กลิ่นยาและเสียงเครื่องวัดชีพจรดังเป็นจังหวะสม่ำเสมอคือสิ่งแรกที่เธอรับรู้ได้ เปลือกตาหนักอึ้งค่อยๆ เปิดออกเผยให้เห็นเพดานสีขาวสะอาดและหลอดไฟนีออนสว่างจ้า ภาพรอบตัวพร่ามัวในคราแรก ก่อนจะค่อยๆ ชัดเจนขึ้นเสียงนกกระจอกส่งเสียงร้องอยู่นอกหน้าต่าง ไอแดดอ่อนยามสายส่องลอดม่านเข้ามา
เธอพยายามยันกายขึ้น แต่แรงไม่มีเลยแขนขาเหมือนไม่ใช่ของตัวเองหัวหนักราวถูกหินทับ
“คนไข้ฟื้นแล้วไปตามคุณหมอมาเร็ว” เสียงนั้นนุ่มนวลจากพยาบาลสาวคนหนึ่งที่รีบก้าวเข้ามา สีหน้าเต็มไปด้วยความดีใจ
“ฉัน...” เสียงแหบพร่าแทบไม่ออกจากลำคอเธอขมวดคิ้ว
“ปิ่นมุกแม่ดีใจที่ลูกตื่นขึ้นมา” ปิ่นปักเข้ามาจับมือลูกสาวไว้แน่น สามวันที่ปิ่นมุกหลับใหลไม่ได้สติหลังจากเขาผ่าตัดที่สมอง
“คุณ...”
“ไม่ต้องพูดแล้วลูกแม่ดีใจที่หนูตื่นขึ้นมา”
“คุณเป็นใครคะ?” เธอถามออกไปแววตาใสซื่อจนคนเป็นแม่ชะงัก
“ปิ่นมุกอย่าล้อแม่เล่น”
“หนูชื่อปิ่นมุกเหรอคะ” เธอเริ่มปวดศีรษะจากแผลผ่าตัด จนต้องหลับตาลง
“ปิ่นมุก ปรางลิษา เมธากาญจน์”
“หนูไม่รู้ว่าคุณเป็นใครและไม่รู้ว่าตัวคือใคร”
“คนไข้อาจยังงงอยู่ค่ะอุบัติเหตุค่อนข้างรุนแรง แต่โชคดีที่ไม่มีบาดแผลภายในร้ายแรงผ่าตัดเอาเลือดคั่งในสมองออก เดี๋ยวคุณหมอมาแล้วค่ะ” พยาบาลชะงักเล็กน้อยก่อนรีบฝืนยิ้ม
เธอพยายามประมวลผล แต่มันไม่มีอะไรเลยภาพในหัวเงียบเชียบ ว่างเปล่าไม่แม้แต่จะนึกออกว่าเธออยู่ที่ไหน หรือมาก่อนหน้านี้ทำอะไร
“จากการตรวจผลสมองและระบบประสาททั้งหมดแล้ว คนไข้มีภาวะสูญเสียความจำหลังเกิดอุบัติเหตุหมายถึงช่วงเวลาตั้งแต่ได้รับบาดเจ็บจนกระทั่งความจำกลับมาเป็นปกติอย่างต่อเนื่องหลังจากเหตุการณ์ที่กระทบกระเทือนจิตใจ ในช่วงเวลานี้ ผู้ป่วยอาจประสบกับความจำบกพร่อง”
เสียงของคุณหมอดังก้องในห้องพักผู้ป่วยพิเศษ สีหน้าของคุณหมอผู้มีแว่นบางๆ บ่งบอกถึงความพยายามจะให้กำลังใจ แต่คำพูดกลับฟังดูเหมือนคำเตือนที่ห่อด้วยกระดาษสีพาสเทล
“ลูกสาวฉันจะหายดีไหมคะ”
“โดยปกติผู้ป่วยจะเริ่มจำสิ่งต่างๆ ได้ทีละเล็กละน้อยในช่วง 3-6 เดือนแรกครับ แต่ก็มีบางรายที่ความทรงจำอาจไม่กลับมาเลยตลอดชีวิต”
ปิ่นปักแทบจะเป็นลมให้ได้เกิดอะไรขึ้นกับลูกสาวสุดที่รักของเธอ หรือมีอะไรกระทบกระเทือนจิตใจกันแน่ คนเป็นแม่ที่ทำแต่งานจนละเลยลูกรู้สึกผิด
“คุณปิ่นโชคดีแล้วค่ะที่คุณมุกเธอตื่นขึ้นมาได้ ความทรงจำเราสร้างกันใหม่ก็ได้” ทรายแก้วให้กำลังใจเจ้านายอยู่ไม่ห่าง เธอเองก็รักเคารพปิ่นมุกไม่ต่างจากเจ้านายคนหนึ่ง
“ปิ่นมุกอาการดีขึ้นเธอรีบไปเตรียมเอกสารเดินทางฉันจะส่งลูกไปรักษาตัวต่อที่ต่างประเทศ”
“คุณปิ่นสงสัยอะไรคะ”
“สงสัยทำไมปิ่นมุกดื่มเหล้าเมาขนาดนั้นทั้งๆ ที่ไม่ใช่คนดื่มและคนชนก็หนีไป คนเราต้องมีเรื่องเครียดอะไรถึงได้ดื่มหนัก” ปิ่นปักตั้งคำถาม
“อกหักค่ะทรายก็เคยเป็น” ทรายแก้วไม่พูดต่อปิ่นมุกไม่เคยคบใครเป็นคนแรกข้อนี้น่าจะถูกตัดออกไป
“เหลวไหลปิ่นมุกจะรักใครได้ ตามเรื่องรถคันนั้นด้วยใจดำมากที่ไม่ลงมาดู”
“ทรายจะรีบจัดการค่ะ”
.
เสียงสัญญาณไม่มีผู้รับสายดังขึ้นอีกครั้ง ธรรศชวินโยนโทรศัพท์ลงบนโชฟาในห้องทำงาน หัวใจเขาเต้นแรงจนหายใจแทบไม่ทันนี่เป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วในสามวันที่ผ่านมา เขาโทรหาเธอวันละหลายสิบสาย แต่ปลายทางเงียบสนิทราวกับเธอลบตัวเองออกจากโลกนี้ไป
“หายไปไหนปิ่นมุกบอกว่ารักผมนักหนา!”
มือของเขากำโทรศัพท์แน่นกว่าเดิม ใจมันร้อนรุ่มจนแทบระเบิด ถ้าเธอโกรธเขายังเข้าใจได้ แต่การตัดขาดแบบไม่เหลือแม้กระทั่งข้อความเดียว มันไม่ใช่ปิ่นมุกไม่ใช่เธอที่เขารู้จัก
หรือว่าคำถามอันตรายผุดขึ้นมาในใจอีกครั้ง เธอท้องจริงๆ อย่างที่พูด และเลือกจะหายไปจากชีวิตเขาเพราะเรื่องนั้นงั้นเหรอ
ริมฝีปากเขาขบแน่นความรู้สึกเจ็บร้าววิ่งแล่นผ่านอกซ้ายเขาควรจะโกรธ แต่กลับรู้สึกเหมือนคนที่กำลังจะเสียบางอย่างสำคัญไปอย่างไม่มีวันได้กลับคืน
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นทันที แต่ไม่ใช่สายจากปิ่นมุก เขาไม่ยอมกดรับแต่ปลายสายพยายามติดต่อมาอีกครั้ง จนเขาต้องตัดความรำคาญ
“คุณวินซ์คะเย็นนี้คุณแม่จองร้านอาหารไว้แล้วนะคะ อย่าลืมไปทานข้าวด้วยกัน” เสียงหวานจากคู่หมั้นของเขาดังขึ้นความสัมพันธ์ของเขากับเธอคือหมั้นหมายทางสังคมไม่ใช่หัวใจ
“ผมยังไม่ว่าง” เขาตอบห้วนๆ
“แต่นี่คือเรื่องของครอบครัวนะคะเราหมั้นกันแล้ว คุณไม่ควรเมินเฉยแบบนี้คุณกำลังทำให้อลิสขายหน้า”
ธรรศชวินหลับตากดขมับพยายามสะกดอารมณ์ ความรู้สึกติดค้างเรื่องปิ่นมุกยังไม่ทันจาง คู่หมั้นก็เริ่มทำตัวเหมือนควบคุมทุกอย่างในชีวิตเขา
เพียงสามวันหลังจากหมั้นอลิสาก็เริ่มโทรจิก ส่งข้อความทุกชั่วโมง จัดตารางอาหารกลางวันกับว่าที่แม่สามีราวกับเขาคือของตายที่ต้องทำตามกรอบชีวิตที่วางไว้
“ผมไม่เคยตกลงเรื่องนี้กับคุณจำไว้นะอลิสา การหมั้นไม่ใช่กรงขังและผมก็ไม่ได้เต็มใจ”
เขาวางสายทันทีโดยไม่รอคำตอบ แล้วเปิดหน้าจอไปที่แชทของปิ่นมุกอีกครั้ง มือเลื่อนไปยังข้อความสุดท้ายที่เขาส่งก่อนที่เธอจะหายไป
“ปิ่นมุกคุณไม่จำเป็นต้องหนี แค่บอกความจริงกับผม ผมจะรับผิดชอบทุกอย่าง”
แต่เธอไม่ตอบไม่มีแม้แต่เครื่องหมายว่าได้อ่าน เขาทรุดตัวลงบนโชฟาอย่างหมดแรง ความเงียบกัดกินใจช้าๆ ถ้าเธอหายไปจากชีวิตเขาตลอดกาลล่ะ
“มุกรักเราจะตายไม่มีทางไปจากชีวิตเราได้หรอก รออีกหน่อยน่าจะติดต่อกลับมา”
เขาคิดแบบนั้นว่าหญิงสาวหายโกรธคงจะรีบมาหาเขาแต่ทุกอย่างกลับเงียบไป จากวันกลายเป็นเดือนจากเดือนกลายเป็นปี ที่ปิ่นมุกหายไปจากชีวิตของเขา
ที่ผ่านมาเขาลืมเธอไม่ได้เลยจริงๆ และเริ่มหลบหน้าคู่หมั้นตัวเอง ชีวิตของเขาเหมือนอยู่กับคำแช่งของปิ่นมุกตลอดเวลา
“ตอนนี้ก็ลืมไม่ลงเมื่อไหร่คุณจะกลับมาหาผมปิ่นมุก หากคุณกลับมาคราวนี้ผมจะกอดคุณไว้ให้แน่น”
เขาหลับตาลงด้วยความเหนื่อยล้าไม่ใช่จากงานแต่เกิดจากครอบครัวของเขาเอง เพราะคำว่าหน้าที่มันทำให้เขาต้องแบกรับทุกอย่างไว้ อีกไม่นานก็ถึงเวลาที่เขาต้องทำเพื่อตัวเองแล้ว
ฤดูใบไม้ผลิของประเทศอังกฤษงดงามอย่างเงียบสงบ ลมเย็นปะทะหน้าต่างห้องสมุดเล็กๆ ริมสวนสาธารณะในเมืองเล็กๆ ที่ปิ่นมุกอาศัยอยู่แสงแดดสีอ่อนโปรยลงบนหน้ากระดาษที่เปิดค้างไว้
ปิ่นมุกนั่งนิ่งอยู่ที่มุมประจำโต๊ะไม้ใกล้หน้าต่าง ดวงตาเรียวทอดมองออกไปยังท้องฟ้าสีฟ้าอ่อนปนหม่น เธอไม่ได้อ่านหนังสือจริงๆ เพียงแต่เปิดมันไว้เพราะไม่อยากให้ใครถามว่าเธอกำลังเหม่ออะไร
เพราะตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมาเธอมักฝันถึงผู้ชายคนหนึ่งในฝันนั้นเขาไม่เคยพูดอะไรออกมาชัดเจนเพียงแค่ยืนอยู่ตรงนั้น มองเธอด้วยแววตาเศร้าจนใจเธอเจ็บ ทุกครั้งที่ตื่นขึ้นมาเธอจะน้ำตาเปียกแก้มโดยไม่รู้ว่าเพราะอะไร
ผู้ชายคนนั้นไม่เคยบอกชื่อ แต่มีบางอย่างในแววตาของเขาที่เหมือนเรียกเธอกลับไป กลับไปที่ไหนสักแห่งที่เธอก็ไม่รู้ว่าอยู่ตรงไหน
เธอพยายามไม่คิดมากพยายามเริ่มต้นชีวิตใหม่ แต่ความรู้สึกเหมือนเธอไม่ใช่ตัวเองมันยังอยู่
ปิ่นมุกเงยหน้าจากหนังสือมองภาพสะท้อนของตัวเองในกระจกที่อยู่ไกลๆ ติดผนังของห้อง เธอจำได้แล้วว่าชื่อปรางลิษา เพราะเอกสารระบุไว้ตามนั้นมีรูปเก่าที่ส่งมาจากเมืองไทย
เธอหลับตาลงอย่างช้าๆ ความรู้สึกแน่นอกแล่นผ่านมาอีกครั้งผู้ชายคนนั้นทำให้เธอร้องไห้ในฝันทำให้เธอเจ็บ แต่หัวใจเธอกลับรู้สึกเหมือนกำลังรอเขา
“ปิ่นมุกเตรียมเอกสารเสร็จหรือยัง”
“มุกเตรียมทุกอย่างพร้อมแล้วค่ะ”
“แม่จะรอรับลูกน่ะ กลับบ้านเรากัน” ปิ่นปักรอวันนี้มานานแสนนาน เวลาผ่านไปหนึ่งปีลูกสาวก็จำอะไรไม่ได้เลย แต่เธอไม่เครียดอีกต่อไป
“มุกคิดถึงคุณแม่นะคะ”
“ดูแลสุขภาพด้วยนะ”
ปิ่นมุกวางสายจากแม่ถึงเวลาที่เธอต้องกลับเมืองไทยแล้ว แม่ทำงานหนักคนเดียวมาตลอดเธอเป็นลูกควรจะช่วยเหลือแม่บ้าง
“ไม่ว่าคุณจะเป็นใครฉันขอไม่รู้จักคุณอีกต่อไป” แม่ยืนยันว่าเธอไม่มีคนรัก แต่ความรู้สึกลึกๆ มันบ่งบอกว่าเธอมีเรื่องที่ติดค้างในใจ ในเมื่อจำเรื่องราวที่ผ่านมาไม่ได้แล้วก็ขอให้มันจบไป
บ่ายวันเสาร์ในสวนสาธารณะอากาศดี เสียงเด็กๆ วิ่งเล่นเจี๊ยวจ๊าวไปทั่วสนามหญ้า ข้างม้านั่งใต้ต้นไม้ใหญ่ สองคุณพ่อรูปหล่อ กำลังนั่งจิบกาแฟคุยกันแบบพ่อๆ ยุคใหม่ที่แต่งตัวดีแต่เลี้ยงลูกเอง“ทัพน้อยโตขึ้นเยอะเลยว่ะ ขาเริ่มยาวเหมือนพ่อนะ” เอกวินพูดยิ้มๆ ขณะมองเจ้าหนูน้อยวัยสี่ขวบที่วิ่งเล่นอยู่กับเด็กคนอื่น“เออน่าหล่อไม่แพ้พ่อแหละ” ธรรศชวินยักคิ้วข้างเดียวอย่างภาคภูมิข้างๆ กัน เด็กหญิงตัวน้อยผมลอนหยักศก ดวงตากลมโตใสแจ๋ววัยสองขวบที่ชื่อ แก้มใส ลูกสาวสุดหวงของเอกวิน กำลังยืนเกาะกระโปรงตุ๊กตาหมีของตัวเองอย่างน่ารัก“ลูกสาวมึงเนี่ยหน้าหวานเหมือนแม่เลยนะ ไม่เหมือนมึงซักนิด” เขาหันไปมองแล้วแซวเล่น“แน่นอนแม่น้องแก้มสวยขนาดนั้น แต่ถ้าใครมาแตะนะกัดแน่” เอกวินพูดเล่นแบบจริงจัง คิดไม่ถึงว่าเขาจะแต่งงานและมีลูกตามเพื่อนไปติดๆ ยังไม่ทันขาดคำเสียงร้องไห้ของเด็กน้อยดังขึ้น จนคนที่อยู่บริเวณนั้นตกใจ“ฮืออออ~ พ่อจ๋า! เขามาหอมแก้มหนู!!!”ทุกสายตาหันไปทันที และภาพที่เห็นก็คือเจ้าทัพน้อยยืนยิ้มฟันหลอ กำลังจุ๊บมือเปื้อนดินของตัวเองเหมือนนักรักตัวจิ๋ว ส่วนน้องแก้มใสยืนทำหน้าจะร้องไห้อยู่ข้างๆ มือจับแก้มตัวเองแล
“ลูกชาย! มานี่เลยนะครับ!” เสียงเข้มแต่แฝงความเหนื่อยหอบของธรรศชวินดังลั่นไปทั่วห้องนอนพ่อหนุ่มมาดเนี้ยบมีคนรับใช้ล้อมรอบ วันนี้ต้องนั่งคุกเข่าบนพื้นพรมในสภาพเสื้อยับผมกระเซิง ถือแพมเพิสในมือหนึ่ง ส่วนอีกมือกำลังเอื้อมคว้าหลังเจ้าลูกชายวัยแปดเดือนที่กำลังคลานหนีอย่างปราดเปรียวเหมือนนักวิ่งโอลิมปิก“ทัพน้อย! อย่าคลานไปแทะรีโมตสิลูกรีโมตไม่ใช่ข้าวเกรียบ!”ลูกกูเหมือนกูท่องไว้ พ่อบ้านใจกล้าที่แท้หรูกลัวเมียจะเลี้ยงลูกเหนื่อยเลยให้ออกไปเที่ยว แต่ผ่านไปไม่กี่ชั่วโมงลูกชายก็แผลงฤทธิ์ใส่เขาเด็กน้อยหัวกลมๆ หันมายิ้มกว้างโชว์ฟันน้ำนมซี่เล็กๆ หนึ่งซี่ ก่อนจะหมุนตัวหนีอีกครั้ง โดยไม่รู้เลยว่าด้านหลังน่ะยังเปลือยเปล่า! คนเป็นพ่อทิ้งตัวนั่งแผละถอนหายใจยาว“เมื่อก่อนพ่อใส่สูทประชุมกับผู้บริหาร ตอนนี้ใส่แพมเพิสให้ลูกแต่ยังแพ้ลูกอยู่เลย”เขาพูดกับตัวเองก่อนจะรวบรวมแรงเฮือกสุดท้าย ลุกขึ้นมาใช้แผนใหม่วางผ้าเปียกไว้ข้างตัว เอาแพมเพิสวางตรงกลาง และเปิดคลิปเสียงแม่ของลูกในมือถือเสียงนุ่มๆ ของมุกดังขึ้นจากโทรศัพท์ที่วางไว้บนพื้น “ทัพน้อยครับ มาหาแม่เร็ว~”แผนนี้ได้ผลอย่างน่าอัศจรรย์ เจ้าตัวเล็กหยุดคลานทั
เสียงดนตรีจังหวะชิลล์ๆ ดังคลอเบาๆ ในห้องวีไอพีของบาร์หรูที่ตกแต่งสไตล์ลอฟต์ผสมโมเดิร์น กลิ่นเหล้าแพงและซิการ์จางๆ ลอยตลบผสมกับกลิ่นน้ำหอมผู้ชายระดับไฮเอนด์ท่ามกลางแสงไฟสีอุ่นและบรรยากาศที่ไม่ได้ครึกครื้นจนอึดอัด แต่ก็ไม่เงียบเหงาจนน่าเบื่องานปาร์ตี้สละโสดของ ธรรศชวินกำลังดำเนินไปอย่างเรียบง่ายตอนนี้ปิ่นมุกตั้งท้องได้สี่เดือนและงานแต่งงานจะถูกจัดขึ้นในอีกสองวันข้างหน้า เรียกว่าตอนนี้ทุกอย่างลงตัวสุดๆ พ่อแม่ของเขาก็รักเอ็นดูปิ่นมุกมาก จนลืมไปแล้วว่าตัวเองมีลูกชาย“บอกตรงๆ นะงานนี้ไม่ใช่ความคิดของกู” ธรรศชวินพูดขณะยกแก้วขึ้นจิบเบาๆ ใบหน้ายังเรียบเฉยเหมือนทุกวัน แต่สายตากลับหลุดกลอกไปมาราวกับหาทางหนีทีไล่“แน่นอนอยู่แล้ว เพราะกูเป็นคนจัดเองกับมือ!” เอกวินกระแทกตัวลงนั่งข้างเขาอย่างไม่สนใจฟอร์ม เสื้อเชิ้ตแบรนด์เนมของเขาถูกปลดกระดุมสองเม็ดเผยอกนิดๆ ตามสไตล์คนไม่ยอมแก่มันทิ้งให้เขาอยู่เป็นโสดตามลำพัง ส่วนตัวเองหนีไปมีเมียก่อน“แล้วลากกูมาแบบนี้ทำไม” เขาถามเสียงเบาแต่ปากเริ่มยิ้มขำ คิดถึงปิ่นมุกอยากนอนกอดเมียใจจะขาด“ก็เพื่อย้ำให้รู้ตัวไงมึง ว่าคืนนี้คือคืนสุดท้ายแล้วที่มึงจะอยู่ในสารบบชาย
ประตูเพนท์เฮาส์หรูบนชั้นสูงสุดของตึกกลางเมืองปิดลงอย่างเงียบงัน กลางห้องกว้างที่ตกแต่งอย่างหรูหราด้วยโทนสีขาวเทา ธรรศชวินอุ้มปิ่นมุกเข้ามาอย่างระมัดระวังแล้วค่อยๆ วางเธอลงบนโซฟาหนังแท้ริมหน้าต่างบานใหญ่ที่มองเห็นวิวเมืองยามค่ำคืนแต่ยังไม่ทันที่มือของเขาจะผละจากแขนเธอ ปิ่นมุกก็สะบัดมันออกเต็มแรง ใบหน้าเรียวหันหนีไปทางอื่นดวงตาคู่งามฉายแววเย็นชาเสียยิ่งกว่าท้องฟ้ายามฝนตก“อย่าแตะต้อง” เสียงเธอแข็งราวมีดบางคมกริบเฉือนลงกลางใจเขาชายหนุ่มทรุดตัวลงนั่งคุกเข่าต่อหน้าเธอ มือทั้งสองประสานกันไว้ราวกับกำลังสารภาพบาป ใบหน้าคมคายที่เคยเต็มไปด้วยความมั่นใจบัดนี้อ่อนแรงลงอย่างเห็นได้ชัด“มุก...พี่รักมุกนะ” เขาเอ่ยช้าๆ ดวงตาจับจ้องเธอแน่นิ่ง ไม่มีเล่ห์เหลี่ยม ไม่มีความเย่อหยิ่งใดๆ มีแต่ความรู้สึกเปลือยเปล่าจากส่วนลึกของหัวใจปิ่นมุกหัวเราะออกมาเสียงแห้ง รอยยิ้มที่ผุดขึ้นไม่ใช่ความสุข แต่คือความเจ็บปวดที่พยายามหลบซ่อนไว้“รักเหรอ? ตอนนี้เนี่ยนะ” เธอเชิดหน้าขึ้น ดวงตาเริ่มคลอด้วยน้ำตาแต่ไม่ยอมให้ไหลลงมา“ตอนที่มุกรักคุณหมดหัวใจ คุณกลับผลักไสไล่ส่ง บอกว่ามุกไม่มีค่าอะไร แล้วตอนนี้ล่ะจะเอาอะไรจากฉันอีก
“ทำไมผู้หญิงคนนั้นถึงใจร้ายจัง มายอมมาดูดำดูดีกันเลย” คุณหญิงวีณาบ่นเสียงแข็ง วางตะกร้าผลไม้ลงโต๊ะอย่างแรงจนผลแอปเปิลกลิ้งตกไปลูกหนึ่งธรรศชวินที่นอนอยู่บนเตียงเงยหน้ามามองแม่ ร่างเขายังดูอ่อนแรงสีหน้าไม่สดใสเหมือนเคย แต่แววตายังแข็งกร้าวอยู่บ้าง“แม่อย่าว่ามุกเลยครับ” เขาพูดเบาๆ ขณะพยายามลุกขึ้นนั่ง“ไม่ให้ว่าได้ยังไงคนอะไรใจร้าย ไม่มาเยี่ยมไม่ถามไถ่สักคำ คนเคยรักกันนะวินซ์ เขาเห็นสภาพลูกไหมเนี่ยแผลยังไม่หายดีเลย!” เสียงแม่ขึ้นสูงเล็กน้อยปนห่วงและโมโหแทน“ผมทำกับเขาไว้เยอะเขาไม่ควรต้องอยู่ใกล้ผมด้วยซ้ำ” เขาถอนหายใจเฮือกหนึ่ง ก่อนเอ่ยออกมาช้าๆคุณหญิงชะงักมองหน้าลูกชายอย่างไม่อยากเชื่อหู เสียงของลูกชายเรียบนิ่ง แต่น้ำเสียงเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด คุณหญิงเงียบลงสีหน้าค่อยๆ อ่อนลงอย่างไม่ทันรู้ตัว หัวใจคนเป็นแม่แม้จะไม่ชอบผู้หญิงคนนั้นนัก แต่ก็สะเทือนใจเมื่อเห็นลูกชายเจ็บทั้งกายและใจ“แต่ลูกก็รักเขาไม่ใช่เหรอ” คุณหญิงถามเบาๆ“ครับรักจนไม่รู้จะทำยังไงกับตัวเองดี” เขาหันหน้าไปอีกทางดวงตาแดงวาบริมฝีปากเม้มแน่นอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบช้าๆบรรยากาศในห้องเงียบงันอยู่พักหนึ่ง ก่อนคุณหญิงจะเดินเข
คิรันกับปิ่นมุกที่กำลังนั่งคุยกันอยู่ห้องโถงขวับไปมองพร้อมกัน สีหน้าของหญิงสาวซีดเผือดทันทีเมื่อเห็นชายร่างสูงเดินเข้ามาอย่างโกรธจัด มีรอยเลือดซึมตรงเสื้อผ้าที่แผลผ่าตัดตรงหน้าท้อง “ป้าห้ามเขาแล้วค่ะเขาจะเข้ามาให้ได้” “เดี๋ยวมุกจัดการเองค่ะ” เขาต้องอยู่โรงพยาบาลไม่ใช่หรือ ทำไมถึงมาในสภาพแบบนี้ได้“คุณวินซ์!” ปิ่นมุกลุกพรวดขึ้นด้วยความตกใจ“มุกถอยไป” คิรันลุกขึ้นมาขวางทันทีไม่ทันได้พูดอะไรต่อ หมัดของธรรศชวินก็พุ่งเข้าใส่หน้าคิรันเต็มแรง เสียงกระแทกดังสนั่นจนคิรันเซล้มลงไปกองกับพื้น เลือดซึมตรงมุมปาก“คุณวินซ์หยุดนะ!” ปิ่นมุกกรีดร้อง พุ่งเข้าไปจับแขนเขาไว้ แต่เขาสะบัดแขนออกอย่างแรง ดวงตาแดงก่ำและบ้าคลั่ง“มึงเป็นใครถึงมานั่งข้างเมียกูแบบนี้ ห้ะ! มึงเป็นใคร!!!”“มุกไม่ใช่เมียคุณ! ออกไปจากบ้านของมุก” ปิ่นมุกตะโกนสวนเขากำลังจะพุ่งเข้าไปซ้ำอีก แต่ปิ่นมุกเข้าขวางแล้วผลักเขาออกเต็มแรงจนชายหนุ่มเสียหลักล้มกระแทกลงกับพื้นตุบ!ชายหนุ่มกัดฟันแน่น มือข้างหนึ่งกดที่แผลผ่าตัดที่เหมือนจะปริออก เลือดสีแดงสดไหลทะลุผ้าพันแผลอย่างน่าตกใจ“พี่วินซ์!” ปิ่นมุกร้องเสียงหลง มองเห็นเลือดแล้ว