Masukสถานการณ์ในเมืองหลวงยังเงียบสงบ ประชาชนทั้งมั่งคั่งและยากจนต่างใช้ชีวิตกันตามปกติ มิได้รับรู้ถึงความวุ่นวายที่กำลังดำเนินอยู่อย่างเงียบงันในวังหลวง และรอยต่อระหว่างแดนตะวันออกกับแดนเหนือ ก่อนฤดูหนาวกำลังจะมาเยี่ยมเยือนในอีกไม่นาน พระชายาฉีอ๋องได้จัดตั้งโรงทานข้างตำหนักเว่ยจง ทำการแจกจ่ายข้าวสารอาหารแห้งให้ชาวบ้านผู้ยากไร้ เพื่อให้มีพอประทังชีวิตในฤดูหนาวที่กำลังจะมาถึงในอีกไม่นาน เงินทองทุกอีแปะทุกตำลึง นางใช้สินเดิมของตนมาใช้จ่ายทั้งสิ้น คนอื่นๆจะได้ไม่กล้าพูดว่านางเป็นพวกบ้านนอก พอมีวาสนาได้แต่งกับอ๋องก็ผลาญทรัพย์สมบัติของเขาเพื่อเอาหน้า มู่ซูซินไม่อยากจะอวดว่านางน่ะสวยและรวยมากเลยนะ เผลอๆรวยกว่าฮ่องเต้สุนัขนั่นด้วยซ้ำ ฉีอ๋องเองก็หอบสังขารมานั่งหน้าซีดด้วยชาดแต่งหน้า ดูพระชายาคนงามแจกจ่ายอาหารแห้งให้กับชาวบ้านยากไร้ด้วยรอยยิ้มในดวงเนตร การได้ใช้ชีวิตร่วมกับมู่ซูซินมาระยะหนึ่ง ทำให้หัวใจที่เคยเหน็บหนาวและโดดเดี่ยว ค่อยๆสัมผัสถึงความอบอุ่นอ่อนโยน และความเอาใจใส่จากชายาตัวน้อยแสนงดงามของตน กำแพงสูงตระหง่านในจิตใจที่เคยมีไว้ปกป้องความรู้สึก ถูกคนตัวเล็กร่างนุ่มนิ่มทำลายลงด้วยการเคา
เมื่อก้าวขาลงจากรถม้าได้ร่างสูงก็พาพระชายาตรงเข้าห้องบรรทมทันที สั่งให้องครักษ์ที่ยืนเฝ้าออกไปยืนไกลๆ ในที่สุดเฟิ่งเสวียนจีก็ได้รับคำตอบ ว่าชายาตัวน้อยชอบการปรนนิบัติของเขาบนรถม้าหรือไม่ เสียงหอบกระเส่าเคล้าเสียงครางหวานผสานกับเสียงเนื้อกระทบกันดังขึ้นอยู่เกือบสองชั่วยาม คนตัวเล็กที่ถูกคนตัวโตจับกินราวผีหิวโหย นอนเกยแผ่นอกแกร่งด้วยความเหนื่อยอ่อนจนผล็อยหลับไป เฟิ่งเสวียนจีหลุบตามองร่างนุ่มนิ่มบนอก ดวงเนตรคู่คมวูบไหว หญิงสาวบอบบางน่าทะนุถนอมราวตุ๊กตากระเบื้องเช่นนี้ จะใช่นายน้อยเหว่ยซินผู้ทรงอิทธิพลรายนั้นหรือไม่ และหากไม่ใช่… ‘ลูกแมวน้อย เจ้าซ่อนความลับอะไรไว้กันแน่’ มือใหญ่ลูบแผ่นหลังเนียนนุ่มของชายาตัวน้อยแผ่วเบา ก่อนประคองนางลงจากอก ขยับตัวลุกขึ้นจากเตียงคว้าเสื้อคลุมมาสวม เดินออกจากห้องไปพบหานเย่ที่รออยู่ด้านนอก หานเย่ไม่รอให้นายเหนือหัวเอ่ยถาม รีบรายงานเรื่องรถม้าของนายน้อยเหว่ยซิน “วิ่งหายเข้าไปในตรอกข้างจวนเหว่ยตี้ แต่พอไปถามพ่อบ้านกลับบอกว่านายน้อยไม่อยู่จวน ไม่รู้ว่าจะกลับมาตอนไหนอย่างนั้นรึ” นี่นับเป็นครั้งที่สองแล้ว ที่นายน้อยเหว่ยซินปรากฏตัวในช่วงเวลาเดีย
เมื่อได้รับยาถอนพิษอัครมหาเสนาบดีเร่งฝีเท้ากลับมายังตำหนักหย่งเทียน ปล่อยให้มหาขันทีเจรจากับนายน้อยเหว่ยซินอยู่หน้าพระราชวัง “ได้ยาถอนพิษมาแล้วพะย่ะค่ะ” ซ่งเถียนเวยท่าทางตื่นเต้นมอบยาถอนพิษหลิงคุนให้ฉีอ๋อง ทว่าร่างสูงกลับถามขึ้นมาว่านายน้อยเหว่ยซินยังอยู่ที่หน้าวังหรือกลับไปแล้ว “ยังสนทนาอยู่กับมหาขันทีพะย่ะค่ะ” ครั้นได้ทราบว่าคนที่ตนเองตามหายังอยู่ร่างสูงรีบก้าวออกไปจากตำหนักหย่งเทียน ขอให้องครักษ์ไปตามหานเย่มาพบเขาเป็นการด่วน พอหานเย่มาถึงก็รีบสั่งการทันที “นายน้อยเหว่ยซินอยู่ที่หน้าวังหลวง สั่งให้องครักษ์เงาด้านนอกสะกดรอยตามอย่าให้คลาดสายตา ข้าต้องการรู้ว่าเขาซ่อนตัวอยู่ที่ไหน ให้คนติดต่อเย่เฟิงข้าอยากรู้ว่าพระชายาได้ออกมานอกตำหนักรึเปล่า” เฟิ่งเสวียนจีรู้สึกเหมือนตนเองกำลังวางแผนจับสายลับกบฏอย่างไรอย่างนั้น ตื่นเต้นจนเลือดลมสูบฉีดไปทั่วทั้งร่าง ฮ่องเต้ฮุ่ยจงที่เสวยยาหลิงคุนไปได้เพียงไม่กี่อึดใจ อาการทรมานดุจไฟแผดเผาในช่องท้องทุเลาจนแทบไม่รู้สึกอีกต่อไป เมื่อเห็นว่าพระบิดาอาการดีขึ้นแล้วเฟิ่งเสวียนจีจึงบอกแผนการของตนกับเขา ไม่น่าเชื่อว่าฮ่องเต้ฮุ่ยจงยินดีร่วมมือกับโอรสอย่าง
ความตื่นตระหนกพลันบังเกิดกับทุกคนซึ่งอยู่ในห้องทรงงาน มหาขันทีที่ยืนอยู่ด้านข้างขยับตัวประคองนายเหนือหัวไว้ได้ทัน พยุงฮ่องเต้ฮุ่ยจงกลับไปนั่งที่เก้าอี้หลังโต๊ะทรงงาน อาจเป็นเพราะเลือดที่ฮ่องเต้กระอักออกมามีสีดำอันเป็นลักษณะของคนที่ถูกพิษ ฉีอ๋องพระพักตร์ตึงเครียดทันที รีบกำชับองครักษ์ที่ถูกส่งไปตามหมอหลวงประจำพระองค์ว่าให้ปิดเรื่องนี้เป็นความลับ อย่าได้แพร่งพรายออกไปเด็ดขาดหากใครถามให้ตอบว่าฝ่าบาทเรียกมาตรวจอาการฉีอ๋อง มหาขันทีเองก็เข้าใจความประสงค์ของฉีอ๋อง เขาพยักหน้ารับก่อนเรียกหัวหน้าขันทีคนสนิทมาสั่งงาน ไม่นานนักเสียงขององครักษ์หน้าห้องได้ดังขึ้น “ท่านหัวหน้าหมอหลวงมาถึงแล้วพะย่ะค่ะ” ประตูห้องทรงงานปิดตามหลังทันทีที่หมอหลวงประจำพระองค์ก้าวเข้ามาด้านใน ดวงตาของเขาเบิกโพลงเมื่อได้เห็นสีของพระโลหิต “กระหม่อมจะฝังเข็มชะลอพิษไว้ก่อนนะพะย่ะค่ะ” เขาทูลฮ่องเต้ที่ยังพอมีสติหลงเหลือ ครั้นได้ยินว่าตนถูกลอบปลงพระชนม์ด้วยยาพิษ ความตื่นตกใจร่วมกับโทสะกระตุ้นให้ฮ่องเต้ฮุ่ยจงกระอักพระโลหิตออกมาอีกครั้งก่อนจะหมดสติไป ความหวั่นวิตกผุดขึ้นบนใบหน้าของแต่ละคนอย่างมิอาจปิดบัง แม้แต่ตัวเฟ
ชายหนุ่มแต่งกายด้วยเสื้อผ้าราคาแพงในสภาพโดนจับมัดเป็นขนมจ้าง ใบหน้าเขียวช้ำผมเผ้ายุ่งเหยิงในปากมีผ้าอุดไว้ไม่ให้ส่งเสียง นอนตัวงอคุดคู้อยู่บนพื้นเงยหน้ามองฉีอ๋องด้วยความหวาดผวา เรือนกายสูงสง่าสาวเท้าเข้ามาหาคนบนพื้นที่เนื้อตัวสั่นเทิ้มเหงื่อกาฬแตกท่วมร่าง ท่าทางยโสโอหังที่มักใช้ข่มเหงผู้อื่นเพราะคิดว่าตระกูลของตนยิ่งใหญ่ แต่เมื่อมาอยู่ต่อหน้าพยัคฆ์อหังการอย่างฉีอ๋องใกล้ๆ ฉู่ปินถึงตระหนักว่าผู้ที่ทรงอำนาจแท้จริงรอบกายโอบล้อมด้วยรัศมีสูงส่งและกดข่มเพียงใด ยามที่ดวงเนตรคมกริบปรายตามองเขาความรู้สึกต่ำต้อยราวกับตนเป็นเพียงมดปลวกถาโถมจิตวิญญาณทันที ร่างสูงหยุดอยู่ตรงหน้าฉู่ปินรับสั่งถามย้ำเพื่อความแน่ใจ “คุณชายฉู่คำสารภาพของเจ้าเป็นความจริง?” ฉู่ปินพยักหน้ารัวเป็นไก่จิกข้าวสารทั้งที่ยังถูกมัดและมีผ้าอุดปากไว้ การถูกหานจี้ทรมานด้วยวิธีพิเศษทำเขาฝันร้ายอยู่ทุกค่ำคืน เฟิ่งเสวียนจียกมุมปากกดลึกหันมาหาขันทีคนสนิท “ต้องรบกวนเหวินกงกงช่วยแจ้งท่านเหลียงให้ทีว่าอีกสักครู่ข้าจะพาบางคนไปเยี่ยมเยียน” พร้อมกับแสยะยิ้มชั่วร้ายให้ฉู่ปิน เรือนไผ่คราม ควันจากกำยานชั้นยอดผสานไอน้ำจากหม้อต้มชาในโถงพั
ทั้งคำพูดและสายตาขององค์รัชทายาทยามรับสั่งกับน้องสะใภ้ หากมิได้ไร้เดียงสาหรืออ่อนต่อโลกเกินไป อย่างไรก็มองออกว่าเฟิ่งหวังเหว่ยมีเจตนาไม่บริสุทธิ์แอบแฝง ถึงแม้ตัวเขาจะเป็นคนอ่อนโยนอยู่แล้วก็ตาม ทว่าอากัปกิริยาที่แสดงออก ณ ตอนนี้ ค่อนข้างจะมากกว่าปกติไปไกลโข เหวินกงกงซึ่งยืนหลุบตาต่ำยามอยู่ต่อหน้าเชื้อพระวงศ์ ยอมแหกกฎเหลือบตาขึ้นมองพระพักตร์ขององค์รัชทายาท และได้ทันเห็นแววตาเปี่ยมล้นไปด้วยความคะนึงหานั้นเข้าพอดี ‘ไอหยา! นี่ นี่มันไม่ปกติแล้ว‘ ขันทีสูงวัยอุทานในใจ ทว่าสีหน้ายังคงเรียบเฉยราวกับมิได้รับรู้เรื่องใดๆ เขาเก็บซ่อนความรู้สึกไม่ชอบใจไว้ได้อย่างมิดชิด จากนั้นจึงผายมือเชิญองค์รัชทายาทไปยังเรือนเฟยหรง ภายในห้องบรรทมของฉีอ๋องยังคงอบอวลไปด้วยกลิ่นยาสมุนไพรฉุนจมูก บานหน้าต่างถูกเปิดแง้มไว้เล็กน้อยพอมีให้ช่องอากาศถ่ายเท เจ้าของตำหนักเว่ยจงนอนพิงหัวเตียงด้วยสีหน้าซีดเซียว ขอบตาลึกโหลริมฝีปากมีสีคล้ำดูแห้งเป็นขุย ดวงเนตรที่เคยเย็นชาทรงอำนาจบัดนี้ดูอ่อนล้าอย่างที่ไม่เคยมีใครเห็นมาก่อน แค่กๆๆ เสียงไอหนักๆดังขึ้น ตามมาด้วยเสียงหอบหายใจดังลอดออกมาจากประตูห้องบรรทม องครักษ์ที่เฝ้าอยู่ห







