ログインเหลียงเฟยฮุ่ยลงโทษสาวใช้ในครัวอย่างจำยอม เดิมทีคิดว่าแม้เว่ยซูเหม่ยจะถูกคนในจวนรังแกสามีของตนคงไม่แยแสเรื่องที่เกิดขึ้นเหมือนในอดีต ทว่ากลับคิดผิดไปเสียนี่
“ท่านแม่ ท่านต้องลงโทษสาวใช้พวกนั้นให้หนักจะได้ไม่มีใครกล้าทำเรื่องเช่นนั้นกับพี่ใหญ่อีก”
“ทำไมเจ้าถึงได้เอาแต่ปกป้องนางกัน เจ้าไม่เห็นหรือว่าแม่ต้องใช้ความพยายามมากเท่าใดเพื่อให้เจ้าเป็นคนสำคัญที่สุดในจวน”
“นางเป็นพี่สาวของข้า หากวันนั้นไม่มีนางข้าไม่อาจมีชีวิตรอดจนถึงตอนนี้”
“บุญคุณส่วนบุญคุณ เจ้าต้องแยกแยะให้ชัดเจน นางเป็นเพียงพี่สาวต่างแม่หาใช่พี่สาวร่วมอุทร”
“ท่านแม่ควรบอกตัวเองมากกว่านะเจ้าคะ ข้าจะไม่ทนเห็นนางถูกรังแกอีก ถึงเป็นท่านข้าก็ไม่ยอมอ่อนข้อให้แน่”
“เข่อซิง!” ฮูหยินเว่ยเรียกชื่อไล่ตามหลัง แต่นางหาได้หวนกลับไปหามารดา ที่ผ่านมานางรู้ดีว่าที่เว่ยซูเหม่ยต้องแยกตัวออกจากจวนเป็นเพราะมารดานางอยู่เบื้องหลังเรื่องทั้งหมด แต่ไม่อาจทำอะไรได้เพราะท่านพ่อเห็นดีเห็นงามด้วย แต่บัดนี้ได้กลับมาอยู่ด้วยกันเข่อซิงบอกกับตัวเองว่าไม่ว่าจักเกิดอันใดขึ้นขออยู่ปกป้องพี่สาวคนนี้ให้ถึงที่สุด
ครั้นเดินผ่านโกดังเก็บผ้าเห็นบรรดาคนรับใช้ต่างชุลมุนมุงดูบางอย่างทำให้นางไม่อาจเดินผ่านไปเฉย ๆ จึงได้แทรกฝูงชนเข้าไปดู
“ผ้าพับนี้ไม่ได้เจ้าค่ะ ฮูหยินสั่งเอาไว้ว่านอกจากนางกับคุณหนูรองแล้วคนอื่นไม่มีสิทธิ”
“เกิดอะไรขึ้นรึ”
“คือว่าคุณหนูใหญ่อยากได้ผ้าพับนี้ไปตัดชุดใหม่”
“ให้นางไปเถิด จากนี้ไปพี่ใหญ่อยากได้อะไรพวกเจ้าไม่มีสิทธิขัดคำสั่ง”
“บ่าวจะทำเช่นนั้นได้อย่างไรเจ้าคะ นี่เป็นคำสั่งของฮูหยิน”
“ข้าจะไปคุยกับท่านแม่เอง พวกเจ้าทุกคนจงจำใส่ใจไว้นางเป็นเจ้านายของพวกเจ้าเหมือนกับข้า อย่าได้ริอาจล่วงเกินนาง”
“เข่อซิง เจ้าไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้”
“ของทุกอย่างในจวนล้วนเป็นของท่านกับฮูหยินคนก่อน ท่านมีสิทธิเท่าเทียมกับข้า อีกอย่างท่านกับข้าเป็นพี่น้องกันฉะนั้นไม่ต้องเกรงใจ”
“เจ้ายังคงใจดีกับข้าเช่นเคย”
“แม้ท่านแม่จะข่มเหงท่านสารพัด แต่ข้าจะไม่เดินรอยตามแน่นอน นับแต่นี้ข้าจะปกป้องท่านทุกทางเอง”
“ขอบใจเจ้ามาก”
“เมื่อครู่ได้ยินสาวใช้บอกว่าท่านจะตัดชุดใหม่หรือ ให้ข้าแนะนำช่างตัดเย็บให้รึไม่”
“ขอบคุณน้องรองที่เป็นห่วง แต่ข้าไม่จำเป็นต้องใช้ช่าง”
“ทำไมล่ะเจ้าค่ะ”
“คุณหนูเข่อซิงคงไม่รู้ ว่าคุณหนูของข้าจะต้องตัดเย็บชุดด้วยตัวเอง”
“ที่ผ่านมาท่านต้องตกระกำลำบากอยู่บ้านสวน แต่ข้ากลับไม่เคยคิดว่าท่านลำบากถึงขั้นต้องตัดเย็บชุดเอง ข้าช่างเป็นน้องสาวที่ไม่ได้เรื่อง”
“มันไม่ใช่ความผิดของเจ้า”
“เช่นนั้นเพื่อไถ่โทษ ข้าขออาสาพาท่านไปเลือกผ้าและแนะนำช่างตัดเย็บด้วยเถิด อีกไม่นานท่านพี่ต้องออกเรือนย่อมต้องมีชุดไว้มากหน่อย”
ท้ายที่สุดสองพี่น้องได้ชวนกันออกนอกจวนเพื่อเลือกซื้อผ้าและให้ช่างนำไปตัดเย็บ
งานเลี้ยงตระกูลเว่ย
เสียงดนตรีบรรเลงครึกครื้นท่ามกลางไฟส่องระยิบระยับทั้งจวน แขกทุกคนที่มาร่วมงานต่างพูดจาเจื้อยแจ้ว เว่ยซูเหม่ยเดินเข้างานมาสายตาทุกคนต่างจับจ้องมาที่นางเป็นตาเดียว
“นี่น่ะหรือคุณหนูใหญ่ งามสมคำร่ำลือ”
“ช่างน่าเสียดายนัก หากนางไม่ต้องแต่งกับตระกูลสือข้าจะให้แม่สื่อมาสู่ขอนาง”
คำชมมากมายพรั่งพรูดังเข้าโสตประสาทของนางพลันทำให้รู้สึกเกร็งตามไปด้วย
“แม่นางงดงามเพียงนี้ เหตุไฉนฮูหยินถึงได้ให้นางอยู่แต่ในเรือนเล่า ช่างน่าเสียดาย”
“เป็นเพราะนางร่างกายไม่ค่อยแข็งแรง ข้าจำต้องให้นางอยู่แต่ในเรือน”
“แต่ที่ข้าได้ยินมาหาได้เป็นเช่นนี้”
“ท่านได้ยินอะไรมาหรือ”
“ข้าได้ยินมาว่าใต้เท้าเว่ยให้นางไปอยู่บ้านสวนตั้งแต่ยังเยาว์ เมื่อไม่กี่วันก่อนถึงได้รับกลับจวน”
“ฮูหยินเว่ย เป็นเช่นนี้จริงหรือ”
“คือว่า...”
“เจ้าค่ะ อย่างที่ท่านแม่บอกเมื่อครู่ว่าร่างกายข้าไม่แข็งแรงจึงได้อยู่รักษาอาการป่วยที่นั่น”
“เป็นเช่นนี้เองหรอกรึ แสดงว่าอาการป่วยของเจ้าหายดีแล้วกระมังถึงได้กลับมาเมืองหลวง”
“เจ้าค่ะ ตอนนี้ข้าหายดีแล้ว”
หญิงสาวเริ่มรู้สึกเหนื่อยที่ต้องพบปะผู้คนจึงได้ปลีกวิเวกรับลมยามค่ำคืนอยู่นอกโถงจัดงานเลี้ยง ขณะที่กำลังหมุนตัวกลับเพื่อกลับเข้าไปข้างในได้ชนเข้ากับบุรุษผู้หนึ่งเข้าเสียก่อน
“คุณชายบาดเจ็บตรงไหนรึไม่”
“ข้าไม่เป็นไร” เขาตอบกลับ ก่อนจะใช้มือขวาคว้าเอวนางให้กลับมายืนดังเดิม
แสงจากโคมไฟทำให้ซูเหม่ยเห็นหน้าบุรุษตรงหน้าชัดเจน นัยน์ตาของนางเบิกโพลงด้วยความตกใจ หัวใจเต้นเร็ว เหตุเพราะไม่คิดว่าจะได้เจอกับเขาอีก...นับตั้งแต่วันที่เขาเคยช่วยชีวิตนางไว้เมื่อสองปีก่อน
“ข้าไม่คิดว่าเจ้าจะกล้าทำเรื่องอำมหิตเช่นนี้ เสียทีที่ข้ารับเจ้าเข้าจวนมา หย่งเจิ้ง ขังนางไว้ที่เรือน” หลังจากได้อยู่ด้วยกันตามลำพังนางได้เข้าไปนั่งใกล้เขา “ดูจากที่ตาของเจ้าบวมเป่งเช่นนี้ คงเอาแต่ร้องไห้ใช่รึไม่” เขาว่าพลางยันตัวขึ้นนั่งแล้วใช้มือลูบหัวนางแผ่วเบา “ข้าคิดว่าท่านจะไม่ฟื้นขึ้นมาเสียแล้ว ท่านหมดสติไปตั้งหลายวัน” “ข้อต้องฟื้นอยู่แล้ว เพราะข้ามีคนสำคัญที่ต้องปกป้อง” “อะ แฮ่ม ท่านโหวจะให้จัดการนักฆ่าที่รอดชีวิตอย่างไรดีขอรับ” “จับเข้าคุกหลวงให้หมด ข้าจะยื่นกีฎาให้ฮ่องเต้เป็นผู้ตัดสิน” “แล้วเรื่องฮูหยินเว่ยที่สมคบคิดกับแม่นางเหลียวล่ะขอรับจะให้จัดการเช่นไร” “ข้าจะเป็นคนจัดการเอง” เว่ยซูเหม่ยมองป้ายหน้าจวนตระกูลเว่ยด้วยความรู้สึกดีใจเสียยิ่งกว่าอะไร ในที่สุดคนชั่วช้าอย่างเหลียงเฟยฮุ่ยถึงคราที่ต้องได้รับกรรมที่นางก่อเสียที “ฮูหยินเว่ย อยู่ที่ใด” “อยู่ข้างในเจ้าค่ะ ฮูหยิน” แม่นมจ้าวออกมาต้อนรับนางด้วยรอยยิ้ม “ที่เรื่องทุกอย่างจบลงเช่นนี้ได้ก็เพราะแม
สุดท้ายแล้วเว่ยซูเหม่ยก็ไม่ได้ทิ้งรองเท้าคู่นั้น ด้วยเหตุผลที่ว่ารองเท้าของนางเริ่มเก่าแล้ว หากจะทิ้งก็เสียดายจึงได้เก็บกลับมาด้วย “ฮูหยิน ท่านไปให้ช่างทำรองเท้าให้ใหม่ตั้งแต่เมื่อใดกัน ทำไมข้าถึงไม่รู้เรื่องล่ะเจ้าคะ” “ใช่ที่ไหนกัน มีคนนำมาให้ข้าน่ะ” “หรือว่าคนผู้นั้นคือท่านโหว” “เจ้ารู้ได้อย่างไร” “เมื่อไม่กี่วันก่อนบ่าวคนสนิทของท่านโหวมาถามขนาดเท้าของท่านกับข้า จะเป็นผู้ใดได้ล่ะเจ้าคะหากไม่ใช่ท่านโหว” “หวนปี้ เจ้าช่างฉลาดหลักแหลมยิ่งนัก” “เพราะข้าได้ท่านมานั่นแหละเจ้าค่ะ” “งั้นรึ” สองนายบ่าวหัวเราะขบขัน “ฉีเยว่ เจ้าบอกพ่อบ้านต่งแล้วหรือยังว่าพรุ่งนี้ให้เตรียมรถม้าไว้ให้ข้าด้วย” “บ่าวบอกเรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ” “ทำไมเจ้าถึงได้ทำสีหน้าเคร่งเครียดเช่นนี้ มีเรื่องอะไรงั้นหรือ” “บ่าวแค่รู้สึกกังวลนิดหน่อยเจ้าค่ะ” “เจ้าจะกังวลไปไย พรุ่งนี้ข้ากับหวนปี้แค่ไปดูทำเลเปิดร้านใหม่เท่านั้นเอง” “แต่ฮูหยินออกไปโดยไร้คนติดตามนะเจ้าคะ จะไม่ให้เป็นห่วงได้เ
“วางใจเถิดเจ้าค่ะ แม้คนของข้าจะทำงานพลาดก็ไม่อาจสาวถึงพวกเราได้” “เช่นนั้นข้าจะลองเชื่อใจเจ้าดู” “หมดธุระแล้ว ข้าขอตัวก่อน” “ฮูหยิน ท่านเชื่อใจแม่นางเหลียวจริงหรือ หากแผนที่นางวางไว้ไม่สำเร็จล่ะเจ้าคะ” “แม่นมจ้าว เรื่องนี้ข้าคิดหาทางออกไว้อยู่แล้ว ถ้าแผนของนางล้มเหลวข้าก็แค่ปลิดชีพนางทิ้งเสีย เท่านี้เรื่องทุกอย่างก็ไม่อาจสาวมาถึงข้าได้” “ฮูหยิน ท่านช่างฉลาดนัก” “เจ้าเพิ่งรู้หรือ ฮ่า ๆ ๆ ๆ” นางหัวเราะร่าราวกับเป็นผู้คุมเกม ทั้งที่ตัวเองเป็นแค่หมากตัวหนึ่งเท่านั้น ตั้งแต่เปิดหอเหม่ยปี้มาร้านปักเย็บของเว่ยซูเหม่ยก็ขายดิบขายดีเป็นเทน้ำเทท่า เพราะลายปักที่งดงามเป็นเอกลักษณ์ช่วยดึงดูดชนชั้นสูงเข้ามาเป็นลูกค้าได้ไม่ขาดสายจนทำให้นางมีรายได้มากพอที่จะเปิดร้านปักเย็บอีกแห่งแถวชานเมือง “ขออภัยที่ข้ามาช้า” “ไม่เป็นไรเลยเจ้าค่ะ คุณชาย ที่ร้านยุ่งพอดี” “ถึงอย่างไรข้าก็มาสายจนพลาดพาแม่นางไปหาทำเลเปิดร้านอีกแห่ง” “เรื่องเล็กน้อยเท่านี้เอง ไว้โอกาสหน้าค่อยไปก็ได้เจ้าค่ะ” “แล
สืออันหลงยอมปล่อยมือจากชายหนุ่มตรงหน้า หลังข่มอารมณ์โกรธของตัวเองไว้ได้แล้ว “คุณชายหยวน เจ็บตรงไหนหรือไม่” “ข้าไม่เป็นไร” “คุณชาย ท่านกลับไปก่อนเถิด” “แล้วข้าจะมาใหม่ ส่วนภาพวาดฝากแม่นางดูแลด้วยนะขอรับ” “ข้าจะเก็บรักษาอย่างดีเจ้าค่ะ” ได้ยินดังนั้นหยวนชางเจี้ยนจึงกลับไปแต่โดยดี ผิดกับเขาที่มองมาที่นางราวกับโกรธแค้นนางนักหนา “นี่สินะ คือเหตุผลที่เจ้าอยากหย่ากับข้าใจจนจะขาด” เขากัดฟันพูด ยามอยู่ด้วยกันตามลำพังในเรือนของนาง ในหูยังได้ยินน้ำเสียงอ่อนนุ่มเป็นห่วงเป็นใยบุรุษอื่นที่ไม่ใช่เขา “ข้าไม่ยักรู้ว่าท่านโหวผู้สูงส่งอย่างท่านจะรู้จักพาลด้วย ข้าจะบอกท่านให้ว่าเรื่องนี้หาได้เกี่ยวข้องกับคุณชายหยวน” “ไหนเจ้าบอกว่ารักข้า แล้วทำไมเจ้าถึงได้เปลี่ยนใจเร็วเช่นนี้” “ท่านเข้าใจผิดแล้ว ตอนนี้ข้าไม่ได้รู้สึกกับท่านเช่นนั้นอีกต่อไปแล้ว ที่จริงข้าต้องขอบคุณท่านโหวที่ทำให้สตรีโง่งมเช่นข้าตาสว่าง” “อย่าพูดเช่นนี้ให้ข้าได้ยินอีก!” “ทำไมหรือเจ้าคะ ท่านจะสั่งกักขังข้างั้นรึ”
หลังจากเว่ยซูเหม่ยหายจากอาการป่วยจึงได้ถามข่าวคราวของฮูหยินเว่ยที่ตนเคยละเลยไปเพราะแต่ก่อนมัวแต่ตกอยู่ในห้วงของความรัก “คนของเราบอกว่าอีกสองวันข้างหน้านางจะกลับไปเยี่ยมบ้านเดิมเจ้าค่ะ” “ตระกูลเหลียงน่ะหรือ” “เจ้าค่ะ” “เช่นนั้นข้าควรเตรียมของขวัญต้อนรับนางกลับบ้านเสียหน่อย เจ้าว่าดีรึไม่” “ฮูหยิน คิดจะทำอะไรหรือเจ้าคะ” นางกระซิบข้างหูสาวใช้คนสนิท “ฝากเจ้าไปจัดการด้วยก็แล้วกัน จำไว้ว่าอย่าฆ่านางเป็นอันขาด” “ทำไมล่ะเจ้าคะ” “เพราะข้าจะทำให้นางมีชีวิตอยู่ด้วยความทุกข์ทรมานเสียยิ่งกว่าการตายซะอีก พอถึงตอนนั้นข้าจะให้นางเลือกว่าอยากอยู่หรือตายมากกว่ากัน” คล้อยหลังหวนปี้ไปได้ไม่นานเหลียวลี่อินก็โผล่หน้ามาหานางถึงที่เรือน “เจ้าหายป่วยแล้วมิใช่รึ แล้วใดต้องให้ท่านโหวมาหาที่เรือนทุกวันด้วยเล่า” “พูดเรื่องอะไรของเจ้า” “นี่อย่าบอกนะว่าเจ้าไม่รู้ หึ น่าขันนัก!” “เหลียวลี่อิน เจ้าอยากพูดอะไรก็พูดมาตามตรงเถิด ไม่จำเป็นต้องแกล้งพูดหลบเลี่ยงไปมาเช่นนี้” “
“เจ้ารีบไปเรียกท่านหมอมาดูอาการฮูหยินเร็วเข้า! ฮูหยินท่านอย่าเพิ่งเป็นอะไรไปนะเจ้าคะ” ท้ายประโยคหันไปพูดกับเว่ยซูเหม่ยที่นอนตัวสั่นอยู่ทั้งน้ำตา “ข้ามาขอพบท่านโหว” ฉีเยว่เอ่ยบอกสาวใช้ที่เฝ้าอยู่หน้าเรือน “เจ้าคิดว่าท่านโหวเป็นผู้ใด ถึงได้คิดมาขอพบง่าย ๆ เช่นนี้” “ข้ามีเรื่องสำคัญที่ต้องบอกท่านโหว ได้โปรดเถิด” “กลับไปเสีย! ตอนนี้ท่านโหวกำลังยุ่งอยู่” เสียงสาวใช้ทั้งสองทะเลาะกันเสียงดังจนได้ยินไปถึงด้านใน ท่านโหวหนุ่มจึงได้ให้หย่งเจิ้งออกมาดู “พวกเจ้าสองคนเอะอะโวยวายอะไรกัน ไม่รู้รึว่าท่านโหวต้องใช้สมาธิ” “ก็นางน่ะสิเจ้าคะ ข้าบอกไปหลายหนแล้วว่าท่านโหวกำลังยุ่ง แต่นางไม่ยอมฟัง” “ข้ามีเรื่องด่วนที่ต้องบอกท่านโหว” “เจ้าคือสาวใช้ของเรือนฮูหยินนี่ มีเรื่องใดเกิดขึ้นงั้นรึ” “คือว่า ตอนนี้ฮูหยินไม่สบายอาการหนักเอาการ จำเป็นต้องเรียกท่านหมอมาดูอาการ แต่นางไม่ยอมให้ข้าเข้าไป” “วางใจเถิด ข้าจะไปบอกท่านโหวให้ประเดี๋ยวนี้” “ว่าอย่างไร ข้างนอกเกิดเรื่องอันใด” “ส







