ย้อนกลับไปเมื่อสองปีก่อนหน้า ตอนโชคชะตาได้พาให้เธอได้มาพบเจอกับแพรนัชชา พี่สาวแสนดีที่แก่กว่าเธอประมาณสามปี สองปีก่อนตอนที่เธอเลือกมาพักผ่อนกายใจในจังหวัดเชียงใหม่ ตอนนั้นเธอคิดว่าเธอจะต้องจากโลกนี้ไปแล้วเพราะถูกรถชนกระเด็นไปข้างถนน วันนั้นเป็นวันที่เธอนอนเจ็บปวดโอดโอยอยู่ข้างถนนเหมือนกับหมาตัวหนึ่งและแล้วก็มีหญิงสาวใจดีเข้ามาช่วยเธอเอาไว้ก่อนที่เธอจะหมดสติไป
ตื่นขึ้นมาอีกครั้งในโรงพยาบาลเธอก็เห็นแพรนัชชานั่งเฝ้าเธออยู่ไม่ห่าง แล้วเธอก็ได้รู้ข่าวร้ายจนน้ำตาพรั่งพรูแทบจะเป็นสายเลือดเพราะเธอเสียลูกไปในอุบัติเหตุครั้งนี้
ตอนนั้นเสียใจจนแทบจะกินอะไรไม่ได้นอนไม่หลับจนต้องพึ่งแพทย์ที่รักษาอาการทางจิต และแล้วเธอก็ผ่านมาได้เพราะกำลังใจจากหมอพยาบาลและแพรนัชชา
หลังจากอาการของเธอเริ่มดีขึ้นก็ได้มีโอกาสคุยแลกเปลี่ยนเรื่องราวชีวิตกันและกันกับแพรนัชชา จากนั้นก็ได้รู้ว่าต่างคนก็ต่างเป็นเด็กกำพร้า ตัวแพรนัชชาเองรู้สึกสงสารในโชคชะตาของพิมริตาและเธอเองก็อยู่ตัวคนเดียวจึงตัดสินใจชวนพิมริตามาอยู่ด้วยกัน
พิมริตาตอบตกลงโดยไม่ใช้เวลาคิด เพราะชีวิตนี้อยากมีพี่น้องกับคนอื่นเค้ามานานแล้ว หลังจากนั้นมาพิมริตาก็มีกำลังใจที่จะมีชีวิตอยู่ต่อ เพราะสัญญากับแพรนัชชาว่าเธอจะเป็นคนใหม่
พิมริตาเลือกที่จะทิ้งศักดิ์ศรีเอาเช็กที่ภูตะวันให้เป็นค่าตัวไปขึ้นเงิน จากนั้นเธอก็เปิดร้านดอกไม้ตามที่เธอได้ฝันเอาไว้ ส่วนแพรนัชชาก็ยังคงทำงานประจำแต่ที่เปลี่ยนไปคือไม่เหงาเหมือนเดิมเพราะมีน้องสาวคนใหม่มาเติมเต็มความสุขให้กันและกันในทุกๆ วัน
พิมแขออกจากบ้านมาตั้งแต่เช้าเพื่อมาหาลูกชายถึงที่ทำงาน หากไม่มาที่นี่เธอก็คงจะไม่เจอหน้าภูตะวันแน่นอน รู้ได้จากที่เคยไปเยี่ยมที่บ้านหลายครั้งแต่ก็เจอเพียงแค่ลูกสะใภ้หรือไม่ก็ไม่เจอใครเลยสักคน หนำซ้ำยังติดต่อทางโทรศัพท์ได้ยากอีก
“แกก็แต่งงานกับหนูเมตั้งนานแล้วทำไมแกถึงไม่มีหลานให้ฉันซะที” พิมแขอยากจะอุ้มหลานเต็มแก่ อุตส่าห์ยกกิจการทั้งหมดให้ภูตะวันได้ดูแลเพราะเธอเตรียมตัวเต็มที่ที่จะเลี้ยงหลาน แต่รอแล้วรอเล่าก็ไม่มีวี่แววที่เธอจะได้อุ้มหลานเสียที ทั้งตอนนี้ยังรู้มาอีกว่าภูตะวันและเมทิกาไม่ค่อยได้อยู่ด้วยกัน เพราะเมทิกาเอาแต่เดินทางไปโน่นมานี่อยู่บ่อยๆ ส่วนลูกชายเธอก็ไม่คิดที่จะตามภรรยาเลยแม้แต่เครั้งเดียว
“ต่างคนต่างก็ยุ่งกับงานนี่ครับคุณแม่”
“ไม่ใช่ว่าแกกับหนูเมแยกกันอยู่ล่ะ”
ภูตะวันละมือจากเอกสารที่กำลังอ่าน เขาเงยหน้าจ้องมองแม่ตนด้วยสายตาไม่พอใจปนสงสัย “คุณแม่ตามดูชีวิตผมตลอดอย่างงั้นเหรอครับ”
“แกเป็นลูกคนเดียวของฉัน ฉันทำเพราะเป็นห่วงแก”
“ผมไม่ใช่เด็กๆ ที่จะให้คุณแม่มาจัดการชีวิตอีกแล้วนะครับ แค่ผมยอมแต่งงานกับเมตามคำสั่งของคุณแม่ก็มากพอแล้ว” พูดจบก็เดินหอบเอกสารออกไปหน้าตาเฉยโดยที่ไม่สนใจจะหันกลับมามองแต่ตนสักนิด เขาไม่ชอบที่แม่ทำอย่างกับเขาเหมือนเป็นเด็กในปกครองที่ต้องคอยดูแลกันทุกกระเบียดนิ้วทั้งที่เขาขึ้นมานั่งในตำแหน่งผู้บริหารโรงแรมยักษ์ใหญ่แล้ว
พิมแขได้แต่นั่งสงบอารมณ์เงียบๆ เธอไม่อยากโวยวายอะไรที่นี่เพื่อให้พนักงานได้เอาไปนินทา พอจะเห็นวี่แววแล้วว่าความสัมพันธ์ภูตะวันและเมทิการะหองระแหงแค่ไหน วันนี้เธอจะยังทำใจเย็นไปก่อน แต่ยังไงเธอจะไม่ยอมให้ลูกชายของเธอเลิกกันกับเมทิกา เพราะเมทิกาคือผู้หญิงคนเดียวที่คู่ควรกับลูกชายเธอมากที่สุด ลูกเธอจะต้องมีชีวิตการงานและครอบครัวที่ดีกว่าลูกของพิรมนภรรยาเก่าของสามีเธอหลายเท่า
ยิ่งคิดถึงตอนที่พิรมนมีความสุขกับเหล่าลูกๆ ทั้งสองเธอก็ยิ่งมีอารมณ์ขุ่นมัว อีกทั้งยังจำภาพตอนสามีเธออาลัยอาวรณ์พิรมนเธอก็ยิ่งเกลียดพิรมนมากหลายเท่า ทั้งที่เธอควรจะเป็นคนที่สามีใส่ใจมากที่สุดแต่เปล่าเลย ดีแล้วที่สามีเธอเสียไปเสียได้เธอจะได้ไม่ต้องทนเจ็บปวดใจเมื่อรู้ว่าสามีของเธอพยายามตามง้อขอคืนดีกับเมียเก่าอย่างพิรมน
ที่เธอทำทุกอย่างก็เพื่อให้พิรมนได้รู้ว่าเธอเอาชนะพิรมนทุกอย่างได้ ไม่ว่าจะเป็นชีวิตความเป็นอยู่ของตัวเองและของลูกชาย ความอยากเอาชนะพิรมนที่อยู่ในใจจึงยอมให้ภูตะวันเลิกกับเมทิกาไม่ได้ เพราะเชื่อว่าลูกชายของพิรมนยังไงก็ไม่สามารถหาภรรยาที่ดีกว่าเมทิกาไปได้แน่นอน
พิมริตาเดินถือช่อดอกทานตะวันและช่อดอกกล้วยไม้สีขาวที่จัดช่อสวยพร้อมกับชุดสังฆทานชุดใหญ่ออกมาหน้าร้านดอกไม้
“เดี๋ยวพี่มานะหนูนา”
“ค่ะพี่ริตา” นภาวรรณหญิงสาววัย19ปีมองตามหลังเจ้านายสาวที่สนิทสนมเหมือนพี่สาวคนหนึ่งด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความสงสาร เธอรู้ว่าวันนี้พิมริตาจะไปที่ไหนและจะไปทำอะไร
ชุดสังฆทานพร้อมช่อดอกกล้วยไม้สีขาวพิมริตาเอาไปทำบุญให้กับครอบครัวที่ล่วงลับไปแล้ว ส่วนช่อดอกทานตะวันนั้นพิมริตาตั้งใจถวายพระเพื่อระลึกถึงลูกในครรภ์ที่ไม่มีโอกาสได้มาลืมตาดูโลก ที่รู้เรื่องนี้ก็พราะพิมริตาเคยเล่าให้ฟังคร่าวๆ ถึงการจัดดอกไม้สองช่อเวลาไปทำบุญ
คิดๆ แล้วก็น่าสงสารเจ้านายสาวของเธอ ครอบครัวล้มหายตายจากไปไม่พอ สามีดันทิ้งแล้วก็ดันมาเสียลูกในท้องไปอีก ดีที่พิมริตาได้เจอกับแพรนัชชาไม่อย่างนั้นเธอไม่อยากจะคิดเลยว่าเจ้านายเธอจะว้าเหว่และหดหู่แค่ไหน ขนาดเธอมีพ่อแม่มีน้องสาวแต่เสียยายที่เลี้ยงมาตั้งแต่เด็กยังเสียใจไม่หายเลย
“แกต้องเอาหนูเมไปด้วย”
ภูตะวันรับสายแม่ตนได้ก็ต้องถอนหายใจ “ผมไปคนเดียวก็ได้ครับ แค่งานเลี้ยงต้อนรับพี่พอลเอง”
“ไม่ได้ แกมีเมียแล้วแกก็ต้องพาเมียแกไปด้วย ขนาดงานแต่งแกบ้านนั้นเค้ายังมาทั้งครอบครัวเลย หัดมีมารยาทหน่อยสิ”
“โอเคครับ แล้วผมจะชวนเมแล้วกัน แล้วคุณแม่ล่ะครับไม่ไปด้วยเหรอ”
“ช่วงนี้แม่เวียนหัวบ่อยไม่อยากเดินทาง ถึงได้อยากให้แกพาเมียแกไปงานนี้ด้วยไง ถ้าเมียแกไม่ไปฉันก็ไม่ไปคงน่าเกลียดแย่”
“ครับ” วางสายได้ก็มีสีหน้าเบื่อหน่ายเป็นที่สุดที่แม่ตนต้องเจ้ากี้เจ้าการกับชีวิตของเขาทุกเรื่อง ปกติแล้วแม่ของเขาไม่ชอบให้เขาไปบยุ่งกับบ้านของพิรมนเท่าไหร่ แต่ที่ยุให้เขาต้องพาเมทิกาไปด้วยคงไม่พ้นอยากจะให้เขาได้มีเวลาอยู่กับเมทิกามากขึ้น พูดง่ายๆ ก็คงอยากจะให้เขามีหลานให้แต่เรื่องนั้นคงเป็นไปไม่ได้จริงๆ
สองหนุ่มสาวในชุดนอนนั่งมองหน้ากันครู่หนึ่งแล้ว วันนี้แปลกไปกว่าทุกวันเพราะเจ้าตัวกลมได้ถูกแสงเดือนพาไปนอนด้วย เพราะอยากให้หลานทั้งสองได้มีเวลาสวีทกันได้เต็มที่หลังจากจดทะเบียนสมรสกันเรียบร้อยแล้ว“พอไม่มียัยหนูอยู่ในห้องด้วยมันก็แปลกๆ นะครับ”(ใช่ค่ะ หนูดีกลัวยัยหนูกวนคุณยายจังเลยค่ะ)“ผมว่าคุณยายผมรับมือได้ครับ อีกอย่างคุณยายน่าจะหลับฝันดีกว่าทุกคืนด้วย”(หนูดีว่าจะถามถึงคุณนิคค่ะ วันนี้ทำไมไม่เห็นคุณนิคเลยคะ) เธออยากจะขอบคุณโดมินิคที่คืนผ้าเช็ดหน้ามาให้เธอ แล้วก็ถือโอกาสขอโทษเขาด้วยที่เคยทำกิริยาไม่ดีใส่ แต่วันนี้กลับไม่เจอหน้ากันเสียอย่างนั้น“ไปตามหาหัวใจครับ”(คะ?)“ตามที่ผมบอกนั่นแหละครับ เราเลิกพูดถึงคนอื่นกันดีกว่า ผมมีอะไรจะให้คุณด้วย” พูดจบก็เดินเข้ามานั่งคุกเข่าตรงหน้าชนิตราที่นั่งห้อยขาอยู่ที่เตียงนอนใหญ่หญิงสาวนั่งตัวเกร็งเมื่อเห็นชายหนุ่มกำลังนั่งคุกเข่าโชว์แหวนเพชรเม็ดโตตรงหน้า เขากำลังจะขออะไรจากเธอเป็นการแลกเปลี่ยนกับแหวนวงนี้หรือเปล่า“ผมไม่รู้ว่าตอนนี้ผมสามารถเข้าไปอยู่ในหัวใจของคุณได้หรือยัง แล้วก็ไม่รู้ด้วยว่าในสายตาของคุณผมสามารถเป็นสามีที่ดีได้ไหม แต่ผมอยากจะบอ
ก๊อก ก๊อก ก๊อก เสียงเคาะประตูทำเซบาสเตียนหลุดภวังค์จึงลุกขึ้นเดินไปเปิดประตู“คุณยาย” มองหน้าหญิงชราหน้าตาตื่น ไม่นึกว่ายายของเขาจะเข้ามาหาในเวลานี้“ยายนอนไม่หลับ เลยจะมาดูหนูนาเสียหน่อยว่านอนรึยัง”“หลับไปได้สักพักแล้วครับ”“อ้าวเหรอ” แม้จะผิดหวังแต่อย่างน้อยเธอได้ดูหน้าของเหลนก่อนกลับไปนอนก็ยังดี คิดได้ดังนั้นก็ก้าวเข้าไปในห้องนอนตรงไปยังเปลสีหวานแล้วไปชื่นชมเจ้าตัวกลมที่หลับปุ๋ยน่ารักน่าชังราวกับตุ๊กตาด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความรักและเอ็นดู“เหมือนไม่มีผิด”น้ำเสียงที่เอื้อนเอ่ยออกมาแผ่วเบาทำเซบาสเตียนหันไปมองหน้าคนเป็นยายแววตาฉงน “เหมือนใครครับ”“เหมือนแม่แกน่ะสิ”เซบาสเตียนตกใจรวมไปถึงชนิตราด้วยอีกคน เพราะคิดมาตลอดว่ายัยหนูธารมิกาละม้ายคล้ายแค่คนเป็นพ่อกับลุงที่เป็นฝาแฝดของพ่อเท่านั้น“ตอนเด็กๆ แม่ผมหน้าตาแบบนี้เลยเหรอครับ” เขาจำได้ว่าเคยเห็นรูปของแม่แค่ช่วงที่แม่ของเขาเข้าวัยประถมแล้วเท่านั้น“ใช่” วินาทีที่เงยหน้าตอบหลานชาย พลันสายตาก็ไปเห็นผ้าห่มพร้อมหมอนบนโซฟา หลังจากนั้นคิ้วของหญิงชราก็เริ่มขมวดเข้าหากัน“อ่อแล้ว...นี่แยกกันนอนเหรอ?”“เปล่าครับ คือ... ผมกับหนูดีก็นอนบนเตียง
(เข้าใจแล้วค่ะ แล้วจะแก้ปัญหายังไงคะ)“เราเออออตามที่ท่านคิดไปก่อนได้ไหมครับ ท่านน่าจะอยู่ที่นี่ไม่กี่วัน อีกอย่างคุณยายจะได้สบายใจด้วยที่เห็นเราได้ลงเอยกันด้วยดีแล้ว”ชนิตราเงียบและครุ่นคิดเรื่องการแก้ปัญหาเงียบๆ ในเมื่อแสงเดือนเข้าใจว่าเธอกับเซบาสเตียนลงเอยกันด้วยดีแล้ว หากเธอไปบอกความจริงว่าตอนนี้ยังตกลงกันเรื่องสถานะความสัมพันธ์ของเธอและชายหนุ่มไม่ได้ก็คงจะทำให้แสงเดือนต้องมาเครียดกับเรื่องของพวกเธออีก(เอาอย่างงั้นก็ได้ค่ะ) สุดท้ายก็ตกลงที่จะทำตามที่ชายหนุ่มเสนอ หากแสงเดือนอยู่ที่นี่ไม่กี่วันการที่จะทำให้ผู้ใหญ่คนนึงสบายใจมันก็คงไม่ยากอะไรนัก“ดีครับ” เซบาสเตียนอมยิ้มกรุ้มกริ่มทั้งมองหญิงสาวที่กำลังเตรียมน้ำไปเสริฟให้ทุกคนที่ห้องนั่งเล่นด้วยสายตามีเลศนัย จะว่าไปการที่คุณยายของเขาเข้าใจผิดก็เป็นการดีเหมือนกัน เขาจะใช้จังหวะที่ได้อยู่ใกล้ชิดชนิตราตลอดเวลานี้นี่แหละ เพื่อทำคะแนนกับเธอ“นี่แม่พิม ได้ไปหาฤกษ์แต่งให้หนูดีกับตาเซบหรือยังล่ะ หรือเอาฤกษ์สะดวกเลยดีไหม แต่งซะวันนี้พรุ่งนี้เลยเป็นไง”พิรมนหน้าเจื่อนเพราะเธอยังไม่รู้เลยว่าตอนนี้ชนิตราและเซบาสเตียนจะสามารถลงเอยกันได้จริงๆ เม
เช้าวันใหม่เซบาสเตียนเริ่มทำหน้าที่พ่อที่ดีอย่างที่สัญญาเอาไว้กับชนิตราอย่างเต็มที่ เมื่อถึงเวลาที่ลูกสาวตัวกลมต้องดื่มนมเขาก็เลือกที่จะยื่นแก้วหัดดื่มแสนน่ารักให้กับเธอ เด็กหญิงทำหน้าฉงนแต่มือน้อยก็ยังรับของที่คนเป็นพ่อส่งให้ พร้อมกับเอื้อมมือหมายจะคว้าขวดนมตรงหน้า“ต่อไปนี้ก็ไม่ต้องใช้ขวดนมแล้วนะครับ หนูนาจะต้องใช้แก้วดื่มนมแทน เอาขวดนมมาให้คุณพ่อครับ” เซบาสเตียนยื่นมือขอขวดนมจากลูกสาว“ไม่เยา” เจ้าก้อนกลมส่ายหัวจนแก้มสั่น“หนูนาโตแล้ว เด็กที่โตแล้วเค้าไม่ใช้ขวดนมกัน เค้าใช้แก้ว แก้วสวยกว่าขวดนมครับ” เซบาสเตียนชี้ไปที่ตัวการ์ตูนม้าน่ารักสีชมพู ทั้งมองแก้วนั้นด้วยสายตาชื่นชม“หยอ?” เด็กหญิงวัยเกือบสองขวบเริ่มก้มมองทั้งแก้วหัดดื่มและขวดนมในมือ เมื่อชั่งใจครู่หนึ่งก็เริ่มส่งขวดนมคืนให้คนเป็นพ่อ“ใช่ครับ พ่อเอาไปทิ้งแล้วนะครับ”“ทิ้งเยยค่า เยาแก้วฉวย” เด็กหญิงตอบเสียงใสหน้าระรื่น พร้อมหันมาสนใจแก้วในมือโดยที่ไม่คิดจะหันกลับไปมองขวดนมอีกเลย หลังจากนั้นเซบาสเตียนจึงเริ่มสอนให้ลูกสาวของเขาได้หัดดื่มนมในแก้ว และมันก็ไม่ได้ยากอะไรนักสำหรับคุณพ่อมือใหม่อย่างเขา เพราะเคยเห็นลูกสาวตัวเองดื่มน้ำ
วันทั้งวันเซบาสเตียนง่วนอยู่กับการตั้งหน้าตั้งตาเลี้ยงลูก เขาพยายามเรียนรู้ทุกอย่างจากชนิตราเรื่องการเลี้ยงลูกอย่างละเอียด ไม่ว่าจะเป็นการชงนม การเลือกอาหารให้ลูก การล้างขวดนมรวมไปถึงช่วยอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าและกล่อมนอน ยอมรับว่าเหนื่อยและต้องละเอียดอ่อนกับทุกอย่างมากๆ แต่ทุกช่วงเวลาที่เขาได้อยู่ใกล้ชิดชนิตราได้ช่วยกันเลี้ยงลูกกับเธอมันเป็นเวลาที่เขามีความสุขมากวันนี้กว่าชนิตราจะกล่อมลูกให้นอนได้ก็เลยเวลานอนไปร่วมครึ่งชั่วโมง เพราะวันนี้ยัยหนูค่อนข้างติดเล่นเป็นพิเศษ เพราะมีเซบาสเตียนอยู่ด้วยตลอดเวลาวางเจ้าก้อนกลมในชุดนอนสีชมพูลงเปลได้เซบาสเตียนก็ยืนกอดอกอมยิ้ม เอ็นดูลูกสาวของเขาเหลือเกินที่พื้นที่เปลแทบจะไม่พอให้พลิกตัวแล้ว“อีกหน่อยคงต้องเปลี่ยนเปลแล้วใช่ไหม” เขาเงยหน้ามามองชนิตราที่เพิ่งห่มผ้าห่มให้ลูก(หนูดีว่าจะไม่ให้ลูกนอนเปลแล้ว แต่จะเปลี่ยนให้ลูกนอนเตียงแทน แล้วก็จะให้เลิกใช้ขวดนมด้วยค่ะ จะเปลี่ยนเป็นแก้วดื่ม)“แล้วผมต้องช่วยอะไรไหม หรือว่าต้องสอนอะไรลูกเป็นพิเศษ”(ช่วยสอนให้เค้าใช้แก้วดื่มนมเป็นก็พอค่ะ แล้วถ้าคุณเซบสอนภาษาลูกได้ก็เป็นเรื่องดีค่ะ)“ผมจะทำให้เต็มที่ ฝันดีนะคร
“ครับ” เมื่อทุกอย่างไม่เป็นไปดั่งใจเอริคก็เดินคอตกออกจากห้องทำงานของเจ้านายสาวไป เขาก็น่าจะรู้ตัวว่าตัวเองไม่ได้มีอะไรเทียบเคียงอลิซได้สักอย่าง แล้วเธออยากจะหันมามองหัวใจของเขาได้อย่างไรอลิซก้มหน้าหลับตาแล้วถอนหายใจเบาๆ ไม่ใช่ว่าเธอไม่รู้สึกอะไรกับเอริค เธอรู้สึกดีมากจริงๆ ที่มีชายหนุ่มคอยดูแลใกล้ชิด แต่เธอก็อยากจะให้มันอยู่ในระยะห่างแบบนี้ตลอดไป เพราะเธอกลัวว่าวันหนึ่งหากเธอเป็นคู่รักกับผู้ชายที่อายุน้อยกว่าหลายปี เธอจะต้องมานั่งเสียใจเพราะความรักอีก เธอแค่ปกป้องความรู้สึกตัวเองและไม่ได้ตัดสินใจอะไรผิดไปใช่ไหมพิรมนนั่งปลอบและอยู่เป็นเพื่อนชนิตราพักใหญ่ เมื่อเห็นว่าชนิตราพร้อมที่จะพูดคุยกับเธอแล้ว เธอก็เริ่มตะล่อมที่จะคุยเรื่องของเซบาสเตียน“รู้ใช่ไหมว่าตอนนี้ทุกคนรู้เรื่องของเรากับเซบแล้ว”ชนิตราพยักหน้า (หนูดีรู้แล้วค่ะว่าวันนั้นคุณเซบก็ไม่ได้ตั้งใจให้มันเกิดเรื่องแบบนั้น แต่ตอนนี้หนูดียังไม่พร้อมที่จะคุยอะไรกับเค้าจริงๆ ค่ะคุณแม่) เธอไม่อยากจะรื้อฟื้นเรื่องราวที่แสนเจ็บปวดในตอนนี้จริงๆ“แม่เข้าใจหนูดีทุกอย่าง แต่ตอนนี้แม่อยากรู้ว่าถ้าเซบจะขอทำหน้าที่พ่อให้หนูนา หนูดีจะว่ายังไง”(