อาคารสำนักงานดูเรียบหรูและเป็นระเบียบ ปิ่นมุกก้าวเดินตามแม่อย่างสงบเงียบ สายตาเธอมองรอบตัวราวกับเป็นสถานที่ใหม่ ทั้งที่จริงแล้วเธอเคยมาที่นี่นับครั้งไม่ถ้วนในอดีต
เป็นสัปดาห์ที่สองแห่งการเรียนรู้งานกับแม่ เธอคิดว่าตัวเองควรช่วยแม่ทำงานเพราะท่านเริ่มเหนื่อยแล้ว
“แม่อยากให้หนูลองดูโปรเจกต์คอนโดใหม่ที่เรากำลังจะเปิดพรีเซล ปกติหนูเป็นคนเสนอแนวคิดออกแบบเบื้องต้นก่อนหน้านั้น” ปิ่นปักพูดด้วยเสียงอ่อนลงในประโยคท้าย
ปิ่นมุกพยักหน้าเบาๆ เธอไม่ได้พูดอะไร เธอไม่ชอบงานแบบนี้เอาเสียเลย แต่ละวันต้องเจอกับผู้คนมากมายต้องปั้นหน้ายิ้มตลอดเวลา
“ไหวไหมลูกแม่ลูกว่ามุกไม่ชอบงานแบบนี้”
“มุกไหวค่ะค่อยๆ เรียนรู้ไป” เธอส่งยิ้มบางๆ ให้แม่ ปิ่นมุกเป็นลูกคนเดียวหากเธอไม่บริหารต่อแล้วใครจะมาทำแทน
หลังประชุมเธอขอตัวไปสำรวจไซต์งานจำลองในชั้นล่าง และระหว่างเดินผ่านทางเดินกระจก เธอเดินชนเข้ากับร่างสูงของใครบางคนอย่างจัง
“อ๊ะ! ขอโทษค่ะ” เอกสารในมือเธอเกือบหลุดหล่น ก่อนชายคนนั้นจะรีบคว้าไว้ให้ทัน
“ปิ่นมุก!”
เสียงทุ้มต่ำเอ่ยเรียกชื่อเธอเบาๆ ปิ่นมุกเงยหน้าขึ้นมองชายหนุ่มในชุดสูทเข้ารูป ดวงตาเขาเต็มไปด้วยความตกใจและบางสิ่งที่เธอไม่เข้าใจ เขายืนนิ่งอยู่อึดใจก่อนจะยิ้มบางๆ ออกมา
“จำเราไม่ได้สินะ”
“ขอโทษค่ะ ฉันไม่รู้ว่าคุณเป็นใคร” ปิ่นมุกชะงักเล็กน้อยก่อนจะยิ้มเจื่อน
“เราเป็นเพื่อนกันสมัยเด็ก คิรันไงตอนเด็กๆ ปิ่นมุกมาขอเราเป็นแฟน” ชายหนุ่มพยักหน้าช้าๆ ตอนนั้นยังเด็กพอเขาปฏิเสธปิ่นมุกร้องไห้กลับไปฟ้องแม่ที่บ้าน
“...”
“พอจะจำได้ไหม” เขายื่นมือออกไปหวังจะจับมือทักทาย เธอยื่นมือไปจับตามมารยาทแม้จะไม่รู้สึกคุ้นเคยใดๆ กับเขาเลย
“ขอโทษด้วยนะมุกจำอะไรไม่ได้”
“ทำไม?” คิรันยิ้มเศร้า
“คุณปิ่นมุกเกิดอุบัติเหตุนิดหน่อย” ทรายแก้วเข้ามาขวางเอาไว้เพราะไม่ไว้ใจอีกฝ่าย
“ผมมาดีครับผมคิรันเป็นเพื่อนของปิ่นมุกสมัยเด็กๆ” เขาเพียงมองใบหน้าที่แสนคุ้นเคยตรงหน้า เขาเข้าใจแล้วอุบัติเหตุอาจพรากความทรงจำไปจากเธอ
“คุณปิ่นมุกกลับเข้าออฟฟิศกันดีกว่าค่ะ”
“มุกอย่างคุยกับเขาค่ะ พี่ทรายไปก่อนเลย” ในเมื่อมีคนรู้จักเธออยากทำความรู้จักกับเขาไว้
“คุณปิ่นมุกดูแลตัวเองด้วยนะคะ”
ปิ่นมุกนั่งตรงข้ามชายหนุ่มที่เธอเพิ่งรู้จักหรือที่เขาว่า เคยเป็นเพื่อนกัน อีกฝ่ายจิบอเมริกาโน่เย็นๆ เงียบไปสักพักก่อนจะเอ่ยถาม
“มุกลืมทุกอย่างจริงๆ ใช่ไหม”
“คิรันคิดว่ามุกแกล้งเหรอ” เธอไม่อยากเป็นแบบนี้เพราะรู้สึกอึดอัดและทรมานไม่น้อย
“คิรันมาที่นี่บ่อยป๊ากำลังจะธุรกิจร่วมกับคุณน้าปิ่นปัก เราเลยขอมาด้วย” ความดีใจของเขาปิดไม่มิด ไม่คิดว่าจะบังเอิญเจอปิ่นมุกจริงๆ
“มุกเพิ่งกลับมาจากอังกฤษกำลังมารับช่วงต่อจากคุณแม่”
“มุกไม่ชอบงานบริหารหนิ” เขาจำได้ล่าสุดที่เจอกันก็ตอนมัธยมปลาย หญิงสาวอยากเปิดคาเฟ่ริมทะเลไม่ชอบงานบริหาร
“ก็จริงมุกเรียนไม่ค่อยเก่งแต่คุณแม่เหนื่อยแล้ว มุกเข้าไปช่วยจะได้เบาแรง”
“ปิ่นมุกน่ารักไม่เปลี่ยนเลย” เขาชมด้วยความจริงใจพยายามชวนหญิงสาวคุยถึงเรื่องที่ผ่านมา แต่เขาต้องผิดหวังเพราะอีกฝ่ายจำอะไรไม่ได้เลย ทั้งสองพูดคุยกันเรื่องทั่วไปเป็นอีกครั้งที่ปิ่นมุกหัวเราะอย่างสบายใจ
ห้องประชุมของบริษัทอสังหาริมทรัพย์ วันนี้มีบรรยากาศราบรื่นตามรูปแบบทางธุรกิจ แต่สำหรับธรรศชวินที่นั่งตรงข้ามกับผู้บริหารหญิงวัยกลางคน เขากลับรู้สึกว่าช่วงเวลานี้ มีบางอย่างที่เขารอคอยมากกว่าเรื่องงาน
“เอกสารฉบับนี้คุณวินซ์นำกลับไปพิจารณาได้เลยค่ะ” ปิ่นปักยิ้มอย่างมืออาชีพ เธอคงเสน่ห์ของนักบริหารหญิงที่สุขุมแต่เฉียบคม
เขาพยักหน้ารับกำลังจะลุก แต่ลังเลนิดหนึ่งก่อนจะเอ่ยถามอย่างทำทีเป็นสัพเพเหระ
“ลูกสาวคุณไปไหนเหรอครับ”
“ลูกสาว? คุณวินซ์รู้ได้ยังไงว่าฉันมีลูกสาว ปกติไม่ค่อยพาไปออกงานเลย” ปิ่นปักเองแปลกใจไม่น้อย ไม่เคยแนะนำให้ใครรู้จักปิ่นมุก นอกจากเมื่อปีก่อน
“ผมเคยเจอเขาเมื่อปีก่อนครับ” เขาหวังแค่ปิ่นปักพูดออกมาว่าตอนนี้ปิ่นมุกเป็นอย่างไรบ้าง
“ปิ่นมุกสบายดีค่ะ” เธอไม่ยอมตอบเพราะเรื่องอุบัติเหตุยังไม่คลี่คลาย ตำรวจไม่สามารถตามจับคนร้ายได้เลย คนร้ายอาจจะเป็นเพื่อนร่วมงานหรือใครที่หวังผลประโยชน์
“เหรอครับ” ดวงตาเขาเป็นประกายขึ้นมาเมื่อรู้อีกฝ่ายสบายดี
“แล้วนี่คุณมีหลานตัวน้อยๆ หรือยังครับ” เขาหวังว่าจะได้รับคำตอบที่น่าเพิ่งพอใจ
“หลาน? ฉันไม่มีหลานค่ะมีแค่ปิ่นมุกคนเดียว” ปิ่นปักงุนงงที่อีกฝ่ายถามเรื่องนี้
“เหรอครับผมขอโทษที่เสียมารยาทถามแบบนั้น” เขาผิดหวังอีกครั้งและคิดไปเองว่าปิ่นมุกกำจัดลูกของเขาทิ้งแล้ว ไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
“อุ้ย ขอโทษค่ะไม่คิดว่าบอสจะมีแขก” ทรายแก้วหน้าเหวอเพราะไม่ได้รับอนุญาตก่อนเข้ามา
“ไม่เป็นไรคุณวินซ์จะกลับแล้ว”
“คุณปิ่น...”
“ฉันขอกาแฟแก้วหนึ่ง” ปิ่นปักรีบพูดสวนทันควันกลัวเลขาจะพูดถึงลูกสาว เพราะตอนนี้ปิ่นปักเข้ามาช่วยงานแบบเงียบๆ
“ผมขอตัวกลับก่อนนะครับ” เมื่อไม่มีอะไรเขาจึงออกมา ระหว่างนั้นจึงแวะร้านกาแฟข้างล่างตึก แต่แปลกมาเพราะอยู่ๆ หัวใจของเขาเต้นระรัวเหมือนเจอเรื่องที่น่าตื่นเต้น
“มุกกลับก่อนนะคิรันนี่นามบัตรของมุก”
“ดูแลตัวเองด้วยนะ”
หญิงสาวกดโทรศัพท์ดูเวลานัดหมายกับแม่ตอนบ่ายโมง เธอถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะเดินออกจากร้าน และในจังหวะเดียวกันนั้นเอง
ธรรศชวินกำลังเดินเข้ามาจากอีกมุมหนึ่ง เขาก้มลงมองนาฬิกาพร้อมตรวจข้อความในมือถือ เขาเดินสวนกับผู้หญิงคนหนึ่งเขาได้กลิ่นกลิ่นน้ำหอมจางๆ เข้ามาแตะปลายจมูก
กลิ่นที่เขาจำได้แม่นกลิ่นที่เคยคุ้นอยู่ใกล้หัวใจกลิ่นของน้ำหอมที่ปิ่นมุก เขาชะงักไปเหมือนถูกหยุดเวลาแววตาคมดุดันแปรเปลี่ยนเป็นอ่อนโยน
เขาเงยหน้าขึ้นทันทีหันมองไปรอบตัวและเห็นผู้หญิงคนหนึ่งกำลังเดินออกห่างไป
“ปิ่นมุก…” เขาพึมพำเบาๆ กับตัวเอง ก่อนจะก้าวเท้าเร็วๆ ออกไปทางโถงทางเดินด้านนอก เดินไปยังทางเลี้ยว พยายามมองหาเธอในทุกมุม
แต่ไม่มีใครอยู่ตรงนั้นแล้วมีเพียงความเงียบกับแสงไฟสีอุ่นที่ทอดลงมาบนพื้น เขายืนนิ่งอยู่พักหนึ่งหัวใจเต้นแรงอย่างไม่มีเหตุผลมือข้างหนึ่งกำโทรศัพท์ไว้แน่น
“หรือเราคิดไปเอง” แต่ลึกในใจเขารู้กลิ่นนั้นไม่ใช่ภาพหลอน และเธอต้องอยู่ใกล้กว่าที่เขาคิด
เขามักจะเป็นแบบนี้อยู่บ่อยครั้ง บางทีเขาอาจจะคิดถึงอีกฝ่ายมากเกินไปขนเก็บเอาไปคิด และเห็นภาพหลอนบางครั้งผู้หญิงที่หน้าตาคล้ายปิ่นมุก เขาเข้าไปทักบางทีเขาควรไปพบจิตแพทย์
“ดูแลตัวเองดีๆ นะมุกวันหลังเราออกไปทานข้าวด้วยกันนะ”
เขาได้ยินเสียงคนคุยโทรศัพท์จึงหันหลังกลับไปมองอีกฝ่าย หัวใจเต้นระรัวยามที่ได้ยินชื่อนั่น เขายืนจ้องแบบนั้นจนชายหนุ่มเงยขึ้นสบตา
“มีอะไรหรือเปล่าครับเห็นมองหน้าผม”
“เปล่าครับ” เขาตอบเสียงเบากำลังจะเดินออกมาแต่ได้ยินเสียงคนเรียกเสียก่อน
“ดีใจจังเลยที่ได้เจอคุณธรรศชวิน”
“คุณโอภาส”
“ป๊ารู้จักเขาเหรอครับ” คิรันถามเพราะเขาเพิ่งกลับมารับช่วงต่อจากพ่อ
“คุณธรรศชวินครับนี่คิรันลูกชายของผมเอง คิรันนี่คุณวินซ์คู่ค้ารายใหญ่ของเราเลย”
ธรรศวินทักทายอีกฝ่ายไม่นานเพราะเขามีงานต้องทำไปต่อ แต่สิ่งที่ลบออกไปจากหัวใจของเขาไม่ได้เลยคือเรื่องปิ่นมุก
เขาจึงใช้บริการนักสืบอีกครั้ง เขาเชื่อว่าครั้งนี้เขาต้องตามหาปิ่นมุกให้เจอ มีเรื่องมากมายที่อยากถามไถ่อย่างแรกคือเรื่องที่เธอบอกว่าท้องกับเขา
บ่ายวันเสาร์ในสวนสาธารณะอากาศดี เสียงเด็กๆ วิ่งเล่นเจี๊ยวจ๊าวไปทั่วสนามหญ้า ข้างม้านั่งใต้ต้นไม้ใหญ่ สองคุณพ่อรูปหล่อ กำลังนั่งจิบกาแฟคุยกันแบบพ่อๆ ยุคใหม่ที่แต่งตัวดีแต่เลี้ยงลูกเอง“ทัพน้อยโตขึ้นเยอะเลยว่ะ ขาเริ่มยาวเหมือนพ่อนะ” เอกวินพูดยิ้มๆ ขณะมองเจ้าหนูน้อยวัยสี่ขวบที่วิ่งเล่นอยู่กับเด็กคนอื่น“เออน่าหล่อไม่แพ้พ่อแหละ” ธรรศชวินยักคิ้วข้างเดียวอย่างภาคภูมิข้างๆ กัน เด็กหญิงตัวน้อยผมลอนหยักศก ดวงตากลมโตใสแจ๋ววัยสองขวบที่ชื่อ แก้มใส ลูกสาวสุดหวงของเอกวิน กำลังยืนเกาะกระโปรงตุ๊กตาหมีของตัวเองอย่างน่ารัก“ลูกสาวมึงเนี่ยหน้าหวานเหมือนแม่เลยนะ ไม่เหมือนมึงซักนิด” เขาหันไปมองแล้วแซวเล่น“แน่นอนแม่น้องแก้มสวยขนาดนั้น แต่ถ้าใครมาแตะนะกัดแน่” เอกวินพูดเล่นแบบจริงจัง คิดไม่ถึงว่าเขาจะแต่งงานและมีลูกตามเพื่อนไปติดๆ ยังไม่ทันขาดคำเสียงร้องไห้ของเด็กน้อยดังขึ้น จนคนที่อยู่บริเวณนั้นตกใจ“ฮืออออ~ พ่อจ๋า! เขามาหอมแก้มหนู!!!”ทุกสายตาหันไปทันที และภาพที่เห็นก็คือเจ้าทัพน้อยยืนยิ้มฟันหลอ กำลังจุ๊บมือเปื้อนดินของตัวเองเหมือนนักรักตัวจิ๋ว ส่วนน้องแก้มใสยืนทำหน้าจะร้องไห้อยู่ข้างๆ มือจับแก้มตัวเองแล
“ลูกชาย! มานี่เลยนะครับ!” เสียงเข้มแต่แฝงความเหนื่อยหอบของธรรศชวินดังลั่นไปทั่วห้องนอนพ่อหนุ่มมาดเนี้ยบมีคนรับใช้ล้อมรอบ วันนี้ต้องนั่งคุกเข่าบนพื้นพรมในสภาพเสื้อยับผมกระเซิง ถือแพมเพิสในมือหนึ่ง ส่วนอีกมือกำลังเอื้อมคว้าหลังเจ้าลูกชายวัยแปดเดือนที่กำลังคลานหนีอย่างปราดเปรียวเหมือนนักวิ่งโอลิมปิก“ทัพน้อย! อย่าคลานไปแทะรีโมตสิลูกรีโมตไม่ใช่ข้าวเกรียบ!”ลูกกูเหมือนกูท่องไว้ พ่อบ้านใจกล้าที่แท้หรูกลัวเมียจะเลี้ยงลูกเหนื่อยเลยให้ออกไปเที่ยว แต่ผ่านไปไม่กี่ชั่วโมงลูกชายก็แผลงฤทธิ์ใส่เขาเด็กน้อยหัวกลมๆ หันมายิ้มกว้างโชว์ฟันน้ำนมซี่เล็กๆ หนึ่งซี่ ก่อนจะหมุนตัวหนีอีกครั้ง โดยไม่รู้เลยว่าด้านหลังน่ะยังเปลือยเปล่า! คนเป็นพ่อทิ้งตัวนั่งแผละถอนหายใจยาว“เมื่อก่อนพ่อใส่สูทประชุมกับผู้บริหาร ตอนนี้ใส่แพมเพิสให้ลูกแต่ยังแพ้ลูกอยู่เลย”เขาพูดกับตัวเองก่อนจะรวบรวมแรงเฮือกสุดท้าย ลุกขึ้นมาใช้แผนใหม่วางผ้าเปียกไว้ข้างตัว เอาแพมเพิสวางตรงกลาง และเปิดคลิปเสียงแม่ของลูกในมือถือเสียงนุ่มๆ ของมุกดังขึ้นจากโทรศัพท์ที่วางไว้บนพื้น “ทัพน้อยครับ มาหาแม่เร็ว~”แผนนี้ได้ผลอย่างน่าอัศจรรย์ เจ้าตัวเล็กหยุดคลานทั
เสียงดนตรีจังหวะชิลล์ๆ ดังคลอเบาๆ ในห้องวีไอพีของบาร์หรูที่ตกแต่งสไตล์ลอฟต์ผสมโมเดิร์น กลิ่นเหล้าแพงและซิการ์จางๆ ลอยตลบผสมกับกลิ่นน้ำหอมผู้ชายระดับไฮเอนด์ท่ามกลางแสงไฟสีอุ่นและบรรยากาศที่ไม่ได้ครึกครื้นจนอึดอัด แต่ก็ไม่เงียบเหงาจนน่าเบื่องานปาร์ตี้สละโสดของ ธรรศชวินกำลังดำเนินไปอย่างเรียบง่ายตอนนี้ปิ่นมุกตั้งท้องได้สี่เดือนและงานแต่งงานจะถูกจัดขึ้นในอีกสองวันข้างหน้า เรียกว่าตอนนี้ทุกอย่างลงตัวสุดๆ พ่อแม่ของเขาก็รักเอ็นดูปิ่นมุกมาก จนลืมไปแล้วว่าตัวเองมีลูกชาย“บอกตรงๆ นะงานนี้ไม่ใช่ความคิดของกู” ธรรศชวินพูดขณะยกแก้วขึ้นจิบเบาๆ ใบหน้ายังเรียบเฉยเหมือนทุกวัน แต่สายตากลับหลุดกลอกไปมาราวกับหาทางหนีทีไล่“แน่นอนอยู่แล้ว เพราะกูเป็นคนจัดเองกับมือ!” เอกวินกระแทกตัวลงนั่งข้างเขาอย่างไม่สนใจฟอร์ม เสื้อเชิ้ตแบรนด์เนมของเขาถูกปลดกระดุมสองเม็ดเผยอกนิดๆ ตามสไตล์คนไม่ยอมแก่มันทิ้งให้เขาอยู่เป็นโสดตามลำพัง ส่วนตัวเองหนีไปมีเมียก่อน“แล้วลากกูมาแบบนี้ทำไม” เขาถามเสียงเบาแต่ปากเริ่มยิ้มขำ คิดถึงปิ่นมุกอยากนอนกอดเมียใจจะขาด“ก็เพื่อย้ำให้รู้ตัวไงมึง ว่าคืนนี้คือคืนสุดท้ายแล้วที่มึงจะอยู่ในสารบบชาย
ประตูเพนท์เฮาส์หรูบนชั้นสูงสุดของตึกกลางเมืองปิดลงอย่างเงียบงัน กลางห้องกว้างที่ตกแต่งอย่างหรูหราด้วยโทนสีขาวเทา ธรรศชวินอุ้มปิ่นมุกเข้ามาอย่างระมัดระวังแล้วค่อยๆ วางเธอลงบนโซฟาหนังแท้ริมหน้าต่างบานใหญ่ที่มองเห็นวิวเมืองยามค่ำคืนแต่ยังไม่ทันที่มือของเขาจะผละจากแขนเธอ ปิ่นมุกก็สะบัดมันออกเต็มแรง ใบหน้าเรียวหันหนีไปทางอื่นดวงตาคู่งามฉายแววเย็นชาเสียยิ่งกว่าท้องฟ้ายามฝนตก“อย่าแตะต้อง” เสียงเธอแข็งราวมีดบางคมกริบเฉือนลงกลางใจเขาชายหนุ่มทรุดตัวลงนั่งคุกเข่าต่อหน้าเธอ มือทั้งสองประสานกันไว้ราวกับกำลังสารภาพบาป ใบหน้าคมคายที่เคยเต็มไปด้วยความมั่นใจบัดนี้อ่อนแรงลงอย่างเห็นได้ชัด“มุก...พี่รักมุกนะ” เขาเอ่ยช้าๆ ดวงตาจับจ้องเธอแน่นิ่ง ไม่มีเล่ห์เหลี่ยม ไม่มีความเย่อหยิ่งใดๆ มีแต่ความรู้สึกเปลือยเปล่าจากส่วนลึกของหัวใจปิ่นมุกหัวเราะออกมาเสียงแห้ง รอยยิ้มที่ผุดขึ้นไม่ใช่ความสุข แต่คือความเจ็บปวดที่พยายามหลบซ่อนไว้“รักเหรอ? ตอนนี้เนี่ยนะ” เธอเชิดหน้าขึ้น ดวงตาเริ่มคลอด้วยน้ำตาแต่ไม่ยอมให้ไหลลงมา“ตอนที่มุกรักคุณหมดหัวใจ คุณกลับผลักไสไล่ส่ง บอกว่ามุกไม่มีค่าอะไร แล้วตอนนี้ล่ะจะเอาอะไรจากฉันอีก
“ทำไมผู้หญิงคนนั้นถึงใจร้ายจัง มายอมมาดูดำดูดีกันเลย” คุณหญิงวีณาบ่นเสียงแข็ง วางตะกร้าผลไม้ลงโต๊ะอย่างแรงจนผลแอปเปิลกลิ้งตกไปลูกหนึ่งธรรศชวินที่นอนอยู่บนเตียงเงยหน้ามามองแม่ ร่างเขายังดูอ่อนแรงสีหน้าไม่สดใสเหมือนเคย แต่แววตายังแข็งกร้าวอยู่บ้าง“แม่อย่าว่ามุกเลยครับ” เขาพูดเบาๆ ขณะพยายามลุกขึ้นนั่ง“ไม่ให้ว่าได้ยังไงคนอะไรใจร้าย ไม่มาเยี่ยมไม่ถามไถ่สักคำ คนเคยรักกันนะวินซ์ เขาเห็นสภาพลูกไหมเนี่ยแผลยังไม่หายดีเลย!” เสียงแม่ขึ้นสูงเล็กน้อยปนห่วงและโมโหแทน“ผมทำกับเขาไว้เยอะเขาไม่ควรต้องอยู่ใกล้ผมด้วยซ้ำ” เขาถอนหายใจเฮือกหนึ่ง ก่อนเอ่ยออกมาช้าๆคุณหญิงชะงักมองหน้าลูกชายอย่างไม่อยากเชื่อหู เสียงของลูกชายเรียบนิ่ง แต่น้ำเสียงเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด คุณหญิงเงียบลงสีหน้าค่อยๆ อ่อนลงอย่างไม่ทันรู้ตัว หัวใจคนเป็นแม่แม้จะไม่ชอบผู้หญิงคนนั้นนัก แต่ก็สะเทือนใจเมื่อเห็นลูกชายเจ็บทั้งกายและใจ“แต่ลูกก็รักเขาไม่ใช่เหรอ” คุณหญิงถามเบาๆ“ครับรักจนไม่รู้จะทำยังไงกับตัวเองดี” เขาหันหน้าไปอีกทางดวงตาแดงวาบริมฝีปากเม้มแน่นอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบช้าๆบรรยากาศในห้องเงียบงันอยู่พักหนึ่ง ก่อนคุณหญิงจะเดินเข
คิรันกับปิ่นมุกที่กำลังนั่งคุยกันอยู่ห้องโถงขวับไปมองพร้อมกัน สีหน้าของหญิงสาวซีดเผือดทันทีเมื่อเห็นชายร่างสูงเดินเข้ามาอย่างโกรธจัด มีรอยเลือดซึมตรงเสื้อผ้าที่แผลผ่าตัดตรงหน้าท้อง “ป้าห้ามเขาแล้วค่ะเขาจะเข้ามาให้ได้” “เดี๋ยวมุกจัดการเองค่ะ” เขาต้องอยู่โรงพยาบาลไม่ใช่หรือ ทำไมถึงมาในสภาพแบบนี้ได้“คุณวินซ์!” ปิ่นมุกลุกพรวดขึ้นด้วยความตกใจ“มุกถอยไป” คิรันลุกขึ้นมาขวางทันทีไม่ทันได้พูดอะไรต่อ หมัดของธรรศชวินก็พุ่งเข้าใส่หน้าคิรันเต็มแรง เสียงกระแทกดังสนั่นจนคิรันเซล้มลงไปกองกับพื้น เลือดซึมตรงมุมปาก“คุณวินซ์หยุดนะ!” ปิ่นมุกกรีดร้อง พุ่งเข้าไปจับแขนเขาไว้ แต่เขาสะบัดแขนออกอย่างแรง ดวงตาแดงก่ำและบ้าคลั่ง“มึงเป็นใครถึงมานั่งข้างเมียกูแบบนี้ ห้ะ! มึงเป็นใคร!!!”“มุกไม่ใช่เมียคุณ! ออกไปจากบ้านของมุก” ปิ่นมุกตะโกนสวนเขากำลังจะพุ่งเข้าไปซ้ำอีก แต่ปิ่นมุกเข้าขวางแล้วผลักเขาออกเต็มแรงจนชายหนุ่มเสียหลักล้มกระแทกลงกับพื้นตุบ!ชายหนุ่มกัดฟันแน่น มือข้างหนึ่งกดที่แผลผ่าตัดที่เหมือนจะปริออก เลือดสีแดงสดไหลทะลุผ้าพันแผลอย่างน่าตกใจ“พี่วินซ์!” ปิ่นมุกร้องเสียงหลง มองเห็นเลือดแล้ว