ไม่นานนักรถที่กำลังเร่งคันเร่งเข้ามาก็ได้มาหยุดอยู่ที่เกิดเหตุ ชายสูงโปรงกำลังเปิดประตูลงจากรถพร้อมกับเพื่อนอีกคน ในมือถือปืนอยู่ตลอดสายตากวาดมองไปรอบ ๆ ทุกทิศทาง เมื่อเห็นว่ามีตำรวจพวกเดียวกันนั้นกำลังนอนจมกองเลือดตนไม่รอช้าที่จะรีบเข้าไปช่วยเหลือ
"ตำรวจคนนั้นฉันไม่เคยเห็นมาก่อน" ไอ้สันขวานขยิบปากพลางพูดขึ้นด้วยความสงสัย "เงียบ ๆ เอ็งอย่าพูดมาก" "หืม ! " เสือหาญถอนหายใจสั่งเป็นนัยว่าอย่าเพิ่งคุยกันตอนนี่. แล้วแอบดูสถาณการณ์ต่อไป อย่างเงียบๆ จนตำรวจผู้นั้นนำตัวลูกน้องขึ้นรถขับออกจากชายแดนทั้งสามจึงเผยตัวอออกมา "พี่เสือหาญ ตำรวจคนนี้ดูท่าจะเป็นตำรวจน้ำดี" สันขวานถามด้วยความสงสัย ในขณะนั้นเสือหาญก็พยักหน้า แต่เหมือนอยากจะพูดอะไรออกมา กระบานอยากรู้เพราะอยากฟังความคิดเห็น "พี่เสือหาญ พี่รู้อะไรมา" "ตำรวจคนนี้ข้าพอได้ยินชื่อเสียงเรียงนามมาบ้างเป็นตำรวจน้ำดี เพิ่งย้ายมาอยู่ที่ราชบุรีได้แค่หกเดือน มีนามว่าจ่าแฉล้มถูกสั่งการจากย้ายที่ประจำการเพื่อมาที่นี่ " สันขวานและกระบานที่ได้ฟังเช่นนั้นก็พอเข้าใจ แต่ทั้งสองนั้นคิดว่าจ่าแฉล้มนั้นคงจะอยู่ได้ไม่นานเหมือนตำรวจคนก่อน ๆ จึงไม่ได้สนใจอะไรมาก มองเป็นเพียงแค่ตำรวจธรรมดา "พี่หาญ แล้วเราจะเอายังไงกับของเถื่อนพวกนี้" สันขวานเอ่ยถามในขณะที่สายตามองไปยังของผิดกฎหมายที่ล้มกระจัดกระจายอยู่ไม่ไกลมากนัก ทันใดนั้นเสือหาญไม่รอช้ารีบเดินไปยังสินค้าผิดกฏหมายเขามองสิ่งของเหล่านี้ด้วยความเกียดชังที่ฝั่งลึกในใจ แสดงว่าอดีตของเสือหาญนั้นต้องมีปมอะไรซ่อนอยู่แน่ๆ มือลวงกระเป๋าหยิบไม่ขีดไฟเสียดสีกำมะถันและฟอสฟอรัสแดงจนเกิดประกายไฟอย่างง่ายดาย ในหัวของเสือหาญตอนนี่กำลังนึกย้อนไปเมื่อครั้งยังเป็นเด็กนึกถึงภาพที่เลวร้ายจนสีหน้าแววตาดุร้ายนั้นเก็บอาการไม่อยู่ "พี่เสือหาญ เผาสิพี่ " เสียงเรียกไอ้กระบานเรียกซ้ำหลายครั้ง สันขวานที่ยืนอยู่ข้างๆ จึงตบไหล่เสือหาญพร้อมกันกับไอ้กระบาน ปัง ! ฝ่ามือกระแทกดังลั่นทันใดนั้นสติเสือหาญก็กลับมาในจังหวะนั้นเหงื่อที่ซึมเต็มใบหน้าได้หยดลงบนไม้ขีดไฟจนดับไปชั่วขณะ "พี่เสือหาญ พี่เป็นอะไร " สันขวานถามด้วยความสงสัย เพราะไม่ได้เกิดขึ้นแค่ครั้งนี่ "นั้นสิพี่ เหมือนพี่กำลังอยู่ในอีกโลกหนึ่งในความคิด " กระบานพูดเสริม " เปล่าไม่มีอะไร " เสือหาญพูดจบก็จุดไฟอีกครั้ง ครั้งนี้เสือหาญรีบโยนไม้ขีดไฟลงไปบนสินค้าเถื่อนแล้วก็รีบหันหลังถอยออกมาจากที่ตรงนั้นทันที เขายืนมองเปลวไฟที่กำลังลุกไหม้อยู่ห่าง ๆ ก่อนจะรายคาถาหายตัวไปยังหมู่บ้านหุบดงขวัญผวา ณ หมู่บ้านหุบดงขวัญผวา หมู่บ้านแห่งนี่เป็นหมูบ้านลับแห่งหนึ่งในราชบุรี เมื่อก่อนที่นี่ไม่มีผู้คนอยู่อาศัย แต่ปัจบันมองไปรอบ ๆ มีทั้งคนแก่คนหนุ่มและบ้านอีกร้อยหลังคาเรือน พวกเขาดูมีความสุขไม่ทุกข์ร้อนแล้วทุกคนก็เอ็นดูเสือหาญกันอย่างมาก ไม่ว่าเสือหาญที่เดินไปที่ไหนก็มีแต่ผู้คนหยิบยื่นอาหารยามเช้าและอาหารว่าง แม้กระทั่งอาหารมื้อค่ำ ส่วนเด็ก ๆ ที่นี่ดูสดใสร่าเริงเหมือนเด็กปกติทั่วไป "เสือหาญ กลับมาแล้วรึ มา ๆ มานั่งข้าง ๆยาย " เสียงสั่น ๆ ยายแก่ชราบังเอิญเดินมาเจอเสือหาญที่กำลังยืนมองรอบหมู่บ้านจึงอยากเข้าไปทักทาย "ยายจ๋า ยายได้อะไรมารึ " สิ้นเสียงประโยคคำถามทันใดเสือหาญประคองร่างยายชรานั่งพักที่ศาลานั่งเล่นของหมู่บ้าน "ขอบใจพ่อหนุ่ม" ร่างกายยายไร้เรียวแรงกำลังนั่งถอนหายใจหอบเหนื่อยเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยขอบใจเสือหาญ "ยายเรื่องเล็กน้อย เป็นสิ่งที่ผมนั้นควรทำ " ในขณะนั้นเสือหาญก็สนทนากับยายชราไปเรื่อย ๆ ทามกลางเด็ก ๆ ในหมู่บ้านที่กำลังเล่นเกมวิ่งมอญซ่อนผ้า จนดินคลุ้งกระกายลอยขึ้นกลางอากาศจนกลายเป็นเรื่องปกติ ในขณะนั้น จู่ ๆ ก็มีหญิงสาวในหมู่บ้านเธอมีชื่อว่านางแก้วตา เธอเป็นเด็กกำพร้าถูกโจรลักพาตัวไปขายให้ช่องโสเภณีแต่เธอยังโชคดีที่พ่อเสือหาญสงสารจึงไถ่ตัวเธอออกมา ปัจุบันเธอมีอายุ19 ปี กำลังเริ่มแตกเนื้อสาว ลักษณะรูปร่างอ่อนหวานท่าทางใจดี แก้วตากำลังยืนแอบมองเสือหาญอยู่ห่างนอกศาลาทุกครั้งที่ได้แอบมองดวงตาของเธอจะเปล่งประกายจนเก็บไปคิดว่าตัวเองนั้นกำลังถูกขอแต่งงานท่ามกลางผู้คนในหมู่บ้าน แต่ทว่าฝันของเธอต้องฝันสลาย ตูม ! ลูกกระทกรกล้นกระแทกใส่ศีรษะของเหลวที่เน่าเสียแตกกระเด็นไปทั่วตัว "นี่ บ้าจริง อ๊าย " แก้วตากรีดเสียงร้องออกมาก้มมองดูเสื้อผ้าจนหัวคิ้วขมวดชนกัน เธออยากจะร้องเสียงดังให้มากกว่านี้แต่เธอก็ได้แต่อดทนเอาไว้ "ไม่ได้ ๆ หากพี่เสือหาญเห็นฉันเป็นแบบนี่คงไม่ชอบฉันแน่ ๆ " เธอสูดหายใจเข้าลึก ๆ เพื่อปกปิดอารมณ์ไม่ดีเอาไว้ "ใจเย็น ใจเย็นนะแก้วตา " "นางแก้วตาเอ็งมาทำอะไรตรงนี้ว่ะ" สันขวานกับกระบานเดินชิวมาแต่ไกลเห็นนางแก้วตายืนลุกลี้ลุกรนตามตัวเปียกเปื้อนเหม็นเน่ากลิ่นคลุ้งไปทั่วรอบบริเวณ จึงเอ่ยถามด้วยความหวังดี "ฉัน...ฉันแค่มาเดินเล่นแถวนี้อยู่ๆลูกกระทกรกก็ตกลงมาใส่เลยเป็นแบบที่พวกเอ็งทั้งสองเห็นนี่แหละ" " อออย่างนี่เอง" ทั้งสองพยักหน้าพร้อมกันสะบัดมือปัดกลิ่นเหม็นเน่าออกตลอดเวลาที่ยืนอยู่"จ๊ะ วันหน้าฉันจะมาอุดหนุนป้าอีก" สิ้นสุดประโยคเสือหาญกำลังจะเดินออกจากหน้าร้านแต่ก็เกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดเสียงปืนดังลั่นปัง ๆ ปัง ๆ กระสูนยิงขึ้นสู่ท้องฟ้ากลางตลาด ผู้คนทั้งตลาดชะงักไปชั่วขณะ ทันใดนั้นเสียงร้องกรีดก็ดังขึ้นผู้คนรีบหมอบลงกับพื้น บ้างคนก็ล้มระเนระนาดเพราะเบียดกันหนี "ไม่อยากตาย ก้มหัวลงแล้วนำของมีค่าออกมา" โจรข่มขู่ดังขึ้นพร้อมปืนในมือที่ยกสูงเหนือศรีษะ มันสวมหมวกไอ้โม่งสีดำท่าทายทุกคนอย่างไม่เกรงกลัว"แย่แล้ว " หญิงสาวที่ยืนชื้อขนมเปี๊ยะต้องหมอบลงอย่างว่าง่ายเธอนั้นมีความหวาดกลัว จนแววตาอยู่ไม่นิ่งเสือหาญไม่รอช้ารีบเดินมาบังคนแก่และหญิงสาวไว้"ไม่ต้องกลัวหลบอยู่หลังฉัน"น้ำเสียงที่ราบเรียบบอกหญิงสาวให้หลบหลัง หญิงสาวรู้สึกสบายใจขึ้นมาทันทีเมื่อมีชายแปลกหน้าออกมาปกป้อง ไอ้โจรที่เห็นเช่นนั้นก็หัวเราะเยาะเย้ยเสือหาญ"ฮ่า ๆ ไอ้หนุ่มหน้าอ่อน" มันอ้าปากลั่นกลางตลาดอย่างสะใจราวกับกำลังท้าทายทุกคนที่ยืนอยู่ต่อหน้าพวกมัน"ฉันเตือนแกแล้วนะ!" เสือหาญค่อยๆก้าวเท้าเดินไป
ลูกน้องลุงแหวนค่อย ๆ ใช้ไม้เขี่ยเสื่อที่เต็มไปด้วยเลือดออกอย่างช้า มืออีกข้างอุดจมูกไว้แล้วหันหน้าหนีมองออกไปทางอื่น"ศพ นี่ประหลาดมาก" เสือหาญกล่าวในใจเมื่อเห็นศพชาวบ้านตาโตเท่าไข่ไก่ พะอืดพะอมคดตัวลงเหมือนกำลังจะอาเจียนมือยกขึ้นปิดปากปิดจมูกแน่น"โอ๊ย จะไม่ไหวแล้ว" ชาวบ้านเซถอยหลังปากสั่นงึกงักทรุดนั่งลงกับพื้นพยายามกลั้นอาเจียนสุดชีวิต ทันใดนั้นชาวบ้านนางกลุ่มนั้นทนไม่ไหวกับสภาพศพที่น่ากลัวและกลิ่นเหม็นที่ทนไม่ได้จึงทยอยออกจากลานประชุม สภาพศพรอยมีดบาดลึกหลายจุด เสื้อผ้าขาดวินจนแทบไม่เหลือสภาพเดิมบางจุดเห็นผิวหนังที่ฟกซ้ำและไหม้เกรียมเหมือนถูกทรมานก่อนเสียชีวิต"ใครกันฆ่าแม้กระทั่งคนสติไม่ดี" เสือหาญกล่าวในขณะที่เสือหาญนั้นยืนสำรวจศพอยู่ห่างๆ สายตาได้ไปสะดุดกับบางสิ่งบางอย่าง เขาสวมถุงมือแล้วค่อยๆ ดึงฝ่ามือที่กำแน่นเอาสิ่งของในนั้นออกมาลุงแหวนกับลูกน้องที่ว่ามันคือเศษเสื้อทำมาจากด้ายที่หายากมีเฉพาะผู้มีฐานะครอบครัวที่มีเงินชาวบ้านตาดำทั่วไปคงไม่มีปัญญาชื้อได้"ลุงแหวน ลุงจะทำอย่างไรต่อไป " "ฉันว่าต่อให้ไปฟ้องตำรวจก็ไม่มีประโยชน์"ลุงแหวนได้แต่ส่ายหน้าจนปัญญาที่จะติดตามผู้ร้ายต
"ข้าว่าเอ็งไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเถอะ พวกข้าจะอ้วก" กลิ่นระบายออกมาจนทั้งสองต้องเอามือปิดจมูกแล้วค่อยๆเดินออกมาห่างจากตัวแก้วตา แก้วตาที่ขี้วีนเมื่อเห็นว่าทั้งสองทำท่าทางรังเกียจเธอ เธอชี้นิ้วขึ้นมาด่ารัวๆ จนไม่รู้ว่าหายใจทางไหน"นี่พวกเอ็ง ฉันไม่ใช่ผีนะ" เสียงกระทืบเท้าเหยียบหญ้าจนง้อ ทึก ๆ? "ไอ้บ้า อย่ามามองฉันด้วยสายแบบนั้น" รังสีความไม่พอใจได้แผ่ซ่านออกมาจนไอ้สันขวานกับไอ้กระบานสะดุ้งตัวรีบวิ่งสับฝีเท้าไปให้ไกล"แหวะ " แรงดันปะทุออกมากลางหน้าอกพุ่งน้ำออกมาสาดทิ้งลงใส่หญ้าแห้งใกล้กองฟางเรี่ยวแรงเกือบ หมดฤทธิ์จนเดินหมดแรงตามองซ้ายขวาจนตาลาย "เฮ้ย ไอ้กระบาน เอ็งว่าป่ะ นางแก้วตามันแอบชอบพี่เสือหาญป่าวว่ะ" (เสียงไอ)"แค่ก ๆ ""ข้าก็คิดเหมือนเอ็ง ข้าว่าเราไปดูพี่เสือหาญเถอะ" "เออๆ" ทั้งสองลุกขึ้นยืนพร้อม ๆ กันก้าวเท้าถี่ ๆ มุ่งหน้าไปยังศาลาหมู่บ้านที่อยู่ไม่ไกลมากนัก แต่ในขณะนั้นไอ้สันขวาน/ไอ้กระบานต้องหยุดหลบซ่อนหลังต้นไม้ทันที เมื่อเห็นนางแก้วตาอยู่บนศาลากับพี่เสือหาญ และยายชราที่นั่งพิงเก้าอี้หัวเราะคุยกันอย่างมีความสุขแค่เสือหาญเอ่ยปากขยับท่าทางมันทำให้หัวใจของแก้วตาหัวใจแทบ
ไม่นานนักรถที่กำลังเร่งคันเร่งเข้ามาก็ได้มาหยุดอยู่ที่เกิดเหตุ ชายสูงโปรงกำลังเปิดประตูลงจากรถพร้อมกับเพื่อนอีกคน ในมือถือปืนอยู่ตลอดสายตากวาดมองไปรอบ ๆ ทุกทิศทาง เมื่อเห็นว่ามีตำรวจพวกเดียวกันนั้นกำลังนอนจมกองเลือดตนไม่รอช้าที่จะรีบเข้าไปช่วยเหลือ "ตำรวจคนนั้นฉันไม่เคยเห็นมาก่อน" ไอ้สันขวานขยิบปากพลางพูดขึ้นด้วยความสงสัย"เงียบ ๆ เอ็งอย่าพูดมาก" "หืม ! "เสือหาญถอนหายใจสั่งเป็นนัยว่าอย่าเพิ่งคุยกันตอนนี่. แล้วแอบดูสถาณการณ์ต่อไป อย่างเงียบๆ จนตำรวจผู้นั้นนำตัวลูกน้องขึ้นรถขับออกจากชายแดนทั้งสามจึงเผยตัวอออกมา "พี่เสือหาญ ตำรวจคนนี้ดูท่าจะเป็นตำรวจน้ำดี" สันขวานถามด้วยความสงสัย ในขณะนั้นเสือหาญก็พยักหน้า แต่เหมือนอยากจะพูดอะไรออกมา กระบานอยากรู้เพราะอยากฟังความคิดเห็น"พี่เสือหาญ พี่รู้อะไรมา" "ตำรวจคนนี้ข้าพอได้ยินชื่อเสียงเรียงนามมาบ้างเป็นตำรวจน้ำดี เพิ่งย้ายมาอยู่ที่ราชบุรีได้แค่หกเดือน มีนามว่าจ่าแฉล้มถูกสั่งการจากย้ายที่ประจำการเพื่อมาที่นี่ " สันขวานและกระบานที่ได้ฟังเช่นนั้นก็พอเข้าใจ แต่ทั้งสองนั้นคิดว่าจ่าแฉล้มนั้นคงจะอยู่ได้ไม่นานเหมือนตำรวจคนก่อน ๆ จึงไม่ได้สนใจอะ
รูปร่างสูงใหญ่กำยำคิ้วเข้มพาดเฉียงจมูกโด่งเป็นสันในชุดคราบราชการ เอียงหน้าอย่างช้าๆ แล้วเอ่ยว่า"ข้ามีนามว่า จ่าแฉล้ม" สิ้นสุดเสียงประโยคสุดท้ายทุกอย่างรอบตัวเงียบงันไปชั่วคราวรูหูหลายคู่มันตันไปชั่วขณะ"จ่าแฉล้ม? " ทันใดนั้นทุกคนนึกได้ขึ้นมาพร้อมกันว่า นั้นคือตำรวจที่เขาเล่าลือว่าเก่งกาจไม่แพ้โจรไม่คิดว่าจะได้เจอตัวเป็น ๆ "ไม่คิดว่าจะได้เจอตัวเป็น ๆ ท่าทางสุขุมพูดน้อยต่อยหนักแต่ทว่าจ่าแฉล้มนั้นมีบุตรสาวเพียงผู้เดียวไม่มีบุตรชายเลย" ชาวบ้านพูดถึงจ่าแฉล้มนานนับเป็นชั่วโมงเล่าเรื่องราวในอดีตที่เคยเป็นที่จดจันไปทั่วราชบุรี แต่มีฝีมือขนาดนี้โจรชั่วก็ไม่เคยลดลงมีแต่เพิ่มขึ้นและรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ และเรื่องราวต่อจากนี้มันกำลังจะเริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง "ว.9 มีเหตุฉุกเฉิน...ว.2 ได้ยินหรือไม่ได้ยินแล้วตอบด้วย " เสียงวอวิทยุสื่อสารติดขัดดังขึ้นในขณะที่จ่าแฉล้มกำลังเดินทางกลับไปยังที่ประจำการอำเภอสวนผึ่ง ดูท่าจะเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นแล้วจ่าแฉล้มได้ติดต่อกลับไปทันที "ว.2 ได้ยินหรือไม่ " " ว.2 เกิดเหตุการขนยาบ้าที่ชายแดนพม่าให้ส่งกำลังเสริมเข้ามาด่วน" น้ำเสียงลูกน้องดังจนแสบหูได้ติดต่อกลับมาด
ในสมัยราชการที่ 8 พ.ศ 2477-2494 ช่วงเวลานั้นประเทศไทยมีความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองและสังคมสูงมาก ทำให้ชุมโจร หรือผู้ร้ายมือฉมังโดยเฉพาะ ชนบท หุบเขา หรือพื้นที่ทุรกันดาร ในยุคปราบโจรย่อมมีตำรวจน้ำดีค่อยปกป้องประชาชนต่อสู้กับอำนาจมืดที่อยู่เบื้องหลัง เช่นนั้นการจะปราบโจรนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย พล. ต.อ เผ่า ศรียานนท์ จึงมีคำสั่งให้ จ่าแฉล้ม หรือพันตำรวจตรีแฉล้มลงพื้นที่ประจำการอยู่ที่ อำเภอสวนผึ่งตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของจังหวัดราชบุรีติดกับชายแดนพม่า มีภูมิประเทศเป็นภูเขาสูงและป่าทึบ ทำให้เป็นพื้นที่ ที่ชุมโจรใช้เป็นที่หลบซ่อนพลางตัวปังๆ....เสียงลูกปืนดังปะทะกันดังก้องไปทั่วป่าต่างฝ่ายต่างไม่ยอมกัน"หยุดก่อน" ชายวัยกลางคนลั่นออกคำสั่งให้หยุดกะทันหันในระหว่างที่กำลังต่อสู้กับโจรชั่ว ผู้นั้นคือพันตำราจจ่าแฉล้มถูกขนานนามว่าเป็นตำรวจน้ำดี ไม่มีใครไม่รู้จักเขาแม้กระทั่งในหมู่กลุ่มโจร "จ่า ทำไมถึงไม่ตามพวกมันเข้าไป" ลูกน้องมือปืนตำรวจถามด้วยความสงสัย จ่าแฉล้มยังไม่ได้เอ่ยอะไรตนนั้นเดินออกจากจุดที่ไม่คุ้นเคยกลับไปตั้งหลักยังที่ปลอดภัย เมื่อตนนั้นมาถึงจุดที่จอดรถจึงเอ่ยปากออกมาทันที "พวกนายไม่ร