แชร์

บทที่ 11 ศพ

ผู้เขียน: องค์หญิงโนเนม
last update ปรับปรุงล่าสุด: 2025-04-05 15:39:21

เซวียนซานหลางเมื่อได้ยินอย่างนั้นก็ขมวดคิ้วมุ่น เขาเองไม่ได้กลิ่นอันใด แต่เสียงที่มู่หลานเฟินบอกนั้นตลอดหลายคืนมานี้เขาจะพอจะได้ยินอยู่บ้าง ก่อนหน้านี้เขาไปสอบถามเสิ่นเหวยอันก็ได้ความว่าเสิ่นเหวยอันก็ได้ยินเช่นเดียวกัน

การเดินทางเข้าเมืองถงหวางครั้งนี้เขาไม่ได้แจ้งต่อท่านเจ้าเมือง เพราะต้องการสืบคดีให้แน่ชัด การที่มีคนนอกล่วงรู้เรื่องนี้มากเกินไปอาจไม่ส่งผลดีต่อรูปคดี

ที่สำคัญตัวตนของเขาพวกเขาได้ถูกปิดบังอย่างชัดเจนแล้ว ก่อนเข้าเมืองก็ได้จัดการเอกสารหลักฐานที่ใช้เข้าเมืองได้อย่างแนบเนียนไม่มีพิรุธ

"คืนนี้ข้าจะไปตรวจดูรอบๆเมือง เจ้าอยู่ในบ้านปิดหน้าต่างและประตูให้ดี"

"ข้าไปด้วยสิ"

มู่หลานเฟินรีบอ้อนวอนเซวียนซานหลาง แต่ชายหนุ่มกลับมองนางเหมือนมองตัวปัญหา

"อย่าเป็นตัวถ่วงข้า"

"ตัวถ่วงอันใดกันเล่า ท่านลืมไปแล้วหรือว่าจมูกดีมาก หูข้ารึก็ดีกว่าท่าน ไม่แน่ว่าอาจจะช่วยให้ท่านและพี่เสิ่นตามเบาะแสของคนร้ายได้ ข้ารับรองว่าจะไม่เป็นตัวถ่วงท่านแน่นอน ไม่ต้องกังวล"

"ไม่..."

"ที่น้องหรานหร่านเอ่ยมาก็นับว่ามีเหตุมีผล ซื่อจื่อ ท่านก็อย่าเอาแต่ใจนักเลย"

เสียงที่คุ้นเคยทำให้เซวียนซานหลางถึงกับหัวเสีย เป็นเสิ่นเหวยอันอีกแล้ว

“เจ้าเข้ามาได้อย่างไร ประตูร้านปิดแล้ว”

“อ้อ มีช่องสุนัขลอดอยู่ตรงนั้น”

“เจ้าลอดเข้ามาทางช่องสุนัข?”

“ไม่ได้หรือ? ซื่อจื่อท่านลองลอดดูสักครั้งสิ สนุกมากเลยล่ะ”

“เหอะ”

เสิ่นเหวยอันชี้ไม้ชี้มือไปทางช่องลอดสุนัขตรงหลังบ้านของเขาอย่างไม่รู้สึกกระดากอาย อีกทั้งในมือยังหิ้วสุราไหหนึ่งติดมือมาด้วย ก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งข้างๆมู่หลานเฟิน มู่หลานเฟินถึงกับต้องมองเสิ่นเหวยอันใหม่ ไม่คิดว่าเขาจะถึงขนาดลอดช่องสุนัขเข้ามาเช่นนี้ ด้านเซวียนเจ๋อก็เอาแต่ก้มหน้าก้มตากินอาหารไม่กล้าเงยหน้า เพราะตอนนี้เขาสวมชุดสตรีอีกทั้งยังแต่งหน้าทาปาก หากใต้เท้าเสิ่นจำเขาได้คงได้อับอายไปจนตายแน่นอน หลังจากกินเสร็จเขาก็วิ่งหนีเข้าห้องตนไปทันที

เสิ่นเหวยอันหันมาส่งยิ้มให้มู่หลานเฟินพร้อมเอ่ยอย่างชื่นชม

"น้องหรานหร่าน เมื่อครู่เจ้าบอกว่าเจ้าได้กลิ่นประหลาด จมูกของเจ้านี่ดีจริงๆ น่าทึ่งนัก สตรีที่มีความสามารถเช่นนี้หายากมากนัก จมูกดีเหมือนสุนัขที่จวนของข้าเลย"

มู่หลานเฟินถึงกับยิ้มแห้ง ที่เสิ่นเหวยอันเอ่ยมาก็ไม่ผิด นางเคยเป็นสุนัขจริงๆนั่นแหละ

เซวียนซานหลางวางตะเกียบในมือลง ก่อนจะเอ่ยกับเสิ่นเหวยอัน

"เจ้าให้นางตามไป หากรูปคดีเกิดปัญหา เจ้ารับผิดชอบไหวหรือ"

"ย่อมไหวแน่นอน เพราะน้องหรานหร่านจะไม่มีทางก่อปัญหา ข้ามั่นใจ"

"เหอะ"

เซวียนวานหลางหมดคำจะกล่่าว เมื่อหันไปมองก็พบว่าตอนนี้มู่หลานเฟินกำลังยิ้มแย้มอย่างอารมณ์ดี ในใจเขาก็รู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก

ยิ้มให้ผู้ใดดูกัน!

กลางดึกคืนนั้น เซวียนซานหลางสั่งให้เซวียนเจ๋อและลั่วเหมยปิดบ้านให้ดี ส่วนเขา มู่หลานเฟิน และเสิ่นเหวยอันนั้นได้ลอบออกมาจากบ้านกลางดึก คนทั้งสามสวมชุดสีดำและใช้ผ้าปิดบังใบหน้า มู่หลานเฟินมองไปโดยรอบอย่างระแวดระวัง ท่าทีของนางดูทะมัดทะแมงเหมือนบุรุษ อีกทั้งยังไม่ได้ทำตัวเป็นภาระให้เซวียนซานหลางอย่างที่กล่าวเอาไว้จริงๆ

ยามดึกท้องฟ้ามืดทะมึน บรรยากาศรอบด้านเงียบสงัด เงียบเสียจนได้ยินเสียงหัวใจเต้น มู่หลานเฟินมองฝ่าความมืด ฉับพลันหูของนางก็ได้ยินเสียงๆหนึ่งดังแว่วมาตามสายลม เซวียนซานหลางเมื่อเห็นนางมีท่าทีแปลกไปก็รีบเอ่ยถามทันที

“เจ้าเป็นอันใดไป"

มู่หลานเฟินย่นหัวคิ้ว พร้อมกับตั้งใจฟังเสียงนั้น

"มีเสียงหญิงสาวกำลังร้องเพลง อีกทั้งยังมีเสียงร่ำไห้ ผสมผสานกับเสียงกรีดร้องของสตรี"

เสิ่นเหวยอันที่ยืนอยู่ข้างกันเมื่อได้ยินเช่นนั้นแววตาก็ทอประกายเย็นเยียบ เขาก้าวเข้ามาก่อนจะกระซิบถามมู่หลานเฟิน

"ทิศทางของเสียงอยู่ที่ใด เจ้าพอจับใจความได้หรือไม่"

มู่หลานเฟินมองไปโดยรอบ ก่อนจะชี้มือไปยังท้ายหมู่บ้าน

"ทางนั้น ให้ตายเถอะ กลิ่นคาวเลือดเข้มข้นมาก รีบไปเร็ว!"

เมื่อได้ยินมู่หลานเฟินเอ่ยเช่นนั้น ทั้งเซวียนซานหลางและเสิ่นเหวยอันต่างก็ไม่รอช้า รีบมุ่งหน้าไปยังทิศทางของเสียงนั้นทันที ยิ่งเข้าใกลท้ายหมู่บ้านเท่าไหร่ก็ได้ยินเสียงร้องเพลงและเสียงร่ำไห้ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ อีกทั้งยังมีเสียงกรีดร้องปานจะขาดใจของสตรีดังแว่วมาเป็นระยะอีกด้วย

จากตรงนี้ไม่มีบ้านคนแล้ว เพราะเป็นป่ารกที่มีต้นไม้สูงใหญ่รายล้อมเต็มไปหมด สายลมพัดมาผะแผ่ว กิ่งของตนไม้เอนไหวไปตามทิศทางลม มองดูแล้วคล้ายปีศาจต้นไม้กำลังร่ายรำ ช่างน่าหวาดหวั่นไม่น้อยเลย

คนทั้งสามหันมามองหน้ากัน อยู่ๆ มู่หลานเฟินก็สัมผัสได้ว่ามีของเหลวหยดลงมาบนหว่างคิ้วของตน นางยกมือแตะมันและเอามาดม ก่อนจะต้องผงะ

เลือดหรือ!

หญิงสาวรีบเงยหน้าขึ้นไปมองทิศทางของโลหิตปริศนานั้นทันที ท่ามกลางแสงจันทร์ที่สาดส่องลงมาเบื้องหน้าปรากฎร่างของสตรีสวมชุดแต่งงานนางหนึ่งกำลังห้อยโตงเตงอยู่บนต้นไม้ใหญ่

มู่หลานเฟินจ้องมองภาพตรงหน้าเขม็ง ก่อนจะเขวี้ยงมีดที่นำติดตัวมาด้วยตัดเชือกเส้นนั้นจนขาดสะบั้น เซวียนซานหลางรีบวิ่งเข้าไปดูพร้อมเสิ่นเหวยอัน ก่อนจะพบว่ามันคือหุ่นเจ้าสาวที่ถูกย้อมด้วยเลือดเพียงเท่านั้น

มันคือหุ่นที่ทำจากฟางและใช้เลือดอาบย้อมจนเปียกชุ่ม กลิ่นเหม็นเน่าคาวคละคลุ้งจนมู่หลานเฟินรู้สึกเวียนหัวขึ้นมา

เซวียนซานหลางมองไปโดยรอบก่อนจะเอ่ย

"หุ่นฟางเจ้าสาวย้อมโลหิตนี่มันมาจากที่ใดกัน"

มู่หลานเฟินย่นหัวคิ้ว ก่อนจะคิดถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ จึงรีบเอ่ยกับพวกทันที

“ซื่อจื่อ พี่เสิ่น ข้าลืมบอกพวกท่านไปเรื่องหนึ่ง ก่อนหน้านี้ที่ชาวบ้านเล่าถึงเรื่องวิญญาณของสตรีนางนั้น พวกเขาบอกว่า ยามที่มีหญิงสาวถูกเอาตัวไป ก่อนพบศพจะเจอกับหุ่นฟางเจ้าสาวอาบย้อมเลือดห้อยโตงเตงบนต้นไม้ ไม่ไกลกันนักจะพบศพของสตรีผู้เคราะห์ร้าย ชาวบ้านเชื่อกันว่าหุ่นฟางเจ้าสาวย้อมโลหิตนี้ คือตัวแทนวิญญาณของสตรีนางนั้น ที่มาพรากชีวิตของหญิงสาวที่เข้าพิธีแต่งงานไป ในเมื่อเราเจอหุ่นตัวปัญหานี่ เป็นไปได้ว่าศพอาจจะอยู่ไม่ไกล คืนนี้จะต้องมีคนตายอีกแน่!”

เอ่ยจบนางจะทิ้งกายลงนั่งยองๆ พลางยื่นมือไปลูบๆพื้นดินข้างล่างก่อนจะหยิบดินขึ้นมาดม การกระทำของนางทำให้เซวียนซานหลางและเสิ่นเหวยอันขมวดคิ้วมุ่นด้วยความสงสัย เสิ่นเหวยอันรีบเอ่ยถามทันที

“น้องหรานหร่านเจ้ากำลังทำอันใด"

มู่หลานเฟินไม่ตอบ เสิ่นเหวยอันคิดจะถามอีกแต่เซวียนซานหลางกลับส่ายหน้าปรามเขาเอาไว้

นางกำเศษดินนั้นมาดมอีกหลายครั้ง จมูกของหญิงสาวพลันรับรู้ได้ถึงกลิ่นดินผสมกลิ่นคาวเลือดคละคลุ้ง มู่หลานเฟินมีท่่าทีตื่นตระหนก ก่อนจะลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็ว

"ข้าได้กลิ่นเลือด เลือดนี้เป็นเลือดใหม่ ไม่ใช่เลือดเลือดเหม็นเน่าที่ชะโลมหุ่นเจ้าสาวตัวนั้น ดูเหมือนว่าจะมีการฆ่าคนเกิดขึ้น อาจเพราะตอนลากตัวเหยื่อไปไม่ทันระวังทำให้เลือดของเหยื่อหยดลงไปตามทาง หากเราตามกลิ่นเลือดนี้ไป อาจจะพบคนร้ายก็ได้"

เซวียนซานหลางและเสิ่นเหวยอันพยักหน้า ตอนนี้สิ่งใดที่เป็นเบาะแสย่อมต้องทำตามไปก่อน

ตลอดทางที่เดินไปมู่หลานเฟินจะหยิบดินขึ้นมาดมกลิ่นเป็นระยะ พวกนางตามกลิ่นนั้นไปเรื่อยๆ เซวียนซานหลางและเสิ่นเหวยอันหันมองหน้ากันไปมาแต่ไม่อาจรอช้าได้ ยามนี้การตามไล่ล่าจับคนร้ายให้ได้เป็นสิ่งสำคัญ หากยังจับตัวมันมาลงโทษไม่ได้ เมืองถงหวางย่อมหาความสงบสุขไม่ได้ และพวกเขาอาจจะไม่ได้กลับเมืองหลวงในเร็ววัน

มู่หลานเฟินนำทางโดยใช้จมูกดมกลิ่นเป็นระยะ โดยมีเสิ่นเหวยอันและเซวียนซานหลางคอยระวังหลังให้ เดินกันมาเรื่อยๆกลับพบว่าทางเบื้องหน้าเป็นทางตันเสียแล้ว คนทั้งสามหันมาสบตากันอีกหน ในขณะที่กำลังใช้ความคิด มู่หลานเฟินก็รู้สึกได้ว่ามีของเหลวอุ่นๆหยดลงมาโดนเสื้อผ้าของนาง

หญิงสาวรีบก้าวถอยหลัง พลางเงยหน้าขึ้นไปมอง ภาพตรงหน้าทำเอามู่หลานเฟินถึงกับผงะ!

ศพของสตรีนางหนึ่งถูกมัดห้อยโตงเตงอยู่บนต้นไม้ ภายใต้แสงจันทร์ที่สาดส่องลงมา เห็นได้ชัดว่าสภาพศพน่าหวาดหวั่นมากเพียงใด!

ตอนที่ทะลุมิติไปเป็นบุตรสาวของหวูโจ้วคนผ่าศพ นางได้ตามบิดาไปพบเจอศพมากมาย แม้จะรู้สึกชินตามากเพียงใด แต่เมื่อได้เห็นศพตรงหน้าที่ีมีสภาพยับเยินเช่นนี้นางก็ยังรู้สึกหวาดหวั่น

คนร้ายลงมือได้อำมหิตโหดเหี้ยมผิดมนุษย์ยิ่งนัก!

"อย่ามอง หลับตา!"

เซวียนซานหลางดึงตัวมู่หลานเฟินให้หันหน้ามาหาเขาและบอกให้นางหลับตา ก่อนจะสั่งให้เสิ่นเหวยอันหาทางนำศพลงมาจากต้นไม้ 

เซวียนซานหลางมองเห็นว่าตอนนี้สีหน้าของมู่หลานเฟินไม่ค่อยจะดีเท่าใดนัก บางครานางอาจจะตกใจกลัวจนขวัญเสีย

มู่หลานเฟินพยายามสูดลมหายใจเข้าลึก แล้วค่อยๆลืมตาขึ้นมาช้าๆ นางจะต้องไม่กลัว หากปล่อยให้ความกลัวครอบงำเช่นนี้จะทำการใดต่อไปไม่ได้อีก

เมื่อคิดได้เช่นนั้นนางจึงเงยหน้าขึ้นมา แต่เพราะตอนนี้อยู่ใกล้กับเซวียนซานหลางมากเกินไป ทำให้ตอนเงยหน้าขึ้นมาศีรษะของนางจึงดูเหมือนกำลังซบอยู่กับแผงอกของเขา อีกทั้งท่าทีของเขายามนี้ก็เหมือนกับกำลังโอบกอดปลอบประโลมนางอยู่อย่างไรอย่างนั้น

เมื่อเซวียนซานหลางก้มหน้าลงมาก็สบเข้ากับดวงตาใสกระจ่างของมู่หลานเฟิน คนทั้งสองมีท่าทีกระอักกระอ่วนก่อนจะรีบผละออกจากกัน

เสิ่นเหวยอันจัดการใช้ดาบฟันเชือกให้ขาดจนศพร่วงมาที่พื้น ก่อนจะหันมาเอ่ยกับเซวียนซานหลาง

"ต้องแจ้งทางการ"

"ตอนนี้พวกเรายังเปิดเผยตัวตนไม่ได้"

“นั่นสิ เช่นนั้นเอาอย่างไรดี”

“วางศพนางไว้ตรงนี้ล่ะ เราต้องรอให้ชาวบ้านมาพบศพแล้วแจ้งทางการ ระหว่างนี้ต้องห้ามแตะต้องศพ ห้ามทำสิ่งใดกับศพจนกว่าคนของทางการจะมาถึง หากพวกเราเร่งเปิดเผยตัวตนคงไม่ดีแน่”

เสิ่นเหวยอันที่ได้ฟังก็พยักหน้าเห็นด้วย ในขณะที่เขากำลังจะนำศพของสตรีผู้เคราะห์ร้ายไปวางไว้ใต้ต้นไม้ มู่หลานเฟินก็เอ่ยขึ้นมาเสียก่อน

"ช้าก่อน ข้าขอดูศพของแม่นางผู้นี้หน่อย"

เซวียนซานหลางเมื่อได้ยินอย่างนั้นก็รีบคว้าแขนของนางเอาไว้ทันที

“เจ้าจะทำอันใด"

"ท่านวางใจ ข้าจะไม่ทำให้เสียเรื่องแน่นอน"

เอ่ยจบมู่หลานเฟินก็เดินเข้าไปใกล้ๆศพ หญิงสาวทิ้งกายนั่งลงพลางมองสำราวจอย่างละเอียด นางเพียงใช้สายตามองไม่ได้ยื่นมือไปแตะต้องศพเลยแม้แต่น้อย

มู่หลานเฟินมองสำรวจศพอย่างละเอียด ท่ามกลางแสงจันทร์สลัวลาง ยังพอมีแสงสว่างอยู่บ้าง

"ดวงตาเหมือนเพิ่งถูกควักออกไปเพราะในเบ้าตายังมีเลือดสดๆซึมออกมา รอบลำคอคล้ายถูกเชือกรัดรึงอย่างแน่นหนาก่อนแล้วค่อยนำมาแขวนเอาไว้บนต้นไม้ รอยของการรัดไม่คงที่ ดูเหมือนจะเกิดการขัดขืนต่อสู้ เหยื่อต้องการเอาตัวรอดทำให้ต้องพยายามรัดคออยู่หลายครั้งจึงสำเร็จ ส่วนเล็บมือเล็บเท้าของนางคล้ายถูกของมีคมดึงออก นี่ไม่ใช่วิญญาณอาฆาตอันใดหรอก แต่นางถูกลักพาตัวมาฆ่าต่างหาก แต่ที่ข้าอยากรู้ก็คือ แรงจูงใจของฆาตรกรคือสาเหตุใดกันแน่ ทำไมถึงลงมือกับสตรีบอบบางได้อย่างอำมหิตและโหดเหี้ยมได้ถึงเพียงนี้"

มู่หลานเฟินเอ่ยไปพลางจ้องมองศพไปพลาง

เซวียนซานหลางและเสิ่นเหวยอันเองก็คิดเช่นเดียวกัน สภาพศพที่พวกเขาพบเห็นยามนี้มีพิรุธหลายอย่างจริงๆ

ท้ายที่สุดพวกเขาจำต้องทิ้งศพเอาไว้เพราะไม่อาจแตะต้องศพส่งเดชได้

หลังจากที่กลับมาถึงบ้าน มู่หลานเฟินก็จัดการเปลี่ยนเสื้อผ้าและล้างไม้ล้างมือ ก่อนจะลงมาที่ชั้นล่างเพื่อหารือกับเซวียนซานหลางและเสิ่นเหวยอัน

"คดีนี้แปลกพิลึก คนร้ายต้องการสิ่งใดกันแน่"

เซวียนซานหลางและเสิ่นเหวยอันมีท่าทีครุ่นคิด แต่คิดเท่าใดก็ยังคิดไม่ออก ยามนี้ก็ดึกมากแล้ว อีกทั้งอย่างไรย่อมต้องพักผ่อนเอาแรง สุดท้ายคนทั้งสามก็แยกย้ายกันไปพัก คืนนี้มู่หลานเฟินนอนไม่หลับ ยามที่กำลังจะข่มตาหลับก็จะได้กลิ่นคาวเลือด ได้ยินเสียงกรีดร้องและเสียงร่ำไห้ของสตรีดังแว่วมาเป็นระยะ เช้าวันต่อมานางจึงไม่ได้เปิดร้านขายอาหาร

ตอนสายของวันต่อมา เซวียนซานหลางได้พานางลอบเข้าไปในห้องเก็บศพของสตรีนางนั้นเพื่อดูบาดแผลภายใน สภาพของสตรีนางนี้น่าเวทนาไม่น้อย เหมือนว่าก่อนตายจะถูกทารุณอย่างหนัก ร่างกายภายในบอบช้ำเสียหาย มู่หลานเฟินโมโหยิ่งนัก นางอยากจะเด็ดหัวฆาตรกรใจชั่วออกมาเสียให้รู้แล้วรู้รอด

เจ้าหน้าที่ตัดสินคดีจบแล้ว เรื่องราวจบลงที่ว่าเป็นฆ่า แต่ยังหาตัวคนร้ายไม่พบ หญิงสาวคนนี้เป็นสตรีต่างหมู่บ้าน นางได้แต่งงานกับชายคนรักซึ่งเป็นคนหมู่บ้านถงหวาง พวกเขาจัดงานแต่งกันเงียบๆมีเพียงคนสนิทที่รู้ ในงานแต่งงานนางก็ยังปกติดี จนกระทั่งเข้าหอ สามีนางส่งแขกเหรื่อเสร็จ เมื่อเข้ามาในห้องหอเจ้าสาวสุดที่รักก็หายไปเสียแล้วก็หาย ไม่น่าเชื่อว่าจะกลายเป็นศพเช่นนี้  เจ้าบ่าวของนางร้องไห้เสียสติ เขาไม่เชื่อเรื่องผีสาง แต่เมื่อได้เห็นสภาพศพของหญิงคนรักที่ตรงกับเรื่องเล่าทุกประการเขาก็เริ่มเชื่อและหวาดกลัวสุดท้ายก็กลายเป็นคนเสียสติ ศพของหญิงสาวถูกญาตินำมารับกลับไปทำพิธีที่บ้านของนาง

เรื่องราวก็จบลงเช่นนี้

มู่หลานเฟินกำมือแน่น นึกสงสารสตรีนางนั้นและคนรักของนางจับหัวใจ สตรีนางหนึ่งกำลังจะได้มีชีวิตที่ดี กำลังจะได้สร้างครอบครัวกับชายอันเป็นที่รัก กำลังจะมีครอบครัวที่แสนอบอุ่น สุดท้ายกลับถูกความตายมาพรากจากไป

เดิมทีเรื่องราวควรจบลงเพียงเท่านี้ แต่ทว่าสามคืนถัดมาก็มีคนพบศพหญิงสาวตายในลักษณะเดียวกันอีกครั้ง ครั้งนี้ลุกลามบานปลายไปถึงต่างหมู่บ้าน ผู้คนเริ่มหวาดกลัวจนไม่เป็นอันกินอันนอน

มู่หลานเฟินเริ่มทนไม่ไหวแล้ว นางคิดว่าอย่างไรคงจะต้องเร่งจัดงานแต่งปลอมๆระหว่างนางและเซวียนซานหลางเสียที

ต้องใช้งานแต่งจอมปลอมครั้งนี้ลากคอคนร้ายออกมาให้ได้!

อ่านหนังสือเล่มนี้ต่อได้ฟรี
สแกนรหัสเพื่อดาวน์โหลดแอป

บทล่าสุด

  • เมื่อข้าทะลุมิติมาเป็นนางร้ายผู้ประสบภัย   ตอนจบ

    แต่ยังไม่ทันที่พวกเขาจะได้เข้าห่ำหั่นกับศัตรูเพื่อปิดจบสงครามฉากนี้นี้ ก็ได้ยินเสียงเกือกเท้าม้าดังกึกก้อง คนทั้งสามหันมาสบตากันอีกครั้ง ในดวงตาฉายแววเคร่งเครียดหรือนี่จะเป็นกำลังเสริมของชนเผ่าทุ่งหญ้า?ยังไม่ทันได้คิดสิ่งใดให้มากความเซวียนซานหลางก็เห็นว่ากองทหารของแคว้นทุ่งหญ้าที่ยืนตระหง่านอยู่เบื้องหน้าแตกแถวออกเป็นวงกว้าง ศีรษะของแม่ทัพเผาทุ่งหญ้าร่วงกระเด็นตกลงบนพื้นดวงตาเบิกโพลงเหมือนไม่อยากจะเชื่อว่าตนจะถูกสังหาร"ฆ่าทิ้งให้หมด!"เซวียนซานหลางมองไปเบื้องหน้า ก่อนที่ดวงตาของเขาจะแดงก่ำตอนนี้มู่หลานเฟิรกำลังควบอยู่บนหลังม้าด้วยท่วงท่าองอาจ มือหนึ่งจับบังเหียน มือหนึ่งถือหอกเอาไว้ในมือ ปลายด้ามหอกอาบย้อมไปด้วยโลหิตสีแดงสด นางสวมชุดเกราะรวบผมขึ้นสูง ดวงตามั่นคงหนักแน่นไม่หวาดหวั่น ทุกทีที่นางควบม้าพาดผ่าน ล้วนมีทหารของชนเผ่าทุ่งหญ้าล้มตายราวกับใบไม้ร่วงเสิ่นเหวยอันและซูอวี้เฉิงเมื่อได้เห็นเช่นนั้นก็ตื่นตระหนกไม่น้อย เดิมทีพวกเขารู้ว่านางมีความสามารถ แต่ไม่คิดว่าจะองอาจเยี่ยงแม่ทัพใหญ่ผู้เจนจัดสงครามในสนามรบเช่นนี้มู่หลานเฟินหันมามองบุรุษทั้งสามคน ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่องอาจ

  • เมื่อข้าทะลุมิติมาเป็นนางร้ายผู้ประสบภัย   บทที่ 46 สงคราม

    เมื่อเรื่องราวคลี่คลายแล้ว ทุกคนจึงเกินทางกลับมาที่เมืองหลวง เมื่อกลับมาถึงก็ได้ทราบข่าวร้ายก่อนหน้านี้เซวียนชินอ๋องติดสุราจนเมามาย ทำให้สุขภาพไม่สู้ดีจนถึงขึ้นล้มป่วยลง อีกทั้งยังได้รับความกระทบกระเทือนจิตใจเนื่องจากรู้ข่าวว่าอวี้หลิงปลิดชีพตนเองตายจากไป แม้ปากจะบอกว่าเกลียดชังนางย่ แต่เมื่อนางตายจากไปจริงๆ เขากลับทำใจไม่ได้ สุดท้ายจึงดื่มเหล้าหนักมากขึ้นเรื่อยๆ จนสุขภาพทรุดหนักลงเรื่อยๆ จวบจนทนไม่ไหวและตรอมใจตายตามอวี้หลิงไปก่อนจากเขาไม่ได้สั่งเสียสิ่งใดกับบุตรชายทั้งสองคน เอาแต่เหม่อลอยเรียกหาอวี้หลิงและอดีตพระชายาซึ่งก็คือมารดาของเซวียนซานหลาง จวบจนวาระสุดท้ายท่านพ่อของพวกเขาสองคนก็คิดถึงแต่ตนเอง ไม่เคยคิดถึงบุตรชายเลยแม้แต่น้อยงานศพของเซวียนชินอ๋องถูกจัดขึ้นอย่างเรียบง่ายเมื่อบิดาตายจากไป ตำแหน่งชินอ๋องย่อมตกเป็นของเซวียนซานหลางโดยชอบธรรม ส่วนเซวียนเจ๋อนั้นเขาไม่อยากจะรับตำแหน่งใดทั้งสิ้น เขาอยากเป็นเพียงคุณชายเจ้าสำราญที่ได้ใช้ชีวิตตามใจของตนด้านวังหลวงเองก็ไม่สู้ดีเท่าใดนัก ฮ่องเต้เซวียนจงอาการไม่สู้ดีขึ้นเรื่อยๆ อีกทั้งยังไม่ม่ีทายาทสืบทอด เหล่าขุนนางต่างหวาดหวั่นใจยิ่งน

  • เมื่อข้าทะลุมิติมาเป็นนางร้ายผู้ประสบภัย   บทที่ 45 จับคนร้าย

    วันคืนก็ผ่านไปเช่นนี้ จนกระทั่งสุขภาพของมู่หลานเฟินดีขึ้นมาก และเซวียนซานหลางก็สะสางธุระแล้วเสร็จและกลับมาเมืองหลวงพอดี นางจึงบอกเรื่องนี้กับเขาและตัดสินใจกลับบ้านเดิมสักครั้งจวนตระกูลอวี้เป็นตระกูลคหบดี พวกเขาเป็นคนเมืองจินหลิงซึ่งอยู่ห่างจากเมืองหลวงไปไม่ไกลเท่าใดนัก นับว่าเป็นครอบครัวที่ร่ำรวยที่สุดในเมืองจินหลิงแล้ว พวกเขาทำการค้าหลายอย่าง หลายปีมานี้กิจการก้าวหน้า เพราะมีน้าสาวและสามีของนางคอยดูแลวันแรกที่มู่หลานเฟินกลับไปถึง ก็พบว่าพวกเขามีท่าทีแปลกประหลาดจริงๆ เหมือนไม่อยากต้อนรับ ราวกับมีบางอย่างปิดบังนางอย่างไรอย่างนั้น แต่่เพราะมู่หลานเฟินต้องการสืบความจริง นางจึงแสร้งทำเป็นมองไม่เห็นท่าทีนั้นของพวกเขาและยังบอกอีกว่าอยากจะพักอยู่ที่นี่สักระยะเพราะมีเรื่องจะมาแจ้งทุกคน นางเดินทางมาครั้งนี้นำสมบัติมาด้วยหลายหีบบอกว่าเป็นของที่นางเก็บสะสมเอาไว้ แต่ตอนนี้ถูกไล่ออกจากจวนอ๋องแล้วไร้หนทางไปจึงต้องกลับมาบ้านเดิม อวี้หลันมองหลานสาวตนเองด้วยแววตาที่่อ่อนโย แต่ภายในใจกลับเย้ยหยัน ตอนนี้อวี้หลิงถูกขับออกจากจวนอ๋องไปอยู่ที่วัด นางเองไม่ได้สนใจพี่สาวเท่ามดนักเดิมทีพวกนางก็เป็นพี่น้อง

  • เมื่อข้าทะลุมิติมาเป็นนางร้ายผู้ประสบภัย   บทที่ 44 น้องสาวบุญธรรม

    เรื่องราวสะเทือนขวัญทั้งหมดที่เกิดขึ้น สร้างคลื่นลมใหญ่หลวงให้กับราชสำนักเป็นอย่างมาก เหล่าราษฎรต่างหวาดหวั่น ต้องใช้เวลาร่วมหลายเดือนกว่าที่คราวจะเงียบหายไปหลังจากเกิดเรื่อง เซวียนชินอ๋องก็กลายเป็นคนเมามาย และวาดใส่คนอื่นไปทั่วทั้งจวน โดยเฉพาะกับมู่หลานเฟิน เขาเอาโทสะทั้งหมดไปลงที่นาง บอกว่านาและป้าของนางคือตัวซวย อีกทั้งยับขับไล่นางออกจากจวนอ๋อง เซวียนซานหลางและเซวียนเจ๋อเองก็ปวดหัวไม่น้อยแต่มู่หลานเฟินกลับไม่ได้โกธร นางเข้าใจเรื่องราวได้อย่างกระจ่างแจ้ง เมื่ออวี้หลิงสิ้นอำนาจแล้ว นางย่อมไม่อาจอยู่ที่จวนอ๋องได้อีก และนางเองก็ไม่อยากจะสร้างปัญหาให้เขาเพิ่ม จึงปรึกษากับเขาว่าจะไปหาซื้อบ้านใหม่อยู่ เปิดร้านขายอาหาร เพราะของมีค่าที่ได้รับพระราชทานมาก่อนหน้านี้ก็ยังมีเหลืออยู่ไม่น้อย แรกเริ่มเซวียนซานหลางไม่เห็นด้วย แต่ม่หลานเฟินกลับเอ่ยโน้มน้าวเขาอย่างใจเย็น เขาจึงยอมตามใจนางเซวียนซานหลางหาบ้านหลังหนึ่งได้ มันตั้งอยู่ในตลาดสามารถทำมาค้าขายได้ เซวียนเจ๋อเป็นห่วงน้องสาวอยากตามมาอยู่ด้วย แต่มู่หลานเฟินบอกว่านางอยู่ได้ชีวิตที่ยากกำบากไม่ใช่ว่านางไม่เคยพานพบ ใช้ชีวิตมาหลายชาติพบเจอความทุ

  • เมื่อข้าทะลุมิติมาเป็นนางร้ายผู้ประสบภัย   บทที่ 43 ยาพิษ

    เซวียนซานหลางและมู่หลานเฟินรีบวิ่งมาที่เรือนของอวี้หลิงอย่างรวดเร็ว เมื่อมาถึงภาพตรงหน้าก็ทำให้พวกเขาถึงกับหน้าซีดเผือดตอนนี้เซวียนเจ๋อกำลังนอนอยู่บนเตียงเขากระอักโลหิตออกมาไม่หยุด ใบหน้าหล่อเหลาซีดเผือดจนน่าหวาดหวั่น ลมหายใจก็รวยรินราวกับจะขาดเสียให้ได้ เซวียนซานหลางที่เห็นสภาพน้องชายตนที่ย่ำแย่ถึงเพียงนี้ก็ตื่นตระหนกรีบสั่งให้คนไปตามหมอหลวงมาอย่างเร่งด่วน มู่หลานเฟินเข้าไปประคองญาติผู้พี่ของตนเอง ดวงตาของนางแดงกล่ำ ก่อนจะเอ่ย"เซวียนเจ๋อ เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้ไปได้ ท่านดื่มยาพิษเข้าไปได้อย่างไรกัน"เซวียนเจ๋อเงยหน้ามามองมู่หลานเฟินอย่างอ่อนแรง ก่อนจะยิ้มออกมาเล็กน้อย เขาไม่ตอบอันใด เพียงมองไปที่มารดาของตนด้วยแววตาที่เย็นชาห่างเหินก่อนหน้านี้ท่านแม่ดูผิดปกติเป็นอย่างยิ่ง นางดูเหมือนครุ่นคิดอยู่ตลอดเวลา เขาจึงจับตาดูนางและพบว่านางกำลังวางแผนจะสังหารพี่ใหญ่ของเขาอีกครั้งเซวียนเจ๋อรู้สึกผิดหวังในตัวมารดาเป็นอย่างมาก เดิมทีเขาคิดว่าท่านแม่จะสามารถปล่อยวางความโลภในใจได้แล้ว แต่มันกลับไม่ใช่เลยแม้แต่น้อย ท่านแม่ยังคงมีจิตใจริษยามักใหญ่ใฝ่สูงท่านแม่คิดอาศัยช่วงชุลมุนวางยาพิษพี่ใหญ่ เขาที

  • เมื่อข้าทะลุมิติมาเป็นนางร้ายผู้ประสบภัย   บทที่ 42 ความจริง

    ด้านมู่หลานเฟินตอนนี้ก็ถูกโซ่ตรวนพันธนาการมือเท้าเอาไว้ นางได้กลิ่นสมุนไพรเข้มข้นสายหนึ่งที่ฉุนจนแทบแสบจมูก มันเป็นกลิ่นเดียวกับที่ได้กลิ่นจากศพในรูปปั้นเทพธิดา อีกทั้งบนโต๊ะยังมียันต์หลายแผ่นวางเอาไว้"สวีเจี๋ย เราต้องรีบทำพิธีแล้ว ไม่อย่างนั้นจะเลยฤกษ์ยามดี หลังจากนางตายก็เอาร่างนางหล่อเป็นรูปปั้นของเทพธิดา มอบนางเป็นเครื่องบูชายัญให้เทพปีศาจ เอาล่ะ ข้าจะเร่งขอพร ท่านก็รีบสังหารนาง จากนั้นก็ผ่าท้องนางและเอายันต์ขอพรยัดใส่เข้าไปพร้อมสมุนไพร""ได้เลย"ราชครูสวีรับคำ ด้านเฉินฮองเฮาก็นั่งลงเบื้องหน้าแท่นบูชาที่ตั้งอยู่ในห้องลับ ก่อนจะเอ่ยขอพรอย่างตั้งใจ"ท่านเทพปีศาจ ข้าได้นำเทพธิดามาสังเวยให้ท่านแล้ว หวังว่าท่านจะพอใจ เมื่อท่านพอใจแล้วก็ได้โปรดอำนวยอวยพระให้เซวียนจิ้น บุตรชายของข้าแข็งแรงโดยเร็ว ให้เขาได้ครองราชย์ยอย่างราบรื่น ไร้กังวลด้วยเถิด"มู่หลานเฟินมองภาพเบื้องหน้าด้วยแววตาที่วูบไหว นางพอจะเข้าใจเรื่องราวได้แล้วราชครูสวีและเฉินฮองเฮาดูเหมือนจะมีความสัมพันธ์พิเศษต่อกัน หรือว่าองค์ชายน้อยผู้นั้นจะ...ยังไม่ทันที่นางจะได้คิดสิ่งใดต่อ ก็พบกับสวีเมิ่งเหยาที่วิ่งเข้ามา ราชครูสวีและเ

บทอื่นๆ
สำรวจและอ่านนวนิยายดีๆ ได้ฟรี
เข้าถึงนวนิยายดีๆ จำนวนมากได้ฟรีบนแอป GoodNovel ดาวน์โหลดหนังสือที่คุณชอบและอ่านได้ทุกที่ทุกเวลา
อ่านหนังสือฟรีบนแอป
สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status