ฝูงตั๊กแตนตำข้าวถูกนำไปแลกเงินได้มากพอจะซื้อที่ดินสร้างโรงเรียนได้อีกแห่งหนึ่ง แต่เทพทัตแบ่งเงินให้กับนักเรียนและอีกส่วนหนึ่งเขาก็เอามาทำให้มีวันนี้ นักเรียนทิศเหนือมารวมตัวที่สนามฟุตบอล โต๊ะยาวหลายตัวนำมาเรียงตัวกันเพื่อวางอาหารน่ากินหลายอย่าง มีพระเอกของงานเป็นเค้กครีมสดขนาดยักษ์ เขาจัดเวทีสำหรับมินิคอนเสิร์ตให้นักดนตรีและนักร้องอาชีพ แม้จะอยู่ในคราบนักเรียนมัธยมปลาย แต่พวกเขาก็ทำงานในระดับมืออาชีพกันมาก่อนที่จะกลายเป็นเจ้าหญิงเจ้าชายนิทรา
นักเรียนโรงเรียนทิศเหนือจับกลุ่มคุยเป็นกลุ่มๆไป มนสิชามองชุดนักเรียนอย่างเบื่อหน่าย เธอคิดว่าพวกเขาควรงดเว้นไม่ใส่ชุดนี้มาบ้าง ชีวิตจะได้มีสีสันมากกว่านี้ เธอดึงเก้าอี้หน้าเวทีออกมาแล้วนั่งไขว่ห้างเท้าคาง ชูครีมเดินวนอยู่ที่ซุ่มของกินกับเพื่อนอัศวิน ส่วนปุยฝ้ายคุยฟุ้งได้กับทุกคน
นักดนตรีหันมาเล่นดนตรีแนวแอบรัก มีนักเรียนชายตัดผมรองทรงต่ำ เดินเข้ามาหามนสิชา เขาดูเป็นนักเรี๊ยนนักเรียนในสายตาของหญิงสาว เด็กหนุ่มยิ้มเอียงอายให้หล่อนก่อนเอ่ย
"มีคนนั่งตรงนี้ไหมครับ" เขาหมายถึงเก้าอี้ตัวที่ติดกับเธอ
"ไม่มีค่ะ ตามสบายเลย" มนสิชาสงสัยว่าทำไมต้องเลือกนั่งตัวที่ติดกับเธอด้วย ห่างออกไปสักตัวสองตัวไม่ได้หรือยังไง
"ผมชื่อปาครับ เธอชื่ออะไร" เขาแนะนำตัวหน้าแดงก่ำ ไม่ยอมสบตาคู่โต
"มนค่ะ" มนสิชาตอบแล้วโยกตัวตามเพลง "มีแฟนแล้วค่ะ"
"ครับ?" เขาทำเสียงสูง แล้วตะกุกตะกักทันที "คือ..ผมไม่ได้ถามให้ตัวเองนะครับ เอ๊ะ ผมถามแล้วเหรอครับ ขอโทษครับ"
เด็กหนุ่มเด้งตัวขึ้นเหมือนติดสปริงที่ก้น เขาเดินตัวแข็งทื่อออกจากสมรภูมิรัก มนสิชาหัวเราะเบาๆที่เขาไม่ประสาเรื่องจีบหญิง คงเป็นเด็กวัยรุ่นจริงๆนั่นแหละ
เธอดื่มน้ำส้มในมือ มองไปที่นักร้อง เธอมีเสียงที่นุ่มทำให้บรรยากาศน่าผ่อนคลาย ปุยฝ้ายเดินมานั่งถัดจากเธอไปหน่อยหนึ่ง
"ไม่กินอะไรหน่อยเหรอ กินแต่น้ำเอง" ปุยฝ้ายถามห้วนๆ เหมือนเพื่อนรุ่นเดียวกัน
"เดี๋ยวจะไป..."
มนสิชากำลังจะตอบ แต่มีนักเรียนชายกลุ่มหนึ่งเดินเข้ามา มีเด็กหนุ่มที่ชื่อปาเดินเข้ามาด้วย แต่หัวโจกไม่ใช่เขา เป็นเด็กชายหัวเกรียนท่าทางเหมือนนักเลง
"ชื่อมนเหรอครับ" เขาถาม
"ค่ะ แล้วนี่" มนสิชาเว้นให้เขาตอบ
"เจ็มครับ ลูกน้อง เอ๊ย เพื่อนผมมันบอกว่ามนมีแฟนแล้วเหรอครับ" เขาถามด้วยท่าทางยียวน กลุ่มเด็กผู้ชายที่ยืนอยู่ข้างหลังอีกสี่คนทำให้เจ็มดูน่าเกรงขาม เขาสังเกตเห็นปุยฝ้ายจึงทักเธอ "เพื่อนปุยฝ้ายเองเหรอครับ ถ้าอย่างนั้นขอร่วมวงด้วยคนได้เปล่า"
"อยากนั่งก็นั่งเลยค่ะ พวกเรากำลังจะไปพอดี" มนสิชาตอบแบบไม่รักษาน้ำใจ เธอไม่ชอบพวกนักเลง ดูท่าทางเหมือนปาจะเป็นเหยื่อให้พวกเขาด้วย
"ไม่ให้เกียรติผมแบบนี้จะดีหรือครับ" เขาเดินมาขวางหน้ามนสิชา
"นั่งก่อนๆ" ปุยฝ้ายดึงมนสิชาให้มานั่งด้วย เธอไม่ได้กลัวเขาแต่มีเหตุผลอย่างอื่นมากกว่า "เจ็มอยากรู้จักมนเหรอ นั่งก่อนๆ"
"คุณมนนี่น่ารักนะครับ ผมเห็นทีแรกไม่กล้าทักเลย" เจ็มเอ่ย
"ทำไมครับ" เพื่อนคนหนึ่งถามให้
"เดี๋ยวอะไรๆแข็ง"
เสียงหัวเราะร่วนดังมาจากเหล่าเพื่อนของเขา
"เขาหมายถึงกำมือแน่นจนมือแข็งน่ะครับ" เพื่อนอีกคนแก้ให้
มนสิชาทำหน้าเครียด เธอไม่ชอบมุกสองแง่สองง่าม เพราะเป็นการไม่ให้เกียรติเธอ และเธอได้ยินบ่อยมาทั้งชีวิตเพราะรูปร่างหน้าตาแบบนี้ ปุยฝ้ายหันมามองก็เข้าใจทันที
"มนเขาบอกว่ามีแฟนแล้วน่ะ" ปาบอกเสียงอ่อน เกรงใจเจ็มและพรรคพวก
"ถ้าบอกว่ามีแฟนในชีวิตจริง ยังไงผมก็ยังมีหวัง แต่ถ้ามีแฟนในฝัน ผมอาจจะถอยให้ก็ได้" เจ็มเอ่ยด้วยแววข่มขู่เล็กน้อย
"ปุยฝ้ายไง แฟนมน" มนสิชาเดินไปนั่งตักปุยฝ้าย
"อ้าว ปุยฝ้ายไม่ได้เป็นแฟนชูครีมหรอกเหรอ" เพื่อนคนหนึ่งถามขึ้นอย่างแปลกใจ
"งั้นจุ๊บกันให้ดูหน่อย ผมอยากเห็นทุ่งลิลลี่บานในรั้วโรงเรียน" เจ็มบอก "ถ้าดูดดื่มมากๆ ผมจะถอยให้"
"นายคิดว่านี่เป็นละครหรือไง ใครๆถึงต้องมาทำตามที่นายขอ" มนสิชาอดไม่ได้ที่จะสั่งสอนเด็กไม่รู้จักคิด "ฉันไปหา ชูครีมดีกว่า อย่าทำให้ปาร์ตี้ต้องกร่อยเพราะความหื่นของนายเลยนะ"
มนสิชาลุกออกจากตักปุยฝ้าย แต่ปุยฝ้ายคว้าไว้แล้วหอมแก้มมนสิชาหนึ่งฟอด
"โอเคนะ แค่นี้ก็พอใจได้แล้วมั้ง" ปุยฝ้ายเอ่ยกับเจ็ม "อย่าให้เรื่องถึงหูชูครีมเลยนะ นายเองก็จะลำบากนะเจ็ม"
เมื่อชื่อชูครีมถูกเอามาอ้าง เพื่อนเจ็มจึงกระซิบอะไรที่้ข้างหูเขาแล้วพวกเขาก็เดินจากไป ปุยฝ้ายหันมาดูอาการของเพื่อนสาวที่ตอนนี้อารมณ์สงบลงแล้ว
"ไปคุยกับชูครีมบ้างไหม เธอไปนานแล้วเหมือนกัน" มนสิชาถาม ปุยฝ้ายหันไปมองชูครีมที่นั่งลงบนม้านั่งยาวกับเพื่อนอีกสองคน
"เธอไม่อยากไปนั่งกับพวกอัศวินหรอก" ปุยฝ้ายเอ่ยด้วยความเบื่อหน่าย "ชูครีมเป็นยังไง เพื่อนเขาก็นิสัยแบบนั้นเลย"
"แต่ถ้าเทียบกับนิสัยเธอแล้ว ฉันว่าฉันทนคนแบบชูครีมได้นะ"
นักร้องขอพักให้เพื่อนอีกคนขึ้นมาร้องแทน เพราะเสียงเธอแหบหมดแล้ว มนสิชาจึงอดไม่ได้ที่จะปรบมือให้นักร้อง เพื่อยืนยันว่าน้ำเสียงเธอสุดยอดแค่ไหน ส่วนคนใหม่ก็เสียงดีไม่แพ้กัน เขามีเสียงแหบเอกลักษณ์
มนสิชาเดินอ้อมไปด้านหลังชูครีมเพื่อเตรียมเซอร์ไพรส์ แต่เธอหยุดนิ่ง เมื่อได้ยินสิ่งที่อัศวินทั้งสามคนคุยกัน
"ดูซิ พวกเรามันไม่มีใครคบ มานั่งกันตั้งนานแล้ว แต่ไม่มีใครเข้ามาทักเลย" ชูครีมเอ่ยด้วยสีหน้าช้ำใจ เธอเห็นปุยฝ้ายเข้าไปคุยกับมนสิชา แล้วตามด้วยผู้ชายอีกหลายคน แต่สองเพื่อนสาวไม่ได้อยากมาคุยกับเธอเลย
"อย่าว่าแต่ชีวิตประจำวันจะแย่เลย ตอนเป็นอัศวินก็เกือบตายหลายครั้งแล้ว ฉันว่าฉันไม่มีพรสวรรค์เลย ไม่รู้คุณเทพทัตเห็นอะไรในตัวพวกเรา ถึงได้เลือกให้เป็นอัศวิน" อัศวินชายเพียงคนเดียวในกลุ่มพูดขึ้น
"ฉันว่าอีกไม่นานฉันคงลาออกแล้วล่ะ ไม่งั้นก็ตายอยู่ในสนามรบ ตอนอยู่ก็ไม่มีใครอยากอยู่ด้วย ตอนตายก็คงไม่มีใครอยากนึกถึง" อัศวินหญิงอีกคนพูด
"ฉันก็เหมือนกัน ฉันมันห่วย" อัศวินชายว่า
"ฉันน่ะ นอกจากเป็นอัศวินแล้วก็ไม่รู้จะไปเป็นอะไร ทำอะไรก็ไม่ดีไปสักอย่าง" ชูครีมเอ่ยคอตก
มนสิชารู้สึกว่ามุมมองของพวกเธอช่างดำมืดซะจนไม่มีที่ให้ความเห็นธรรมดาๆจะเข้าไปแทรก เธอจึงถอยหลังกลับแล้วเดินไปหาปุยฝ้ายที่นั่งกินเค้กอยู่
"เห็นไหม เธอไม่อยากเข้าไปคุยเวลาสามคนนั้นรวมตัวกันหรอก" ปุยฝ้ายบอก
"พวกเขาต่อสู้แย่ขนาดนั้นเลยเหรอ" มนสิชาถาม
"ไม่เลยๆ สามคนนั้นน่ะ เก่งที่สุดเลยนะ" ปุยฝ้ายบอก
มนสิชาอึ้ง ไม่รู้จะตลกหรือเศร้าใจดี
ท้องฟ้ามืดครึ้ม ทุกคนเงยหน้ามองอย่างแปลกใจ เห็นฝูงเหยี่ยวยักษ์บินมาเหนือหัว นกบินมาจากทิศใต้และไม่มีเสียงไซเรนคอยเตือนพวกเขาเหมือนอย่างเคย อัศวินเรียกสเลฟออกมาทันที พวกที่ไม่มีปีกจึงทำได้แต่คอยคุ้มกันคนใกล้เคียง ส่วนพวกมีปีกบินขึ้นไปควบคุมสถานการณ์
หลังจากนั้นอีกหนึ่งเดือน ปุยฝ้ายไปเยี่ยมดนุเดชที่เรือนจำ พวกเขานั่งโต๊ะที่จัดไว้สำหรับให้ญาติมาเยี่ยม ดนุเดชดูโทรมไปถนัดตา ขอบตาดำคล้ำอย่างคนนอนไม่หลับ เขาสวมเสื้อสีน้ำตาล หมดแววคุณหมอไฮโซที่ปุยฝ้ายเคยรู้จัก "พ่อทานข้าวบ้างหรือเปล่าคะ" ปุยฝ้ายพยายามยิ้มให้พ่อ แต่ทำไม่ได้เลย "กินได้บ้างแล้ว" ดนุเดชตอบคอแห้งเป็นผง "เจ้าหน้าที่เขาเข้ามาคุยกับหนูเมื่อวาน บอกข่าวว่าศาลจะทำอะไรกับพวกเราบ้าง" ปุยฝ้ายจั่วหัวไปเท่านั้น ดนุเดชดูไม่สนใจฟังว่าคนอื่นจะทำยังไงกับตน "พ่อต้องได้รับโทษตามกฎหมายค่ะ คนไข้คนอื่นเขาจะไม่เรียกค่าเสียหาย แต่จะไม่มีใครยอมจ่ายค่ารักษาพยาบาล พวกทีมบริหารบอกผ่านคุณย่ามาว่าโรงพยาบาลของเราจะล้มละลาย คุณย่าจะมาจัดการเรื่องขายโรงพยาบาลให้ คุณพ่อไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ" ดนุเดชดูเหม่อลอย ไม่ตอบอะไร "แน่นอนว่าคุณพ่อต้องติดคุก แล้วพวกเราจะโดนฉีดยาสลายเวทมนตร์ ไม่เฉพาะเราสองคน แต่เป็นคนใช้เวทมนตร์ทั้งประเทศจะโดนเหมือนกันหมด" ปุยฝ้ายถอนหายใจ "ปกติเราก็ไม่ได้ใช้เวทมนตร์กันอยู่แล้ว เรื่
ดนุเดชเดินกลับไปกลับมาในห้องทำงาน ผู้ถือหุ้น คนไข้ รวมทั้งลูกสาวกดดันให้เขาต้องทำอะไรสักอย่างกับการประท้วงที่หน้าโรงพยาบาล นักข่าวเริ่มมาทำข่าวกันแล้ว เวทมนตร์เป็นเรื่องที่น่าสนใจสำหรับคนไทยในเวลานี้ พวกเขามองว่าคนใช้เวทมนตร์เป็นคนไม่ดี แต่สำหรับเขาเวทมนตร์หรืออะไรก็แล้วแต่เป็นสิ่งที่เขาจะทุ่มเทให้ได้เพื่อให้ลูกสาวฟื้นขึ้นมา คำสาปทิ้งร่องรอยไว้ให้ผู้ร่ายคำสาปเสมอ ดนุเดชร่ายเวทมนตร์เก่าแก่อีกครั้ง ตอนนี้เป็นเวลาห้าทุ่ม คนไข้ทุกคนเข้านอนกันหมดแล้ว ดังนั้นตอนนี้ทุกคนกำลังฝัน และฝันก็คือร่องรอยของแต่ละคนที่เขาสามารถเข้าถึงได้อย่างง่ายดายที่สุด เขาสาปอีกครั้ง เป็นคำสาปที่ไม่รุนแรงนัก มีผลแค่ทำให้คนไข้ทั้งหนึ่งพันกว่าคนฝันร้าย มนสิชาเป็นหนึ่งในผู้ต้องคำสาป เธอเห็นดวงตะวันถูกเมฆบังจนมืดสนิท ยมบาลตัวสีแดงถือไม้ตะบองที่มีหนามแหลมทั่วทั้งอันมาด้วย เขาร้องเสียงดุร้าย "หยุดก่อน!" มนสิชาวิ่งหนี ชายตัวแดงวิ่งตามเธอมาเพียงสามก้าวก็ถึงตัวเธอ เขาใช้ไม้ตะบองตีหัวเธอ หนามแหลมทะลุเข้าไปในสมอง มนสิชาร้
มนสิชาลืมตาขึ้นมาอย่างช้าๆ เธอเห็นเพดานสีขาวที่ไม่คุ้นเคย ผ้าห่มอุ่นห่มให้เธอถึงอก มองไปรอบๆห้องก็พบว่าที่นี่เป็นห้องพักในโรงพยาบาล กุมภากำลังนอนหลับอยู่ที่โซฟาใกล้ๆ น้องสาวกรนเบาๆ "กุมภา" มนสิชาเรียกน้องสาวเสียงแหบ กุมภาคิดว่าฝันไปจึงหลับต่อ แต่เมื่อคิดอีกทีว่าเธออยู่กับพี่สาวตามลำพังจึงเปิดตาขึ้นมอง เห็นมนสิชายันตัวลุกขึ้นนั่ง หน้าขาวซีด "พี่มน!" กุมภาเด้งตัวลุกมาหาพี่สาว "พี่มนๆๆ" "จ้ะ พี่เอง" มนสิชายิ้มให้ รู้สึกตัวหนักไปหมด คอก็แห้งผาด "ขอ..น้ำ" กุมภารินน้ำให้พี่สาว มนสิชาดื่มอย่างกระหาย เสียงเธอกลับมาสดชื่นขึ้นเล็กน้อย "พี่รู้ไหมว่าหนูลำบากมากแค่ไหนตอนพี่ไม่ได้สติ ต้องช่วยพ่อทำงาน ต้องมาเฝ้าพี่ และทำงานพิเศษด้วย พวกเรายังไม่รู้เลยว่าจะหาค่ารักษาที่ไหนมาจ่ายให้พี่" กุมภาบอกความในใจทั้งหมดกับพี่สาว มนสิชาคิดอยู่แล้วว่าเรื่องจริงต้องร้ายแรงกว่าที่คุยกับปริญ มนสิชาพยายามจะตอบ แต่ไม่มีเสียงเล็ดรอดออกมา "...โทษ ขอโทษ" เธอจึงร้องไห้ออกมาแทน
สุกฤตเดินเล่นกับเทพทัตในสนามหญ้าของโรงเรียนทิศเหนือ พวกเขายิ้มให้กับนักเรียนที่เดินเข้ามาทักทาย ทั้งสองคนไม่ค่อยจะได้คุยกันมากนักเพราะสุกฤตค่อนข้างเก็บตัว แต่เขาก็แสดงให้เห็นว่าตัวเองเปลี่ยนไปหลังจากที่เทพทัตรับตำแหน่งประธานนักเรียน "ผมอยากให้คุณเทพทัตผลิตเงินให้เยอะขึ้นครับ บอกตามตรงว่าชนชั้นแรงงานไร้ฝีมือค่อนข้างเยอะ แล้วพวกเขาก็ประท้วงกันบ่อยครั้งว่าอยากได้เงินเยอะขึ้น" สุกฤตปรึกษาปัญหาที่เกิดขึ้น "ถ้าผมทำอย่างนั้น เงินจะมีค่าน้อยลง ของทุกอย่างจะแพงขึ้นนะครับ" เทพทัตอธิบายเศรษฐศาสตร์แบบง่ายๆ "แค่ให้คนรู้สึกว่ามีเงินในมือเยอะขึ้น เท่านั้นก็พอแล้วครับ พวกเราก็ค่อยโทษว่าพ่อค้าแม่ค้าขายของกันแพง จนทำให้พวกเขาซื้อของได้น้อยลง แต่ข้อดีคือพวกอสังหาริมทรัพย์ก็จะแพงขึ้นด้วย แต่ละทิศที่ก่อสร้างบ้านขึ้นมาก็จะได้ประโยชน์จากตรงนี้ แถมค่าเช่าก็จะขึ้นได้อีก" สุกฤตเอ่ย "นั่นสินะครับ" เทพทัตหัวเราะอย่างพอใจ "ผมไม่นึกว่าคุณสุกฤตจะมีหัวการค้าขนาดนี้" "ผมเองก็มักจะใช้เวลาใคร่ครวญสิ่งต่างๆเสมอ มันคงเป
ย่านการค้าทิศตะวันออกกลับมาคึกคักอีกครั้ง มนสิชาได้โอกาสเดินไปคุยกับแม่ค้าแอปเปิ้ลที่นั่งอยู่ เธอเป็นหญิงร่างท้วมตัวสูง หน้าตาซีเรียส มนสิชาแอบคิดว่าแผงของเธอคงไม่ต้องการใครมาปกป้อง เพราะเธอท่าทางจะปกป้องตัวเองได้แน่ๆ "ลูกละสิบห้าบาทจ้า กรอบหวานทุกลูกเลยนะ" แม่ค้าเอ่ย "เรามาถามเรื่องคนที่ชื่อโอ๊ตน่ะคะ" ปุยฝ้ายถามแทน ชูครีมเดินตามมาทีหลัง เพราะถือของกินพะรุงพะรัง "เขาตื่นไปนานแล้วนี่" แม่ค้าสาวบอก ดูแปลกใจที่มีคนมาถามเรื่องโอ๊ต "ค่ะ เพราะเขาตื่นแล้ว เราเลยอยากได้ข้อมูลของเขาไงคะ" มนสิชาบอก "แล้วแม่ค้าก็เป็นคนเดียวที่รู้เรื่องโอ๊ตด้วย" "ฉันเองก็รู้อะไรไม่มากหรอกค่ะ รู้แค่ว่าก่อนมาที่นี่เขากระโดดให้รถชน พอรู้ตัวอีกทีก็ติดอยู่ในความฝันแล้ว เขาเป็นคนที่ไม่มีอนาคตและไม่นึกถึงอดีต เขาพอใจที่สามารถเริ่มต้นชีวิตในความฝันใหม่ได้ เคยมาคุยกับฉันว่าจะไม่ตามหาวิธีตื่น แต่แค่สามวันที่เขามาอยู่ที่นี่ เขาก็ตื่นขึ้นค่ะ" ทั้งสามคนเงียบฉี่ ต่างคนต่างนึกว่าต้องถามอะไรอีก แต่
วันเลือกตั้งใกล้เข้ามาทุกที นักเรียนทุกคนรอการหาเสียงจากแต่ละทิศอย่างตื่นเต้น เริ่มต้นจากทิศใต้ที่เน้นการศึกษา พวกเขารู้ดีว่านักเรียนที่อยู่ในโรงเรียนปัจจุบันเป็นคนที่ให้ความสำคัญกับการศึกษาอยู่แล้ว ขณะเดียวกันนักเรียนทุกคนก็รู้ว่าหากอยากเรียนมากๆให้ไปทิศใต้ ดังนั้นจึงไม่สามารถตามหานักเรียนที่สนใจการศึกษาได้มากไปกว่านี้ สุกฤตจึงใช้เรื่องอื่นจูงใจนักเรียนแทน เขาสั่งให้อัศวินลอบไปทิศอื่นเพื่อปิดป้ายประกาศเสนอคูปองกินฟรีตลอดหนึ่งเดือนสำหรับนักเรียนใหม่ เพียงย้ายที่อยู่ไปในทิศใต้ก่อนวันเลือกตั้งเท่านั้น นักเรียนชายร่างท้วมเดินไปดูป้ายอย่างสนใจ พลางกอดคอเพื่อนหุ่นพอๆกับเขาไปด้วย พวกเขาอยู่ทิศตะวันออก ที่นี่ช่างสดใสเมื่อได้ปรับปรุงที่อยู่ใหม่ ส่วนคนที่ย้ายไปก็เริ่มกลับมาบ้างแล้ว "สมุทร นายว่าเราย้ายโรงเรียนกันสักเดือนดีไหม" ลำธารเพื่อนรักเอ่ยให้ฟังด้วยแผนการ "นายหมายถึง ย้ายไปเพื่อรับอาหารฟรีงั้นเหรอ" สมุทรหัวเราะในลำคอ "ก็ไม่มีใครตามมาบังคับให้เราต้องอยู่ที่นั่นตลอดไปนี่นา แถมพวกเรายังเป็นแรงงานไร้ฝีมื