่าจะเห็นคนไทยให้การสนับสนุนชีวิตวัฒนธรรมของคนต่างชาติแทนการอนุรักษ์วิถีชีวิตแบบไทยเท่านั้นเอง
เธอไม่ได้เดินตามเพื่อนร่วมวงเข้าไปในห้องที่ถูกจัดเตรียมไว้ให้แต่กลับเดินเลยไปด้านหลังอาคารอย่างคนชำนาญทางเพราะความที่เป็นหลานสาวเจ้าของโชว์รูม ทีมงานกำลังเซ็ตเวทีกันให้วุ่นวาย ลานตรวจเช็คสภาพรถถูกปรับพื้นที่ใช้เป็นที่ตั้งโต๊ะจีนเกือบร้อยเต็มแน่นขนัดไปทั้งบริเวณ
“มายืนเตร่อะไรแถวนี้ฮะยายเด็กแสบ” เสียงทุ้มเอ่ยทักทายด้วยความเอ็นดูในตัวหญิงสาวที่กำลังยืนเหม่ออยู่ลำพัง
“พี่กาย!! โอ๊ย...กลับมาอยู่บ้านตั้งแต่เมื่อไหร่ทำไมไม่มีใครบอกกรีนเลยสักคนฮะ พ่อกับแม่ปิดข่าวพี่กายเงียบกริบเลยนะ”
เกวลีหมุนตัวหันกลับมากระโดดกอดคอพี่ชายตัวลอยด้วยความดีใจ คาดไม่ถึงว่าจะได้พบพี่ชายซึ่งปกติจะประจำการอยู่ที่ค่ายสุรสีห์จังหวัดกาญจนบุรีทำให้ไม่ค่อยได้พบกันบ่อยนักด้วยเวลาว่างที่มักจะไม่ค่อยตรงกันทำให้พวกเธอพี่น้องแทบจะไม่ได้เจอกันเลย
“พ่อกับแม่ยังไม่รู้ต่างหากว่าพี่กลับมาแล้ว พอดีพี่มาทำธุระด่วนให้นายที่กรุงเทพเมื่อวานพอรู้จากน้าสุภาว่าเรากับเพื่อนมีงานที่โชว์รูมแล้วจะกลับไปค้างคืนกับพ่อแม่ พี่เลยขออนุญาตนายลาพักร้อนมาเยี่ยมบ้านและอยู่รอรับน้องกลับบ้านพร้อมกันด้วยเลยไง”
กฤตินยิ้มเอ็นดูขณะเอ่ยและกวาดสายตากวาดมองใบหน้าเนียนสวยตกแต่งอย่างประณีตของน้องสาวเพียงคนเดียวด้วยความรู้สึกภาคภูมิใจ เกวลีเรียนเก่งและมีความสามารถ กล้าแสดงออกมาแต่เล็กทำให้น้องสาวเป็นที่รักของพ่อแม่รวมทั้งตัวเขามาแต่ไหนแต่ไร
รอยยิ้มสดใสไม่เคยจางจากริมฝีปากได้รูปนี้เลย เธอชั่งน่ารักน่าเอ็นดูเสมอในสายตาของครอบครัว แม้จะเป็นคนโผงผางพูดจาขวานผ่าซากแต่ก็เป็นเด็กนิสัยดี อ่อนโยน มีน้ำใจจนเป็นที่รักของคนแถวบ้านก่อนที่เหตุการณ์เลวร้ายในวันนั้นจะเกิดขึ้น…
ตราบาปที่ไม่สมควรแปดเปื้อนลงบนชีวิตสมบูรณ์แบบของเกวลีถ้าไม่ใช่เพราะความไม่เอาไหนของคนเป็นพี่เช่นเขา ไม่สมควรจริง ๆ แค่เพียงวันนั้นเขาไม่เมาจนไร้สติเกวลีซึ่งกำลังเป็นห่วงมารดาก็คงไม่ต้องตัดสินใจขับรถออกไปด้วยตนเองกระทั่งต้องประสบอุบัติเหตุโหดร้ายที่เปลี่ยนสาวน้อยสดใสในอดีตให้กลายเป็นคนเงียบขรึมหวาดระแวงมองคนที่เข้ามาข้องเกี่ยวกับตัวเองในแง่ร้ายไว้ก่อนเสมออย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้
“พี่กายลางานได้กี่วันนะ กรีนว่าจะชวนพ่อกับแม่ไปถือศีลที่วัดมเหยงค์สักสามวัน อยากให้พี่กายไปด้วยกันจัง” เกวลีเอ่ยชวนพี่ชาย
“สามวันเหรอ...ก็ดีเหมือนกันนะ พักนี้เรามีเรื่องบ่อย ๆ ทำบุญล้างซวยซะบ้างก็คงจะดี” กฤตินพยักหน้าหงึกหงักขณะที่คนเป็นน้องเบ้ริมฝีปากทำหน้าง้ำเงยขึ้นมองสบตาพี่
“พี่กายอ่ะ กรีนไม่ได้จะทำบุญล้างซวยสักหน่อย แค่อยากไปทำบุญครบรอบวันตายคุณแพรไหมอุทิศส่วนกุศลให้เธอต่างหาก”
“จริงสินะ...พี่ลืมไปสนิทเลย ปีนี้เป็นปีที่เท่าไหร่แล้วนะเนี่ย” กฤตินระบายลมหายใจเบา ๆ เมื่อนึกถึงหญิงสาวที่ต้องเสียชีวิตเพราะเหตุการณ์ในอดีต
“ปีที่เจ็ดแล้ว...ไวจังเนอะ ถ้าคราวนั้นกรีนไม่ประมาทป่านนี้เธออาจแต่งงานมีลูกน่ารัก ๆ หลายคนแล้วก็ได้” ดวงตาเรียวหมองหม่นไปตามความรู้สึกสลดใจเมื่อนึกถึงแพรไหม
“ไม่เอาน่า...เดี๋ยวเราต้องขึ้นเวทีไม่ใช่เหรอ จะมาทำหน้าเศร้าแบบนี้ได้ยังไงฮะ ถ้าเกิดบรรดาแฟนคลับของเรามาเห็นเข้า เขาจะหมดสนุกไปด้วยซะเปล่า ๆ นะ” กฤตินโอบบ่าน้องพร้อมกับบีบไหล่เบา ๆ เป็นการปลอบประโลม
“...ถ้าอย่างนั้นกรีนเข้าไปเตรียมตัวก่อนดีกว่า พี่กายนั่งรอกรีนกับน้าสุภานะ เอาไว้เราค่อยไปคุยกันที่บ้านคืนนี้แล้วกัน”
เกวลีถอนหายใจเบา ๆ ระบายความรู้สึกสลดที่เกิดก่อนจะสูดลมหายใจเข้าลึกอีกครั้งเป็นการรวบรวมสมาธิตัดเรื่องรบกวนใจออกเพื่อเริ่มทำหน้าที่ของตัวเอง เลือดศิลปินทำให้เธอสามารถปล่อยวางความทุกข์ทำตามคำสอนของพี่เบ็ตตี้ที่คอยตักเตือนเธอเสมอตั้งแต่เริ่มก้าวเข้าสู่วงการว่าจะเกิดอะไรขึ้นต้องยึดคติ The Show must go on เสมอกฤตินเดินไปส่งน้องสาวและแวะทักทายสามสาวครู่เดียวก่อนออกจากห้องพักนักแสดงมาพร้อมกับพี่เบ็ตตี้จากนั้นจึงเดินไปสบทบกับน้าสุภาที่โต๊ะจีนด้านหน้าเวทีรอชมการแสดงของสี่สาวพร้อมกับบรรดาลูกค้าของโชว์รูมที่ได้รับเชิญมาในงานเลี้ยงขอบคุณลูกค้าวันนี้“ได้เจอกายวันนี้ก็ดี พี่จะได้หมดห่วงยายกรีนไม่อยากปล่อยให้ไปไหนมาไหนตามลำพังเลยช่วงนี้ ดวงเขาไม่ค่อยจะดีเดี๋ยวเป็นนั่นเดี๋ยวเป็นนี่อยู่เรื่อยเชียวพักนี้ ไม่รู้จะเคราะห์ซ้ำกรรมซัดอะไรกันนักกันหนาสิ” พี่เบ็ตตี้เอ่ยนุ่ม ๆ ตามสไตล์คนมีเสน่ห์“หมายความว่ายังไงครับ?...หรือมีอะไรเกิดขึ้นกับยายกรีนที่ผมยังไม่รู้อย่างนั้นเหรอครับ” นายทหารหนุ่มเอ่ยถามอย่างนึกเป็นห่วงความปลอดภัยของน้องสาว“อะไรกัน...กายไม่ได้อ่านข่าวน้องบ้างเลยหรือไงฮึ” พี่เบ็ตตี้ทำหน้านิ่วมอง
เจ้าของโชว์รูมรถยนต์ส่งยิ้มทักทายก่อนรับไหว้พี่เบ็ตตี้ขณะเดินออกมาต้อนรับพวกเธอทั้งสี่ เกวลีเปิดยิ้มกว้างรีบทำความเคารพน้าสาวซึ่งเป็นเจ้าของโชว์รูม น้าสุภาคือน้องสาวเพียงคนเดียวของมารดาและเป็นคนที่ผลักดันเธอเข้าสู่วงการเพลงผ่านทางพี่เบ็ตตี้เพื่อนรุ่นน้องร่วมสถาบันนั่นเอง“สวัสดีครับพี่สุภา ไม่เจอกันนานแค่ไหนพี่ก็ยังสวยไม่เปลี่ยนเลยนะครับ” เบ็ตตี้ทำตาเล็กตาน้อยเอ่ยกระเซ้าเพื่อนรุ่นพี่เบา ๆ“ไม่ต้องมาหยอดคำหวานใส่พี่เลยเบ็ตตี้ เธอต่างหากที่ดูดีไม่มีเปลี่ยน ไม่แก่ขึ้นเลยนะจ๊ะคุณผู้จัดการดารา” สุภาพรเอ่ยพลางหัวเราะพลาง“สมัยนี้ใครจะมายอมแก่กันง่าย ๆ ละครับคุณพี่ ศูนย์ความงามโบทงโบท็อกซ์มีเปิดกันให้เกลื่อนทั่วทุกหัวมุมถนน...แต่ผมคงยังไม่จำเป็นต้องพึ่งมือหมอถ้าหลานสาวพี่จะไม่ดื้อขนาดนี้นะครับ” เบ็ตตี้อดเหน็บหลานสาวรุ่นพี่ไม่ได้“สรุปว่าเป็นความผิดของกรีนอีกแล้วเหรอเนี่ย” เกวลียกไหล่เบา ๆ“ตกลงจะยืนตากแดดคุยกันอีกนานไหมคะพี่เบ็ตตี้ ผิวกีย่าไม่ได้หนาทนแดดทนฝนอย่างคนบางคนหรอกนะคะ” กันยาปลายตามองเกวลีพร้อมเอ่ยด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดนิดหน่อยก่อนจะเบือนหน้าหนีสายตาตำหนิของผู้จัดการส่วนตัว“อย่างนั้น
เธอเพิ่งซึ้งใจว่าชีวิตบนถนนสายดนตรีห้าปีที่ผ่านมาไม่สามารถเปลี่ยนฐานะจำเลยสังคมของเธอได้ด้วยตำแหน่งศิลปิน ทุกคนพร้อมจะขุดคุ้ยความผิดในวันวานของเธอขึ้นมาวิจารณ์กันสนุกปากอีกครั้งเมื่อเธอประสบอุบัติเหตุขับรถชนต้นไม้ในเดือนก่อน แม้ว่าเธอจะโชคดีไม่ได้รับบาดเจ็บแต่เหตุการณ์ที่เกิดก็ทำให้เธอค่อนข้างมั่นใจว่านั่นไม่ใช่อุบัติเหตุธรรมดาแน่นอน ต้องมีใครบางคนจงใจกลั่นแกล้งเธอ“คนขับรถคันนั้นเป็นใคร...ใครกันแน่ที่แกล้งเราได้แรงขนาดนั้นได้” คิ้วเรียวขมวดปมอยู่กลางใบหน้าขณะนึกถึงบรรดาเพื่อนร่วมวงทั้งสามที่ศรศิลป์ไม่ค่อยกินกันสักเท่าไหร่ด้วยอาการครุ่นคิดยายหนูนิ่ม นริศราหลานสาวนอกไส้จอมแบ๊วของณกุล เจ้าของค่ายเพลงที่ปลุกปั้นวงชูการ์บีทขึ้นเพื่อหล่อน หนูนิ่มผู้ที่มีกริยานุ่มนิ่มสมชื่อกับท่าทางไร้เดียงสาซึ่งเธอมองว่านั่นคือการเสแสร้ง เกวลีเชื่อไม่ลงจริง ๆ ว่านริศราจะใสซื่ออย่างที่หล่อนพยายามทำมาตลอดเจ็ดปีในเมื่อหลายครั้งเธอสัมผัสได้ถึงกระแสความอิจฉาจากนัยน์ตาของนริศรายามเจ้าหล่อนเผลอมองเธอทุกครั้งที่ณกุลเอ่ยปากกับเธออย่างสนิทสนมหรือเอ่ยปากชื่นชมในความสามารถของเธอหรือจะเป็นยายกันยาลูกสาวเศรษฐีณีชาวสุพ
สังคมลงทัณฑ์เธอด้วยการประณามในความผิดที่เกิด เยาวชนผู้ที่ทุกคนลงความเห็นว่าไร้ซึ่งวุฒิภาวะไม่มีสิทธิ์อ้าปากโต้แย้งหรืออธิบายว่าเหตุการณ์ที่เกิดไม่ใช่ความผิดของตนแต่เพียงผู้เดียว แม้เธอจะยืนยันว่านั่นคืออุบัติเหตุก็ตาม ทว่าเสียงเล็ก ๆ ของเธอก็ไม่สามารถขจัดความเป็นเดือดเป็นแค้นแทนคู่กรณีที่เสียชีวิตของคนในสังคมไปได้ เธอจึงได้แต่ก้มหน้ายอมรับคำพิพากษาของสังคมอย่างกล้ำกลืน...ไม่มีใครเชื่อว่ามันคืออุบัติเหตุที่เกิดขึ้นจากความประมาทร่วมระหว่างเธอซึ่งเป็นจำเลยและคู่กรณีเมื่อคนตายไม่สามารถลุกขึ้นมาโต้แย้งหรือให้ปากคำใด ๆ ได้ ความยุติธรรมถูกทวงถามให้กับหนึ่งชีวิตที่สูญเสียด้วยการมอบความผิดให้กับอีกหนึ่งชีวิตที่ยังมีลมหายใจโดยไม่มีใครใส่ใจเลยว่าคนที่ยังมีลมหายใจอย่างเธอทรมานและเจ็บปวดเสียยิ่งกว่าต้องไร้ซึ่งลมหายใจมากสักเพียงใดสาวน้อยค่อย ๆ รวบรวมสติที่กระเจิดกระเจิงไปเพราะความฝันแสนร้ายกาจจากจิตใต้สำนึกซึ่งเน้นย้ำให้เธอซาบซึ้งความหมายของคำว่า “นรกในใจ” ได้อย่างลึกซึ้ง บาปที่เธอไม่ได้ตั้งใจก่อส่งผลกระทบต่ออีกหลายชีวิตที่เกี่ยวข้องกับผู้ตายซึ่งล้วนแล้วแต่รักและผูกพันกับผู้หญิงคนนั้น เธอฆ่าชีวิต
บ่ายวันหนึ่งกลางฤดูฝน...เจ็ดปีก่อนภายในห้องรับแขกขนาดใหญ่โอ่โถงประดับประดาเฟอร์นิเจอร์บ่งบอกรสนิยมและความมั่งคั่งของผู้เป็นเจ้าของสถานที่ได้เป็นอย่างดี กระเบื้องปูพื้นแผ่นเรียบสีงาช้างสะท้อนแสงดูมันเลื่อมน่ามอง แชนเดอเรียห้อยระย้าจากฝ้าเพดานเล่นระดับเพิ่มความหรูหราให้กับโซฟาราคาแพงที่ตั้งเข้ามุมเป็นระเบียบชิดผนัง สาวน้อยรูปร่างระหงกำลังนั่งหน้าตื่นอยู่บนโซฟา เธอวางโทรศัพท์ลงบนแป้นมือไม้สั่น ใบหน้าสวยซีดเผือดไร้สีสันของเลือดฝาดสืบเนื่องมาจากความเป็นห่วงเป็นใยในตัวมารดาหลังทราบข่าวจากเพื่อนบ้านที่เห็นเหตุการณ์และโทรมาแจ้งว่าพบมารดาของเธอประสบอุบัติเหตุถูกรถจักรยานยนต์ชนในตลาดขณะจะเดินทางกลับบ้านร่างเพรียวระหงในชุดลำรองสมวัยด้วยเดรสตัดต่อกำมะหยี่สีไวน์เข้ารูปยาวเลยเข่าเล็กน้อยแต่งปกด้วยลูกปัดเงินวาว ผมหยักศกเป็นลอนสีน้ำตาลอ่อนถูกมัดรวบครึ่งศีรษะดูน่ารักสดใสขัดกับใบหน้ารูปไข่ดูมีวิตกจนไม่สามารถอำพรางซ่อนเร้นความกังวนที่ฉายชัดผ่านดวงตากลมวาวไว้ได้เด็กสาวพยายามรวบรวมสติกวาดสายตามองสภาพพี่ชายที่เมาไม่เป็นท่าอยู่ท่ามกลางกลุ่มเพื่อนนักเรียนนายทหารที่พากันมาตั้งวงปาร์ตี้กินเหล้ากันตามประสา