เสียงฝีเท้าส้นสูงดังฉับๆ บนพื้นหินอ่อนของล็อบบี้หรู ก่อนที่ร่างบางจะปรากฏตัวขึ้นหน้าลิฟต์ ใบหน้าสวยแต่งแต้มอย่างบรรจง แววตาสั่นไหวแต่เต็มไปด้วยความแน่วแน่
“คุณวินซ์!” อลิสาเอ่ยเรียกขณะที่ชายหนุ่มกำลังจะก้าวเข้าไปในลิฟต์ส่วนตัว เขาหันมามองเธอเพียงชั่วครู่ก่อนจะถอนหายใจยาว
“มีอะไรอีกตามผมไปที่ห้องทำงาน” เขาถามเสียงเรียบ สีหน้าไร้ความอ่อนโยน และเดินนำหญิงสาวไปอย่างไม่สบอารมณ์ พอมาถึงห้องทำงานเขาก็ได้ยินคำพูดที่เขาแสนจะเบื่อหน่าย
“ทำไมคุณถึงพาเลขาผู้หญิงไปงานเมื่อคืน ทั้งที่อลิสควรเป็นคนข้างกายคุณในฐานะคู่หมั้น” เธอเน้นคำสุดท้ายอย่างเจ็บปวด ตลอดหนึ่งปีที่หมั้นกันธรรศชวินไม่เคยแตะต้องเธอเลยสักครั้ง
ชายหนุ่มแค่นหัวเราะในลำคอ แววตาคมกริบตวัดมองเธออย่างเย็นชา
“อย่าทำตัวเหมือนเมียผมได้ไหมการที่เราหมั้นกัน ก็แค่ผลประโยชน์ของสองตระกูล ไม่เคยมีคำว่ารักอยู่ในนั้น” เขาไม่ยอมอ่อนข้อให้อีกฝ่าย บางครั้งอลิสาก็ไปฟ้องแม่ของเขาจนเกิดทะเลาะกัน
อลิสานิ่งงันดวงตาไหวระริก แต่ยังฝืนยืดตัวตรงเธอจะไม่ยอมถอนหมั้นกับเขา หากไม่รักก็จะรั้งกันไว้แบบนี้ไปจนตาย
“แล้วทำไมคุณถึงต้องพูดแรงขนาดนี้ อลิสก็แค่ห่วงคุณพยายามทำทุกอย่างให้คุณยอมรับอลิสบ้าง” เธอยอมรับว่ารักเขาสุดหัวใจ
“พอที! ผมไม่ชอบผู้หญิงตามติด และผมไม่มีหัวใจจะให้รักใครจำไว้!” เขาแทรกเสียงเข้ม
“อีกไม่นานเราก็จะแต่งงานกันแล้วนะคะ คุณทำตัวดีๆ ให้คุณพ่อคุณแม่เอ็นดูคุณบ้างไม่ได้เหรอ”
“แต่งงาน? ครบ 1 ปีเราควรจะถอนหมั้นกันด้วยซ้ำตามที่ผมพูดไว้ มาก็ดีแล้ววันนี้เราก็ถอนหมั้นกันซะเลย” เขขาหยิบแหวนหมั้นที่ไม่เคยใส่ออก และวางบนโต๊ะทำงาน
“ฮึก อลิสไม่ถอนหมั้นนะคะ”
“นั่นเป็นปัญหาของคุณ ต่อไปอย่ามาเหยียบที่นี่อีก”
อลิสาเช็ดน้ำตาจะเข้าไปกอดเขาไว้ แต่ธรรศชวินไม่ยอมเขาเดินออกจากห้องทำงานไป เธอเช็ดน้ำตาในเมื่อเขาดื้อดึงเธอคงต้องบังคับเขา เธอเพียงยืนนิ่งดวงตาแดงก่ำ แต่ประกายในนั้นกลับลุกโชนยิ่งกว่าเดิม
“คุณอย่าหวังจะไปจากอลิสได้”
.
เสียงเครื่องยนต์ดับลงหน้าคฤหาสน์หลังใหญ่ที่ซ่อนตัวอยู่ในซอยเงียบสงบ ร่างของหญิงสาวในเสื้อโค้ตยาวสีครีมก้าวลงจากรถอย่างเงียบงัน ดวงตากลมโตทอดมองไปรอบตัวด้วยความรู้สึกประหลาดใจและว่างเปล่า
“ลูกแม่...” เสียงนั้นแผ่วเบาแต่สั่นไหว ราวกับจะกลั้นน้ำตาไม่อยู่ ปิ่นปักเข้าไปกอดลูกสาวด้วยความคิดถึง
“ยินดีต้อนรับกลับบ้านเรานะ”
“คุณแม่มุกคิดถึงแม่ใจจะขาดเลย” ระหว่างที่รักษาตัวเธอทั้งเหงาและโดดเดี่ยว
คนเป็นแม่พยักหน้าดวงตาแดงก่ำมือรีบยื่นมาจับมือเธอไว้แน่น
“เหงาไหมหิวไหมวันนี้แม่สั่งให้แม่บ้านทำของชอบให้มุกด้วย เข้าไปข้างในกัน”
ปิ่นมุกก้มมองมือตัวเองที่อยู่ในอุ้งมืออ่อนโยนของอีกฝ่ายความอบอุ่นนั้นสัมผัสได้ แต่ความผูกพันกลับหายไปจนหมด
เธอเหลียวตามองบรรยากาศรอบบ้านทุกซอกมุมให้ความรู้สึกคุ้นแปลกๆ ประหลาดราวกับภาพในฝันที่พร่าเลือนต้นจำปีริมทางเดินกลิ่นหอมอ่อนๆ ที่ลอยมากระทบจมูก
“มุกขอโทษนะคะ มุกจำอะไรไม่ได้เลยจริงๆ มุกพยายามที่สุดแล้ว”
น้ำเสียงของปิ่นมุกสั่น แต่ก็พยายามกลั้นน้ำตา ดวงตาคู่นั้นทอดมองบ้านที่เคยเป็นบ้านของเธอด้วยความรู้สึกแปลกแยกอย่างที่สุด
คนเป็นแม่ดึงเธอเข้ากอดแน่น ราวกับกลัวว่าหากปล่อยเพียงเสี้ยววินาที เด็กคนนี้จะหลุดหายไปอีกครั้ง
“ไม่เป็นไรลูกไม่เป็นไรเลย แม่จะค่อยๆ เล่าให้ฟังเอง เราจะเริ่มต้นใหม่ไปด้วยกัน”
เสียงเพลงเบาๆ ผสมเสียงแก้วกระทบกันภายในเลานจ์สุดหรูย่านใจกลางเมือง ธรรศชวินเอนตัวพิงพนักโซฟาหนังอย่างเหนื่อยล้า มือข้างหนึ่งถือแก้ววิสกี้ส่วนอีกข้างพาดอยู่หลังหญิงสาวหน้าตาจัดจ้านที่แนบชิดอยู่ข้างกาย
“เอาจริงๆ ฉันรำคาญเรื่องหมั้นนี่ชะมัด แม่ฉันก็ไม่ยอมยกเลิกหมั้นสักที เหมือนจะเอาอลิสามาทิ้งไว้ในชีวิตฉันให้ได้” เขาบ่นเสียงเบาสายตาจ้องน้ำแข็งในแก้วอย่างไร้แวว
“นายก็ทำดีมาตลอดนี่” เอกวินเพื่อนสนิทที่นั่งฝั่งตรงข้าม ยกแก้วขึ้นดื่มพลางหัวเราะ
“ฉันทำไปหลายครั้งแล้ว แต่ผู้หญิงคนนั้นไม่เคยยอมไม่รู้ทนอะไรนักหนา” ธรรศชวินหัวเราะแห้งๆ
ยังไม่ทันจบประโยค เสียงกรีดร้องดังขึ้นจากหน้าประตูเลานจ์ พร้อมเสียงรองเท้าส้นสูงกระทบพื้นดังถี่
“คุณวินซ์ นี่เหรอสิ่งที่คุณทำหลังเลิกงาน!”
อลิสาในชุดรัดรูปสีแดงเพลิงก้าวพรวดเข้ามาอย่างเดือดดาล ใบหน้าแต่งเต็มแต่ตอนนี้บิดเบี้ยวด้วยโทสะ ก่อนจะพุ่งเข้าไปกระชากแขนหญิงสาวที่นั่งข้างเขาอย่างแรง
เพี้ยะ
“หน้าด้าน! รู้ไหมว่าเขามีคู่หมั้นแล้ว”
“โอ๊ย! ปล่อยนะคุณ!” สาวคนนั้นร้องขึ้นทันทีเสียงตบดังฟาดลงกลางหน้าหญิงสาวคนนั้นจนหน้าหัน
ธรรศชวินผุดลุกขึ้นจากโซฟาในพริบตา คิ้วขมวดแน่น เขากระชากอลิสาออกห่างจากวงวิวาททันที
“หยุด! คุณบ้าไปแล้วเหรออลิสนี่มันที่สาธารณะ!” เขาตะคอกเสียงเข้ม
“แล้วคุณล่ะ คุณลืมไปแล้วเหรอว่าเรายังหมั้นกันอยู่!” อลิสาหายใจแรง ดวงตาแดงก่ำ
ธรรศชวินเบือนหน้าหนี ยกมือขึ้นชี้หน้าเธอด้วยความเย็นชา ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะดื้อด้านขนาดนี้มาก่อน
“เราถอนหมั้นกันไปแล้วจำไว้ให้ขึ้นใจ!”
อลิสาชะงักสีหน้าราวกับถูกตบซ้ำเธอยืนนิ่งร่างสั่น ขณะที่ธรรศชวินเบือนหน้าเดินจากไปโดยไม่หันกลับมามองแม้แต่นิดเดียว
“อลิสไม่ถอนหมั้น อลิสจะไปฟ้องคุณป้าว่าคุณมันเลว” หญิงสาวเดินตามเขาออกมา ตะโกนเสียงดังจนเขาเริ่มอับอายไม่น้อย
“เชิญ! จะไปฟ้องใครก็เชิญ จะลากญาติพี่น้องมาตัดสิน จะไปขุดกระดูกบรรพบุรุษเจ็ดชั่วโคตรมาประชุมก็เอาให้เต็มที่ เพราะต่อให้ฟ้องถึงสวรรค์ ก็ไม่ได้ทำให้ฉันรู้สึกผิดขึ้นมาหรอก!”
อลิสาเมื่อเห็นว่าเขาหมดความอดทนเธอจึงไม่กล้าพูดต่อ รู้ว่าเวลาที่เขาโกรธจะเป็นยังไง เธอเข้าไปกอดเขาจากทางด้านหลังร้องไห้ออกมา
“อลิสรักคุณที่ผ่านมาทำไมคุณไม่มองอลิสบ้าง หรือคุณมีใครอยู่ในใจ”
คำพูดนั้นทำให้ธรรศชวินหวนกลับไปนึกถึงใครบางคน ที่เขาไม่เคยลบเธอออกไปจากหัวใจได้เลย เขาจับมือเธอออกและเดินจากไปแบบไม่หันกลับมามอง
เมื่อมานั่งในรถเขาเลื่อนดูรูปเก่าๆ ของเขากับปิ่นมุกที่หญิงสาวมักถ่าย และส่งมาให้เขาข้อความแชทเขาไม่เคยลบทิ้ง ยังคงส่งข้อความหาปิ่นมุกตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมา
“คุณสะใจแล้วใช่ไหมปิ่นมุกที่ทำให้ผมคิดถึงคุณใจจะขาด คำแช่งของคุณมันเกิดผลแล้ว”
เขาจ้างนักสืบตามหาปิ่นมุกแกะรอยจากปิ่นปักแม่ของหญิงสาว แต่ไม่พบร่องลอยอะไรเลยปิ่นปักใช้ชีวิตปกติที่บ้านก็ไม่มีปิ่นมุก
เขาแปลกใจว่าอีกฝ่ายหายไปไหน และแม่ของเธอดูไม่เดือดร้อนเท่าไร แต่เขายังไม่ละความพยายามยังคงตามหาปิ่นมุกต่อไป จนเวลาผ่านไปหลายเดือนเขาก็ยอมแพ้
“ผมตกนรกทั้งเป็นปิ่นมุก สิ่งที่ทำให้ผมอยากมีชีวิตอยู่ต่อคือคุณกับลูก พาลูกกลับมาหาผมได้ไหม” เขาก้มลงจูบที่รูปของปิ่นมุก พร้อมกับน้ำตาที่รินไหลออกมา
หากเขาไม่ไล่เธอไปตายหากเขายอมรับความจริงป่านนี้ เขาคงมีความสุขไปนานแล้ว เขายอมหมั้นเพราะต้องเพิ่งพาอลิสา ซึ่งพ่อสัญญาว่าครบหนึ่งปีให้ถอนหมั้นได้เลย และเขาก็ถอนหมั้นได้แต่เรื่องนี้ยังไม่บอกแม่เพราะท่านรักอลิสามาก
“ครั้งนี้ผมเจอคุณอีกจะไม่ปล่อยคุณไปไหน” เขาเปิดกระจกรถไว้เล็กน้อย และปรับเบาะสำหรับพิงตัวลงนอน หลับตาลงด้วยความเหนื่อยล้าที่ต้องแบกภาระไว้เต็มบ่า แม้แต่ชีวิตของตัวเองก็ไม่ได้เลือกด้วยตัวเอง
บ่ายวันเสาร์ในสวนสาธารณะอากาศดี เสียงเด็กๆ วิ่งเล่นเจี๊ยวจ๊าวไปทั่วสนามหญ้า ข้างม้านั่งใต้ต้นไม้ใหญ่ สองคุณพ่อรูปหล่อ กำลังนั่งจิบกาแฟคุยกันแบบพ่อๆ ยุคใหม่ที่แต่งตัวดีแต่เลี้ยงลูกเอง“ทัพน้อยโตขึ้นเยอะเลยว่ะ ขาเริ่มยาวเหมือนพ่อนะ” เอกวินพูดยิ้มๆ ขณะมองเจ้าหนูน้อยวัยสี่ขวบที่วิ่งเล่นอยู่กับเด็กคนอื่น“เออน่าหล่อไม่แพ้พ่อแหละ” ธรรศชวินยักคิ้วข้างเดียวอย่างภาคภูมิข้างๆ กัน เด็กหญิงตัวน้อยผมลอนหยักศก ดวงตากลมโตใสแจ๋ววัยสองขวบที่ชื่อ แก้มใส ลูกสาวสุดหวงของเอกวิน กำลังยืนเกาะกระโปรงตุ๊กตาหมีของตัวเองอย่างน่ารัก“ลูกสาวมึงเนี่ยหน้าหวานเหมือนแม่เลยนะ ไม่เหมือนมึงซักนิด” เขาหันไปมองแล้วแซวเล่น“แน่นอนแม่น้องแก้มสวยขนาดนั้น แต่ถ้าใครมาแตะนะกัดแน่” เอกวินพูดเล่นแบบจริงจัง คิดไม่ถึงว่าเขาจะแต่งงานและมีลูกตามเพื่อนไปติดๆ ยังไม่ทันขาดคำเสียงร้องไห้ของเด็กน้อยดังขึ้น จนคนที่อยู่บริเวณนั้นตกใจ“ฮืออออ~ พ่อจ๋า! เขามาหอมแก้มหนู!!!”ทุกสายตาหันไปทันที และภาพที่เห็นก็คือเจ้าทัพน้อยยืนยิ้มฟันหลอ กำลังจุ๊บมือเปื้อนดินของตัวเองเหมือนนักรักตัวจิ๋ว ส่วนน้องแก้มใสยืนทำหน้าจะร้องไห้อยู่ข้างๆ มือจับแก้มตัวเองแล
“ลูกชาย! มานี่เลยนะครับ!” เสียงเข้มแต่แฝงความเหนื่อยหอบของธรรศชวินดังลั่นไปทั่วห้องนอนพ่อหนุ่มมาดเนี้ยบมีคนรับใช้ล้อมรอบ วันนี้ต้องนั่งคุกเข่าบนพื้นพรมในสภาพเสื้อยับผมกระเซิง ถือแพมเพิสในมือหนึ่ง ส่วนอีกมือกำลังเอื้อมคว้าหลังเจ้าลูกชายวัยแปดเดือนที่กำลังคลานหนีอย่างปราดเปรียวเหมือนนักวิ่งโอลิมปิก“ทัพน้อย! อย่าคลานไปแทะรีโมตสิลูกรีโมตไม่ใช่ข้าวเกรียบ!”ลูกกูเหมือนกูท่องไว้ พ่อบ้านใจกล้าที่แท้หรูกลัวเมียจะเลี้ยงลูกเหนื่อยเลยให้ออกไปเที่ยว แต่ผ่านไปไม่กี่ชั่วโมงลูกชายก็แผลงฤทธิ์ใส่เขาเด็กน้อยหัวกลมๆ หันมายิ้มกว้างโชว์ฟันน้ำนมซี่เล็กๆ หนึ่งซี่ ก่อนจะหมุนตัวหนีอีกครั้ง โดยไม่รู้เลยว่าด้านหลังน่ะยังเปลือยเปล่า! คนเป็นพ่อทิ้งตัวนั่งแผละถอนหายใจยาว“เมื่อก่อนพ่อใส่สูทประชุมกับผู้บริหาร ตอนนี้ใส่แพมเพิสให้ลูกแต่ยังแพ้ลูกอยู่เลย”เขาพูดกับตัวเองก่อนจะรวบรวมแรงเฮือกสุดท้าย ลุกขึ้นมาใช้แผนใหม่วางผ้าเปียกไว้ข้างตัว เอาแพมเพิสวางตรงกลาง และเปิดคลิปเสียงแม่ของลูกในมือถือเสียงนุ่มๆ ของมุกดังขึ้นจากโทรศัพท์ที่วางไว้บนพื้น “ทัพน้อยครับ มาหาแม่เร็ว~”แผนนี้ได้ผลอย่างน่าอัศจรรย์ เจ้าตัวเล็กหยุดคลานทั
เสียงดนตรีจังหวะชิลล์ๆ ดังคลอเบาๆ ในห้องวีไอพีของบาร์หรูที่ตกแต่งสไตล์ลอฟต์ผสมโมเดิร์น กลิ่นเหล้าแพงและซิการ์จางๆ ลอยตลบผสมกับกลิ่นน้ำหอมผู้ชายระดับไฮเอนด์ท่ามกลางแสงไฟสีอุ่นและบรรยากาศที่ไม่ได้ครึกครื้นจนอึดอัด แต่ก็ไม่เงียบเหงาจนน่าเบื่องานปาร์ตี้สละโสดของ ธรรศชวินกำลังดำเนินไปอย่างเรียบง่ายตอนนี้ปิ่นมุกตั้งท้องได้สี่เดือนและงานแต่งงานจะถูกจัดขึ้นในอีกสองวันข้างหน้า เรียกว่าตอนนี้ทุกอย่างลงตัวสุดๆ พ่อแม่ของเขาก็รักเอ็นดูปิ่นมุกมาก จนลืมไปแล้วว่าตัวเองมีลูกชาย“บอกตรงๆ นะงานนี้ไม่ใช่ความคิดของกู” ธรรศชวินพูดขณะยกแก้วขึ้นจิบเบาๆ ใบหน้ายังเรียบเฉยเหมือนทุกวัน แต่สายตากลับหลุดกลอกไปมาราวกับหาทางหนีทีไล่“แน่นอนอยู่แล้ว เพราะกูเป็นคนจัดเองกับมือ!” เอกวินกระแทกตัวลงนั่งข้างเขาอย่างไม่สนใจฟอร์ม เสื้อเชิ้ตแบรนด์เนมของเขาถูกปลดกระดุมสองเม็ดเผยอกนิดๆ ตามสไตล์คนไม่ยอมแก่มันทิ้งให้เขาอยู่เป็นโสดตามลำพัง ส่วนตัวเองหนีไปมีเมียก่อน“แล้วลากกูมาแบบนี้ทำไม” เขาถามเสียงเบาแต่ปากเริ่มยิ้มขำ คิดถึงปิ่นมุกอยากนอนกอดเมียใจจะขาด“ก็เพื่อย้ำให้รู้ตัวไงมึง ว่าคืนนี้คือคืนสุดท้ายแล้วที่มึงจะอยู่ในสารบบชาย
ประตูเพนท์เฮาส์หรูบนชั้นสูงสุดของตึกกลางเมืองปิดลงอย่างเงียบงัน กลางห้องกว้างที่ตกแต่งอย่างหรูหราด้วยโทนสีขาวเทา ธรรศชวินอุ้มปิ่นมุกเข้ามาอย่างระมัดระวังแล้วค่อยๆ วางเธอลงบนโซฟาหนังแท้ริมหน้าต่างบานใหญ่ที่มองเห็นวิวเมืองยามค่ำคืนแต่ยังไม่ทันที่มือของเขาจะผละจากแขนเธอ ปิ่นมุกก็สะบัดมันออกเต็มแรง ใบหน้าเรียวหันหนีไปทางอื่นดวงตาคู่งามฉายแววเย็นชาเสียยิ่งกว่าท้องฟ้ายามฝนตก“อย่าแตะต้อง” เสียงเธอแข็งราวมีดบางคมกริบเฉือนลงกลางใจเขาชายหนุ่มทรุดตัวลงนั่งคุกเข่าต่อหน้าเธอ มือทั้งสองประสานกันไว้ราวกับกำลังสารภาพบาป ใบหน้าคมคายที่เคยเต็มไปด้วยความมั่นใจบัดนี้อ่อนแรงลงอย่างเห็นได้ชัด“มุก...พี่รักมุกนะ” เขาเอ่ยช้าๆ ดวงตาจับจ้องเธอแน่นิ่ง ไม่มีเล่ห์เหลี่ยม ไม่มีความเย่อหยิ่งใดๆ มีแต่ความรู้สึกเปลือยเปล่าจากส่วนลึกของหัวใจปิ่นมุกหัวเราะออกมาเสียงแห้ง รอยยิ้มที่ผุดขึ้นไม่ใช่ความสุข แต่คือความเจ็บปวดที่พยายามหลบซ่อนไว้“รักเหรอ? ตอนนี้เนี่ยนะ” เธอเชิดหน้าขึ้น ดวงตาเริ่มคลอด้วยน้ำตาแต่ไม่ยอมให้ไหลลงมา“ตอนที่มุกรักคุณหมดหัวใจ คุณกลับผลักไสไล่ส่ง บอกว่ามุกไม่มีค่าอะไร แล้วตอนนี้ล่ะจะเอาอะไรจากฉันอีก
“ทำไมผู้หญิงคนนั้นถึงใจร้ายจัง มายอมมาดูดำดูดีกันเลย” คุณหญิงวีณาบ่นเสียงแข็ง วางตะกร้าผลไม้ลงโต๊ะอย่างแรงจนผลแอปเปิลกลิ้งตกไปลูกหนึ่งธรรศชวินที่นอนอยู่บนเตียงเงยหน้ามามองแม่ ร่างเขายังดูอ่อนแรงสีหน้าไม่สดใสเหมือนเคย แต่แววตายังแข็งกร้าวอยู่บ้าง“แม่อย่าว่ามุกเลยครับ” เขาพูดเบาๆ ขณะพยายามลุกขึ้นนั่ง“ไม่ให้ว่าได้ยังไงคนอะไรใจร้าย ไม่มาเยี่ยมไม่ถามไถ่สักคำ คนเคยรักกันนะวินซ์ เขาเห็นสภาพลูกไหมเนี่ยแผลยังไม่หายดีเลย!” เสียงแม่ขึ้นสูงเล็กน้อยปนห่วงและโมโหแทน“ผมทำกับเขาไว้เยอะเขาไม่ควรต้องอยู่ใกล้ผมด้วยซ้ำ” เขาถอนหายใจเฮือกหนึ่ง ก่อนเอ่ยออกมาช้าๆคุณหญิงชะงักมองหน้าลูกชายอย่างไม่อยากเชื่อหู เสียงของลูกชายเรียบนิ่ง แต่น้ำเสียงเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด คุณหญิงเงียบลงสีหน้าค่อยๆ อ่อนลงอย่างไม่ทันรู้ตัว หัวใจคนเป็นแม่แม้จะไม่ชอบผู้หญิงคนนั้นนัก แต่ก็สะเทือนใจเมื่อเห็นลูกชายเจ็บทั้งกายและใจ“แต่ลูกก็รักเขาไม่ใช่เหรอ” คุณหญิงถามเบาๆ“ครับรักจนไม่รู้จะทำยังไงกับตัวเองดี” เขาหันหน้าไปอีกทางดวงตาแดงวาบริมฝีปากเม้มแน่นอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบช้าๆบรรยากาศในห้องเงียบงันอยู่พักหนึ่ง ก่อนคุณหญิงจะเดินเข
คิรันกับปิ่นมุกที่กำลังนั่งคุยกันอยู่ห้องโถงขวับไปมองพร้อมกัน สีหน้าของหญิงสาวซีดเผือดทันทีเมื่อเห็นชายร่างสูงเดินเข้ามาอย่างโกรธจัด มีรอยเลือดซึมตรงเสื้อผ้าที่แผลผ่าตัดตรงหน้าท้อง “ป้าห้ามเขาแล้วค่ะเขาจะเข้ามาให้ได้” “เดี๋ยวมุกจัดการเองค่ะ” เขาต้องอยู่โรงพยาบาลไม่ใช่หรือ ทำไมถึงมาในสภาพแบบนี้ได้“คุณวินซ์!” ปิ่นมุกลุกพรวดขึ้นด้วยความตกใจ“มุกถอยไป” คิรันลุกขึ้นมาขวางทันทีไม่ทันได้พูดอะไรต่อ หมัดของธรรศชวินก็พุ่งเข้าใส่หน้าคิรันเต็มแรง เสียงกระแทกดังสนั่นจนคิรันเซล้มลงไปกองกับพื้น เลือดซึมตรงมุมปาก“คุณวินซ์หยุดนะ!” ปิ่นมุกกรีดร้อง พุ่งเข้าไปจับแขนเขาไว้ แต่เขาสะบัดแขนออกอย่างแรง ดวงตาแดงก่ำและบ้าคลั่ง“มึงเป็นใครถึงมานั่งข้างเมียกูแบบนี้ ห้ะ! มึงเป็นใคร!!!”“มุกไม่ใช่เมียคุณ! ออกไปจากบ้านของมุก” ปิ่นมุกตะโกนสวนเขากำลังจะพุ่งเข้าไปซ้ำอีก แต่ปิ่นมุกเข้าขวางแล้วผลักเขาออกเต็มแรงจนชายหนุ่มเสียหลักล้มกระแทกลงกับพื้นตุบ!ชายหนุ่มกัดฟันแน่น มือข้างหนึ่งกดที่แผลผ่าตัดที่เหมือนจะปริออก เลือดสีแดงสดไหลทะลุผ้าพันแผลอย่างน่าตกใจ“พี่วินซ์!” ปิ่นมุกร้องเสียงหลง มองเห็นเลือดแล้ว