"เดี๋ยวชูครีมจัดการด้านบนเองค่ะ" ชูครีมเอ่ยกับพรรคพวกขณะขี่บลูฮาร์ท
ไม่ไกลนักอัศวินคนหนึ่งกำลังขี่เทอราโนดอน นกไดโนเสาร์ยักษ์ผู้มีอารมณ์เกรี้ยวกราด มันร้องเสียงดังแล้วบินเข้าโจมตีเหยี่ยวยักษ์ที่ตัวพอๆกับมัน ที่เหลือจึงเริ่มหันเข้าโจมตีมนุษย์ที่อยู่ในบริเวณนั้น หลายตัวพุ่งลงใส่คน จากนั้นเมื่อคนกระโดดหมอบ พวกมันจึงเชิดหัวขึ้นแล้วชนเข้ากับกองอาหารบนโต๊ะ เสียงดังโครม อาหารกระจายเต็มพื้น
ผู้คนหวีดร้อง วิ่งหนีเข้าไปในโรงยิม นกเหยี่ยวยักษ์บินฉวัดเฉวียนเหนือพวกเขา มันบินลงมาคาบมนุษย์แล้วปล่อยให้ตกลงมาจากท้องฟ้า บางคนโดนเด็ดหัว เลือดไหลจากคอเหมือนน้ำก๊อก
"ใหญ่ ไม่นะใหญ่"
เสียงเพื่อนหญิงของศพไร้หัวร้อง ศพเกิดไฟลุกท่วมแล้วสลายไป ไม่เหลือแม้แต่เถ้าธุลี
"เขาแค่ไปเริ่มต้นใหม่ที่ส่วนกลางเท่านั้นเอง เข้าไปหลบในโรงยิมก่อนเถอะค่ะ" ปุยฝ้ายเอ่ยอย่างร้อนรน เมื่อเห็นว่า นกเหยี่ยวยักษ์ยังบินเหนือท้องฟ้าไม่เลิก แต่เด็กสาวไม่มีทีท่าจะยอมลุกไปไหน "ถ้าคุณต้องตายแล้วลืมว่าเคยรู้จักกัน ทีนี้ก็จะต้องแยกจากกันถาวรเลยนะคะ"
ดูเหมือนเหตุผลนั้นจะปักเข้ากลางใจหล่อน เธอจึงปาดน้ำตาแล้ววิ่งเข้าโรงยิมกับปุยฝ้าย ระหว่างที่วิ่งไปนั่นเอง ปุยฝ้ายโดนคาบขาขึ้นแล้วลอยขึ้นเหนืออากาศ เด็กสาวประสานมือ ยกตัวขึ้น แล้วทุบคอนกยักษ์ มันจึงอ้าปากออกแล้วปล่อยเธอร่วงลงมา เธอจุกจนร้องไม่ออก แต่รีบลุกขึ้นแล้วเดินเขย่งเข้าโรงยิมไป
เทพทัตสำรวจคนรอดชีวิตอย่างใจเย็น เขารู้ว่าคนที่ตายไม่ได้ตายไปจริงๆ และตอนนี้อัศวินที่แข็งแกร่งกำลังทำหน้าที่ของตัวเอง แต่จะต้านไว้ได้นานแค่ไหนไม่มีใครรู้ เมืองทั้งเมืองตกอยู่ใต้อำนาจของมอนสเตอร์อีกครั้ง
"ฟังทางนี้หน่อยครับ" เทพทัตยืนขึ้นเหนือเก้าอี้แล้วเอ่ยเสียงดังกับนักเรียนในปกครองของเขาทั้งหมด "ผมคิดว่าตอนนี้เรากำลังอยู่ในภาวะวิกฤต อัศวินที่พอจะสู้ได้กับฝูงเหยี่ยวยักษ์มีแต่อัศวินชั้นหนึ่งเท่านั้น ผมอยากให้ทุกคนช่วยกันคิดว่าจะทำอย่างไรกับสถานการณ์ตอนนี้ดี"
"ไม่มีทางที่เราจะสู้กับเหยี่ยวตัวใหญ่ขนาดนั้นได้ พวกเราบินไม่ได้ แถมมันยังโจมตีพวกเราไม่เลือกหน้าอีก" ชายคนหนึ่งเอ่ยขึ้น
"ฉันเห็นด้วย คุณเทพทัตควรเอากำลังมาคุ้มกันพวกเรา ให้เราหนีออกจากโรงเรียนทิศเหนือได้อย่างปลอดภัย" นักเรียนหญิงคนหนึ่งเอ่ยบ้าง ตอนนี้มวลชนเห็นด้วยกับความคิดที่จะอพยพออกจากทิศเหนือ
"กำลังเรามีน้อยมาก เป็นไปไม่ได้ที่คุณจะหนีออกจากที่นี่ได้อย่างปลอดภัย" เทพทัตเอ่ยตามจริง "ผมอยากให้เรารวมพลังเหมือนตอนที่สู้กับตั๊กแตน แล้วเราจะผ่านเรื่องนี้ไปได้ พวกคุณคิดจะทิ้งบ้านและทรัพย์สมบัติที่อุตส่าห์สร้างมาจริงๆเหรอครับ ถ้าไปโรงเรียนอื่นก็ต้องเริ่มต้นใหม่ แถมแต่ละทิศก็มีวิถีชีวิตที่ไม่เหมือนกันด้วย"
เสียงเริ่มแตกออกเป็นสองพวก พวกที่คิดจะอยู่ต่อและพวกที่คิดจะหนีไปตายเอาดาบหน้า
"แล้วถ้าเราร่วมมือกัน เราจะเอาอะไรไปสู้กับพวกนกยักษ์นั่น" ชายคนหนึ่งยกมือขึ้นถาม
"เป็นคำถามที่ดีมากครับ" เทพทัตชม "ผมถึงอยากปรึกษาทุกคนในห้องนี้พร้อมกัน"
"ไม่ไหวหรอก ขนาดหัวหน้านักเรียนยังไม่รู้ แล้วพวกเราจะไปรู้ได้ไง" นักเรียนคนหนึ่งเอ่ย "ผมจะไปจากที่นี่ ใครจะไปกับผมก็ตามมาเลย"
เขาลุกขึ้นยืน มีนักเรียนอีกกว่าห้าสิบคนลุกขึ้นพร้อมกัน เทพทัตทำสีหน้าเป็นกังวล
"เดี๋ยวก่อนครับ อย่างน้อยก็รอให้เหยี่ยวยักษ์มันหายไปจากเขตโรงเรียนก่อนดีกว่า ไม่อย่างนั้นพวกคุณอาจจะไม่รอด" เทพทัตขอร้อง
"เพราะคุณกลัวว่าถ้าพวกเราออกไปจากทิศเหนือแล้ว
คุณจะไม่ได้เป็นประธานนักเรียนใช่ไหม" ชายคนหนึ่งเอ่ย เสียงวิพากย์วิจารณ์ดังขึ้นระงม เมื่อคิดว่าเทพทัตอาจจะไม่ได้หวังดีกับพวกเขาจากใจจริง
"ไม่ใช่นะครับ ทุกคนใจเย็นๆก่อน" เทพทัตอับจนถ้อยคำ
"พวกเราไปกันเถอะ" หัวโจกเมื่อสักครู่เอ่ยขึ้น
กลุ่มนักเรียนที่อยากออกจากเมืองเดินไปรวมตัวกันตรงทางเข้า แล้วก็วิ่งออกไปจากโรงเรียน เป็นไปตามคาดเมื่อมีเหยื่อแสนเชื่องช้าออกไป นักล่าจึงจู่โจมทันที จำนวนคนห้าสิบคนเหลือชีวิตรอดเพียงยี่สิบคนเท่านั้น คนตายกลายเป็นลูกไฟแล้วสลายไป พวกเขาไปเริ่มต้นใหม่ที่ส่วนกลาง
"ที่นี่เราก็มาคุยเรื่องวิธีจัดการเหยี่ยวกันบ้างเถอะครับ" เทพทัตเอ่ยกับคนที่เหลือ "นกเหยี่ยวเป็นนกที่บินเร็วที่สุด และสายตาดีมาก แถมพวกมันก็ตัวโตพอๆกับพวกเรา ดังนั้นถ้าจะสู้กันตัวต่อตัวคงจะไม่ไหว"
"สเลฟของเราก็อาจจะกลายเป็นอาหารของพวกมันด้วยค่ะ" เด็กสาวคนหนึ่งแสดงความเห็น
ปุยฝ้ายยกมือขึ้นเสนอความเห็น คนที่เหลือเห็นด้วยกับความเห็นเธอ พวกเขาจึงเตรียมอาวุธและเริ่มปฏิบัติการในแทบจะทันที เทพทัตจดจำปุยฝ้ายในฐานะนักวางแผน เขาประทับใจในตัวเธอจนคิดจะชวนเธอมาช่วยงาน
ฟ้าลั่นออกไปวิ่งเล่นในสนามฟุตบอล เหยี่ยวยักษ์หลายตัวเกาะระเบียงอาคารเรียนมองดูมันตาเป็นมัน ม้าคลั่งของมนสิชาร้องเสียงดังประกาศศักดิ์ดา มอสเตอร์ตัวหนึ่งจึงบินออกจากที่เกาะแล้วมุ่งหน้าไปที่ฟ้าลั่น นกยักษ์บินลงมาเหนือม้า มันเตรียมฉก แต่แล้วสนามหญ้าก็มีการเคลื่อนไหว มีคนวิ่งออกมาจากผ้าใบสีเขียว พวกเขาเอาหอกแทงนกแล้วกดช็อตไฟฟ้า มันล้มลงตายต่อหน้าต่อตาทุกคน เหยี่ยวตัวอื่นบินขึ้นเหนือน่านฟ้า อัศวินวิ่งเข้าไปแอบใต้ร่มผ้าอีกครั้ง
เหยี่ยวยักษ์ฝูงใหญ่บินตามมา แล้วรุมทึ้งฟ้าลั่น ม้าลอยสูงขึ้นไปในอากาศ มนสิชาร้องลั่น
"ไม่นะ ฟ้าลั่น"
มันถูกปล่อยให้ตกลงมา ฟ้าลั่นดิ้นอยู่บนท้องฟ้า กำลังจะเอาหลังลง เหล่านักเรียนมองอย่างหมดหวัง แล้วจู่ๆปีกของฟ้าลั่นก็งอกออกมา เป็นปีกสีชาขับกับขนสีดำให้ยิ่งดำสนิท มันบินขึ้นเผชิญหน้ากับเหยี่ยวแล้วใช้ขาคู่หลังเตะเข้าที่หน้าอกเหยี่ยว นกยักษ์ร้องอย่างเจ็บปวดแล้วตกลงจากท้องฟ้า
มนสิชาขึ้นขี่บนหลังสเลฟของเธอ พร้อมกับอัศวินชั้นหนึ่งอีกสองคน พวกเธอใช้หอกเสียบนกยักษ์ทีละตัวพร้อมช็อตไฟฟ้า นกปีศาจตกจากอากาศลงมาตายเกลื่อน ส่วนบางตัวที่ไม่ตายก็โดนอัศวินบนพื้นดินช่วยปาดคอจนหมดลม ในตอนนี้โรงเรียนทิศเหนือปลอดภัยจากมอนสเตอร์แล้ว นักเรียนทุกคนโห่ร้องอย่างดีใจ ชื่อของมนสิชาเป็นที่รู้จักไปทั่ว
เสียงเพลงทวิงเกิ้ล ทวิงเกิ้ล ลิตเติ้ล สตาร์ดังขึ้นหลังจากนั้นสองวัน นักเรียนทั้งหมดเดินทางไปยังหอประชุม ไม่มีใครรู้ว่าเรื่องที่จะประชุมเป็นเรื่องอะไร จนกระทั่งหัวหน้านักเรียนทั้งสี่คนประจำตำแหน่ง
"ผมเทพทัต หัวหน้านักเรียนทิศเหนือเป็นคนเรียกประชุมในวันนี้ครับ" เขาแนะนำตัวอย่างสุภาพ ไม่มีท่าทีตื่นเวทีแต่อย่างใด "เมื่องสามวันก่อนเราโดนฝูงตั๊กแตนตำข้าวโจมตี แล้วตามด้วยนกเหยี่ยวยักษ์ มีนักเรียนตายและอพยพลี้ภัยหลายสิบคน ซึ่งปกติแล้วเมื่อมอนสเตอร์โจมตี เขาจะเว้นระยะไปอย่างน้อยหนึ่งสัปดาห์ แต่นี่กลับโจมตีเราในเวลาอันสั้นเท่านั้น ผมคิดว่าเรื่องนี้ต้องมีเบื้องหลังอย่างแน่นอน"
"ถ้าท่านคิดว่าเรื่องนี้สมควรหารือกันกดใช่ ถ้าคิดว่าไม่สมควรกดไม่ครับ" สุเมธรีบสรุป ไม่อยากให้เทพทัตดูน่าสงสาร เพราะใกล้วันเลือกตั้งขึ้นมาทุกที แววตาเจ้าเล่ห์นั้นส่อแววพอใจเมื่อเห็นเทพทัตอารมณ์เสียที่ถูกขัดจังหวะ
จอมอนิเตอร์ทำงานนับโหวตจากนักเรียนกว่าพันคน และสรุปผลออกมา
"ผลโหวตบอกว่าสมควรหารือ เชิญคุณเทพทัตต่อเลยครับ" สุเมธเอ่ย เขาทำเสียงจุ๊ในลำคอ แต่เพราะไมค์ปิดอยู่ จึงไม่มีใครได้ยินนอกจากบรรดาหัวหน้านักเรียนที่นั่งอยู่ใกล้ๆกัน
"เราเจอตาข่ายขนาดใหญ่ที่มีขนนกสีดำติดอยู่ ซึ่งเป็นขนนกชนิดเดียวกันกับเหยี่ยวที่มาโจมตีเรา" เทพทัตโชว์รูปถ่ายขนนกและซากนกผ่านทางจอมอนิเตอร์ "แถมนกยังบินมาจากทิศอื่นที่ไม่ใช่ทิศเหนือซึ่งเป็นประตูมิติ"
เสียงคุยเซ็งแซ่ดังขึ้น เมื่อหลักฐานชี้ชัดว่ามีคนไม่หวังดีจริงๆ
"จากการสันนิษฐานของเรา คิดว่าเรื่องจูงใจน่าจะมาจากการเลือกตั้งประธานนักเรียนที่จะมีขึ้นเร็วๆนี้ ผมอยากให้นักเรียนทุกคนแจ้งเบาะแสมาที่เรา แล้วเราจะให้รางวัลอย่างงามครับ" เทพทัตเอ่ยก่อนปิดไมค์ตัวเอง
"ขอคัดค้านครับ" สุกฤตเอ่ยขึ้น "การพูดเช่นนี้ไม่หมายความว่าเราในสามทิศที่เหลือเป็นคนร้ายหรือครับ อาจเป็นการสร้างสถานการณ์ของตัวทิศเหนือเอง หรือคนที่ไม่พอใจทิศเหนือก็ได้ครับ"
"เห็นด้วยค่ะ" กิ่งฟ้าเอ่ยบ้าง "นอกจากเหตุจูงใจยังไม่แน่ชัดแล้ว สถานการณ์ที่ร้ายแรงได้ก็เป็นเพราะทิศเหนือไม่มีการเตรียมพร้อมรับมือกับสถานการณ์ฉุกเฉินที่ดีพอค่ะ"
เทพทัตยังสงบนิ่งไม่โต้เถียง แถมยังมองดูหัวหน้าทิศอื่นกล่าวหาเขาได้เป็นเวลานาน
"ผมคงไม่ได้ข้อสรุปอะไรในวันนี้ แต่นักเรียนที่มีเบาะแสจะได้รับรางวัลอย่างงามแน่นอน วันนี้ขอปิดประชุมเท่านี้ ขอบคุณครับ" เทพทัตเอ่ยสรุปพร้อมปิดประชุม
บรรดานักเรียนเดินออกจากหอประชุมเหมือนอย่างทุกที ต่างไปจากปกติตรงที่ทุกคนวิพากษ์วิจารณ์เรื่องนี้อย่างออกรส ไม่เว้นแม้แต่ปุยฝ้าย
"ฉันเชื่อคุณเทพทัตนะว่าน่าจะเกิดเพราะการเลือกตั้ง แล้วคนอื่นก็ดูร้อนตัวมากด้วย ทั้งที่ไม่มีหลักฐานแต่ก็อารมณ์เสียเหมือนโดนจับได้เลยแหละ"
"ชูครีมไม่อยากสรุปอะไรเลยค่ะ คำพูดทุกคนดูมีน้ำหนักทั้งนั้น แต่เราก็เห็นความใส่ใจของคุณเทพทัต ชูครีมเชื่อไม่ลงเหมือนกัน ถ้ามีใครมาบอกว่าคุณเทพทัตส่งเหยี่ยวมาทำร้ายตัวเอง"
ก่อนชูครีมจะได้พูดอะไรต่อ ครูดวงใจก็เดินแทรกฝูงชนเข้ามา
"เด็กๆ" ครูดวงใจเรียกสามสาว "คุณเทพทัตเขาอยากคุยกับพวกเธอน่ะ ไปถึงโรงเรียนแล้วไปที่ห้องประชุมสภานักเรียนด้วยนะ"
"ค่ะ" มนสิชารับปากอย่างงงๆ คนสำคัญอย่างนั้นกำลังเรียกหาพวกเธอ เขามีเรื่องอะไรกัน
หลังจากนั้นอีกหนึ่งเดือน ปุยฝ้ายไปเยี่ยมดนุเดชที่เรือนจำ พวกเขานั่งโต๊ะที่จัดไว้สำหรับให้ญาติมาเยี่ยม ดนุเดชดูโทรมไปถนัดตา ขอบตาดำคล้ำอย่างคนนอนไม่หลับ เขาสวมเสื้อสีน้ำตาล หมดแววคุณหมอไฮโซที่ปุยฝ้ายเคยรู้จัก "พ่อทานข้าวบ้างหรือเปล่าคะ" ปุยฝ้ายพยายามยิ้มให้พ่อ แต่ทำไม่ได้เลย "กินได้บ้างแล้ว" ดนุเดชตอบคอแห้งเป็นผง "เจ้าหน้าที่เขาเข้ามาคุยกับหนูเมื่อวาน บอกข่าวว่าศาลจะทำอะไรกับพวกเราบ้าง" ปุยฝ้ายจั่วหัวไปเท่านั้น ดนุเดชดูไม่สนใจฟังว่าคนอื่นจะทำยังไงกับตน "พ่อต้องได้รับโทษตามกฎหมายค่ะ คนไข้คนอื่นเขาจะไม่เรียกค่าเสียหาย แต่จะไม่มีใครยอมจ่ายค่ารักษาพยาบาล พวกทีมบริหารบอกผ่านคุณย่ามาว่าโรงพยาบาลของเราจะล้มละลาย คุณย่าจะมาจัดการเรื่องขายโรงพยาบาลให้ คุณพ่อไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ" ดนุเดชดูเหม่อลอย ไม่ตอบอะไร "แน่นอนว่าคุณพ่อต้องติดคุก แล้วพวกเราจะโดนฉีดยาสลายเวทมนตร์ ไม่เฉพาะเราสองคน แต่เป็นคนใช้เวทมนตร์ทั้งประเทศจะโดนเหมือนกันหมด" ปุยฝ้ายถอนหายใจ "ปกติเราก็ไม่ได้ใช้เวทมนตร์กันอยู่แล้ว เรื่
ดนุเดชเดินกลับไปกลับมาในห้องทำงาน ผู้ถือหุ้น คนไข้ รวมทั้งลูกสาวกดดันให้เขาต้องทำอะไรสักอย่างกับการประท้วงที่หน้าโรงพยาบาล นักข่าวเริ่มมาทำข่าวกันแล้ว เวทมนตร์เป็นเรื่องที่น่าสนใจสำหรับคนไทยในเวลานี้ พวกเขามองว่าคนใช้เวทมนตร์เป็นคนไม่ดี แต่สำหรับเขาเวทมนตร์หรืออะไรก็แล้วแต่เป็นสิ่งที่เขาจะทุ่มเทให้ได้เพื่อให้ลูกสาวฟื้นขึ้นมา คำสาปทิ้งร่องรอยไว้ให้ผู้ร่ายคำสาปเสมอ ดนุเดชร่ายเวทมนตร์เก่าแก่อีกครั้ง ตอนนี้เป็นเวลาห้าทุ่ม คนไข้ทุกคนเข้านอนกันหมดแล้ว ดังนั้นตอนนี้ทุกคนกำลังฝัน และฝันก็คือร่องรอยของแต่ละคนที่เขาสามารถเข้าถึงได้อย่างง่ายดายที่สุด เขาสาปอีกครั้ง เป็นคำสาปที่ไม่รุนแรงนัก มีผลแค่ทำให้คนไข้ทั้งหนึ่งพันกว่าคนฝันร้าย มนสิชาเป็นหนึ่งในผู้ต้องคำสาป เธอเห็นดวงตะวันถูกเมฆบังจนมืดสนิท ยมบาลตัวสีแดงถือไม้ตะบองที่มีหนามแหลมทั่วทั้งอันมาด้วย เขาร้องเสียงดุร้าย "หยุดก่อน!" มนสิชาวิ่งหนี ชายตัวแดงวิ่งตามเธอมาเพียงสามก้าวก็ถึงตัวเธอ เขาใช้ไม้ตะบองตีหัวเธอ หนามแหลมทะลุเข้าไปในสมอง มนสิชาร้
มนสิชาลืมตาขึ้นมาอย่างช้าๆ เธอเห็นเพดานสีขาวที่ไม่คุ้นเคย ผ้าห่มอุ่นห่มให้เธอถึงอก มองไปรอบๆห้องก็พบว่าที่นี่เป็นห้องพักในโรงพยาบาล กุมภากำลังนอนหลับอยู่ที่โซฟาใกล้ๆ น้องสาวกรนเบาๆ "กุมภา" มนสิชาเรียกน้องสาวเสียงแหบ กุมภาคิดว่าฝันไปจึงหลับต่อ แต่เมื่อคิดอีกทีว่าเธออยู่กับพี่สาวตามลำพังจึงเปิดตาขึ้นมอง เห็นมนสิชายันตัวลุกขึ้นนั่ง หน้าขาวซีด "พี่มน!" กุมภาเด้งตัวลุกมาหาพี่สาว "พี่มนๆๆ" "จ้ะ พี่เอง" มนสิชายิ้มให้ รู้สึกตัวหนักไปหมด คอก็แห้งผาด "ขอ..น้ำ" กุมภารินน้ำให้พี่สาว มนสิชาดื่มอย่างกระหาย เสียงเธอกลับมาสดชื่นขึ้นเล็กน้อย "พี่รู้ไหมว่าหนูลำบากมากแค่ไหนตอนพี่ไม่ได้สติ ต้องช่วยพ่อทำงาน ต้องมาเฝ้าพี่ และทำงานพิเศษด้วย พวกเรายังไม่รู้เลยว่าจะหาค่ารักษาที่ไหนมาจ่ายให้พี่" กุมภาบอกความในใจทั้งหมดกับพี่สาว มนสิชาคิดอยู่แล้วว่าเรื่องจริงต้องร้ายแรงกว่าที่คุยกับปริญ มนสิชาพยายามจะตอบ แต่ไม่มีเสียงเล็ดรอดออกมา "...โทษ ขอโทษ" เธอจึงร้องไห้ออกมาแทน
สุกฤตเดินเล่นกับเทพทัตในสนามหญ้าของโรงเรียนทิศเหนือ พวกเขายิ้มให้กับนักเรียนที่เดินเข้ามาทักทาย ทั้งสองคนไม่ค่อยจะได้คุยกันมากนักเพราะสุกฤตค่อนข้างเก็บตัว แต่เขาก็แสดงให้เห็นว่าตัวเองเปลี่ยนไปหลังจากที่เทพทัตรับตำแหน่งประธานนักเรียน "ผมอยากให้คุณเทพทัตผลิตเงินให้เยอะขึ้นครับ บอกตามตรงว่าชนชั้นแรงงานไร้ฝีมือค่อนข้างเยอะ แล้วพวกเขาก็ประท้วงกันบ่อยครั้งว่าอยากได้เงินเยอะขึ้น" สุกฤตปรึกษาปัญหาที่เกิดขึ้น "ถ้าผมทำอย่างนั้น เงินจะมีค่าน้อยลง ของทุกอย่างจะแพงขึ้นนะครับ" เทพทัตอธิบายเศรษฐศาสตร์แบบง่ายๆ "แค่ให้คนรู้สึกว่ามีเงินในมือเยอะขึ้น เท่านั้นก็พอแล้วครับ พวกเราก็ค่อยโทษว่าพ่อค้าแม่ค้าขายของกันแพง จนทำให้พวกเขาซื้อของได้น้อยลง แต่ข้อดีคือพวกอสังหาริมทรัพย์ก็จะแพงขึ้นด้วย แต่ละทิศที่ก่อสร้างบ้านขึ้นมาก็จะได้ประโยชน์จากตรงนี้ แถมค่าเช่าก็จะขึ้นได้อีก" สุกฤตเอ่ย "นั่นสินะครับ" เทพทัตหัวเราะอย่างพอใจ "ผมไม่นึกว่าคุณสุกฤตจะมีหัวการค้าขนาดนี้" "ผมเองก็มักจะใช้เวลาใคร่ครวญสิ่งต่างๆเสมอ มันคงเป
ย่านการค้าทิศตะวันออกกลับมาคึกคักอีกครั้ง มนสิชาได้โอกาสเดินไปคุยกับแม่ค้าแอปเปิ้ลที่นั่งอยู่ เธอเป็นหญิงร่างท้วมตัวสูง หน้าตาซีเรียส มนสิชาแอบคิดว่าแผงของเธอคงไม่ต้องการใครมาปกป้อง เพราะเธอท่าทางจะปกป้องตัวเองได้แน่ๆ "ลูกละสิบห้าบาทจ้า กรอบหวานทุกลูกเลยนะ" แม่ค้าเอ่ย "เรามาถามเรื่องคนที่ชื่อโอ๊ตน่ะคะ" ปุยฝ้ายถามแทน ชูครีมเดินตามมาทีหลัง เพราะถือของกินพะรุงพะรัง "เขาตื่นไปนานแล้วนี่" แม่ค้าสาวบอก ดูแปลกใจที่มีคนมาถามเรื่องโอ๊ต "ค่ะ เพราะเขาตื่นแล้ว เราเลยอยากได้ข้อมูลของเขาไงคะ" มนสิชาบอก "แล้วแม่ค้าก็เป็นคนเดียวที่รู้เรื่องโอ๊ตด้วย" "ฉันเองก็รู้อะไรไม่มากหรอกค่ะ รู้แค่ว่าก่อนมาที่นี่เขากระโดดให้รถชน พอรู้ตัวอีกทีก็ติดอยู่ในความฝันแล้ว เขาเป็นคนที่ไม่มีอนาคตและไม่นึกถึงอดีต เขาพอใจที่สามารถเริ่มต้นชีวิตในความฝันใหม่ได้ เคยมาคุยกับฉันว่าจะไม่ตามหาวิธีตื่น แต่แค่สามวันที่เขามาอยู่ที่นี่ เขาก็ตื่นขึ้นค่ะ" ทั้งสามคนเงียบฉี่ ต่างคนต่างนึกว่าต้องถามอะไรอีก แต่
วันเลือกตั้งใกล้เข้ามาทุกที นักเรียนทุกคนรอการหาเสียงจากแต่ละทิศอย่างตื่นเต้น เริ่มต้นจากทิศใต้ที่เน้นการศึกษา พวกเขารู้ดีว่านักเรียนที่อยู่ในโรงเรียนปัจจุบันเป็นคนที่ให้ความสำคัญกับการศึกษาอยู่แล้ว ขณะเดียวกันนักเรียนทุกคนก็รู้ว่าหากอยากเรียนมากๆให้ไปทิศใต้ ดังนั้นจึงไม่สามารถตามหานักเรียนที่สนใจการศึกษาได้มากไปกว่านี้ สุกฤตจึงใช้เรื่องอื่นจูงใจนักเรียนแทน เขาสั่งให้อัศวินลอบไปทิศอื่นเพื่อปิดป้ายประกาศเสนอคูปองกินฟรีตลอดหนึ่งเดือนสำหรับนักเรียนใหม่ เพียงย้ายที่อยู่ไปในทิศใต้ก่อนวันเลือกตั้งเท่านั้น นักเรียนชายร่างท้วมเดินไปดูป้ายอย่างสนใจ พลางกอดคอเพื่อนหุ่นพอๆกับเขาไปด้วย พวกเขาอยู่ทิศตะวันออก ที่นี่ช่างสดใสเมื่อได้ปรับปรุงที่อยู่ใหม่ ส่วนคนที่ย้ายไปก็เริ่มกลับมาบ้างแล้ว "สมุทร นายว่าเราย้ายโรงเรียนกันสักเดือนดีไหม" ลำธารเพื่อนรักเอ่ยให้ฟังด้วยแผนการ "นายหมายถึง ย้ายไปเพื่อรับอาหารฟรีงั้นเหรอ" สมุทรหัวเราะในลำคอ "ก็ไม่มีใครตามมาบังคับให้เราต้องอยู่ที่นั่นตลอดไปนี่นา แถมพวกเรายังเป็นแรงงานไร้ฝีมื