เกวลีถอนหายใจเบา ๆ ระบายความรู้สึกสลดที่เกิดก่อนจะสูดลมหายใจเข้าลึกอีกครั้งเป็นการรวบรวมสมาธิตัดเรื่องรบกวนใจออกเพื่อเริ่มทำหน้าที่ของตัวเอง เลือดศิลปินทำให้เธอสามารถปล่อยวางความทุกข์ทำตามคำสอนของพี่เบ็ตตี้ที่คอยตักเตือนเธอเสมอตั้งแต่เริ่มก้าวเข้าสู่วงการว่าจะเกิดอะไรขึ้นต้องยึดคติ The Show must go on เสมอ
กฤตินเดินไปส่งน้องสาวและแวะทักทายสามสาวครู่เดียวก่อนออกจากห้องพักนักแสดงมาพร้อมกับพี่เบ็ตตี้จากนั้นจึงเดินไปสบทบกับน้าสุภาที่โต๊ะจีนด้านหน้าเวทีรอชมการแสดงของสี่สาวพร้อมกับบรรดาลูกค้าของโชว์รูมที่ได้รับเชิญมาในงานเลี้ยงขอบคุณลูกค้าวันนี้
“ได้เจอกายวันนี้ก็ดี พี่จะได้หมดห่วงยายกรีนไม่อยากปล่อยให้ไปไหนมาไหนตามลำพังเลยช่วงนี้ ดวงเขาไม่ค่อยจะดีเดี๋ยวเป็นนั่นเดี๋ยวเป็นนี่อยู่เรื่อยเชียวพักนี้ ไม่รู้จะเคราะห์ซ้ำกรรมซัดอะไรกันนักกันหนาสิ” พี่เบ็ตตี้เอ่ยนุ่ม ๆ ตามสไตล์คนมีเสน่ห์
“หมายความว่ายังไงครับ?...หรือมีอะไรเกิดขึ้นกับยายกรีนที่ผมยังไม่รู้อย่างนั้นเหรอครับ” นายทหารหนุ่มเอ่ยถามอย่างนึกเป็นห่วงความปลอดภัยของน้องสาว
“อะไรกัน...กายไม่ได้อ่านข่าวน้องบ้างเลยหรือไงฮึ” พี่เบ็ตตี้ทำหน้านิ่วมองกฤตินก่อนจะเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับเกวลีให้ชายหนุ่มฟังต่อ “ก็เดือนก่อนกรีนถูกมอเตอร์ไซต์ตัดหน้าจนต้องหักหลบไปชนกับต้นไม้แต่โชคดีที่ตัวเองไม่เป็นอะไร พอสัปดาห์ต่อมาก็ส้นรองเท้าหักตอนเต้นอยู่บนเวที เหมือนกับถูกใครแกล้งอย่างนั้นแหละ แล้วนี่เมื่ออาทิตย์ที่แล้วรถก็ถูกขูดเป็นรอยรอบคันเลยนะ ที่สำคัญน้องเรานะก็ไม่ยอมแจ้งความซะด้วยตอนนี้เลยยังจับไม่ได้ว่าใครเป็นคนทำ” พี่เบ็ตตี้เล่าด้วยสีหน้าแสดงความไม่ชอบใจ
“หมายความว่ามีคนคิดจะแกล้งยายกรีนอย่างนั้นเหรอครับ” กฤตินเริ่มไม่สบายใจและรู้สึกเป็นห่วงความปลอดภัยของน้องสาวขึ้นมาทันที
“ใช่นะสิ พี่มั่นใจว่าต้องมีคนแกล้งยายกรีนแน่ ๆ” พี่เบ็ตตี้พยักหน้าหงึกพร้อมเอ่ยอย่างมั่นใจ
“พี่เบ็ตตี้สงสัยใครหรือเปล่าครับ” กฤตินขมวดคิ้ว
“พี่ก็นึกไม่ออกจริง ๆ นะ ยายกรีนเขาโวยวายว่าต้องเป็นแม่สามสาวแต่พี่มั่นใจว่าไม่มีทางเป็นเด็กพวกนั้นแน่เพราะถึงเขาจะทะเลาะกันบ่อย ๆ แต่พื้นนิสัยทุกคนเป็นเด็กดีกันทั้งนั้น ไม่มีทางที่หนึ่งในสี่คนนี่จะทำเรื่องร้าย ๆ แบบนั้นได้แน่” พี่เบ็ตตี้กล่าวอย่างรู้นิสัยเด็กสาวทั้งสี่ดีจนกล้าการันตีความประพฤติของทุกคน
“เด็กนั่นไม่เคยเล่าให้ผมฟังเลย...ผมชักเป็นห่วงน้องซะแล้วสิครับพี่เบ็ตตี้” กฤตินถอนใจแรง
“ตอนนี้พี่ดูแลยายกรีนอย่างใกล้ชิด กายไม่ต้องเป็นห่วงแต่สามวันที่เขากลับมาอยู่บ้านนี่พี่คงต้องฝากกายดูแลน้องแทนด้วย ไม่อยากให้ไกลตา” ผู้จัดการส่วนตัวของสี่สาวชูการ์บีทเอ่ยฝากฝังให้กฤตินช่วยดูแลน้องสาวแทนตนอีกแรงด้วยความเป็นห่วงในความปลอดภัยของเกวลีราวกับเจ้าหล่อนเป็นลูกเป็นหลาน
“ขอบคุณพี่เบ็ตมากครับที่ช่วยดูแลกรีนแทนพวกเรา ถ้าไม่ได้พี่ช่วยดึงเด็กนั่นเข้าวงการป่านนี้จะเป็นยังไงบ้างก็ไม่รู้เหมือนกันนะครับ” กฤตินกล่าวอย่างสำนึกในบุญคุณคนตรงหน้า
“เรากับกรีนเป็นหลานพี่สุภาก็เหมือนกับเป็นหลานพี่นั่นแหละ ไม่ต้องมาขอบคงขอบคุณพี่หรอกกาย” พี่เบ็ตตี้โบกมือสะบัดเบา ๆ จีบปากจีบคำเอ่ยกับหนุ่มรุ่นน้องด้วยน้ำเสียงสดใส
“เหรอครับ...ผมก็ว่าจะแนะนำเพื่อนหน้าตาหล่อ ๆ หุ่นล่ำ ๆ ให้พี่รู้จักสักคนแทนคำขอบคุณพี่ที่ดูแลกรีน อย่างนั้นผมก็ไม่ต้องแนะนำเพื่อนให้พี่แล้วสินะครับ” กฤตินแสร้งพยักหน้าหงึกหงักเอ่ยกับหนุ่มหน้าหวานด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“ว๊าย...ได้ยังไงฮะ ถ้าเป็นเพื่อนกายต้องรีบพามาแนะนำให้พี่รู้จักเร็ว ๆ สิไม่ว่า เอ่อ...ว่าแต่หุ่นล่ำจริง ๆ เหรอ แล้วรสนิยมเดียวกับพี่หรือเปล่าฮึ”
ดวงตาเรียวยาวเป็นประกายวับวาวทันทีที่ได้ยิน น้ำลายเริ่มสอเมื่อคิดถึงหนุ่มหุ่นล่ำในจินตนาการตามที่กฤตินเอ่ย
“หึหึ...จริงครับพี่ หุ่นล่ำหน้าตาดีถึงแม้จะหล่อสู้ผมไม่ได้ก็ตาม แต่คอเดียวกับพี่แน่นอนครับ”
กฤตินกับเบ็ตตี้หยุดคุยกันทันทีที่เสียงพิธีกรกล่าวประกาศเข้าสู่ช่วงเวลาการแสดงของวงชูการ์บีท เสียงกรี๊ดดังลั่นเมื่อสี่สาววิ่งขึ้นเวทีพร้อมกับเสียงเครื่องดนตรีกังวานก้องไปทั่วทั้งบริเวณ ลำโพงขนาดใหญ่ทำหน้าที่กระจายเสียงเพลงที่ทั้งสี่ขับร้องดังกระหึ่มไปไกล เหล่าแฟนคลับกรูกันออเต็มหน้าเวทีร่วมเต้นร่วมร้องไปพร้อมกับกลุ่มศิลปินบนเวทีอย่างสนุกสนาน
คอนเสิร์ตดำเนินไปเรื่อย ๆ กระทั่งถึงช่วงเวลาที่เกวลีสลับยืนกลางเวทีในตำแหน่งร้องนำ น้ำเสียงเปรี่ยมเสน่ห์ของเธอสะกดอารมณ์คนฟังให้เพลิดไปตามจังหวะดนตรีสร้างความภาคภูมิใจให้กับคนเป็นพี่ทอดสายตามองน้องสาวอย่างชื่นชม
ริมฝีปากหยักประดับรอยยิ้มยินดีที่เห็นเกวลีประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน ดนตรีเปลี่ยนเด็กสาวที่เพิ่งขวัญผวาและหวาดกลัวสายตาสังคมให้กลับมาหยัดยืนได้อีกครั้งแม้จะยังมีร่องรอยความเจ็บปวดบอบช้ำที่เป็นเสมือนรอยแผลเป็นจาง ๆ กลางหัวใจดวงนั้นหลงเหลืออยู่บ้างก็ตามที
ขณะที่กฤตินกำลังปล่อยใจเพลินไปกับบทเพลงที่เกวลีขับขานกลับพลันเกิดเหตุการณ์ที่ไม่มีใครคาดคิดขึ้นต่อหน้าต่อตาทุกคน หัวใจคนเป็นพี่ไหววูบเมื่อเหลืบมองเห็นป้ายโฆษณาขนาดใหญ่สภาพค่อนข้างเก่าที่น่าจะอยู่ในสภาพชำรุดเพราะไม่ได้ถูกใช้งานในขณะนี้กำลังจะร่วงลงจากเพดานเนื่องจากลวดสลิงที่ขึงอยู่ใกล้จะขาดเต็มทน
ความตกใจทำให้ชายหนุ่มทะลึ่งตัวลุกยืนและพรุ่งพรวดฝ่าฝูงชนที่ยืนห้อมล้อมกันจนเต็มลานหน้าเวทีคอนเสิร์ตหาทางตรงไปยังน้องสาวของตนสุดฝีเท้าด้วยความเป็นห่วงในความปลอดภัยของเกวลี!!!
“กรีน!!!” กฤตินตะโกนสุดเสียงเมื่อเห็นแผงไฟขนาดใหญ่พุ่งดิ่งลงจากเพดาน
“ว๊าย!!กรี๊ดดด!!!”
เกวลีถอนหายใจเบา ๆ ระบายความรู้สึกสลดที่เกิดก่อนจะสูดลมหายใจเข้าลึกอีกครั้งเป็นการรวบรวมสมาธิตัดเรื่องรบกวนใจออกเพื่อเริ่มทำหน้าที่ของตัวเอง เลือดศิลปินทำให้เธอสามารถปล่อยวางความทุกข์ทำตามคำสอนของพี่เบ็ตตี้ที่คอยตักเตือนเธอเสมอตั้งแต่เริ่มก้าวเข้าสู่วงการว่าจะเกิดอะไรขึ้นต้องยึดคติ The Show must go on เสมอกฤตินเดินไปส่งน้องสาวและแวะทักทายสามสาวครู่เดียวก่อนออกจากห้องพักนักแสดงมาพร้อมกับพี่เบ็ตตี้จากนั้นจึงเดินไปสบทบกับน้าสุภาที่โต๊ะจีนด้านหน้าเวทีรอชมการแสดงของสี่สาวพร้อมกับบรรดาลูกค้าของโชว์รูมที่ได้รับเชิญมาในงานเลี้ยงขอบคุณลูกค้าวันนี้“ได้เจอกายวันนี้ก็ดี พี่จะได้หมดห่วงยายกรีนไม่อยากปล่อยให้ไปไหนมาไหนตามลำพังเลยช่วงนี้ ดวงเขาไม่ค่อยจะดีเดี๋ยวเป็นนั่นเดี๋ยวเป็นนี่อยู่เรื่อยเชียวพักนี้ ไม่รู้จะเคราะห์ซ้ำกรรมซัดอะไรกันนักกันหนาสิ” พี่เบ็ตตี้เอ่ยนุ่ม ๆ ตามสไตล์คนมีเสน่ห์“หมายความว่ายังไงครับ?...หรือมีอะไรเกิดขึ้นกับยายกรีนที่ผมยังไม่รู้อย่างนั้นเหรอครับ” นายทหารหนุ่มเอ่ยถามอย่างนึกเป็นห่วงความปลอดภัยของน้องสาว“อะไรกัน...กายไม่ได้อ่านข่าวน้องบ้างเลยหรือไงฮึ” พี่เบ็ตตี้ทำหน้านิ่วมอง
เจ้าของโชว์รูมรถยนต์ส่งยิ้มทักทายก่อนรับไหว้พี่เบ็ตตี้ขณะเดินออกมาต้อนรับพวกเธอทั้งสี่ เกวลีเปิดยิ้มกว้างรีบทำความเคารพน้าสาวซึ่งเป็นเจ้าของโชว์รูม น้าสุภาคือน้องสาวเพียงคนเดียวของมารดาและเป็นคนที่ผลักดันเธอเข้าสู่วงการเพลงผ่านทางพี่เบ็ตตี้เพื่อนรุ่นน้องร่วมสถาบันนั่นเอง“สวัสดีครับพี่สุภา ไม่เจอกันนานแค่ไหนพี่ก็ยังสวยไม่เปลี่ยนเลยนะครับ” เบ็ตตี้ทำตาเล็กตาน้อยเอ่ยกระเซ้าเพื่อนรุ่นพี่เบา ๆ“ไม่ต้องมาหยอดคำหวานใส่พี่เลยเบ็ตตี้ เธอต่างหากที่ดูดีไม่มีเปลี่ยน ไม่แก่ขึ้นเลยนะจ๊ะคุณผู้จัดการดารา” สุภาพรเอ่ยพลางหัวเราะพลาง“สมัยนี้ใครจะมายอมแก่กันง่าย ๆ ละครับคุณพี่ ศูนย์ความงามโบทงโบท็อกซ์มีเปิดกันให้เกลื่อนทั่วทุกหัวมุมถนน...แต่ผมคงยังไม่จำเป็นต้องพึ่งมือหมอถ้าหลานสาวพี่จะไม่ดื้อขนาดนี้นะครับ” เบ็ตตี้อดเหน็บหลานสาวรุ่นพี่ไม่ได้“สรุปว่าเป็นความผิดของกรีนอีกแล้วเหรอเนี่ย” เกวลียกไหล่เบา ๆ“ตกลงจะยืนตากแดดคุยกันอีกนานไหมคะพี่เบ็ตตี้ ผิวกีย่าไม่ได้หนาทนแดดทนฝนอย่างคนบางคนหรอกนะคะ” กันยาปลายตามองเกวลีพร้อมเอ่ยด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดนิดหน่อยก่อนจะเบือนหน้าหนีสายตาตำหนิของผู้จัดการส่วนตัว“อย่างนั้น
เธอเพิ่งซึ้งใจว่าชีวิตบนถนนสายดนตรีห้าปีที่ผ่านมาไม่สามารถเปลี่ยนฐานะจำเลยสังคมของเธอได้ด้วยตำแหน่งศิลปิน ทุกคนพร้อมจะขุดคุ้ยความผิดในวันวานของเธอขึ้นมาวิจารณ์กันสนุกปากอีกครั้งเมื่อเธอประสบอุบัติเหตุขับรถชนต้นไม้ในเดือนก่อน แม้ว่าเธอจะโชคดีไม่ได้รับบาดเจ็บแต่เหตุการณ์ที่เกิดก็ทำให้เธอค่อนข้างมั่นใจว่านั่นไม่ใช่อุบัติเหตุธรรมดาแน่นอน ต้องมีใครบางคนจงใจกลั่นแกล้งเธอ“คนขับรถคันนั้นเป็นใคร...ใครกันแน่ที่แกล้งเราได้แรงขนาดนั้นได้” คิ้วเรียวขมวดปมอยู่กลางใบหน้าขณะนึกถึงบรรดาเพื่อนร่วมวงทั้งสามที่ศรศิลป์ไม่ค่อยกินกันสักเท่าไหร่ด้วยอาการครุ่นคิดยายหนูนิ่ม นริศราหลานสาวนอกไส้จอมแบ๊วของณกุล เจ้าของค่ายเพลงที่ปลุกปั้นวงชูการ์บีทขึ้นเพื่อหล่อน หนูนิ่มผู้ที่มีกริยานุ่มนิ่มสมชื่อกับท่าทางไร้เดียงสาซึ่งเธอมองว่านั่นคือการเสแสร้ง เกวลีเชื่อไม่ลงจริง ๆ ว่านริศราจะใสซื่ออย่างที่หล่อนพยายามทำมาตลอดเจ็ดปีในเมื่อหลายครั้งเธอสัมผัสได้ถึงกระแสความอิจฉาจากนัยน์ตาของนริศรายามเจ้าหล่อนเผลอมองเธอทุกครั้งที่ณกุลเอ่ยปากกับเธออย่างสนิทสนมหรือเอ่ยปากชื่นชมในความสามารถของเธอหรือจะเป็นยายกันยาลูกสาวเศรษฐีณีชาวสุพ
สังคมลงทัณฑ์เธอด้วยการประณามในความผิดที่เกิด เยาวชนผู้ที่ทุกคนลงความเห็นว่าไร้ซึ่งวุฒิภาวะไม่มีสิทธิ์อ้าปากโต้แย้งหรืออธิบายว่าเหตุการณ์ที่เกิดไม่ใช่ความผิดของตนแต่เพียงผู้เดียว แม้เธอจะยืนยันว่านั่นคืออุบัติเหตุก็ตาม ทว่าเสียงเล็ก ๆ ของเธอก็ไม่สามารถขจัดความเป็นเดือดเป็นแค้นแทนคู่กรณีที่เสียชีวิตของคนในสังคมไปได้ เธอจึงได้แต่ก้มหน้ายอมรับคำพิพากษาของสังคมอย่างกล้ำกลืน...ไม่มีใครเชื่อว่ามันคืออุบัติเหตุที่เกิดขึ้นจากความประมาทร่วมระหว่างเธอซึ่งเป็นจำเลยและคู่กรณีเมื่อคนตายไม่สามารถลุกขึ้นมาโต้แย้งหรือให้ปากคำใด ๆ ได้ ความยุติธรรมถูกทวงถามให้กับหนึ่งชีวิตที่สูญเสียด้วยการมอบความผิดให้กับอีกหนึ่งชีวิตที่ยังมีลมหายใจโดยไม่มีใครใส่ใจเลยว่าคนที่ยังมีลมหายใจอย่างเธอทรมานและเจ็บปวดเสียยิ่งกว่าต้องไร้ซึ่งลมหายใจมากสักเพียงใดสาวน้อยค่อย ๆ รวบรวมสติที่กระเจิดกระเจิงไปเพราะความฝันแสนร้ายกาจจากจิตใต้สำนึกซึ่งเน้นย้ำให้เธอซาบซึ้งความหมายของคำว่า “นรกในใจ” ได้อย่างลึกซึ้ง บาปที่เธอไม่ได้ตั้งใจก่อส่งผลกระทบต่ออีกหลายชีวิตที่เกี่ยวข้องกับผู้ตายซึ่งล้วนแล้วแต่รักและผูกพันกับผู้หญิงคนนั้น เธอฆ่าชีวิต
บ่ายวันหนึ่งกลางฤดูฝน...เจ็ดปีก่อนภายในห้องรับแขกขนาดใหญ่โอ่โถงประดับประดาเฟอร์นิเจอร์บ่งบอกรสนิยมและความมั่งคั่งของผู้เป็นเจ้าของสถานที่ได้เป็นอย่างดี กระเบื้องปูพื้นแผ่นเรียบสีงาช้างสะท้อนแสงดูมันเลื่อมน่ามอง แชนเดอเรียห้อยระย้าจากฝ้าเพดานเล่นระดับเพิ่มความหรูหราให้กับโซฟาราคาแพงที่ตั้งเข้ามุมเป็นระเบียบชิดผนัง สาวน้อยรูปร่างระหงกำลังนั่งหน้าตื่นอยู่บนโซฟา เธอวางโทรศัพท์ลงบนแป้นมือไม้สั่น ใบหน้าสวยซีดเผือดไร้สีสันของเลือดฝาดสืบเนื่องมาจากความเป็นห่วงเป็นใยในตัวมารดาหลังทราบข่าวจากเพื่อนบ้านที่เห็นเหตุการณ์และโทรมาแจ้งว่าพบมารดาของเธอประสบอุบัติเหตุถูกรถจักรยานยนต์ชนในตลาดขณะจะเดินทางกลับบ้านร่างเพรียวระหงในชุดลำรองสมวัยด้วยเดรสตัดต่อกำมะหยี่สีไวน์เข้ารูปยาวเลยเข่าเล็กน้อยแต่งปกด้วยลูกปัดเงินวาว ผมหยักศกเป็นลอนสีน้ำตาลอ่อนถูกมัดรวบครึ่งศีรษะดูน่ารักสดใสขัดกับใบหน้ารูปไข่ดูมีวิตกจนไม่สามารถอำพรางซ่อนเร้นความกังวนที่ฉายชัดผ่านดวงตากลมวาวไว้ได้เด็กสาวพยายามรวบรวมสติกวาดสายตามองสภาพพี่ชายที่เมาไม่เป็นท่าอยู่ท่ามกลางกลุ่มเพื่อนนักเรียนนายทหารที่พากันมาตั้งวงปาร์ตี้กินเหล้ากันตามประสา