“อะไรนะ”
เสียงคุณรุจีรัตน์แหลมขึ้น หากก็ยังเบาอยู่
“น้องไม่ชอบงานของครอบครัว ผมว่าเราไม่ควรบังคับนะครับ ยังไงก็มีผมกับพี่ปัฐทำอยู่แล้ว แล้วอีกไม่นานพอน้องนางจบโทกลับมา ก็จะมาทำงานด้านดีไซน์ให้เราอยู่แล้วด้วย ถึงน้องก้อยไม่ทำ ก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรนะครับ”
“นายกลาง”
ปัฐวิกรปรามน้องชาย หากแต่อีกฝ่ายยังไม่หยุดพูด
“น้องก้อยชอบนาฏศิลป์ ให้น้องไปทำงานที่น้องรักเถอะนะครับ แค่ผมกับพี่ปัฐต้องทิ้งงานของตัวเองมาช่วยที่บ้านก็พอแล้ว อย่าฝืนใจน้องเลยนะครับ”
คุณรุจีรัตน์หันไปมองลูกสาวคนเล็กน้อยสีหน้าไม่พอใจ หากก็ไม่ได้ดูโกรธเกรี้ยวแต่อย่างใด ด้วยรู้ว่าลูกสาวคนนี้ไม่มีความสามารถด้านแฟชั่นเช่นลัลนา ส่วนคุณชายพงศกรมองนิ่ง แววตาเต็มไปด้วยความเห็นใจเมื่อเห็นลูกสาวคนเล็กเริ่มน้ำตาคลอ
“จริงเหรอหนูก้อย”
คุณชายถามสั้นๆ
กัญญานันมองผู้เป็นพ่อตรงๆ พร้อมกับพยักหน้าและรับคำเบาๆ
“ค่ะคุณพ่อ”
“ถึงจะไม่ชอบ แต่จะบอกว่าไม่อยากทำมันก็ไม่ถูกนะคะคุณชาย เพราะยังไงนี่ก็เป็นงานของทางบ้าน แล้วครอบครัวเราก็กำลังแย่ จะมีเงินที่ไหนให้ยายก้อยเอาไปลงทุนเปิดโรงเรียนกับเพื่อน ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะไปรอดไหม สมัยนี้ไม่มีใครเขาสนใจเรื่องพวกนี้กันแล้วนะคะ รุจีคิดว่ามันจะมีแต่ล้มไม่เป็นท่าน่ะสิคะ ทำงานของเราเองไม่ต้องลงทุนอะไรก็ดีอยู่แล้ว ถึงไม่ได้เราก็ไม่เสียด้วย เพราะเอาเข้าจริงยายก้อยก็คงทำอะไรไม่เป็นกับเขาอยู่แล้ว ตอนเรียนรุจีก็แย้งแล้วว่าไม่ให้เรียนนาฏศิลป์ จบมาจะไปทำอะไร คนที่ทำเป็นแต่เต้นกินรำกินอย่างยายก้อยจะไปสมัครงานที่ไหนก็ไม่ได้”
ลูกสาวคนเล็กของบ้านได้แต่ก้มหน้าลงอย่างเศร้าๆ กับคำพูดของผู้เป็นแม่ ขณะที่พี่ชายต่างก็เงียบด้วยความสงสารกัญญานัน แล้วในที่สุดคุณชายพงศกรก็เอ่ยขึ้นมา
“พ่อจะตามใจหนูก้อย แต่อย่างที่บอกว่าบ้านเรากำลังมีปัญหาหนัก ซึ่งปัญหามันมาจากพ่อเอง พ่อไม่อยากให้หนูก้อยต้องมาลำบากรับภาระของเราหรอก แต่เราอาจจะไม่มีเงินทุนให้หนู”
“ก้อยมีเงินเก็บค่ะ ก้อยจะไม่รบกวนทางบ้าน”
หญิงสาวเอ่ยขึ้น
“พ่อจะเล่าที่มาที่ไปปัญหาของบ้านเราให้หนูก้อยฟังเป็นข้อคิด แล้วก็ขึ้นอยู่กับลูกว่าจะตัดสินใจยังไง เพราะพ่อเองก็อยากให้ลูกได้ทำในสิ่งที่รัก แต่พ่อก็กลัวว่ามันอาจจะไปไม่ถึงจุดหมาย เพราะบางทีการลงทุนก็ไม่ได้ราบรื่นอย่างที่เราหวัง”
หลังจากเกษียณเมื่อห้าปีก่อน คุณชายไม่อยากอยู่ว่างๆ จึงลงทุนอสังหาริมทรัพย์กับเพื่อนเก่า ทั้งยังเล่นหุ้นตามคำชวนอีก ทุกอย่างดูเหมือนจะไปได้ดี ทว่าหกเดือนผ่านไปกลับไม่เป็นตามนั้น หุ้นดิ่งลงเหว เงินที่ร่วมลงทุนก็สูญเพราะอีกฝ่ายเงียบหาย งานด้านอสังหาริมทรัพย์ไม่เดินหน้า ทุกคนที่ติดต่องานโทรตามกับเลขาคนสนิทของคุณชายซึ่งทำหน้าที่เป็นทนายของตระกูล โดยทนายไม่เคยเปิดเผยชื่อคุณชายให้ใครได้รับรู้ สุดท้ายคุณชายก็ต้องรับผิดชอบค่าเสียหายที่มีทั้งหมด แม้ทนายจะช่วยหาทางค่อยๆ ผ่อนผันได้ แต่จำนวนเงินก็มหาศาล
ประจวบกับที่ธุรกิจของคุณรุจีรัตน์เริ่มขาลง ลูกชายทั้งสองคนต้องเข้ามาช่วยงาน ทั้งคู่พยายามทำได้ดี ทว่าเงินของคุณชายหมด ที่ทางที่มีก็ขายเกลี้ยงจนฐวิกรเริ่มสงสัยจึงเค้นเอากับทนายความทำให้รู้ถึงปัญหาของผู้เป็นพ่อ พวกเขาไม่ต้องการให้สิ่งที่ตกทอดมาจากบรรพบุรุษหมดไป จึงใช้เงินของแบรนด์จิวเวลรี่มาส่งทยอยชดใช้หนี้ และหมุนวนเวียนจนปวดหัวในช่วงสองปีที่ผ่านมา จนถึงตอนนี้ก็ยังชักหน้าไม่ถึงหลัง ทำได้เพียงดึงส่วนนั้นโปะแทนส่วนนี้ไปเรื่อยๆ
กัญญานันได้ฟังก็อึ้งจนพูดไม่ออก ความรู้สึกบีบคั้นมากมายกดทับตัวเต็มไปหมด ทั้งตกใจ เสียใจ สับสน ทางบ้านเดือดร้อนมาก แต่ตนเองไม่เคยรับรู้มาก่อน ทั้งยังใช้เงินอย่างมีกินมีใช้มีความสุข ไม่เคยลำบาก เธอทั้งซาบซึ้งกับสิ่งที่ครอบครัวพยายามประคับประคอง ในเวลาเดียวกันก็รู้สึกผิด เป็นอย่างนี้แล้วเธอจะละทิ้งภาระที่กำลังหนักอึ้งของทางบ้านได้อย่างไร
เธอกับเพื่อนๆ แพลนงานของตัวเองมาตั้งแต่ยังเรียนไม่จบด้วยซ้ำ ตอนนี้ก็เป็นรูปเป็นร่างมากแล้ว ที่สำคัญคือ โรงเรียนของเธอไม่ได้เปิดสอนที่กรุงเทพฯ ทว่าเธอกลับรู้สึกไม่พร้อมที่จะทิ้งครอบครัวไปอยู่ที่ต่างจังหวัดด้วยซ้ำ
“ว่าไงฮึ ยายก้อย คราวนี้ยังอยากจะทิ้งคุณพ่อ ทิ้งแม่ แล้วก็ทิ้งพี่ๆ ของเราไปทำงานที่รักของตัวเองอยู่อีกไหม”
ผู้เป็นแม่เอ่ยขึ้นราวมานั่งอยู่ในใจ ขณะที่กัญญานันถึงกับพูดไม่ออก
“ถ้ายังไม่รู้จะตัดสินใจยังไง ไปคิดดูก่อนก็ได้ พี่บอกแล้วว่าอยากให้น้องก้อยพักก่อน ยังไงก็ยังมีเวลาอีกสักพัก”
ปัฐวิกรบอกอย่างใจดี แต่เขาตัดสินใจแทนน้องสาวไปแล้วว่าเธอจะต้องเลือกทำงานกับครอบครัว เขาไม่เห็นด้วยกับการไปทำงานต่างจังหวัดของเธอ พี่ชายคนโตรู้เรื่องนี้เพราะน้องสาวเลือกจะปรึกษากับเขาเป็นคนแรก หากเขาก็บอกปฏิเสธทันทีด้วยความเป็นห่วงไม่อยากให้น้องไปอยู่ห่างไกลยากเกินที่จะดูแลถึง
“นั่นสิ หนูก้อยคิดดูก่อนก็ได้ลูก”
คุณชายพงศกรสำทับเพราะเห็นท่าทางสับสนของลูกสาวคนเล็กแล้วอดเห็นใจไม่ได้
ทางด้านกิตติกรที่สนับสนุนน้องสาวมาตลอดได้แต่เอื้อมมือโอบไหล่บางลูบเบาๆ อย่างให้กำลังใจ ส่วนคุณรุจีรัตน์ก็ยิ้มกริ่มแล้วเอ่ยย้ำคล้ายเตือนสติ
“คิดให้ดีนะจ๊ะลูกรัก”
“น้องก้อยน่ะคิดดีอยู่แล้วครับ ผมว่าคุณแม่น่าจะห่วงน้องนางมากกว่า รายนั้นรู้เรื่องขึ้นมาคงช็อกน่าดู แถมน่าจะโวยวายเพราะกลัวตัวเองจะไม่มีเงินเอาไว้ช็อปปิ้งแล้วก็สังสรรค์ทำตัวหรูหรา”
“ตายแล้วตากลาง ทำไมไปว่าน้องอย่างนั้นฮึ”
“ผมพูดจริงนะครับ คุณแม่ก็เห็นว่าน้องนางไปเรียนใช้เงินหมดแต่ละเดือนเยอะแค่ไหน ผมยังใช้ได้ตั้งสามสี่เดือนแน่ะ”
“เอ๊ะ น้องเป็นผู้หญิงนี่ลูก ผู้หญิงมีของใช้เยอะกว่าผู้ชายก็อย่างนี้แหละ”
ผู้เป็นแม่ยังปกป้องลูกสาวสุดที่รักเช่นเดิมจนกิตติกรคร้านจะแย้งจึงได้แต่ถอนหายใจ แล้วลงมือทานอาหารที่ดูเหมือนจะเย็นชืดจากเรื่องเครียดที่พูดคุย แต่คุณรุจีรัตน์เหมือนจะนึกอะไรขึ้นมาได้ เธอหันไปเอานิตยสารที่หยิบติดมือลงมาเพื่อจะถามลูกชายคนกลางถึงรูปที่ตนเองสะดุดและสนใจ เมื่อเปิดเจอหน้าที่ต้องการก็ยื่นข้ามฝั่งมาตรงหน้ากิตติกร
“คนนี้เป็นเพื่อนลูกกลางหรือเปล่าคะ”
ชายหนุ่มกวาดสายตาลวกๆ ก่อนจะตอบรับ
“ครับ”
เนื้อหาข่าวเกี่ยวกับงานส่งเสริมวัฒนธรรมไทยที่เขาไปกับกัญญานันแล้วบังเอิญได้เจอกับเปรมินทร์เมื่อสองอาทิตย์ก่อน ดูจากภาพที่เขากับเพื่อนตบไหล่กันแล้วกิตติกรก็จำได้ทันที
“อุ๊ย...จริงเหรอลูก ดีจริง นี่รู้ไหมว่าเจ้าปัทมาดารากับแม่น่ะเคยเป็นเพื่อนร่วมโรงเรียนคอนแวนต์เดียวกันมาก่อนนะลูก ไม่คิดเลยว่าลูกๆ จะได้มาเป็นเพื่อนกัน เห็นในข่าวเขาว่าเจ้าเป็นเจ้าของไร่ใหญ่โตในเชียงรายเลยนะลูก กินเนื้อที่ภูเขาตั้งสองสามลูกแน่ะ แถมยังเป็นเจ้าของเหมืองแร่ชื่อดังทางภาคตะวันตกด้วย”
“คงงั้นมั้งครับ ผมไม่ทราบ ไม่เคยถามไอ้มินทร์มัน”
คุณรุจีรัตน์ยิ้มกว้างอย่างสนอกสนใจตัวอักษรที่บรรยายในนิตยสาร หัวข้อที่ว่า‘หนุ่มหล่อทายาทเจ้าปัทมาดาราปรากฏตัวพร้อมทายาทคุณชายพงศกร’
“เรียกกันแบบนี้ สนิทสนมกันมากไหมจ๊ะลูก...ตากลาง”
“ก็...พอสมควรครับ”
อยู่ๆ ผู้เป็นแม่ก็เอื้อมมือข้ามโต๊ะมาจับมือเขาเขย่าเบาๆ สีหน้าไม่ปกปิดความสนใจ ทำเอากิตติกรอดขมวดคิ้วไม่ได้ แต่คำถามต่อมากลับทำเอาเขาอึ้งยิ่งกว่า
“แล้วพอจะรู้สเปกเพื่อนคนนี้หรือเปล่าจ๊ะ”
ไม่เพียงแค่กิตติกรเท่านั้น คนบนโต๊ะที่เหลือต่างก็มองคุณรุจีรัตน์เป็นตาเดียว พร้อมกับที่ท่านเอ่ยประโยคสุดท้ายออกมา
“ลูกคิดว่าอย่างน้องนางนี่สเปกคุณเปรมินทร์ไหมจ๊ะ”
=====
“ไม่รู้สิคะ รู้แต่ว่าเธอไม่เคยโกรธหรือเกลียดคุณ ไม่เคยมองคุณในแง่ร้าย แต่เธอเจ็บปวดที่รู้ว่าคุณทำให้เธอเสียใจ”นิ่งไปชั่วอึดใจก่อนที่เปรมินทร์จะค่อยๆ คลี่ยิ้มที่มุมปากแล้วบอก“นางฟ้าคนนั้นรักผมเข้าให้แล้วล่ะ”กัญญานันก้มหน้างุดลงอย่างขัดเขิน เมื่อเห็นแววตาคู่คมวาววับราวกับล้อเลียน ทั้งที่ยังอยู่ในอารมณ์โศกเศร้าแท้ๆ แต่ก็เข้าใจว่าเปรมินทร์คงอยากให้เธอสบายใจขึ้น“เฮ้อ...ทำหน้าแบบนี้เดี๋ยวผมก็ห้ามใจไม่ไหวอีกนะ”อีกฝ่ายถอนหายใจออกมา แล้วก็จูบประทับหนักหน่วงเนิ่นนานบนกลีบปากสวยจนเธออ่อนระทวยอีกครั้ง ทว่าหญิงสาวยังไม่ลืมว่าชายหนุ่มพามาดูอะไร เมื่อปรือตาขึ้นมาพร้อมกับที่ใบหน้าคมคายผละออกไป เธอก็เงยหน้าขึ้นไปด้านบน แสงบางอย่างที่ร่วงลงอยู่ท่วมกลางท้องฟ้ามืดมิดดึงความสนใจของเธอให้หันมอง ร่างบอบบางถลันออกไปชะเง้อคอมองนอกเต็นท์“ฝนดาวตก”ดาวหลายดวงทยอยตกจากท้องฟ้าที่มุมหนึ่ง ทำให้กัญญานันตาวาว พูดโดยไม่หันกลับไปมองคนที่ขยับมานั่งกอดซ้อนหลังเธอ“นี่ใช่ไหมคะที่คุณพาก้อยมาดู”“อืม”เปรมินทร์ตอบรับด้วยอารมณ์เซ็งๆ“แต่ผมชักอยากรักคุณมากกว่าดูฝนดาวตกนี่แล้ว”ชายหนุ่มบ่นพึมพำกับตัวเองก่อนจะวางคางของตนบ
ทั้งสองเซ่นไหว้ตรงจุดที่เกิดอุบัติเหตุของเจ้าปัทมาดากับคุณเฮนรี่ ก่อนจะย้อนกลับขึ้นมา เดินลึกเข้าไปด้านในยังจุดที่เกิดเรื่อง และกัญญานันก็วางฟ้ามุ่ยสีขาวไว้ตรงพื้นที่ที่เปรมินทร์บอกว่าฝังมอมแมมเอาไว้ จากนั้นชายหนุ่มก็ขอไปตรวจเอกสารที่ออฟฟิศกับดูงานที่ไร่โดยพากัญญานันออกไปในไร่กับตนเองด้วย แม้ว่าตอนแรกเขาจะห้ามเพราะกลัวเธอจะเจ็บขามากขึ้น แต่หญิงสาวบอกว่าเธอยังไม่เคยเห็นไร่ภูศรีจันอย่างแท้จริงเลยสักครั้ง ชายหนุ่มจึงต้องพาหัวหน้าฝ่ายบัญชีกับเลขาไปด้วยเพื่อให้ดูแลและเป็นเพื่อนเธอ รวมทั้งคอยอธิบายเกี่ยวกับสิ่งต่างๆ ตอนที่เขาตรวจงานในไร่ ทั้งคู่อยู่ที่ไร่กระทั่งเย็นจึงกลับขึ้นภู“ทำไมคุณถึงให้ลุงมั่นกางเต็นท์ให้เราล่ะคะ”กัญญานันพูดเสียงสั่นด้วยความหนาวหลังจากถูกคะยั้นคะยอให้ออกมายังจุดชมวิวด้านนอก เมื่ออาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเตรียมตัวจะเข้านอน“ผมอยากให้คุณดูอะไรบางอย่างด้วยกันหน่อยน่ะ”ชายหนุ่มบอกแล้วรูดซิปเต็นท์ให้หญิงสาวเข้าไปด้านในก่อน แม้ด้านนอกจะมีกองไฟที่ให้คนขับรถคนใหม่จุดไว้แต่ก็ไม่ช่วยไล่ความหนาวเหน็บได้ ดีหน่อยที่พอไล่ยุ่งได้บ้าง“ดูข้างในไม่ได้เหรอคะ”“เราต้องดูบนท้องฟ้า”เมื่อท
“ผมรักก้อย”เสียงทุ้มพึมพำซ้ำแนบขมับชื้นเหงื่อของเธอ ตามมาด้วยรอยจูบหนักๆ“ที่สำคัญ...ผมรักหัวใจของคุณ หัวใจที่ดีงามเหมาะสมอย่างที่เจ้าแม่ผมเคยพูดเอาไว้ ท่านเคยบอกว่าผมจะรักคุณ แล้วผมก็รักจริงๆ แถมยังหลงด้วย หลงมากกก”พร้อมคำพูดเปรมินทร์ก็อุ้มร่างอรชรมานอนทับบนร่างแกร่ง ผิวเนื้อนุ่ม อกอวบอิ่ม ร่างสาวบดเบียดลงมาหาชายหนุ่มอย่างไม่อาจเลี่ยงได้ กัญญานันเหมือนถูกดูดพลังงานไปจนหมด ไม่หลงเหลือแรงขัดขืนเขาด้วยซ้ำ“หลง แต่ชอบทำร้าย ชอบแกล้งเนี่ยนะคะ”มือบางตีอกกว้างเบาๆ เนื้อตัวเธอรู้สึกถึงมัดกล้ามเต็มแน่นช่วงหน้าท้องแกร่งและทั่วทั้งตัวของคนใต้ร่างเลยทีเดียว ใบหน้าหวานจึงออกอาการเขินอายเมื่อเห็นตาคมจ้องมาด้วยแววชอบอกชอบใจ“นี่เขาเรียกทำรักต่างหาก”เปรมินทร์ไม่บอกเปล่า แถมมือหนายังกดสะโพกเธอเข้าหาตัวเองซ้ำอีกจนกัญญานันต้องห้ามเสียงสั่น“อื้อ...ไม่เอาแล้วนะคะ”“เถอะน่า อีกครั้งหนึ่ง”“พอเถอะค่ะ ก้อยเหนื่อย”กัญญานันส่งสายตาขอร้องเต็มที่ เธอเพลียอยากนอนจะแย่อยู่แล้ว แต่อีกฝ่ายกลับมันเขี้ยวอยากฟัดคนตัวเล็กมากกว่าจะอยากหยุด เพราะไม่ว่าหญิงสาวจะมองแบบไหนเปรมินทร์ก็รู้สึกเหมือนเธอกำลังเชิญชวนเขาทุกท
คนถูกฉุดรั้งชะงักด้วยความงุนงงกับอารมณ์ร้อนแรงของตน และคำพูดกำกวมของอีกฝ่าย ร่างอรชรหอบหายใจระรัว เพิ่งรู้ว่าเธอเหนื่อยหนักขนาดนี้ ทว่าก่อนจะถามอะไรชายหนุ่มก็พลิกกายให้เธอลงไปนอนใต้ร่างขณะมือก็ปลดเสื้อนอนเธอออกไปพร้อมกัน ไม่ลืมที่จะดึงปิ่นออกจากผมสลวยจนสยายแผ่บนที่นอนอย่างน่าหลงใหล“ผมอยากบอกรักคุณก่อน”“คะ?”ดวงหน้าหวานเหลอหลาด้วยความแปลกใจกับคำรักที่ออกมาจากปากเขาแสนง่าย หากแรงพิศวาสที่โหมอยู่ยังไม่ถูกปลดปล่อย สมองเธอจึงทำงานช้า ความสนใจอยู่ที่มัดกล้ามแน่นตึงบนเรือนกายกำยำที่ค่อยๆ อวดต่อสายตา เพิ่งเป็นครั้งแรกที่เธอกล้ามองเขาตรงๆ ไม่แปลกใจเลยว่าเพราะอะไรผู้หญิงต่างก็หลงใหลได้ปลื้มสามีตนเองขณะเดียวกันร่างสูงที่ผละไปถอดเสื้อผ้าของตนก็จับจ้องผิวขาวนวลผ่องที่เผยพร้อมเรือนกายงามสล้างไม่วาง ตาคมคู่ดุกวาดมองขึ้นลงซ้ำแล้วซ้ำเล่าอย่างครึ้มใจที่ตนเองได้เป็นเจ้าของความงามลออตาตรงหน้า ความภาคภูมิใจปะปนความรักหลงอัดแน่นอยู่ในอก เพราะได้ครอบครองทั้งเรือนร่างสวยกับหัวใจที่ดีงามของกัญญานัน“ผมรักทุกอย่างที่เป็นคุณ ทั้งดวงตา แก้ม ริมฝีปาก...”หลังจากทั้งร่างเปล่าเปลือยใบหน้าคมก็เลื่อนลงกระซิบพร้อม
กัญญานันไปส่งครอบครัวพร้อมกับเปรมินทร์และพี่ชายที่เชียงใหม่ แม้เธอจะบอกให้อีกฝ่ายพักผ่อนหลังจากทำแผลแล้ว แต่สุดท้ายเปรมินทร์ก็ยังเกาะติดภรรยาของตนไม่ยอมห่าง ส่วนทางด้านเพ็ญลงไปพักกับพ่อแม่ของตนในไร่ชั่วคราว กำลังอยู่ในช่วงคิดและพักใจ บนภูจึงมีสองสาวน้อยและคนขับรถซึ่งค่อนข้างมีอายุหน่อยของไร่กับภรรยาขึ้นมาอยู่แทน หากเพ็ญกลับมาก็ไม่มีปัญหาอะไร นอกจากมีแม่บ้านดูแลเพิ่มขึ้น เปรมินทร์ยินดีรับคนขับรถที่แต่งงานแล้วและมีอายุหน่อยมากกว่าคนโสด“ทานยาหรือยัง ข้อเท้าคุณเจ็บมากขึ้นอีกหรือเปล่า”เปรมินทร์ถามเมื่ออาบน้ำออกมาเห็นคนตัวเล็กกำลังนวดข้อเท้าอยู่“ทานแล้วค่ะ แค่เจ็บนิดหน่อย ไม่เท่าตอนที่เกิดเรื่องหรอกค่ะ”หมอในไร่ตรวจข้อเท้าให้หญิงสาวเพิ่มเติมหลังทำแผลให้ชายหนุ่ม แม้จะบอกว่าไม่ได้กระทบกระเทือนมากนัก“ผมนวดให้นะ”ร่างสูงใหญ่ขยับไปนั่งที่เตียงอย่างรวดเร็วพร้อมกับเข้าไปใกล้คนตัวหอม แต่กัญญานันกลับส่ายหน้า“ได้ยังไงคะ มือคุณมีแผลอยู่”“ผมใช้มือซ้ายนวดให้”อีกฝ่ายยังพยายามจนเธอระอา แต่ก็ยังไม่ยอมอยู่ดี“ฉันนวดเองได้ค่ะ ว่าแต่คุณน่ะ ให้แผลโดนน้ำหรือเปล่าคะ มาให้ก้อยดูหน่อย”“คุณพูดว่าก้อยกับผมก็
“คุณพ่อกับคุณแม่จะกลับกรุงเทพฯ แล้วน่ะ แต่อยากขึ้นมาบนภู แล้วก็มาหาเราก่อนกลับด้วย”กิตติกรเป็นฝ่ายบอกเมื่อพบหน้าน้องสาว หญิงสาวเชิญทุกคนไปยังโต๊ะอาหาร ขณะที่เปรมินทร์เองก็มาถึงพอดี เขากำลังจะก้าวเข้าห้องอาหารขณะได้ยินประโยคคำพูดของคุณรุจีรัตน์“แม่กับคุณชายอยากมาไหว้เจ้ากับคุณเฮนรี่ ตรงที่ที่เกิดอุบัติเหตุด้วยน่ะ เห็นว่าเราเกิดเรื่องใกล้ๆ แถวนั้น คงเพราะเจ้าช่วยคุ้มครองเราถึงรอดมาได้ แม่อยากขอบคุณเจ้า”เปรมินทร์หน้าตึงขึ้น แต่ก็พยายามทำใจให้เย็นเข้าไว้ พยายามทำตัวให้เป็นคนมีเหตุผล ยกมือสวัสดีผู้ใหญ่ทั้งสอง และไม่วายปรายตามองลัลนาเล็กน้อยก่อนจะเดินเข้าไปโอบไหล่บางของภรรยา หอมแก้มนวลแล้วยิ้มให้เมื่อเธอหันมาทำตาดุใส่ ก่อนจะนั่งลงข้างๆ“งั้นเดี๋ยวก้อยจัดเครื่องเซ่นไหว้ให้นะคะ”“ไม่เป็นไรลูก แม่เตรียมทุกอย่างแล้วก็แวะไหว้เรียบร้อยแล้วจ้ะ”“อย่างนั้นเหรอคะ”กัญญานันหน้าจ๋อยไป เปรมินทร์จึงหันไปโอบไหล่พร้อมบอกเบาๆ“ถ้าคุณอยากขอบคุณเจ้าแม่ เดี๋ยวผมพาไปใหม่ก็ได้”“ใช่จ้ะลูก เดี๋ยวหนูไปอีกครั้งกับคุณมินทร์ก็ได้ แม่กับคุณชายแล้วก็น้องนางจะกลับกันวันนี้ ไฟลต์เที่ยงน่ะจ้ะ แม่เลยรีบจัดการทุกอย่างให