LOGINบนหอน้ำชาชั้นสอง
จ้าวเฟิงฉีหรี่ตามองหลินซูซิน ในสีหน้าเย็นชาเรียวคิ้วคมค่อยๆ ขมวดหากันเล็กน้อยอย่างแปลกใจ เมื่ออีกฝ่ายไม่เลือกการเร้นกายหนีหายเหมือนที่เคย ทั้งยังโบกมือทักทายให้เขาอีกด้วย
โบกมือ?
สตรีผู้นี้...
ช่างไม่คำนึงถึงฐานะเอาเสียเลย!
แววตาเย็นชาพลันแปรเปลี่ยนเป็นเยาะเย้ยเหยียดหยัน เดิมทีหลินซูซินมักจะหลบหน้าเขาเสมอมา หรือวันนี้พอบังเอิญเจอว่าที่สามีอยู่กับสตรีอื่น จึงคิดเข้าหาเขา เอาเขาเป็นเครื่องมือทำให้เจ้าหน้าขาวเกาหมิงผู้นั้นหึงหวง
จ้าวเฟิงฉีหัวเราะฮึ ๆ ในลำคออย่างชั่วร้าย ความคิดชั่วช้าผุดขึ้นเป็นดอกเห็ด
เป็นเช่นนี้ย่อมดี เขาจะได้ถือโอกาสสั่งสอนเจ้าบ้านั่น
จ้าวเฟิงฉีไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด ตนเองถึงไม่ชอบหน้าเกาหมิง
ยิ่งนานวันก็ยิ่งเกลียดชังอย่างไม่อาจมีสิ่งใดมาฉุดรั้ง โดยเฉพาะทุกครั้งที่หลินซูซินออกตัวปกป้องเกาหมิงต่อหน้าเขา
หลินซูซินเดินเข้าหอน้ำชาคิดในใจว่าจะไปหาจ้าวเฟิงฉี
ครั้งนี้ไม่เหมือนทุกคราที่ผ่านมา นางไม่หลีกเลี่ยงหนีเขา ไม่ไปเดินเที่ยวกับเกาหมิงเพื่อผูกสัมพันธ์ตามหน้าที่ว่าที่ภรรยา นางอยากเข้าหาจ้าวเฟิงฉีด้วยความรู้สึกสำนึกบุญคุณอย่างแท้จริง
แต่นางย่อมไม่พบหน้าเขามือเปล่า เขาเป็นคนรักในอาหาร เพียงแต่คนที่ได้รับสิทธิ์เข้าครัวเพื่อเขาหากมิใช่พระชายาเพ่ยหนิง ล้วนต้องเป็นบิดาหรือมารดาของนางเท่านั้น
ส่วนตัวนางไหนเลยจะกล้าเสนอหน้า
ตั้งแต่ถูกเขาก่อกวนด้วยการสั่งรายการอาหารทำยาก คล้ายกลั่นแกล้งให้นางต้องร่ำไห้ช้ำใจเพราะทำให้เขามิได้เมื่อปีนั้น นางก็ไม่กล้าแสดงฝีมือเพื่อลิ้นอันล้ำเลิศของเขาอีกเลย
วันนี้หลินซูซินจึงคิดจะเข้าครัวทำของโปรดให้เขาสักหน่อย เผื่อว่าเขาจะหายโกรธจากปัญหาระหว่างเราครั้งที่แล้ว
หญิงสาวเดินเลี้ยวไปทางใต้บันได ลึกเข้าไปข้างในคือห้องครัว นางเป็นบุตรสาวที่ได้รับพรสวรรค์ด้านอาหารจากบิดาและมีวิชาสรรสร้างขนมน่ากินจากมารดา ย่อมแสดงฝีมือได้ไม่ยาก
หอน้ำชาแห่งนี้เป็นกิจการหนึ่งของวังวนบุปผาที่บิดาควบคุมดูแลให้พระชายาเพ่ยหนิงอยู่ หลินซูซินจึงเข้านอกออกในห้องครัวเพื่อเป็นลูกมือของบิดาปรุงอาหารได้บ่อยครั้งตั้งแต่ยังเล็ก จวบจนตอนนี้ที่เติบโตขึ้นมาก เก่งกาจยิ่งขึ้น นางยังได้รับโอกาสทำอาหารงานเลี้ยงน้ำชาให้ฮูหยินชั้นสูงของเมืองผิงโจวบ่อยๆ จนหอน้ำชามีอาหารและขนมเลื่องชื่อหลายอย่าง
กระทั่งตัวนางเองยังมีนามเลื่องลือไปไกลถึงต่างแคว้น
มีหนหนึ่งรัชทายาทแคว้นเยี่ยนถึงขั้นติดอกติดใจรสมือนาง พระองค์จึงส่งคนมาขอซื้อตัวนางไปตบแต่งเป็นอนุชายา ทั้งสัญญาว่านางย่อมได้ขึ้นเป็นถึงพระสนมขั้นเฟย ทว่าตัวคนยังมาไม่ถึง แต่ข่าวกลับมาก่อน
ตอนนั้นบิดามารดาจึงเดินทางไปขอความช่วยเหลือจากพระชายาเพ่ยหนิงทันที เรื่องถูกสั่งการต่อให้ชินอ๋องและจ้าวเฟิงฉี พระชายาเพ่ยหนิงเองก็ไม่ยินยอมให้นางจากดินแดนจินไปไกล
ต่อมาไม่รู้คนของจ้าวเฟิงฉีใช้วิธีการใดเรื่องถึงเงียบไป
และนั่นก็เป็นเหตุให้หลินอีเซิงกับจูจื่อฉิงต้องหาว่าที่คู่หมายให้แก่หลินซูซิน
และผู้ถูกเลือกก็คือเกาหมิง บุตรชายสหายนั่นเอง
ยามนี้ หลินซูซินใช้เวลาไม่นาน อาหารน่ากินหลายจานที่ถูกจัดแต่งงดงามก็พร้อมส่งถึงห้องชั้นสองของจ้าวเฟิงฉี
หลินซูซินสั่งให้เสี่ยวเอ้อร์ยกขึ้นไปทันที ให้เขาได้ลองกินของอร่อยก่อนจะได้อารมณ์ดี แล้วนางค่อยตามเข้าไปทีหลัง
ขณะเดินผ่านธรณีประตู พลันมีมือหนึ่งจับข้อมือนางไว้ หลินซูซินหันหน้าไปมอง จึงเห็นเป็นเกาหมิง
สีหน้าของเกาหมิงอบอุ่นอ่อนโยนเป็นนิตย์ทว่าแววตากลับเผยออกมาซึ่งความรู้สึกผิด สีหน้าแววตาเช่นนี้ย่อมทำให้คนใจอ่อน ทว่าหลินซูซินแค่เอียงคอถามเสียงหนึ่ง “ท่านมีสิ่งใดกับข้าหรือ?”
สุ้มเสียงนุ่มนวลเป็นเอกลักษณ์แฝงความเคร่งขรึมค่อยๆ ดังเล็ดลอดออกจากริมฝีปากได้รูปอย่างคนเป็นสุภาพชนพึงเอ่ย “เมื่อครู่ข้าบังเอิญเจอกับน้องจิ่วเม่ยจริงๆ แต่เจ้ากลับพูดจาเช่นนั้น หากผู้อื่นได้ยินแล้วเอาไปแพร่งพราย ล้วนไม่เป็นผลดีต่อฝ่ายใด”
เกาหมิงปีนี้อายุยี่สิบสามค่อนข้างห่างจากหลินซูซินที่อายุสิบห้าปี เขาจึงสามารถตำหนิอบรมนางได้มาแต่ไหนแต่ไร อีกทั้งต่อไปยังจะเป็นสามี การทำเช่นนี้ย่อมไม่นับว่าเกินไป และอีกอย่างจางจิ่วเม่ยปีนี้อายุแค่สิบสาม ตามหลักแล้วเกาหมิงเปรียบเสมือนพี่ชายใหญ่ของอีกฝ่ายมากกว่าจะเป็นอย่างอื่น
จ้าวเฟิงฉีอุ้มร่างอ่อนระทวยที่บอบช้ำจากน้ำมือของเขาขึ้นแนบอกแล้วหมุนตัวพานางกลับห้องส่วนตัวทันทีหลินซูซินเอื้อมวงแขนเรียวเล็กกอดรอบลำคอเขาแนบแน่นเมื่อมาถึงห้องชั้นในซึ่งมีฉากกั้นอีกหนึ่งชั้น จ้าวเฟิงฉีก็วางร่างงามลงบนเตียงนอน ลดมือเปิดกระโปรงของนางขึ้นเหนือเอว ถอดกางเกงขาสั้นด้านในของนางออกจนสิ้นหลินซูซินตกใจนักนางปิดมือไม่ทัน จึงเผยเนื้อนูนฉ่ำหวานเต็มตา“ท่านจะทำอีกแล้วหรือ? ข้ายังระบมอยู่เลย”คำถามตื่นตระหนกแฝงแววเว้าวอนนั้น ทำจ้าวเฟิงฉีพลันมีใบหน้าแดงก่ำ“เจ้าอยู่นิ่งๆ” เขาสั่งเสียงต่ำพร่าหลินซูซินทำหน้าเหลอหลาไม่กล้าขัดขืนใบหูบุรุษยิ่งแดงเข้มขณะก้มมองส่วนสงวนกลางกายสาว ซึ่งบัดนี้สีชมพูระเรื่อนั้นค่อนข้างบอบช้ำ ปลีกน่องและท่อนขารวมถึงหน้าท้องแบนราบล้วนมีแต่รอยกดจูบเป็นจ้ำๆ เต็มไปหมดเมื่อคืนเขาลงมือหนักเกินไปจริงๆชายหนุ่มลุกขึ้นเดินไปทางตู้ไม้อีกฝั่งแล้วเดินกลับมาพร้อมขี้ผึ้งตลับหนึ่งเขานั่งลงที่เดิมแล้วก้มหน้ามองอย่างจริงจังแม้ใบหูจะยังแดงอยู่มากก่อนจะบรรจงทายาส่วนนั้นให้นางอย่างทะนุถนอม นิ้วมือแกร่งออมแรงมากที่สุดเท่าที่จะทำได้กลีบบุปผาอ่อนนุ่มค่อยๆ ร้อนชื้น มิรู้เพราะย
เส้นทางขรุขระแต่อุ่นนุ่มชุ่มชื้นและบีบรัดเกินจินตนาการนี้ให้ความรู้สึกเสมือนถูกดูดกลืนวิญญาณ ต่อให้ร่างกายแหลกลาญก็เป็นการหลอมละลายเข้าด้วยกันอย่างต้องการเติมเต็มเท่านั้นความสุขสมจนถึงขีดสุดทำคนมิอาจถอนกายออกกลางคัน มีเพียงต้องดำเนินต่อไปอย่างมิอาจหยุดยั้งหากไม่ถึงสรวงสรรค์คงมิแคล้วตกนรกดับสูญใบหน้าหล่อเหลาโน้มลงตรงซอกคอขาว จากนั้นก็ก้มหน้าซุกซบขบเม้มอย่างเอาแต่ใจขณะเคลื่อนไหวบนร่างนางอย่างดุดันครั้นเห็นสาวน้อยหลับตากัดปากร่ำไห้สะอึกสะอื้นกระซิกๆ ริมฝีปากที่เม้มแน่นจนสันกรามนูนเด่นก็เผยอออกเพื่อมอบจุมพิตอันร้อนแรงเนิ่นนาน...หลังจากผ่านพ้นศึกราคะอันดุเดือดเลือดพล่าน จ้าวเฟิงฉีก็หลับไปหลายชั่วยามครั้นตื่นขึ้นมากลับไม่พบร่างงามนอนแนบชิดอยู่ด้านข้างหลินซูซินไม่ได้อยู่ในห้องเขาหลังครุ่นคิดอย่างไตร่ตรองโดยละเอียด ชายหนุ่มให้รู้สึกตกใจกับการกระทำอันบุ่มบ่ามเช่นคนไม่คิดยั้งใจของตนยิ่งนัก จึงรีบลุกขึ้นแต่งกายทันที หลังจากจัดแจงเสื้อผ้าของตนเรียบร้อยเสร็จสรรพก็เร่งฝีเท้าออกตามหาหลินซูซินทั่วสำนักยวี้จู๋“เห็นหลินซูซินหรือไม่?”จ้าวเฟิงฉีถามอี้หานที่กำลังนั่งเดินหมากอยู่คนเ
ทางห้องส่วนตัวของจ้าวเฟิงฉีบัดนี้บุรุษกำลังถอดเสื้อผ้าของตนออกแล้วเหวี่ยงทิ้งอย่างไม่ไยดี เขารู้สึกร้อนยิ่งนัก ร้อนจนเรือนร่างกร้าวแกร่งผุดพรายไปด้วยหยาดเหงื่อเต็มไปหมด กล้ามเนื้อทุกส่วนเครียดเคร่งเกินห้าม โดยเฉพาะส่วนนั้น ส่วนที่เขาควบคุมมันได้ดีมาโดยตลอดมุมหนึ่งของห้อง หลินซูซินยืนมองกล้ามหน้าอกแน่นตึงที่เกาะพราวไปด้วยหยดน้ำของเขาอย่างทำอันใดไม่ถูกจ้าวเฟิงฉีหันมาเห็นนางพอดีจึงหมุนตัวไปนั่งลงตรงเก้าอี้อย่างคนข่มกลั้นอารมณ์พลุ่งพล่านที่เพียรระงับอาการฟุ้งซ่านมิให้ผิดสังเกต“เจ้ามาแล้วหรือ?”หลินซูซินผงกศีรษะเบาๆ ให้เขา ขณะเดินเข้าหาเงียบเชียบ นางปิดปากสนิท มิกล้าพูดจาส่งเดช ไม่ให้เขารู้ด้วยว่าตัวนางรู้เรื่องอาการผิดปกติของเขายามนี้ทว่าสีหน้าท่าทางของสตรีแสนดีที่โกหกใครไม่เป็นจะไม่เผยให้เห็นได้อย่างไร จ้าวเฟิงฉีเหลือบตามอง ตัดสินใจเอ่ยเสียงสั่นพร่าด้วยสีหน้ามีโทสะ “ข้าถูกวางยาปลุกกำหนัด อย่าเพิ่งเข้ามาใกล้”สตรีผู้หนึ่งเดินมาเกินครึ่งทางจะให้หันหลังกลับได้อย่างไร หลินซูซินหลุบตาส่ายหน้าปฏิเสธด้วยสองแก้มแดงก่ำนางยังคงไม่กล่าวคำใดออกมาทั้งนั้น เพียงนั่งลงใกล้เขา เงยหน้าขึ้น ช้อนตาฉ่
เหตุผลดีงาม กิริยามารยาทดีเยี่ยม ต่อหน้าผู้เป็นนาย สตรีขี้เล่นหูตาแพรวพราวย่อมเปลี่ยนเป็นสงบเสงี่ยมจริงจัง ชวนมองไปอีกแบบนางกุลีกุจอจัดถ้วยวางช้อนวางตะเกียบลงบนแท่นรองอย่างถูกต้องเหมาะสมและเป็นระเบียบเรียบร้อยไม่มีตกหล่น“นายน้อยกินข้าวเลยหรือไม่เจ้าคะ?”จ้าวเฟิงฉีมองมือเรียวงามขาวเนียนจัดวางทุกสิ่งเสร็จสรรพก็ร้องอืมในลำคอเบาๆเขาไม่สงสัยอันใดอีก เพียงลงมือกินข้าวตามปกติมีเพียงอยู่กับหลินซูซินที่จ้าวเฟิงฉีจะออกอาการแตกต่างจากเคร่งขรึมเย็นชาเยี่ยงนี้ชายหนุ่มกินข้าวหลายคำ รสมือของคนทำเขาย่อมจดจำได้เป็นอย่างดี จึงไม่รู้สึกว่ามีส่วนใดน่าสงสัยทว่ากินได้อีกไม่กี่คำกลับรับรู้ถึงความผิดปกติของร่างกายบุรุษวัยหนุ่มแน่นย่อมไวต่ออารมณ์รุ่มร้อนที่ถูกกระตุ้นเร้ายิ่งมีคนเอายาปลุกกำหนัดใส่ลงในอาหารที่กินเข้าไปอย่างเต็มปากเต็มคำก็ยิ่งเกิดปฏิกิริยาเกินบรรยายแววตาของจ้าวเฟิงฉีค่อยๆ แปรผัน จากดำขลับเป็นแดงก่ำ ใบหน้าหล่อเหลาค่อยๆ เผยริ้วแดงระเรื่อของเลือดฝาดที่สูบฉีดอย่างบ้าคลั่งเสี่ยวเหยายืนรอจังหวะนี้อยู่แล้วนางหลุบตาลง ซ่อนแววพึงใจที่สมปรารถนาเอาไว้อย่างมิดชิด รอยยิ้มหว
เรือนปีกข้างทางทิศตะวันออกของสำนักยวี้จู๋ คือห้องครัวส่วนตัวของจ้าวเฟิงฉีที่สร้างขึ้นสำหรับแม่ครัวตัวน้อยที่เพิ่งเข้ามาใหม่ หลินซูซินคือแม่ครัวตัวน้อยคนนั้นของเขา ยามนี้นางทำอาหารให้เขาเสร็จแล้ว เพียงแต่ยังไม่กล้ายกไปส่งสาวน้อยค่อยๆ ล้วงแขนเสื้ออย่างเชื่องช้า เมื่อได้ห่อยาออกมาก็ค่อยๆ บรรจงโรยผงยาลงในอาหารทุกจานเบาๆในสติอันแจ่มใสแต่คล้ายเลอะเลือนไปแล้วของหลินซูซินเสมือนได้ยินคำสั่งเฉียบขาดดุดันของนายท่านผู้เฒ่าตลอดเวลา‘ข้าเพียงภาวนาได้เห็นจ้าวเฟิงฉีแต่งงานก่อนข้าตาย วันสุดท้ายของข้าเขาต้องมีภรรยาแล้วโดยสมบูรณ์’‘เจ้าต้องเร่งสานสัมพันธ์กับเหลนชายของข้าให้ลุล่วง แค่เอายานี่ใส่ในอาหารให้เขากิน’‘นี่คือคำสั่งข้า...’เสียงของนายท่านผู้เฒ่าคล้ายบทสวดมนต์ผสานไสยเวทย์มนต์ดำเข้มขลังที่ทำให้คนจิตใจล่องลอยสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัว กระทั่งทำสิ่งใดลงไปก็ยังไม่กลัวความผิดเมื่อผงยาไร้สีไร้กลิ่นถูกโรยจนทั่วอาหารทุกจานแม้แต่น้ำชา หลินซูซินก็กัดฟันยกถาดอาหารขึ้น ยืนนิ่งครู่หนึ่งพลันวางลงที่เดิมหญิงสาวยกถาดขึ้นและวางลง ครุ่นคิดแล้วยกขึ้นมาใหม่ ย้ำคิดย้ำทำอยู่เช่นนั้น
เดิมทีหลินซูซินเองก็ไม่มีทางเข้ามาได้แม้ครึ่งก้าว แต่เพราะนางมาพร้อมกับจ้าวเฟิงฉีจึงได้รับอนุญาตเป็นกรณีพิเศษยามนี้หญิงสาวเข้ามาภายในถ้ำที่มีแท่นหินกลมให้นั่งเล่น แสงไฟจากมุกราตรีหลายดวงส่องสว่างไปทั่ว ทำให้ไม่รู้สึกกลัว ตรงกันข้ามกลับรู้สึกสบายอกสบายใจ การอยู่ในนี้โดยไม่รู้วันรู้คืน บางทีอาจดีมากก็เป็นได้มิเช่นนั้นนายท่านผู้เฒ่าจะเลือกพำนักหรือ ชั่วขณะที่ความคิดของหลินซูซินล่องลอยเรื่อยเปื่อย เงาร่างสูงใหญ่ของบุรุษวัยชราผู้ชวนหวาดหวั่นขวัญผวาก็ค่อยๆ ปรากฎออกมาจากด้านในทิศเหนือของถ้ำให้นางได้พบพานอย่างหาได้ยากยิ่งท่ามกลางแสงจากมุกราตรี หลินซูซินพลันเบิกตาจนกลมโต เมื่อได้เห็นชายชราชัดเจนถนัดตา มิใช่หวาดกลัวต่อรูปลักษณ์ หากแต่เป็นเพราะตื่นเต้นดีใจอย่างหาใดเปรียบ“ท่ะ ท่านเซียนผู้ประเสริฐมาโปรดหรือเจ้าคะ?”นี่คือนามอันไพเราะเพริศพรายอย่างมิอาจบรรยายเป็นอื่นที่หลินซูซินคิดค้นขึ้นตั้งแต่ตายไปเมื่อชาติที่แล้วตอนนั้นนางสิ้นชีพด้วยความสะเทือนใจและชิงชังตัวเองที่อ่อนแอโง่เขลาเลือกบุรุษเช่นเกาหมิงเป็นสามี นางภาวนาขอโอกาสเกิดใหม่เพื่อแก้ไขเรื่องราวนางบอกกล่าวต่อเทพบนสวรรค์บอกต่อพญายมราชในนรก







