เครื่องพ่นไฟที่ฝ่ายหัวหน้านักเรียนเอามาแจกมีสองส่วน ส่วนหนึ่งเป็นทรงกระบอกสำหรับปล่อยให้ไฟออกมา มีด้ามจับทำมาจากหนังเทียมกันความร้อน อีกส่วนหนึ่งสามารถสะพายได้ เป็นทรงกลมเอาไว้เก็บแก๊สข้างใน มีชายคนหนึ่งออกมายืนหน้าห้องประชุมเพื่อสาธิตอุปกรณ์ให้ดู
"ถ้าผมเป็นคุณ ผมจะเปิดแก๊สตรงนี้" เขาเปิดวาล์วให้ดูด้วยการบิดไปทางขวา "แล้วก็กดไกตรงนี้สำหรับจุดไฟให้ติด ถ้าผมเป็นคุณ ผมจะไม่หันกระบอกส่งไฟเข้าหน้าตัวเอง เพราะไกค่อนข้างอ่อนทีเดียว มันอาจจุดไฟขึ้นมาโดยบังเอิญได้
เรื่องที่ผมอยากจะบอกอีกอย่างหนึ่งก็คือ เนื่องจากเพื่อให้พกพาเครื่องได้สะดวก เราเลยออกแบบให้ที่บรรจุแก๊สมีขนาดเล็ก ดังนั้นถ้าเปิดไฟเต็มแรงก็จะใช้เครื่องพ่นไฟได้ราวหนึ่งชั่วโมงเท่านั้น แล้วคุณก็ต้องกลับมาเติมแก๊สใหม่ที่นี่นะครับ อย่าเพิ่งทำหน้าไม่พอใจครับ ถ้าแก๊สเยอะไป คุณก็จะหลบตั๊กแตนตำข้าวไม่สะดวกนะครับ เพราะงั้นเป็นแบบนี้แหละดีแล้ว
สัญญาณไฟสีแดงจะขึ้นตรงที่บรรจุแก๊ส ถ้าเหลือแก๊สให้ใช้อีกไม่เกินสิบห้านาทีนะครับ ถ้าผมเป็นคุณผมจะรีบวิ่งกลับมาที่โรงเรียน เอาล่ะเดี๋ยวผมจะลองจุดไฟให้ดูนะครับ"
เด็กหนุ่มสำรวจหน้าห้องประชุมอีกครั้ง แน่ใจว่าบริเวณนั้นไม่มีอะไรที่ติดไฟได้จึงเริ่มสาธิตเครื่องมือ เขาเปิดวาล์วแก๊สแล้วกดไกปืน จากนั้นลำเพลิงก็พุ่งออกมาเมตรกว่า อัศวินทำเสียงทึ่งในพลังของไฟ เขารีบปิดวาล์วแก๊สแล้วหัวเราะแห้งๆ ประตูเป็นรอยไหม้เกรียม
"ขอโทษทีครับ"
"ขอบคุณสำหรับการสาธิตครับ" เทพทัตเอ่ยกับช่าง การซ่อมประตูไม่ใช่เรื่องใหญ่เท่ากับว่าเวลานี้อัศวินมีขวัญและกำลังใจที่เกิดจากอาวุธดีๆ "เวลามีไม่มากแล้ว เราแยกย้ายกันเลยดีกว่า"
อัศวินลุกขึ้นพร้อมๆกัน ชูครีมและมนสิชาเดินไปรับอาวุธ
"เธอไม่ควรปล่อยให้มนสิชาไปคนเดียวนะชูครีม" ครูดวงใจเตือน "เธอยังเป็นมือใหม่อยู่ เพราะฉะนั้นคอยดูเพื่อนด้วยนะ"
"เข้าใจแล้วค่ะครู" ชูครีมรับคำสั้นๆ ก่อนออกวิ่งไปพร้อมมนสิชา
"พวกเราไปตามบ้านคนก่อนเถอะ ฉันเห็นพวกมันชอบเกาะตามบ้านคน" มนสิชาบอก พวกเธอวิ่งไปที่หมู่บ้านใกล้โรงเรียน ตั๊กแตนตำข้าวกลุ่มหนึ่งเกาะอยู่บนทาวน์เฮาส์ที่เรียงกันเป็นแถว เธอเห็นตั๊กแตนตำข้าวคู่หนึ่งกำลังผสมพันธุ์กัน แต่ตัวโตกว่ากำลังกินตัวเล็กกว่า
"มันกินพวกเดียวกันด้วย" ชูครีมรู้สึกสะอิดสะเอียน ส่วนตั๊กแตนตำข้าวตัวอื่นก็กำลังสู้กัน ใช้หมัดหาจังหวะต่อยอีกฝ่าย เข้าคลุกวงในกัน ตัวเล็กกว่าใช้ขาหน้าฟันขาอีกฝ่ายจนขาด ชูครีมเปิดวาล์วจนสุดแล้วกดไกปืน ไฟพุ่งปรี๊ดใส่ เพียงสามวินาทีมันก็ตกลงมาตาย ทั้งสองคนช่วยกันย่างสดมอสเตอร์จนพวกมันร่อยหรอ
มนสิชาเผาตัวแล้วตัวเล่า จนแก๊สโชว์ไฟสีแดงนานแล้ว
เธออยากจะรีบกลับไปโรงเรียนแต่ชูครีมกำลังติดพัน มนสิชาเข้าไปช่วยชูครีมอย่างลืมกลัว จนตั๊กแตนตายไปอีกสองโหล
"ต้องไปจริงๆแล้วนะ" มนสิชาบอก รับรู้ได้ถึงน้ำหนักแก๊สที่เบาหวิว
ตั๊กแตนตำข้าวพุ่งเข้าใส่มนสิชาตอนเธอหันหลังให้ มันกัดเข้าที่ซอกคอหญิงสาว แล้วใช้เคียวที่ขาหน้าตัดคอเธอ แต่เจ้าตัวปัดออกอย่างรวดเร็ว เธอหันกลับมาหวังจะแผดเผามัน แต่แก๊สหมดพอดี มนสิชาเหวี่ยงมันลงพื้นแล้วใช้เท้าบี้ สายตาตั๊กแตนตำข้าวจ้องมองเธออย่างว่างเปล่าจนหมดลมหายใจ หญิงสาวรู้สึกไม่สบายใจเลยแม้แต่น้อย
"ทางนี้ค่ะคุณมน" ชูครีมตะโกนเมื่อเห็นหญิงสาวยังอยู่ที่เดิม
"เธอใช้บลูฮาร์ทดีไหมชูครีม" มนสิชาถามเมื่อเห็นว่าจำนวนมอสเตอร์ไม่ได้น้อยลงเท่าใดนัก
"จำนวนเยอะขนาดนี้บลูฮาร์ทเอาไม่อยู่หรอกค่ะ เก็บแรง
ไว้ใช้ยามจำเป็นดีกว่า อีกอย่างถ้าให้บลูฮาร์ทพ่นไฟ มีหวังหลังคาบ้านไหม้หมดแน่"
"จริงด้วย" มนสิชารับ เอามือถูแผลที่ต้นคอ โชคดีที่แผลไม่ลึกนัก
"สวัสดีครับ ผมหัวหน้านักเรียน เทพทัตนะครับ" เสียงตามสายดังขึ้นในตัวเมือง มนสิชาเงยหน้าขึ้นเห็นลำโพงติดตั้งตามเสาไฟฟ้า "ตอนนี้เราต้องการอาสาสมัครช่วยกำจัดตั๊กแตนตำข้าวด้วยเครื่องพ่นไฟ หากท่านใดมีกำลังและความสนใจ สามารถมาเจอพวกเราได้ที่โรงเรียนนะครับ"
ชูครีมกับมนสิชาเดินมาถึงโรงเรียนในเวลาอันสั้น มีป้ายชี้ไปโรงยิมแทน เนื่องจากจำนวนคนเพิ่มขึ้นจนน่าตกใจ ประชากรของโรงเรียนทิศเหนือมีอยู่สองร้อยสี่สิบเก้าคน อาสาสมัครกลับมารวมกันที่โรงยิมกว่าสองร้อยคนเข้าไปแล้ว ลึกๆแล้วทุกคนก็อยากเป็นฮีโร่ช่วยเหลือเมืองที่ตัวเองอยู่ทั้งนั้น พวกเธอมองหาปุยฝ้ายอยู่นาน จนในที่สุดก็เจอเธอเดินมาพร้อมเครื่องพ่นไฟ
"โย่ สาวๆ" เธอทักทายสีหน้าดูลำบากไม่น้อย "ทำไมเครื่องมันถึงได้หนักจังนะ"
"คุณปุยฝ้ายอย่าออกไปเลยนะคะ รอพวกเราอยู่ในนี้ดีกว่า" ชูครีมขอร้อง
"ใช่ มันโจมตีเร็วมากเลยนะ เธอน่ะช่วยเติมแก๊สให้อาสาสมัครในนี้ดีกว่านะ" มนสิชาเห็นด้วย
"ฉันก็อยากผจญภัยกับเขาบ้างนี่นา" ปุยฝ้ายเริ่มน้อยใจ "ยังไงก็จะไปล่ะ ถ้าพวกเธอไม่อยากไปกับฉัน ฉันไปคนเดียวก็ได้"
มนสิชาจับแขนปุยฝ้ายไว้ก่อนที่เธอจะเตลิดไปไกล
"เข้าใจแล้ว เราไปกันเถอะ" มนสิชายิ้มให้ ปุยฝ้ายดูพอใจเป็นอย่างยิ่ง เธอยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ไปตลอดทาง ตั๊กแตนตำข้าวเริ่มเรียนรู้ว่าศัตรูอันดับหนึ่งของพวกมันคือมนุษย์นั่นเอง ดังนั้นเมื่อมีคนเดินเข้าไปใกล้มันจะโจมตีทันที ปุยฝ้ายเห็นพวกมันบินมาทางด้านหลังของชูครีม เธอจึงพ่นไฟใส่ ไหม้เกรียมและตกลงบนพื้น เธอไม่ได้สังเกตว่าข้างหลังตัวเองก็มี
บางตัวบินมา มันจึงบินมาเกาะหัวปุยฝ้าย
"กรี๊ด มันมาเกาะหัวฉัน ช่วยด้วยๆ"
ชูครีมและมนสิชาวิ่งหน้าตาตื่นเข้ามาช่วย มนสิชาเล็งไฟไปที่หัวของปุยฝ้าย
"อย่านะ เธอแม้แต่อย่าคิดเลยนะ" ปุยฝ้ายทั้งร้องทั้งสั่งเสียงหลง
"ใช้มือหยิบมันออกมาเถอะค่ะ" ชูครีมบอกมนสิชา
"แต่ว่า..ถ้ามันทำร้ายฉันล่ะ" มนสิชาไม่มั่นใจ
"เร็วเข้าสิ มันน่าขยะแขยงจะตายไป" ปุยฝ้ายร้องกรี๊ดๆ
"เข้าใจแล้วๆ" มนสิชาร้องบอก หยิบตั๊กแตนตำข้าวออกมาทั้งที่กลัว มันเกาะเกี่ยวผมของปุยฝ้ายเอาไว้แน่น จนกลายเป็นตัดผมปุยฝ้ายเข้า มนสิชาโยนตั๊กแตนไปไกล ชูครีมเผามันทันที
"เซฟ" ชูครีมร้อง
ตอนนี้พวกเธอเดินอยู่ในย่านร้านอาหาร มีคนใช้ระเบิดกับตั๊กแตนที่บินกันเป็นฝูง พวกมันจึงบินมาทางที่สาวๆอยู่อีกฝูงใหญ่
"มันมาแล้ว" ปุยฝ้ายตะโกนบอกเพื่อนๆ ชูครีมกับมนสิชายืนเรียงหน้ากระดานต่อจากปุยฝ้าย แล้วยิงลำเพลิงใส่ตั๊กแตนตำข้าวทั้งฝูง พวกมันร่วงหล่นบนพื้น ไร้พิษสง และส่งกลิ่นไหม้ ตอนนี้ทั้งเมืองมีแต่คนถือเครื่องพ่นไฟ มอสเตอร์ก็ทยอยตายไปเรื่อยๆ จนแทบหาพวกมันไม่เจอแล้ว
"จะเกิดอะไรขึ้นกับมอนสเตอร์ที่ไม่ตาย" มนสิชาถาม
"มันก็หลบอยู่ในธรรมชาติค่ะ แล้วก็อาจจะแพร่พันธุ์ได้" ชูครีมตอบ
"งั้นเราก็ต้องกำจัดให้หมดให้ได้" ปุยฝ้ายที่เหงื่อท่วมตัว ชูมือขึ้นไฟในมือเธอเฉียดตาของชูครีมไปนิดเดียว
"เดี๋ยวเถอะปุยฝ้าย" มนสิชาแหว
"ขอโทษทีจ้า" เด็กสาวลดมือลงอย่างระมัดระวัง
พวกเธอเดินหาตั๊กแตนกันทั้งคืน ชูครีมหายไปเพราะหลับไม่ฝัน เมื่อกลับมาอีกทีก็พบว่าทุกคนมารวมตัวที่โรงยิมกันอีกครั้งเพื่อคืนอาวุธ เธอเดินเข้าไปหาเพื่อนๆที่นั่งอยู่มุมหนึ่ง ท่าทางอิดโรย
"สรุปว่าเราหาทางออกจากฝันไม่ได้ จากนี้ก็ควรอยู่ที่นี่ตลอดไปสินะ" มนสิชาเอ่ยกับเพื่อนทั้งสอง
"ก็ไม่เชิงว่าไม่มีทางออกหรอก เพราะความจริงแล้วฉันได้ยินข่าวลือมาว่ามีคนตื่นขึ้นจากฝัน แต่เราแทบไม่รู้อะไรจากพวกนั้นเลย" ปุยฝ้ายเป็นคนเอ่ย "บางทีพวกครูคงมีข้อมูลมากกว่าเราละมั้ง"
"ครูรู้อะไรที่เธออยากรู้หรือ ปุยฝ้าย" ดวงใจเดินผ่านมาพอดี
"รู้ว่าคนที่ตื่นจากฝันเขาทำได้ยังไงคะ" ปุยฝ้ายตอบ
"เป็นคำถามที่ดีมาก แต่คนที่ตอบได้คงเป็นหัวหน้านักเรียน เพราะพวกเขาทั้งสี่คนเป็นคนติดต่อกับผู้สร้าง ผู้สร้างก็คือคนที่สร้างเมืองนี้ขึ้นมา แถมหัวหน้านักเรียนยังรับภารกิจดูแล
นักเรียนมาจากผู้สร้างด้วย"
แผนผังความสัมพันธ์เริ่มปรากฏชัดในใจของพวกเด็กสาว เรื่องนี้ลึกลับกว่าที่พวกเธอคิดไว้ ตอนแรกพวกเธอคิดว่าพวกเขาทำงานนี้เพราะจิตอาสา แต่กลายเป็นว่ายังมีเรื่องราวเบื้องลึกที่น่าสืบสาวเข้าไปให้รู้ยิ่งขึ้นอีก
"แล้วพวกเราจะเข้าถึงหัวหน้านักเรียนได้ยังไงคะ" มนสิชาถาม
"เร็วๆนี้จะมีการเลือกตั้งประธานนักเรียน และคนที่ชนะจะได้รับรางวัลพิเศษจากผู้สร้าง เป็นการดูแลร่างเนื้อจากทีมแพทย์ด้วย นอกจากนี้ครูคิดว่าอาจจะไม่ใช่แค่การดูแลเพียงอย่างเดียว น่าจะทำให้หัวหน้านักเรียนเข้าถึงข้อมูลที่ผู้สร้างมีด้วย ทำไมเธอไม่ลองไปถามหัวหน้านักเรียนทิศเหนือของพวกเราดูล่ะ"
มนสิชารู้สึกแปลกใจกับข้อมูลที่ดวงใจบอก
"แล้วผู้สร้างรู้วิธีตื่นจากฝันหรือเปล่า รู้สินะคะ แต่ทำไมเขาถึงไม่บอกอะไรพวกเราเลย" มนสิชาถามเมื่อตั้งสติได้แล้ว
"ผู้สร้างอาจจะรู้หรือไม่รู้ก็ได้ ถ้ามีโอกาสพวกเธอควรเข้าไปคุยกับเทพทัตดูนะ" ดวงใจบอก "งั้นครูขอตัวนะ"
หลังจากนั้นอีกหนึ่งเดือน ปุยฝ้ายไปเยี่ยมดนุเดชที่เรือนจำ พวกเขานั่งโต๊ะที่จัดไว้สำหรับให้ญาติมาเยี่ยม ดนุเดชดูโทรมไปถนัดตา ขอบตาดำคล้ำอย่างคนนอนไม่หลับ เขาสวมเสื้อสีน้ำตาล หมดแววคุณหมอไฮโซที่ปุยฝ้ายเคยรู้จัก "พ่อทานข้าวบ้างหรือเปล่าคะ" ปุยฝ้ายพยายามยิ้มให้พ่อ แต่ทำไม่ได้เลย "กินได้บ้างแล้ว" ดนุเดชตอบคอแห้งเป็นผง "เจ้าหน้าที่เขาเข้ามาคุยกับหนูเมื่อวาน บอกข่าวว่าศาลจะทำอะไรกับพวกเราบ้าง" ปุยฝ้ายจั่วหัวไปเท่านั้น ดนุเดชดูไม่สนใจฟังว่าคนอื่นจะทำยังไงกับตน "พ่อต้องได้รับโทษตามกฎหมายค่ะ คนไข้คนอื่นเขาจะไม่เรียกค่าเสียหาย แต่จะไม่มีใครยอมจ่ายค่ารักษาพยาบาล พวกทีมบริหารบอกผ่านคุณย่ามาว่าโรงพยาบาลของเราจะล้มละลาย คุณย่าจะมาจัดการเรื่องขายโรงพยาบาลให้ คุณพ่อไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ" ดนุเดชดูเหม่อลอย ไม่ตอบอะไร "แน่นอนว่าคุณพ่อต้องติดคุก แล้วพวกเราจะโดนฉีดยาสลายเวทมนตร์ ไม่เฉพาะเราสองคน แต่เป็นคนใช้เวทมนตร์ทั้งประเทศจะโดนเหมือนกันหมด" ปุยฝ้ายถอนหายใจ "ปกติเราก็ไม่ได้ใช้เวทมนตร์กันอยู่แล้ว เรื่
ดนุเดชเดินกลับไปกลับมาในห้องทำงาน ผู้ถือหุ้น คนไข้ รวมทั้งลูกสาวกดดันให้เขาต้องทำอะไรสักอย่างกับการประท้วงที่หน้าโรงพยาบาล นักข่าวเริ่มมาทำข่าวกันแล้ว เวทมนตร์เป็นเรื่องที่น่าสนใจสำหรับคนไทยในเวลานี้ พวกเขามองว่าคนใช้เวทมนตร์เป็นคนไม่ดี แต่สำหรับเขาเวทมนตร์หรืออะไรก็แล้วแต่เป็นสิ่งที่เขาจะทุ่มเทให้ได้เพื่อให้ลูกสาวฟื้นขึ้นมา คำสาปทิ้งร่องรอยไว้ให้ผู้ร่ายคำสาปเสมอ ดนุเดชร่ายเวทมนตร์เก่าแก่อีกครั้ง ตอนนี้เป็นเวลาห้าทุ่ม คนไข้ทุกคนเข้านอนกันหมดแล้ว ดังนั้นตอนนี้ทุกคนกำลังฝัน และฝันก็คือร่องรอยของแต่ละคนที่เขาสามารถเข้าถึงได้อย่างง่ายดายที่สุด เขาสาปอีกครั้ง เป็นคำสาปที่ไม่รุนแรงนัก มีผลแค่ทำให้คนไข้ทั้งหนึ่งพันกว่าคนฝันร้าย มนสิชาเป็นหนึ่งในผู้ต้องคำสาป เธอเห็นดวงตะวันถูกเมฆบังจนมืดสนิท ยมบาลตัวสีแดงถือไม้ตะบองที่มีหนามแหลมทั่วทั้งอันมาด้วย เขาร้องเสียงดุร้าย "หยุดก่อน!" มนสิชาวิ่งหนี ชายตัวแดงวิ่งตามเธอมาเพียงสามก้าวก็ถึงตัวเธอ เขาใช้ไม้ตะบองตีหัวเธอ หนามแหลมทะลุเข้าไปในสมอง มนสิชาร้
มนสิชาลืมตาขึ้นมาอย่างช้าๆ เธอเห็นเพดานสีขาวที่ไม่คุ้นเคย ผ้าห่มอุ่นห่มให้เธอถึงอก มองไปรอบๆห้องก็พบว่าที่นี่เป็นห้องพักในโรงพยาบาล กุมภากำลังนอนหลับอยู่ที่โซฟาใกล้ๆ น้องสาวกรนเบาๆ "กุมภา" มนสิชาเรียกน้องสาวเสียงแหบ กุมภาคิดว่าฝันไปจึงหลับต่อ แต่เมื่อคิดอีกทีว่าเธออยู่กับพี่สาวตามลำพังจึงเปิดตาขึ้นมอง เห็นมนสิชายันตัวลุกขึ้นนั่ง หน้าขาวซีด "พี่มน!" กุมภาเด้งตัวลุกมาหาพี่สาว "พี่มนๆๆ" "จ้ะ พี่เอง" มนสิชายิ้มให้ รู้สึกตัวหนักไปหมด คอก็แห้งผาด "ขอ..น้ำ" กุมภารินน้ำให้พี่สาว มนสิชาดื่มอย่างกระหาย เสียงเธอกลับมาสดชื่นขึ้นเล็กน้อย "พี่รู้ไหมว่าหนูลำบากมากแค่ไหนตอนพี่ไม่ได้สติ ต้องช่วยพ่อทำงาน ต้องมาเฝ้าพี่ และทำงานพิเศษด้วย พวกเรายังไม่รู้เลยว่าจะหาค่ารักษาที่ไหนมาจ่ายให้พี่" กุมภาบอกความในใจทั้งหมดกับพี่สาว มนสิชาคิดอยู่แล้วว่าเรื่องจริงต้องร้ายแรงกว่าที่คุยกับปริญ มนสิชาพยายามจะตอบ แต่ไม่มีเสียงเล็ดรอดออกมา "...โทษ ขอโทษ" เธอจึงร้องไห้ออกมาแทน
สุกฤตเดินเล่นกับเทพทัตในสนามหญ้าของโรงเรียนทิศเหนือ พวกเขายิ้มให้กับนักเรียนที่เดินเข้ามาทักทาย ทั้งสองคนไม่ค่อยจะได้คุยกันมากนักเพราะสุกฤตค่อนข้างเก็บตัว แต่เขาก็แสดงให้เห็นว่าตัวเองเปลี่ยนไปหลังจากที่เทพทัตรับตำแหน่งประธานนักเรียน "ผมอยากให้คุณเทพทัตผลิตเงินให้เยอะขึ้นครับ บอกตามตรงว่าชนชั้นแรงงานไร้ฝีมือค่อนข้างเยอะ แล้วพวกเขาก็ประท้วงกันบ่อยครั้งว่าอยากได้เงินเยอะขึ้น" สุกฤตปรึกษาปัญหาที่เกิดขึ้น "ถ้าผมทำอย่างนั้น เงินจะมีค่าน้อยลง ของทุกอย่างจะแพงขึ้นนะครับ" เทพทัตอธิบายเศรษฐศาสตร์แบบง่ายๆ "แค่ให้คนรู้สึกว่ามีเงินในมือเยอะขึ้น เท่านั้นก็พอแล้วครับ พวกเราก็ค่อยโทษว่าพ่อค้าแม่ค้าขายของกันแพง จนทำให้พวกเขาซื้อของได้น้อยลง แต่ข้อดีคือพวกอสังหาริมทรัพย์ก็จะแพงขึ้นด้วย แต่ละทิศที่ก่อสร้างบ้านขึ้นมาก็จะได้ประโยชน์จากตรงนี้ แถมค่าเช่าก็จะขึ้นได้อีก" สุกฤตเอ่ย "นั่นสินะครับ" เทพทัตหัวเราะอย่างพอใจ "ผมไม่นึกว่าคุณสุกฤตจะมีหัวการค้าขนาดนี้" "ผมเองก็มักจะใช้เวลาใคร่ครวญสิ่งต่างๆเสมอ มันคงเป
ย่านการค้าทิศตะวันออกกลับมาคึกคักอีกครั้ง มนสิชาได้โอกาสเดินไปคุยกับแม่ค้าแอปเปิ้ลที่นั่งอยู่ เธอเป็นหญิงร่างท้วมตัวสูง หน้าตาซีเรียส มนสิชาแอบคิดว่าแผงของเธอคงไม่ต้องการใครมาปกป้อง เพราะเธอท่าทางจะปกป้องตัวเองได้แน่ๆ "ลูกละสิบห้าบาทจ้า กรอบหวานทุกลูกเลยนะ" แม่ค้าเอ่ย "เรามาถามเรื่องคนที่ชื่อโอ๊ตน่ะคะ" ปุยฝ้ายถามแทน ชูครีมเดินตามมาทีหลัง เพราะถือของกินพะรุงพะรัง "เขาตื่นไปนานแล้วนี่" แม่ค้าสาวบอก ดูแปลกใจที่มีคนมาถามเรื่องโอ๊ต "ค่ะ เพราะเขาตื่นแล้ว เราเลยอยากได้ข้อมูลของเขาไงคะ" มนสิชาบอก "แล้วแม่ค้าก็เป็นคนเดียวที่รู้เรื่องโอ๊ตด้วย" "ฉันเองก็รู้อะไรไม่มากหรอกค่ะ รู้แค่ว่าก่อนมาที่นี่เขากระโดดให้รถชน พอรู้ตัวอีกทีก็ติดอยู่ในความฝันแล้ว เขาเป็นคนที่ไม่มีอนาคตและไม่นึกถึงอดีต เขาพอใจที่สามารถเริ่มต้นชีวิตในความฝันใหม่ได้ เคยมาคุยกับฉันว่าจะไม่ตามหาวิธีตื่น แต่แค่สามวันที่เขามาอยู่ที่นี่ เขาก็ตื่นขึ้นค่ะ" ทั้งสามคนเงียบฉี่ ต่างคนต่างนึกว่าต้องถามอะไรอีก แต่
วันเลือกตั้งใกล้เข้ามาทุกที นักเรียนทุกคนรอการหาเสียงจากแต่ละทิศอย่างตื่นเต้น เริ่มต้นจากทิศใต้ที่เน้นการศึกษา พวกเขารู้ดีว่านักเรียนที่อยู่ในโรงเรียนปัจจุบันเป็นคนที่ให้ความสำคัญกับการศึกษาอยู่แล้ว ขณะเดียวกันนักเรียนทุกคนก็รู้ว่าหากอยากเรียนมากๆให้ไปทิศใต้ ดังนั้นจึงไม่สามารถตามหานักเรียนที่สนใจการศึกษาได้มากไปกว่านี้ สุกฤตจึงใช้เรื่องอื่นจูงใจนักเรียนแทน เขาสั่งให้อัศวินลอบไปทิศอื่นเพื่อปิดป้ายประกาศเสนอคูปองกินฟรีตลอดหนึ่งเดือนสำหรับนักเรียนใหม่ เพียงย้ายที่อยู่ไปในทิศใต้ก่อนวันเลือกตั้งเท่านั้น นักเรียนชายร่างท้วมเดินไปดูป้ายอย่างสนใจ พลางกอดคอเพื่อนหุ่นพอๆกับเขาไปด้วย พวกเขาอยู่ทิศตะวันออก ที่นี่ช่างสดใสเมื่อได้ปรับปรุงที่อยู่ใหม่ ส่วนคนที่ย้ายไปก็เริ่มกลับมาบ้างแล้ว "สมุทร นายว่าเราย้ายโรงเรียนกันสักเดือนดีไหม" ลำธารเพื่อนรักเอ่ยให้ฟังด้วยแผนการ "นายหมายถึง ย้ายไปเพื่อรับอาหารฟรีงั้นเหรอ" สมุทรหัวเราะในลำคอ "ก็ไม่มีใครตามมาบังคับให้เราต้องอยู่ที่นั่นตลอดไปนี่นา แถมพวกเรายังเป็นแรงงานไร้ฝีมื