พิมพ์ชนกเดินไปยังโต๊ะอื่นเพื่อให้บริการตามหน้าที่ ขณะที่เธอวางแก้วเครื่องดื่มลงบนโต๊ะ
หนึ่งในลูกค้า ซึ่งดูเหมือนจะดื่มหนักไปแล้ว ยื่นมือมาคว้าข้อมือของเธอ
"น้องคนสวย ทำไมไม่มานั่งกับพี่บ้างล่ะ?จ๊ะ" เสียงของชายคนนั้นดังขึ้น
พร้อมกับเสียงหัวเราะของเพื่อนร่วมโต๊ะทั้งเชียร์และแซวกันอย่างสนุก
พิมพ์ชนกสะดุ้งและพยายามดึงมือกลับ แต่เขากลับจับไว้แน่นกว่าเดิม "ปล่อยฉันนะ!" เธอพูดเสียงแข็ง พยายามถอยห่าง
ชายคนนั้นยิ้มเยาะและพูดอย่างไม่ใส่ใจ "อย่าดื้อสิ แค่นั่งคุยด้วยนิดหน่อยเอง ทำเป็นเล่นตัวไปได้!"
เสียงของพิมพ์ชนกดังเริ่มดึงดูดความสนใจของลูกค้าโต๊ะอื่น และพี่พนักงานบางคนเริ่มมองมา
แต่ยังลังเลที่จะเข้ามายุ่ง เพราะชายคนนั้นดูเหมือนจะเป็นลูกค้าขาประจำที่มีอิทธิพลพอสมควร
ปกรณ์ที่ยืนมองอยู่บนชั้นสองเห็นเหตุการณ์ทุกอย่าง สายตาของเขาเปลี่ยนเป็นเย็นชาและแข็งกร้าว เขาหันไปสั่งลูกน้องทันที
"เตโชไปจัดการ อย่าให้มันแตะต้องเธออีกแม้แต่นิดเดียว" น้ำเสียงของเขาเด็ดขาดจนเตโชรีบปฏิบัติตาม
ชายร่างใหญ่ในชุดสูทดำสองคนเดินตรงไปที่โต๊ะนั้นทันที หนึ่งในพวกเขาคว้าข้อมือของชายที่ลวนลามพิมพ์ชนก บีบแรงจนเขาต้องปล่อยมือ
"ลูกค้า กรุณาให้ความเคารพพนักงานของเรา ด้วยครับ"เตโชลูกน้องของปกรณ์พูดเสียงเรียบ แต่ทรงอำนาจ
ชายที่ลวนลามพยายามเถียงแต่เมื่อเห็นสายตาของลูกน้องปกรณ์ เขาก็เปลี่ยนใจ พยักหน้าอย่างไม่เต็มใจและถอยกลับไปนั่งที่เดิม
พิมพ์ชนกรีบถอยออกมาด้วยสีหน้าตื่นตกใจ เธอพึ่งมาทำงานได้ไม่กี่วันเอง เจอดีเข้าให้แล้วสิ
หลังจากเหตุการณ์สงบลง ปกรณ์ยังคงยืนมองเธออยู่จากชั้นบน
เขารู้สึกทั้งโกรธและหงุดหงิด ที่เห็นพิมพ์ชนกถูกลวนลาม
"ต่อไปนี้ พวกนายให้คนดูแลเธอ อย่าให้มีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นอีก"
เตโชลูกน้องคนสนิทพยักหน้าและทำตามคำสั่ง ขณะที่ปกรณ์ยังคงมองพิมพ์ชนกที่ยืนอยู่มุมร้าน
ดวงตาของเขาฉายแววความห่วงใยที่เขาเองก็ยังไม่เข้าใจว่ามาจากไหน เพราะอะไรเขาถึงได้รู้สึกแบบนี้กับเธอทั้งๆที่พึ่งเจอเธอเพียงไม่กี่วัน
ปกรณ์เผลอจ้องพิมพ์ชนกอยู่นานจนตัวเองยังต้องสะกิดใจ นานเท่าไรแล้วที่เขาไม่เคยรู้สึกแบบนี้กับใคร?
ความห่วงใยแต่ไร้เหตุผล ชวนให้สับสนจนต้องเบือนหน้าหนี แต่สายตาของเขาก็ยังลอบมองเธอผ่านกระจกเงาหลายครั้ง
หลังเลิกงาน พิมพ์ชนกเดินกลับไปยังหอพักเล็กๆ ที่เธอเช่าไว้อย่างเงียบๆเหมือนเดิม เช่นทุกวัน ร่างบางดูอ่อนล้าจากการทำงานหนัก
แต่ใบหน้าของเธอยังคงเก็บงำความรู้สึกทุกอย่างไว้ใต้ท่าทีสงบนิ่ง
เมื่อเปิดประตูเข้าไปในห้องที่เงียบสงบ ความเหนื่อยล้าที่สะสมทั้งวันก็พลันถาโถม
เธอถอดรองเท้า วางกระเป๋าลงบนโต๊ะ แล้วเดินตรงไปยังหน้าต่างเล็กๆ ที่มีผ้าม่านสีซีดคลุมอยู่
ดวงตาของพิมพ์ชนกทอดมองออกไปในความมืดมิดของท้องฟ้า พลางปล่อยลมหายใจยาวราวกับพยายามปลดปล่อยความอัดอั้นบางอย่าง
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นขัดจังหวะความคิด เธอหยิบขึ้นมาดู เห็นเบอร์โทรทีไม่คุ้นเคยปรากฏบนหน้าจอ
เธอขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนกดรับสาย น้ำเสียงของเขาทางปลายสายฟังดูจริงจัง
"สวัสดีดีครับคุณพิมพ์…ผมเตโชลูกน้องของคุณปกรณ์ครับ"
หัวใจของพิมพ์ชนกเต้นแรงโดยไม่มีเหตุผล เธอพยายามควบคุมเสียงของตัวเองให้ราบเรียบตอบกลับไป
"คะ…คุณเตโซมีธุระอะไรกับพิมพ์หรือเปล่าคะ"
พิมพ์ชนกนิ่งไปชั่วขณะเมื่อได้ยินคำพูดนั้น ราวกับลมหายใจถูกดึงออกไปจากอก
เตโซแจ้งให้เธอทราบว่า ปกรณ์ไม่ให้เธอมาทำงานที่ผับของเขาอีกต่อไป
เธอเม้มริมฝีปากเล็กน้อยก่อนจะถามกลับด้วยน้ำเสียงที่พยายามทำให้มั่นคง
"ทำไมคะ? คุณปกรณ์บอกหรือเปล่าคะเพราะอะไรถึงให้พิมพ์ออก"
ปลายสายเงียบไปครู่หนึ่งก่อนที่เตโชจะตอบ
"คุณปกรณ์ไม่ได้ให้เหตุผลอะไรชัดเจนครับ แค่บอกว่า...จะจ่ายค่าชดเชยให้ครับ"
คำว่า "ให้เธอออก" ทำให้พิมพ์ชนกรู้สึกสับสน เธอขมวดคิ้วแน่นขึ้น ขณะที่มือที่ถือโทรศัพท์เริ่มสั่นน้อยๆ
ความคิดในหัวตีกันวุ่นวาย นี่มันหมายความว่ายังไง? หรือว่าเธอทำอะไรผิดพลาดโดยที่ไม่รู้ตัว?
"แล้วพิมพ์ทำอะไรผิดคะ? พิมพ์ต้องหาเงินไปจ่ายค่าเทอมนะคะคุณเตโซ" เธอพยายามอธิบาย น้ำเสียงเริ่มแฝงความตื่นตระหนก
"ผมเข้าใจครับคุณพิมพ์ แต่คุณปกรณ์ย้ำให้ผมบอกคุณว่า...เขาจะจัดการเรื่องค่าตอบแทนให้คุณเอง คุณไม่ต้องกังวลเรื่องนั้น"
คำพูดของเตโชทำให้เธอรู้สึกเหมือนโดนตัดสินใจแทนโดยไม่ถามความเห็นของเธอแม้แต่น้อย
ความไม่พอใจเริ่มก่อตัวขึ้นในใจ แต่ก็มีบางอย่างในคำพูดนั้นที่ทำให้เธอรู้สึกถึงความห่วงใยแฝงอยู่
"พิมพ์จะรับเงินของเขาได้ยังไงกันคะ ในเมื่อพิมพ์ไม่ได้ทำงาน?ให้กับคุณปกรณ์" เธอถามเสียงเรียบ แต่แววตากลับเต็มไปด้วยความอึดอัด
"คุณปกรณ์บอกว่า...ถือว่าเป็นการจ่ายค่าชดเชยให้กับคุณพิมพ์ครับ"
พิมพ์ชนกเงียบไปอีกครั้ง เธอก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี ที่จู่ๆเธอตกงานแบบไม่ทันตั้งตัว
เหลือเวลาอีกเพียงไม่กี่ตอนเธอก็จะเขียนบทละครจบแล้ว เธอต้องรีบทำงานหาข้อมูลให้ได้เยอะที่สุด แต่จู่ๆเขาให้เธอออกงานซะงั้น
ความรู้สึกของเธอยิ่งสับสนมากขึ้นเรื่อยๆ พิมพ์ชนกโกรธปกรณ์ มากหลังเลิกเรียน เธอตรงดึ่งไปยังผับเพื่อขอพบกับปกรณ์
บรรยากาศของผับในยามเย็นยังไม่คึกคักเหมือนช่วงกลางคืน มีเพียงพนักงานไม่กี่คนที่กำลังจัดเตรียมสถานที่สำหรับลูกค้าคืนนี้
พิมพ์ชนกก้าวเข้ามาด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความมุ่งมั่นและสับสนในเวลาเดียวกัน เธอตรงไปที่เคาน์เตอร์และถามหาปกรณ์
"ขอพบคุณปกรณ์ค่ะ" น้ำเสียงของเธอหนักแน่นจนพนักงานแถวนั้นพากันมองหน้ากันเล็กน้อย ก่อนที่เตโชจะเดินเข้ามาหาเธอ
"คุณพิมพ์ คุณมีธุระอะไรกับคุณปกรณ์หรือเปล่าครับ?" เตโชถามด้วยสีหน้าสงสัย
"ฉันต้องการคุยกับเขา เดี๋ยวนี้" พิมพ์ชนกตอบโดยไม่ลังเล
เตโชชั่งใจอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้า "ได้ครับ รอเดี๋ยวนะ"
ไม่ถึงห้านาที ปกรณ์เดินออกมาจากห้องทำงานของเขา สีหน้าเรียบเฉย แต่สายตาที่มองเธอเต็มไปด้วยความสงสัย
"พิมพ์ชนก...มีอะไรถึงต้องมาหาผมที่นี่?" เขาถามเสียงเรียบ
เธอเม้มปากแน่น ก่อนจะตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความไม่พอใจ
"ฉันอยากรู้ว่าคุณไล่ฉันออกเพราะอะไร! คุณทำแบบนี้ทำไม?"
ปกรณ์เลิกคิ้ว "แบบไหน?"
"คุณห้ามฉันทำงานที่นี่ แล้วคุณก็...ทำให้ทุกอย่างมันยุ่งเหยิง ฉันต้องหาเงินจ่ายค่าเทอม คุณรู้ไหมว่ามันสำคัญแค่ไหน?"
เขาถอนหายใจเบาๆ พลางกอดอก "ผมแค่ไม่อยากให้คุณอยู่ในที่ที่ไม่ปลอดภัย คุณควรจะขอบคุณผมด้วยซ้ำที่ช่วยคุณจากเรื่องเมื่อคืน"
"แต่คุณไม่มีสิทธิ์มาตัดสินใจแทนฉัน!" เธอขึ้นเสียง น้ำตาคลอเบ้า
"ชีวิตของฉัน ฉันต้องจัดการเอง คุณช่วยฉันเมื่อคืน ฉันขอบคุณ แต่คุณทำไมไล่ฉันออกล่ะ!"
ปกรณ์มองเธอเงียบๆ ดวงตาของเขาแฝงความรู้สึกที่เธออ่านไม่ออก ก่อนที่เขาจะพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
"แค่จ่ายค่าเทอม ถ้าคุณต้องการเงิน ผมให้คุณได้"
คำพูดของเขาทำให้เธอชะงักไป ดวงตาของเธอเบิกกว้างก่อนจะรีบส่ายหัว "ไม่ ฉันไม่อยากเป็นหนี้คุณ ฉันทำงานเองได้!"
"แล้วถ้าคุณโดนไอ้พวกนั้นลวนลามอีกล่ะ? พิมพ์ชนก"
เขาพูดเสียงต่ำ แต่น้ำเสียงเต็มไปด้วยความเด็ดขาด
เธอยืนอึ้งอยู่ครู่หนึ่ง ความสับสนและความโกรธในใจพลุ่งพล่าน เธอรู้สึกเหมือนถูกกักขังในสถานการณ์ที่เธอไม่ต้องการให้เกิดขึ้น
"แต่ฉันจะไม่ยอมเป็นหนี้คุณแน่นอน!" พิมพ์ชนกพูดทิ้งท้าย ก่อนจะหมุนตัวเดินออกไป
ปกรณ์มองตามเธอด้วยความรู้สึกที่ยากจะอธิบาย หัวใจของเขาหนักอึ้ง แต่ในขณะเดียวกันเขาก็รู้ว่าเขาไม่สามารถปล่อยเธอไปได้ง่ายๆ
หญิงสาวตัวเล็กแต่เย่อหยิ่ง
วันนี้ก็เป็นอีกวันที่พิมพ์ชนกกลับมาบ้าน เธอหลีกเลี่ยงไม่อยากพูดถึงเรื่องนี้กับแม่ เพราะกลัวว่ามันจะทำให้แม่เป็นห่วงและเธอเองก็ยังไม่เข้าใจความรู้สึกของตัวเองทั้งหมด"พิม...คุณปกรณ์เขาไม่ใช่คนที่จะมาดีกับลูกของแม่แบบง่ายๆ นะ เขามีประวัติ...แม่ทำงานกับเขามานานนะลูก"แม่ของเธอหยุดไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดต่อด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความเป็นห่วง"แม่ไม่อยากเห็นลูกต้องเจอกับปัญหาจากคนแบบเขา"พิมพ์ชนกถอนหายใจเงียบๆ แม้เธอจะรู้ว่าแม่เป็นห่วง แต่ความรู้สึกที่เธอมีต่อปกรณ์กลับไม่ได้ง่ายเหมือนที่แม่คิดพิมพ์ชนกไม่อยากให้แม่เห็นภาพที่เขาเป็นแบบนั้น แม้แต่เธอก็ยังไม่เข้าใจตัวเองดีพอ"แม่คะ... พิมจะระวังตัวค่ะ อย่าห่วงนะคะ" พิมพ์ชนกตอบเสียงเบา แต่ในใจเธอเริ่มท่วมท้นไปด้วยความลังเลและความไม่แน่ใจแม่ของเธอยิ้มอ่อนโยนแต่ยังคงท่าทางกังวล "แม่แค่ห่วงหนูนะลูก"การสนทนาเงียบลงในบรรยากาศที่เต็มไปด้วยความห่วงใย แม้พิมพ์ชนกจะอยากให้แม่เข้าใจแต่ก็ยังรู้สึกถึงความซับซ้อนในความสัมพันธ์ของเธอกับปกรณ์ที่ยากจะอธิบายให้ใครเข้าใจได้พิมพ์ชนกคิดคำพูดที่จะตอบแม่อย่างระมัดระวัง ก่อนจะเปิดปากพูดด้วยน้ำเสียงที่พยายามทำให
ปกรณ์นั่งลงที่เก้าอี้ตรงข้ามพิมพ์ชนกในห้อง VIP เขาเอนตัวพิงพนักเก้าอี้อย่างสบายๆ แต่สายตาที่มองมานั้นเจือแววจริงจัง"พิมพ์ชนก" เสียงทุ้มนุ่มของเขาทำให้เธอสะดุ้งเล็กน้อย"คะ?" เธอเงยหน้ามองเขาอย่างระวัง"ฉันมีคำถามที่อยากรู้" เขาเริ่มขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ แต่สายตาของเขานั้นไม่ธรรมดา"เรื่องที่เธอบอกว่าเธอต้องมาหาเงินจ่ายค่าเทอมเอง...มันคงไม่จริงใช่ไหม?"พิมพ์ชนกชะงัก คำถามนี้เหมือนล้วงลึกเข้าไปในส่วนที่เธอไม่อยากพูดถึง"ฉันไม่เข้าใจว่าคุณหมายถึงอะไร" เธอเลี่ยงตอบตรงๆปกรณ์หัวเราะเบาๆ พลางยกคิ้วขึ้น"แม่ของเธอเป็นเลขาฉัน เงินเดือนแม่เธอไม่น้อยเลยนะ แถมยังได้โบนัสปีละหลายเดือนฉันเองก็รู้ดีว่าแม่เธอไม่มีภาระอะไรหนักหนา แล้วทำไมเธอถึงต้องมาทำงานหาเงินเอง?"เธอกัดริมฝีปากเล็กน้อย พยายามควบคุมสีหน้า"ฉันแค่อยากช่วยแม่แบ่งเบาภาระค่ะ"เขาส่ายหน้าเบาๆ ยิ้มมุมปากแบบที่ทำให้เธอรู้สึกเหมือนเขาไม่เชื่อ"เธอไม่ใช่คนโกหกเก่งนะ พิมพ์ชนก" เขากล่าวด้วยน้ำเสียงขรึม "พูดความจริงกับฉันมาเถอะ"พิมพ์ชนกหลบสายตา เธอรู้ดีว่าการปกปิดอะไรจากเขาไม่ใช่เรื่องง่าย"ฉันแค่ไม่อยากเป็นภาระแม่ค่ะ" เธอตอบด้วยเสียงเบา
เตโชขับรถมารับพิมพ์ชนกตามปกติในเช้าวันใหม่และไปรับหลังจากเธอเสร็จสิ้นการเรียนที่มหาวิทยาลัยแต่วันนี้จุดหมายปลายทางไม่ใช่หอพักของเธอเหมือนเดิม"วันนี้คุณปกรณ์ให้ผมพาคุณไปที่บริษัทครับ" เตโชพูดขึ้นขณะเลี้ยวรถออกจากมหาวิทยาลัย"บริษัท? มีเรื่องอะไรหรือเปล่าคะ?" พิมพ์ชนกถามด้วยความสงสัย"อันนี้ผมไม่ทราบครับ แต่คุณปกรณ์กำชับให้ผมมารับคุณไปทันทีที่คุณเรียนเสร็จ" เตโชตอบด้วยสีหน้าเรียบนิ่งตามแบบฉบับของเขาเมื่อรถเคลื่อนเข้าสู่ลานจอดรถของบริษัท พิมพ์ชนกก็สัมผัสได้ถึงบรรยากาศที่แตกต่างออกไปอาคารสูงและทันสมัยแห่งนี้เต็มไปด้วยพนักงานที่เดินสวนกันไปมา"เชิญครับ" เตโชเปิดประตูรถให้เธอ ก่อนจะพาเธอเดินไปยังลิฟต์ส่วนตัวระหว่างทางสายตาของพนักงานหลายคนจับจ้องมาที่เธอด้วยความสงสัย เพราะไม่เคยเห็นเธอมาก่อนเมื่อถึงชั้นบนสุด ประตูห้องทำงานใหญ่ของปกรณ์เปิดกว้างออก เขายืนรออยู่ด้านใน สวมชุดสูทสีดำที่เสริมให้เขาดูทรงอำนาจยิ่งกว่าเดิม"มานี่สิ พิมพ์ชนก" น้ำเสียงของเขาเรียบนิ่ง แต่กลับดึงดูดใจจนเธออดไม่ได้ที่จะเดินเข้าไปหา"คุณมีธุระอะไรกับฉันหรือคะ?" เธอถามพลางนั่งลงตรงข้ามเขาปกรณ์เอนตัวพิงเก้าอี้ สายตาม
ค่ำคืนเดียวกัน ปกรณ์นั่งอยู่ในห้องส่วนตัวของผับรอบโต๊ะใหญ่มีชายหนุ่มอีกสามคนที่แต่ละคนล้วนเป็นนักธุรกิจชื่อดังในแวดวงสังคมแต่ภายใต้ภาพลักษณ์เหล่านั้น ทุกคนต่างเป็นคนสำคัญในโลกธุรกิจมืด"นายดูไม่ค่อยมีสมาธิเลยนะกรณ์" หนึ่งในนั้นเอ่ยขึ้น เป็นชายหนุ่มผมยาวเรียบแปล้ในชุดสูทไร้ที่ติชื่อว่า ธีรธร เขาเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการฟอกเงินและเป็นคนที่มีเครือข่ายใหญ่ในหลายประเทศปกรณ์ละสายตาจากแก้วเหล้าตรงหน้า ก่อนจะยิ้มมุมปาก "ก็แค่เหนื่อยนิดหน่อย เรื่องของที่เราส่งไปใต้เรียบร้อยดีไหม?""เรียบร้อยกว่าเดิมด้วยซ้ำ" ชายอีกคนตอบขึ้น เป็นชายหนุ่มผิวเข้มชื่อ คณิน เจ้าของท่าเรือที่ใช้เป็นทางผ่านของสินค้าผิดกฎหมาย"แต่ข่าวจากตำรวจเริ่มเข้มขึ้นนะ เราอาจต้องลดปริมาณในล็อตหน้าลง" ธีรธรพูดพร้อมโยนแฟ้มเอกสารไปให้ปกรณ์ปกรณ์รับมาเปิดดูด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง เขาไม่ใช่คนพูดมากในที่ประชุมแบบนี้ แต่ทุกคำพูดของเขามักชี้นำการตัดสินใจของทั้งกลุ่ม"ทำเหมือนเดิม แต่ระวังมากขึ้น ถ้าตำรวจเริ่มได้กลิ่น เราต้องหาวิธีเบี่ยงเบนความสนใจพวกมันไปที่อื่น"ชายหนุ่มคนสุดท้ายที่นั่งเงียบมานาน ชื่อว่า อัคคี ซึ่งเป็นผู้จัดการด้านอาวุธผิด
ขวัญข้าวนั่งไขว่ห้างอยู่ที่ม้านั่งหน้าคณะ พลางก้มมองโทรศัพท์ในมือแต่หางตาเหลือบเห็นรถคันหรูจอดเทียบอยู่ไม่ไกล เธอเลิกคิ้วสงสัย ก่อนจะเห็นพิมพ์ชนกเปิดประตูรถลงมา"เฮ้ย! ยัยพิม!" ขวัญข้าวลุกพรวดขึ้นมา มองเพื่อนรักด้วยสายตาแปลกใจปนสงสัยพิมพ์ชนกยืนปรับกระโปรงพลางส่งยิ้มเจื่อนๆ ให้เพื่อน แต่ยังไม่ทันพูดอะไร เสียงขวัญข้าวก็ลอยมาอีก"รถใครอะ? หรือว่า..."เธอหยุดพูดเมื่อเห็นชายร่างสูงในชุดเสื้อเชิ้ตสีเข้มและกางเกงสแลคสุดเนี้ยบก้าวลงมาจากฝั่งคนขับปกรณ์ยืนตรงหน้ารถ มองพิมพ์ชนกด้วยสายตานิ่งๆ แต่กลับมีแววเจ้าเล่ห์ที่ทำให้ขวัญข้าวแทบหลุดกรี๊ด"โอ๊ยยย! นี่ใครกันยะ หล่อขนาดนี้?" ขวัญข้าวถามเสียงสูง ยืนจ้องปกรณ์ราวกับตื่นเต้นเกินเหตุพิมพ์ชนกรีบหันไปมองเขาแล้วขมวดคิ้ว "คุณกลับไปได้แล้วค่ะ!"ปกรณ์ยกยิ้มมุมปากเล็กน้อย "โอเคครับ แต่ถ้าคุณต้องการอะไร โทรหาผมนะ พิมพ์"คำพูดนั้นทำเอาขวัญข้าวหันมามองพิมพ์ชนกตาโต "เดี๋ยวนะ! เขาเรียกเธอว่าอะไรนะ?"พิมพ์ชนกหน้าแดง เธอรีบดันขวัญข้าวให้ถอยออกมา ก่อนจะหันไปพูดกับปกรณ์เสียงดุ"กลับไปเถอะค่ะ แล้วไม่ต้องมาแถวนี้อีก!"ปกรณ์หัวเราะเบาๆ "ได้สิ แต่ผมไม่สัญญานะว่าจะไม
เช้าวันใหม่มาเยือน พร้อมกับแสงแดดอ่อนๆ ส่องลอดผ่านม่านหน้าต่างในห้องที่เงียบสงบพิมพ์ชนกค่อยๆ ลืมตาขึ้นอย่างอ่อนล้า แต่ก็ต้องเบิกตากว้างเมื่อสัมผัสได้ถึงอ้อมกอดอุ่นๆ ที่โอบล้อมตัวเธออยู่เธอหันไปมองด้านข้าง ใบหน้าคมเข้มของปกรณ์อยู่ใกล้จนเธอรู้สึกถึงลมหายใจอุ่นๆของเขาที่พัดผ่านแก้ม เธอหน้าแดงทันทีที่นึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืนที่ผ่านมา"นี่ฉัน...ทำอะไรลงไปเนี่ย" พิมพ์ชนกพึมพำเบาๆ กับตัวเอง มือบางพยายามดึงตัวออกจากอ้อมแขนของเขาแต่ชายหนุ่มกลับกระชับกอดแน่นขึ้นโดยไม่ลืมตา"จะรีบไปไหนล่ะ พิมพ์" เสียงทุ้มต่ำของปกรณ์ดังขึ้นพร้อมรอยยิ้มจางๆ บนใบหน้า ทำเอาหญิงสาวยิ่งหน้าแดงกว่าเดิม"ปล่อยฉันได้แล้ว" เธอพยายามดันตัวเขาออก แต่เขากลับหัวเราะเบาๆ"เมื่อคืนยังไม่เห็นพูดแบบนี้เลย" ปกรณ์แกล้งเย้าด้วยน้ำเสียงขี้เล่นคำพูดนั้นทำให้พิมพ์ชนกสะอึก เธอจ้องหน้าเขาอย่างโกรธเคือง แต่ความทรงจำบางส่วนเมื่อคืนกลับผุดขึ้นมาในหัว ทำให้เธอพูดไม่ออกปกรณ์มองสีหน้าของเธอที่เปลี่ยนไป ก่อนจะลดรอยยิ้มลง ดวงตาของเขาสบกับเธออย่างจริงจัง"เมื่อคืนคุณเป็นคนเริ่มนะ" เขายิ้มๆบอกด้วยน้ำเสียงหยอกล้อพิมพ์ชนกนิ่งไป หัวใจของ
ปกรณ์รู้สึกถึงความร้อนที่พุ่งเข้ามาจากความรู้สึกที่พยายามยับยั้งอยู่ภายใน เขามองเธอด้วยความลังเลเพียงชั่วครู่ดวงตาสีดำขลับหรี่ลงเล็กน้อย เขารู้ว่าเธอเมาและพูดไปตามอารมณ์แต่บางสิ่งในตัวเขากลับรู้สึกเหมือนถูกกระตุ้นอย่างไม่สามารถห้ามได้"พิมพ์ชนก..." เขาพึมพำชื่อของเธออีกครั้งด้วยเสียงทุ้มต่ำ ก่อนจะยื่นมือไปจับใบหน้าของเธอเบาๆด้วยท่าทางที่เต็มไปด้วยความอ่อนโยนต่างจากปกติพิมพ์ชนกเงยหน้าขึ้น มองเขาในระยะใกล้จนสามารถสัมผัสได้ถึงลมหายใจของเขาที่ใกล้ชิดริมฝีปากของเขายังคงห่างจากเธอเพียงเสี้ยววินาที ขณะที่เธอก็ยืนนิ่ง มันเหมือนทุกอย่างหยุดลงและหัวใจของเธอก็เต้นแรงจนรู้สึกเหมือนจะออกจากอกปกรณ์สูดหายใจลึกๆ ก่อนที่เขาจะโน้มตัวเข้ามาช้าๆ จนริมฝีปากของเขาแตะกับริมฝีปากของพิมพ์ชนกอย่างเบาๆเขาไม่รีบร้อน แต่รู้สึกถึงความร้อนแรงจากการสัมผัสครั้งนี้ แม้จะเป็นเพียงสัมผัสแผ่วเบาพิมพ์ชนกตอบรับการจูบของปกรณ์ด้วยความไม่ประสีประสา ริมฝีปากของเธอขยับอย่างเก้ๆ กังๆแต่เต็มไปด้วยความตั้งใจ ปกรณ์สัมผัสได้ถึงความเขินอายและความไร้เดียงสาในท่าทางของเธอ เขาอดไม่ได้ที่จะกระตุกยิ้มบางๆ ที่มุมปาก"คุณ...ไม่เค
ปกรณ์มองตามเธอจนลับสายตา ความรู้สึกที่ซับซ้อนกำลังตีกันอยู่ในอก เขารู้ดีว่าการปล่อยเธอไปเช่นนี้คือสิ่งที่ควรทำ แต่ความคิดอีกด้านกลับย้ำเตือนว่าเธอคือคนที่เขาไม่อาจปล่อยมือได้ง่ายๆในขณะเดียวกัน หญิงสาวตัวเล็กแต่เต็มไปด้วยความหยิ่งทะนงพิมพ์ชนกที่เดินกระฟัดกระเฟียดออกมาจากผับของปกรณ์ จู่ๆเสียงแจ้งเตือนของแอปธนาคาร แจ้งมียอดเงินโอนเข้าในบัญชีของเธอ" คงเป็นค่าจ้าง ทำงานสองวันมั่ง"หญิงสาวคิดในใจพรางเปิดดูยอดเงินในบัญชีของเธอ พิมพ์ชนกถึงกับตาค้างกับยอดเงินที่โอนเข้ามา"ห๊ะ! สองแสน!"พิมพ์ชนกยืนตัวแข็งอยู่หน้าประตูผับ ดวงตาเบิกกว้างมองจอโทรศัพท์มือถือราวกับไม่เชื่อสิ่งที่เห็น"ใครโอนมาเนี่ย?" เธอพึมพำด้วยเสียงสั่น มือเลื่อนลงมองชื่อผู้โอนที่ปรากฏในแอป"คุณปกรณ์!"ชื่อของเจ้าของผับที่เธอเพิ่งเดินออกมาเมื่อครู่ปรากฏชัดเจนหัวใจของพิมพ์ชนกเต้นแรงด้วยความสับสน ทำไมเขาถึงโอนเงินมาให้เธอเป็นจำนวนมากขนาดนี้?เธอเม้มปากแน่น ก่อนตัดสินใจหันหลังกลับเข้าไปในผับอีกครั้งเพื่อหาคำตอบ...พิมพ์ชนกเดินกระแทกส้นรองเท้าเข้ามาในโถงทางเดินของผับ ตรงไปยังห้องส่วนตัวที่เธอเพิ่งออกมาเมื่อครู่แต่ก่อนที่มือเธอจะ
พิมพ์ชนกเดินไปยังโต๊ะอื่นเพื่อให้บริการตามหน้าที่ ขณะที่เธอวางแก้วเครื่องดื่มลงบนโต๊ะหนึ่งในลูกค้า ซึ่งดูเหมือนจะดื่มหนักไปแล้ว ยื่นมือมาคว้าข้อมือของเธอ"น้องคนสวย ทำไมไม่มานั่งกับพี่บ้างล่ะ?จ๊ะ" เสียงของชายคนนั้นดังขึ้นพร้อมกับเสียงหัวเราะของเพื่อนร่วมโต๊ะทั้งเชียร์และแซวกันอย่างสนุกพิมพ์ชนกสะดุ้งและพยายามดึงมือกลับ แต่เขากลับจับไว้แน่นกว่าเดิม "ปล่อยฉันนะ!" เธอพูดเสียงแข็ง พยายามถอยห่างชายคนนั้นยิ้มเยาะและพูดอย่างไม่ใส่ใจ "อย่าดื้อสิ แค่นั่งคุยด้วยนิดหน่อยเอง ทำเป็นเล่นตัวไปได้!"เสียงของพิมพ์ชนกดังเริ่มดึงดูดความสนใจของลูกค้าโต๊ะอื่น และพี่พนักงานบางคนเริ่มมองมาแต่ยังลังเลที่จะเข้ามายุ่ง เพราะชายคนนั้นดูเหมือนจะเป็นลูกค้าขาประจำที่มีอิทธิพลพอสมควร ปกรณ์ที่ยืนมองอยู่บนชั้นสองเห็นเหตุการณ์ทุกอย่าง สายตาของเขาเปลี่ยนเป็นเย็นชาและแข็งกร้าว เขาหันไปสั่งลูกน้องทันที"เตโชไปจัดการ อย่าให้มันแตะต้องเธออีกแม้แต่นิดเดียว" น้ำเสียงของเขาเด็ดขาดจนเตโชรีบปฏิบัติตามชายร่างใหญ่ในชุดสูทดำสองคนเดินตรงไปที่โต๊ะนั้นทันที หนึ่งในพวกเขาคว้าข้อมือของชายที่ลวนลามพิมพ์ชนก บีบแรงจนเขาต้องปล่อยมือ"