ปีแสงแพ้ผู้หญิงขี้อ้อน อ้อนมัน! แล้วมันจะเป็นทาสน้องเรย์เรติกาคิดทบทวนในสิ่งที่หมอเวชได้บอกกับเธอ คำพูดของเขามันเชื่อถือได้แค่ไหนกันแต่ก็นะ เธอไม่มีอะไรจะเสียอยู่แล้ว หากโดนหมอจอมปลิ้นปล้อนหลอก หรือหากปีแสงไม่ชอบ เธอก็แค่โดนเขากระชากหัวออกเท่านั้น เมื่อคิดได้อย่างนั้นหญิงสาวจึงเกยหน้ามองชายหนุ่มพร้อมคลี่ยิ้มหวานออกมา ในขณะที่ปีแสงประคองใบหน้าของเธอไว้หลวม ๆ ก่อนจะยกมือมาอังหน้าผากวัดอุณหภูมิ ชายหนุ่มมองหน้าของเธออย่างครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง รู้สึกประหลาดใจในท่าทางที่เปลี่ยนไปของคนตรงหน้า“เป็นอะไร”“เป็นที่อยู่อาศัยของปีศาจน้อย” เรติกาพูดแล้วยิ้มหวาน ก่อนจะหุบยิ้มทันควันเมื่อนึกขึ้นมาได้ว่าปีแสงคงไม่ค่อยชอบใจนักที่เธอเรียกลูกของเขาแบบนั้น “ฉะ...ฉันหมายถึงลูกของนาย ฉันเป็นที่อยู่อาศัยของลูกนาย”เรติกาพูดเสียงออดอ้อน พยายามเอาใจเขาสุดฤทธิ์ แม้ในใจจะแย้งอยู่ตลอดว่าเด็กในท้องก็ลูกของเธอเหมือนกัน ใบหน้าสวยซุกไซ้หน้าท้องแกร่งพร้อมลุ้นอยู่ในใจว่าเขาจะกระชากหัวเธอออกไหมโดนไอ้เพื่อนชั่วมันหลอกให้ทำอะไรหรือเปล่าวะเนี่ยถึงหญิงสาวจะนิสัยหัวรุนแรงและแอบร้าย แต่เสี้ยวหนึ่งในจิตใจเขากลับมองเห็นควา
“ดูสิคะ ใครมาหา” ป้าทิพย์เอ่ยพูดในตอนที่เรติกากำลังวางแก้วน้ำลงบนโต๊ะเลื่อน หลังจากที่เพิ่งรับประทานอาหารเช้าเสร็จสรรพเป็นหมอเวชกับหมอนนท์ที่กำลังเดินเข้ามาภายในห้อง ขณะที่ป้าทิพย์เลื่อนโต๊ะอาหารเก็บเข้าที่เข้าทางและเดินเลี่ยงออกไป“มาทำไม!” เรติกาพูดเสียงเกรี้ยวกราดในตอนที่หมอเวชกับหมอนนท์เดินเข้ามาหาเธอใกล้ ๆ หญิงสาวแสดงสีหน้ากระเง้ากระงอดอย่างไม่ปิดบัง“พี่หมอแวะมาเยี่ยมน้องเรย์กับตัวน้อยครับ” หมอเวชพูดออกมาโดยไม่ได้ใส่ใจในท่าทางกะบึงกะบอนของเธอ รู้ดีว่าหญิงยังคงโกรธเคืองเขาไม่หาย แม้จะผ่านมานานหลายเดือน“ใครอยากเจอหน้าพวกคุณไม่ทราบ” พูดจบประโยคเธอก็เบือนหน้าหนีสองหนุ่ม หมอนนท์มองหน้าหญิงสาวอย่างรู้สึกผิดเพราะเคยทำให้เธอต้องเจ็บ“น้องเรย์ยังงอนพี่หมออยู่เหรอคะ”“ไม่ได้งอน!”“โกรธเหรอ”“ไม่ได้โกรธ!”“งั้น...”“เกลียด!” เธอตะโกนใส่หน้าจิตแพทย์หนุ่มด้วยพยางค์เดียว หมอเวชไม่ได้รู้สึกสะทกสะท้านในท่าทางเกรี้ยวกราดของเธอ ก่อนจะหันมามองหน้าเพื่อนรัก โดยที่หมอนนท์ตอบกลับด้วยการยักไหล่ให้“ทำยังไงถึงจะหายเกลียด”“ไม่หาย!” เรติกาเมินเฉยต่อความช่วยเหลือจากชายหนุ่ม คนนิสัยกะล่อนปลิ้นปล้อน เธอไ
“ฉันไม่รู้สึกปวดหัวเลย ไม่เลยสักนิด”“แน่ใจ?” ปีแสงถามย้ำอีกครั้ง ในขณะที่ตรวจอาการของเธอเบื้องต้นหลังจากฟื้นคำถามมากมายที่ชายหนุ่มซักถามไม่หยุดหย่อน เธอไม่มีทางบอกความจริงกับเขาหรอก ปีแสงจะไม่มีทางได้เยาะเย้ยเธอซ้ำแล้วซ้ำเล่า เรติกาเชิดหน้าพลางเก็บกดความรู้สึกเจ็บปวดไว้ให้ลึกที่สุด “ฉันว่าฉันง่วงนอนมากกว่าอาการปวดหัวบ้าบอพวกนั้นนะ”ปีแสงมองเธอกลับมานิ่ง ๆ เขารู้ว่าเธอยังเจ็บอยู่ แม้จะพยายามแสดงสีหน้าให้ดูเรียบเฉย แต่ดวงตาของเธอมันกลับปิดซ่อนความรู้สึกไม่มิด แพทย์หนุ่มไม่ได้ถามอะไรไปมากกว่านั้น เพราะรู้ดีว่าเรติกาหงุดหงิดง่าย เดี๋ยวเธอจะพาลรำคาญ และอาการของเธออาจจะแย่ไปกันใหญ่เรติกาค่อย ๆ ทิ้งตัวลงนอนอย่างเนิบนาบ ในตอนที่ปีแสงกำลังเก็บอุปกรณ์การแพทย์ คนตัวเล็กพลิกตัวนอนตะแคงอย่างอิสระ เพราะเขาไม่ได้พันธนาการเธอเอาไว้ “ฉันอยากนอน คิดว่าลูก...ของนายก็น่าจะอยากพักผ่อนเหมือนกัน” คำพูดของเธอทำให้คนฟังรู้สึกเจ็บปวด ปีแสงมองเรติกาที่นอนหันหลังให้ด้วยแววตาที่สั่นระริก ก่อนจะขึ้นไปทิ้งตัวนอนซ้อนหลังของหญิงสาวอย่างถือวิสาสะ มือหนาสวมกอดเธอไว้หลวม ๆ “อื้อ~ นี่ปล่อยนะ ฉันอึดอัด!” เรติกาพยายา
วันเวลาล่วงเลยผ่านไป ไม่รู้ว่าด้วยความบังเอิญหรือเพราะอะไร ทำให้ปีแสงได้เจอเรติกาอีกครั้ง เขาจดจำเด็กผู้หญิงคนนั้นได้ขึ้นใจ แต่สถานการณ์และสิ่งที่รอบข้างดันไม่เป็นใจเอาเสียเลย เพราะเขานั่งอยู่บนรถกับคนของพ่อ ซึ่งพวกเขาไม่มีทางปล่อยให้ปีแสงลงจากรถไปไหนแน่ ไม่อย่างนั้นจะเกิดเหตุการณ์วุ่นวายเฉกเช่นทุกครั้ง ปีแสงหยิบกล้องตัวโปรดจากกระเป๋าเป้มาถ่ายรูปของเธอเอาไว้ ซึ่งมันโชคดีเหมาะเจาะเพราะว่ารูปที่ปีแสงได้เป็นช่วงที่เธอฉีกยิ้มออกมาพอดี และก็ทำให้หมอเวชกับหมอนนท์เจอภาพนั้นในเวลาต่อมา...เขาไม่ได้ใส่ใจในคำแซวของเพื่อนรักสักเท่าไหร่หรอก แต่ไม่ค่อยชอบใจที่เพื่อนทั้งสองมาวุ่นวายกับของใช้ส่วนมากกว่า ปีแสงยอมเล่าเรื่องที่เจอกับเรติกาครั้งแรกให้ทั้งคู่ฟังเมื่อโดนเซ้าซี้มากเกินไปเวลาผ่านไปหลายปีหลังจากที่ปีแสงเรียนจบแพทย์ เขาได้ทำงานอยู่โรงพยาบาลเอกชนชื่อดังแห่งหนึ่ง และแยกออกมาอยู่ตัวคนเดียวในคฤหาสน์หลังโต เขาได้รับอิสระอย่างเต็มที่ ผู้เป็นพ่อไม่ได้มาก้าวก่ายชีวิตของเขาอีก ไม่กี่ปีต่อมา... ปีแสงได้พบกับเรติกาอีกครั้ง เธอนั่งอยู่คนเดียวหน้าห้องฉุกเฉิน สีหน้าดูกลัวและวิตกกังวล เธอเบ้ปากทำท่าเหมือ
ณ แชร์เฮาส์“ไอ้เพื่อนเวรเอ๊ย! มันไม่น่าเอาน้องมาให้กูทำการทดลองตั้งแต่แรก” เป็นหมอนนท์ที่บ่นหัวเสียอยู่กับหมอเวช หลังจากการผ่าตัดเมื่อคืนผ่านพ้นไปทั้งสองคนยืนมองปีแสงที่นอนเฝ้าเรติกาไม่ห่าง เพื่อให้แน่ใจว่าสมองของเธอไม่ได้รับอันตรายจากการทดลอง เรติกาจึงต้องพักฟื้นและยังไม่สามารถกลับบ้านได้ เพราะหมอนนท์ต้องตรวจร่างกายและดูแลอาการของเธออย่างใกล้ชิดอยู่ที่แชร์เฮาส์แห่งนี้ที่นี่มีอุปกรณ์เครื่องมือแพทย์ครบไม่ต่างจากโรงพยาบาล เพราะเป็นแหล่งสำหรับทำการทดลอง และเอาไว้พักผ่อนในยามฉุกเฉินของทั้งสามหมอ“เอาเถอะน่า นะ ถือว่าช่วยไอ้ปีย์มันสักครั้ง” หมอเวชตอบหมอนนท์แบบขอไปที หากว่าสายตาของเขามองไปยังเพื่อนรักอีกคน“กูเสียเวลามาตั้งครึ่งปี การทดลองของกูไม่ใช่เรื่องล้อเล่นนะ พวกมึงแม่ง! มีใครสนใจความเสียหายที่กูได้รับไหม”พูดจบหมอนนท์ก็หัวเสียเดินจากไป เขาไม่ค่อยพอใจในพฤติกรรมที่เห็นแก่ตัวและเอาแต่ใจของเพื่อนรักอย่างปีแสงสักเท่าไหร่ หมอเวชส่ายหน้าไปมาอย่างชั่งใจหลังจากที่หมอนนนท์เดินหายไปต่อหน้าต่อตาปีแสงแนบแก้มสากเข้าบริเวณท้องของเรติกาอย่างเอาใจ สายตาของเขาจ้องมองไปที่หญิงสาวที่ยังนอนหลับตาแน่น
ปีแสงเดินเข้ามาในบ้านหลังใหญ่หลังจากที่กลับมาจากโรงพยาบาล ด้วยความสงสัย เขารีบเดินตรงขึ้นบันไดไปยังชั้นสอง เพราะวันนี้ตั้งแต่ที่เขาออกไปจากบ้าน เขาไม่ได้ยินเสียงอะไรจากอุปกรณ์ดักฟังนอกจากเสียงหายใจที่ริบหรี่ ซึ่งมันเบามาก ๆ และรู้สึกผิดปกติจากทุก ๆ วัน“ไม่สบายค่ะ” หลังจากที่เลื่อนโต๊ะอาหารไปไว้ที่ข้างเตียงให้กับเรติกา ป้าทิพย์เดินเข้าไปกระซิบเบา ๆ เมื่อเห็นปีแสงเดินเข้ามาภายในห้อง “...” ปีแสงไม่ได้พูดอะไร สายตาคมกริบมองไปยังเรติกาที่กำลังนอนหันหลังให้เมื่อเห็นปีแสงยังยืนแน่นิ่ง ใบหน้าที่แสนเย็นชาของชายหนุ่มทำให้ป้าทิพย์คาดเดาความคิดไม่ออกจึงพูดขึ้นมาอีกครั้ง “ร้องไห้จนไข้ขึ้นค่ะ”“เช็ดตัวหรือยัง?”“เช็ดให้แล้วค่ะ เธอพูดซ้ำ ๆ ว่าปวดหัว” ปีแสงพยักหน้ารับรู้ ป้าทิพย์จึงเดินเลี่ยงออกไปอย่างรู้หน้าที่“ลุก!” เสียงดุดันของชายหนุ่มปลุกให้เธอตื่นขึ้น แต่หญิงสาวกลับไม่ยอมขยับเพราะรู้สึกหนักไปทั้งตัว ดวงตาคู่สวยปิดลงอีกครั้งราวกับต้องการพักผ่อนต่อ แต่ก็ถูกใครบางคนฉุดดึงให้ลุกขึ้น เพียงแค่กระตุกเบา ๆ ร่างกายของเธอก็หยัดตัวขึ้นแบบหลีกเลี่ยงไม่ได้“อึก! ฉันไม่ไหว” เธอมองเห็นคนตรงหน้าและสิ่งร
ป้าทิพย์ประคองเรติกาให้เดินลงบันไดที่คดเคี้ยวของบ้าน แม้ว่าปีแสงจะยอมรับข้อเสนอของเธอ แต่ชายหนุ่มให้อิสระเธอจากเครื่องพันธนาการได้แค่เดือนละครั้ง ซึ่งจะต้องตรงกับวันหยุดของเขา และเธอก็ต้องตัวติดอยู่กับเขาตลอดทั้งวัน ถ้าตุกติกคิดหนีเธอจะไม่ได้อิสระจากเดือนที่เหลืออีกเลย“เฮ้อ...” ทั้งที่เธอควรจะดีใจเพราะกว่าอิสระจะวนกลับมาอีกรอบเป็นครั้งที่สอง แต่หญิงสาวกลับถอนหายใจออกมาอย่างหนักหน่วง เพราะว่าทุกครั้งที่ก้มมองชุดคลุมท้องสีชมพูอ่อนที่เธอสวมใส่อยู่นี้มันช่างเป็นอะไรที่น่าขำถ้าเพื่อนรักสองคนมาเห็นเธอใส่ชุดแอ๊บแบ๊วแบบนี้เข้าแล้วก็... มีนอนขำกลิ้งกับพื้นแน่ ถึงจะไม่ค่อยชอบใจนักแต่หญิงสาวก็โวยวายไม่ได้หรอก เพราะเธอเป็นคนพูดคำไหนคำนั้น แม้จะรู้สึกหงุดหงิดแต่ก็แสร้งฉีกยิ้มให้ดูเป็นคนอารมณ์ดีอยู่ตลอดเวลา“ค่อย ๆ นั่งค่ะ” เป็นป้าทิพย์ที่ประคับประคองให้เธอค่อย ๆ นั่งลงบนโซฟาตัวยาว ซึ่งเป็นตัวเดียวกันกับที่ปีแสงนั่งอยู่ กลิ่นอาหารตรงหน้าหอมฟุ้งโชยมาติดจมูก แต่เมื่อเห็นนมในแก้วแล้วเธอกลับทำหน้าหยี รู้สึกอยากกินกาแฟที่ปีแสงยกขึ้นมาจิบกินซะมากกว่า“ฉันจะต้องกินของพวกนี้อีกแล้วเหรอ” เรติกาแหงนหน้าขึ้
“ฉันมีเรื่องจะตกลงกับนาย” ทันทีที่เห็นปีแสงเดินเข้ามาภายในห้อง เรติกาก็รีบเอ่ยปากพูดถึงข้อเสนอที่เธอคิดพินิจพิจารณามาเป็นอาทิตย์ และคิดว่ามันจะต้องเป็นทางออกที่ดีต่อทุกฝ่ายแน่นอน“ฉันมาหาลูกของฉัน ไม่ว่างคุยกับ...ที่อยู่อาศัย” ปีแสงตอบเสียงเรียบเฉย ดวงตาคมกริบไล่มองคนตรงหน้าด้วยสายตาไร้ความรู้สึก“ไม่ต้องคุย แค่ฟังก็พอ” ถึงจะไม่ค่อยชอบใจกับคำเปรียบเปรยที่เขามอบให้มาตลอด แต่ก็ไม่ใช่ประเด็นหลักที่เธอจะยกเอามาน้อยเนื้อต่ำใจ เรติกาตั้งท่าจะอธิบายถึงข้อเสนอ แต่ก็ถูกปีแสงเอ่ยขัดจังหวะ“เวลาส่วนตัวที่พ่อกับลูกเขาจะอยู่ด้วยกัน คนอื่นที่ไม่เกี่ยวก็อยู่เป็นธาตุอากาศไป” พูดจบปีแสงก็ก้มลงมาจูบและคลอเคลียที่ท้องของเรติกาอย่างเอาใจ“พ่อรักลูกนะ จุ๊บ~”“ฉันรู้ว่านายเกลียดฉัน” เรติกาเอ่ยปากพูด ถึงแม้ว่าปีแสงเอาแต่หยอกล้อเล่นกับลูกโดยไม่คิดจะสนใจเธอสักนิด “และฉันก็รู้ว่านายรักลูกของนายมาก”ฉันก็รักลูกเหมือนกัน“เรามาสงบศึกกันก่อนไหม” ประโยคเมื่อครู่ทำให้ปีแสงเริ่มตั้งใจฟังเธอขึ้นมาบ้าง แต่ก็ยังทำทีไม่สนใจ “ฉันเกลียดนม เกลียดเต้าหู้ เกลียดผัก...”“ใครอยากรู้?”“ฉันอุตส่าห์ทนกินสิ่งที่ฉันเกลียด เพียงเพร
หลายชั่วโมงผ่านไป“อื้อ” เรติกาส่งเสียงครางกระเส่าเมื่อรู้สึกตัวตื่น การที่ได้พักผ่อนเต็มอิ่มทำให้เธอรู้สึกอารมณ์ดีขึ้น เปลือกตาคู่สวยค่อย ๆ เปิดออก พร้อมขยับตัวพลิกไปมาอย่างเนิบนาบ“...อุย!!” หญิงสาวอุทานเสียงหลงพร้อมกับสะดุ้งเล็กน้อย เมื่อเห็นดวงตาดุดันจ้องมองมาแบบไม่กะพริบ“ลุก!”“อืม ยังง่วงอยู่เลย อยากนอนต่อจัง” เรติกาไม่ได้สะทกสะท้านกับน้ำเสียงเกรี้ยวกราดของเขา เธอพลิกตัวนอนตะแคงข้างโดยหันหน้าเข้าหาชายหนุ่ม เปลือกตาคู่สวยปิดลงอีกครั้งอย่างสบายใจ“จะยอมลุกดี ๆ ไหม” ปีแสงจิ๊ปากตัวเองอย่างเอือมระอาก่อนเอ่ยถามออกไป แต่ก็ไม่มีเสียงตอบรับกลับมา ชายหนุ่มจึงแสดงสีหน้าครุ่นคิดก่อนยกยิ้มมุมปากอย่างนึกสนุก มือหนาเลื่อนมาประคองพวงแก้มเนียนผ่องของเธอไว้หลวม ๆ คนที่นอนหลับตาอย่างสบายใจเมื่อครู่ค่อย ๆ ลืมตามองดูการกระทำของเขาอย่างนึกสงสัย“อื้อ”“ถ้าหายใจทางจมูกไม่ออก ก็หายใจทางปากแทน” เรติกาพ่นลมหายใจออกมาทางปากอย่างถี่รัว เมื่อปีแสงใช้มือบีบจมูกของเธอไว้เพื่อให้สามารถหายใจได้ทางเดียว“หืม...เหมือนหมาเลย” ปีแสงพูดแล้วกลั้นขำกับการแสดงออกของคนตัวเล็กที่นอนหายใจพะงาบ ๆ แล้วดิ้นศีรษะดุกดิกไปมาน