ログイン“เจ้ามองหน้าข้าทำไมหรือ”
“ปะ...เปล่าเจ้าค่ะ ขอบคุณคุณชายที่ช่วยเหลือ”
“ท่านโหว มัวยืนทำอะไรอยู่ที่นี่หรือ ใต้เท้าลู่มีเรื่องอยากพูดคุยกับท่าน”
“เช่นนั้นข้าขอตัวก่อน” ชายหนุ่มค่อย ๆ เดินไปอีกทาง
“เอ่อ ไม่ทราบว่าใต้เท้าพอจะรู้หรือไม่ว่าคุณชายเมื่อครู่นี้เป็นใคร” นางถามชายสูงวัย
“แม่นางไม่รู้จักเขาหรอกรึ เขาคือคุณชายจากตระกูลสือนามว่าสืออันหลง”
“สะ...สืออันหลง”
หลังจากได้ยินคำตอบหัวใจของนางเต้นแรงยิ่งกว่าเมื่อครู่เสียอีก ใครเล่าจะคิดว่าตัวเองจักได้แต่งงานกับคนที่เฝ้ารอมาโดยตลอด
หนึ่งเดือนผ่านไป ทั้งจวนตระกูลเว่ยตกแต่งด้วยผ้าสีแดงตั้งแต่หน้าจวนยันท้ายจวน บ่งบอกว่ามีงานมงคล
“คุณหนู วันนี้เป็นวันแต่งงานของท่าน รู้สึกเช่นไรบ้างเจ้าคะ”
“ไม่รู้สิ” แม้ปากเอ่ยเช่นนั้น แต่รอยยิ้มกลับสวนทางกับคำพูด
“ดูก็รู้ว่าท่านมีความสุข” หวนปี้บอกอย่างรู้ทัน เพราะเมื่อคืนนางแอบเห็นนายหญิงของตัวเองเอาแต่นั่งจ้องผ้าเช็ดหน้าผืนนั้นตั้งค่อนคืน
“ท่านพี่”
“เข่อซิง เจ้ามาทำอะไรที่นี่”
“ข้ารู้สึกใจหายยิ่งนักที่วันพรุ่งนี้พวกเราจะไม่ได้เจอกันอีก”
“น้องพี่ หากเจ้าคิดถึงข้าก็แวะมาหาที่จวนได้ ข้าไม่ได้ตายจากเจ้าไปเสียหน่อย”
“ท่านอย่าพูดจาอัปมงคลเช่นนี้ วันนี้เป็นวันมงคลของท่าน”
“ได้เวลาแล้วเจ้าค่ะ” เสียงแม่สื่อร้องบอกที่หน้าประตู
“เดี๋ยวบ่าวคลุมผ้าให้นะเจ้าคะ”
คู่บ่าวสาวคำนับป้ายชื่อบิดามารดา คำนับฟ้าดิน คำนับกันและกันก็เป็นอันเสร็จพิธี เว่ยซูเหม่ยคิดว่าแต่งเข้าจวนมาครั้งนี้อาจมีผู้ใหญ่ในจวนไม่พอใจ ทว่าพอได้เห็นเช่นนี้ถึงได้รู้ว่าตระกูลสือบัดนี้มีเพียงสามีนางเป็นใหญ่ที่สุด
หญิงสาวนั่งรอสามีหมาด ๆ มาเปิดผ้าคลุมหน้าออกทว่าเวลาผ่านไปหลายชั่วยามกลับไร้เงา กระทั่งจากกลางคืนกลายเป็นรุ่งสางจนร่างบางเผลอหลับไปทั้งอย่างนั้น
“ฮูหยิน ข้าหวนปี้เองนะเจ้าคะ” เมื่อไม่ได้ยินเสียงตอบกลับ ด้วยความเป็นห่วงนางจึงเปิดประตูเข้าไปอย่างถือวิสาสะก็เห็นจเนายของฟุ่บหลับอยู่บนเตียงทั้ง ๆ ที่ยังไม่ได้เปิดผ้าคลุมออก
“ตื่นได้แล้วเจ้าค่ะ”
“อื้อ เช้าแล้วหรือ” เสียงงัวเงียถามขึ้น
“ล้างหน้าก่อนนะเจ้าคะ บ่าวให้คนเตรียมอาหารเช้าไว้ให้ท่านแล้ว”
“นี่ข้าเผลอหลับไปรึนี่ แล้วสามีข้าเล่า” นางถาม หลังสาดส่องสายตาทั่วทั้งห้องแต่กลับไม่เจอผู้ใด
“คือว่าท่านโหวไม่ได้มาที่นี่”
“เช่นนั้นหรือ สงสัยเขาคงยุ่งมากกระมัง”
“แต่ถึงจะยุ่งอย่างไรก็ไม่ควรปล่อยให้เจ้าสาวต้องอยู่คนเดียวในคืนแต่งงานเช่นนั้น”
“นี่เจ้าโกรธแทนข้าหรือ ข้าว่าข้าเข้าใจท่านโหว หากข้าเป็นเขาคงทำเช่นเดียวกัน ทั้งถูกบังคับให้แต่งงานอย่างไม่เต็มใจ และต้องแต่งสตรีจากตระกูลที่มีความแค้นต่อกันอีก”
“ท่านก็เป็นเช่นนี้ ชอบเห็นใจคนอื่นอยู่เสมอ”
“ช่วยข้าแต่งตัวที”
“จะรีบไปที่ใดหรือเจ้าคะ”
“บัดนี้ข้าแต่งงานแล้วก็ควรดูแลปรนนิบัติสามีมิใช่รึ”
“ท่านโหวจะยอมพบท่านหรือ”
“เขาไม่ใช่คนใจดำเช่นนั้นหรอกน่า”
ทางฝั่งสืออันหลงหลังจากดื่มเหล้าย้อมใจไปเมื่อคืนก็กลับมานอนห้องทำงานแทนที่จะไปหาเจ้าสาวของตัวเอง ทำให้เช้าวันนี้ชายหนุ่มรู้สึกมึนหัวยิ่งนักเพราะอาการเมาค้าง
“ท่านโหว เหตุใดท่านถึงมาอยู่ที่นี่ได้ล่ะขอรับ”
“มีเรื่องใดน่าแปลก ที่นี่เรือนของข้า”
“บ่าวรู้ขอรับ เพียงแต่เมื่อวานเป็นงานมงคลของท่านแล้วเหตุไฉนถึงไม่อยู่กับฮูหยินล่ะขอรับ”
“หึ ฮูหยินงั้นรึ นางเป็นแค่ฮูหยินในนามเท่านั้นแหละ ข้าจำยอมต้องแต่งกับสตรีผู้นั้นเพราะฮ่องเต้หาใช่เพราะรัก”
“แต่ถึงอย่างไรนางก็เป็นฮูหยินของท่านแล้วนะขอรับ ท่านไม่อยู่ร่วมหอกับนางก็มิเป็นไรอย่างน้อยท่านก็ไปเปิดผ้าคลุมหน้านางแล้วใช่หรือไม่”
“...”
“อย่าบอกนะขอรับ ว่าท่านโหวไม่แม้แต่จะไปเปิดผ้าคลุมน่ะ!”
“หย่งเจิ้ง เจ้าจะพูดมากทำไมนักหนา บอกให้สาวใช้เอาน้ำแกงแก้เมาค้างมาให้ข้าด้วย”
“ขอรับ แต่ฮูหยินคงอับอายยิ่งนักที่ท่านทำเช่นนั้นกับนาง”
“เรียนท่านโหว ฮูหยินขอพบเจ้าค่ะ”
“ข้าไม่คิดว่าเจ้าจะกล้าทำเรื่องอำมหิตเช่นนี้ เสียทีที่ข้ารับเจ้าเข้าจวนมา หย่งเจิ้ง ขังนางไว้ที่เรือน” หลังจากได้อยู่ด้วยกันตามลำพังนางได้เข้าไปนั่งใกล้เขา “ดูจากที่ตาของเจ้าบวมเป่งเช่นนี้ คงเอาแต่ร้องไห้ใช่รึไม่” เขาว่าพลางยันตัวขึ้นนั่งแล้วใช้มือลูบหัวนางแผ่วเบา “ข้าคิดว่าท่านจะไม่ฟื้นขึ้นมาเสียแล้ว ท่านหมดสติไปตั้งหลายวัน” “ข้อต้องฟื้นอยู่แล้ว เพราะข้ามีคนสำคัญที่ต้องปกป้อง” “อะ แฮ่ม ท่านโหวจะให้จัดการนักฆ่าที่รอดชีวิตอย่างไรดีขอรับ” “จับเข้าคุกหลวงให้หมด ข้าจะยื่นกีฎาให้ฮ่องเต้เป็นผู้ตัดสิน” “แล้วเรื่องฮูหยินเว่ยที่สมคบคิดกับแม่นางเหลียวล่ะขอรับจะให้จัดการเช่นไร” “ข้าจะเป็นคนจัดการเอง” เว่ยซูเหม่ยมองป้ายหน้าจวนตระกูลเว่ยด้วยความรู้สึกดีใจเสียยิ่งกว่าอะไร ในที่สุดคนชั่วช้าอย่างเหลียงเฟยฮุ่ยถึงคราที่ต้องได้รับกรรมที่นางก่อเสียที “ฮูหยินเว่ย อยู่ที่ใด” “อยู่ข้างในเจ้าค่ะ ฮูหยิน” แม่นมจ้าวออกมาต้อนรับนางด้วยรอยยิ้ม “ที่เรื่องทุกอย่างจบลงเช่นนี้ได้ก็เพราะแม
สุดท้ายแล้วเว่ยซูเหม่ยก็ไม่ได้ทิ้งรองเท้าคู่นั้น ด้วยเหตุผลที่ว่ารองเท้าของนางเริ่มเก่าแล้ว หากจะทิ้งก็เสียดายจึงได้เก็บกลับมาด้วย “ฮูหยิน ท่านไปให้ช่างทำรองเท้าให้ใหม่ตั้งแต่เมื่อใดกัน ทำไมข้าถึงไม่รู้เรื่องล่ะเจ้าคะ” “ใช่ที่ไหนกัน มีคนนำมาให้ข้าน่ะ” “หรือว่าคนผู้นั้นคือท่านโหว” “เจ้ารู้ได้อย่างไร” “เมื่อไม่กี่วันก่อนบ่าวคนสนิทของท่านโหวมาถามขนาดเท้าของท่านกับข้า จะเป็นผู้ใดได้ล่ะเจ้าคะหากไม่ใช่ท่านโหว” “หวนปี้ เจ้าช่างฉลาดหลักแหลมยิ่งนัก” “เพราะข้าได้ท่านมานั่นแหละเจ้าค่ะ” “งั้นรึ” สองนายบ่าวหัวเราะขบขัน “ฉีเยว่ เจ้าบอกพ่อบ้านต่งแล้วหรือยังว่าพรุ่งนี้ให้เตรียมรถม้าไว้ให้ข้าด้วย” “บ่าวบอกเรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ” “ทำไมเจ้าถึงได้ทำสีหน้าเคร่งเครียดเช่นนี้ มีเรื่องอะไรงั้นหรือ” “บ่าวแค่รู้สึกกังวลนิดหน่อยเจ้าค่ะ” “เจ้าจะกังวลไปไย พรุ่งนี้ข้ากับหวนปี้แค่ไปดูทำเลเปิดร้านใหม่เท่านั้นเอง” “แต่ฮูหยินออกไปโดยไร้คนติดตามนะเจ้าคะ จะไม่ให้เป็นห่วงได้เ
“วางใจเถิดเจ้าค่ะ แม้คนของข้าจะทำงานพลาดก็ไม่อาจสาวถึงพวกเราได้” “เช่นนั้นข้าจะลองเชื่อใจเจ้าดู” “หมดธุระแล้ว ข้าขอตัวก่อน” “ฮูหยิน ท่านเชื่อใจแม่นางเหลียวจริงหรือ หากแผนที่นางวางไว้ไม่สำเร็จล่ะเจ้าคะ” “แม่นมจ้าว เรื่องนี้ข้าคิดหาทางออกไว้อยู่แล้ว ถ้าแผนของนางล้มเหลวข้าก็แค่ปลิดชีพนางทิ้งเสีย เท่านี้เรื่องทุกอย่างก็ไม่อาจสาวมาถึงข้าได้” “ฮูหยิน ท่านช่างฉลาดนัก” “เจ้าเพิ่งรู้หรือ ฮ่า ๆ ๆ ๆ” นางหัวเราะร่าราวกับเป็นผู้คุมเกม ทั้งที่ตัวเองเป็นแค่หมากตัวหนึ่งเท่านั้น ตั้งแต่เปิดหอเหม่ยปี้มาร้านปักเย็บของเว่ยซูเหม่ยก็ขายดิบขายดีเป็นเทน้ำเทท่า เพราะลายปักที่งดงามเป็นเอกลักษณ์ช่วยดึงดูดชนชั้นสูงเข้ามาเป็นลูกค้าได้ไม่ขาดสายจนทำให้นางมีรายได้มากพอที่จะเปิดร้านปักเย็บอีกแห่งแถวชานเมือง “ขออภัยที่ข้ามาช้า” “ไม่เป็นไรเลยเจ้าค่ะ คุณชาย ที่ร้านยุ่งพอดี” “ถึงอย่างไรข้าก็มาสายจนพลาดพาแม่นางไปหาทำเลเปิดร้านอีกแห่ง” “เรื่องเล็กน้อยเท่านี้เอง ไว้โอกาสหน้าค่อยไปก็ได้เจ้าค่ะ” “แล
สืออันหลงยอมปล่อยมือจากชายหนุ่มตรงหน้า หลังข่มอารมณ์โกรธของตัวเองไว้ได้แล้ว “คุณชายหยวน เจ็บตรงไหนหรือไม่” “ข้าไม่เป็นไร” “คุณชาย ท่านกลับไปก่อนเถิด” “แล้วข้าจะมาใหม่ ส่วนภาพวาดฝากแม่นางดูแลด้วยนะขอรับ” “ข้าจะเก็บรักษาอย่างดีเจ้าค่ะ” ได้ยินดังนั้นหยวนชางเจี้ยนจึงกลับไปแต่โดยดี ผิดกับเขาที่มองมาที่นางราวกับโกรธแค้นนางนักหนา “นี่สินะ คือเหตุผลที่เจ้าอยากหย่ากับข้าใจจนจะขาด” เขากัดฟันพูด ยามอยู่ด้วยกันตามลำพังในเรือนของนาง ในหูยังได้ยินน้ำเสียงอ่อนนุ่มเป็นห่วงเป็นใยบุรุษอื่นที่ไม่ใช่เขา “ข้าไม่ยักรู้ว่าท่านโหวผู้สูงส่งอย่างท่านจะรู้จักพาลด้วย ข้าจะบอกท่านให้ว่าเรื่องนี้หาได้เกี่ยวข้องกับคุณชายหยวน” “ไหนเจ้าบอกว่ารักข้า แล้วทำไมเจ้าถึงได้เปลี่ยนใจเร็วเช่นนี้” “ท่านเข้าใจผิดแล้ว ตอนนี้ข้าไม่ได้รู้สึกกับท่านเช่นนั้นอีกต่อไปแล้ว ที่จริงข้าต้องขอบคุณท่านโหวที่ทำให้สตรีโง่งมเช่นข้าตาสว่าง” “อย่าพูดเช่นนี้ให้ข้าได้ยินอีก!” “ทำไมหรือเจ้าคะ ท่านจะสั่งกักขังข้างั้นรึ”
หลังจากเว่ยซูเหม่ยหายจากอาการป่วยจึงได้ถามข่าวคราวของฮูหยินเว่ยที่ตนเคยละเลยไปเพราะแต่ก่อนมัวแต่ตกอยู่ในห้วงของความรัก “คนของเราบอกว่าอีกสองวันข้างหน้านางจะกลับไปเยี่ยมบ้านเดิมเจ้าค่ะ” “ตระกูลเหลียงน่ะหรือ” “เจ้าค่ะ” “เช่นนั้นข้าควรเตรียมของขวัญต้อนรับนางกลับบ้านเสียหน่อย เจ้าว่าดีรึไม่” “ฮูหยิน คิดจะทำอะไรหรือเจ้าคะ” นางกระซิบข้างหูสาวใช้คนสนิท “ฝากเจ้าไปจัดการด้วยก็แล้วกัน จำไว้ว่าอย่าฆ่านางเป็นอันขาด” “ทำไมล่ะเจ้าคะ” “เพราะข้าจะทำให้นางมีชีวิตอยู่ด้วยความทุกข์ทรมานเสียยิ่งกว่าการตายซะอีก พอถึงตอนนั้นข้าจะให้นางเลือกว่าอยากอยู่หรือตายมากกว่ากัน” คล้อยหลังหวนปี้ไปได้ไม่นานเหลียวลี่อินก็โผล่หน้ามาหานางถึงที่เรือน “เจ้าหายป่วยแล้วมิใช่รึ แล้วใดต้องให้ท่านโหวมาหาที่เรือนทุกวันด้วยเล่า” “พูดเรื่องอะไรของเจ้า” “นี่อย่าบอกนะว่าเจ้าไม่รู้ หึ น่าขันนัก!” “เหลียวลี่อิน เจ้าอยากพูดอะไรก็พูดมาตามตรงเถิด ไม่จำเป็นต้องแกล้งพูดหลบเลี่ยงไปมาเช่นนี้” “
“เจ้ารีบไปเรียกท่านหมอมาดูอาการฮูหยินเร็วเข้า! ฮูหยินท่านอย่าเพิ่งเป็นอะไรไปนะเจ้าคะ” ท้ายประโยคหันไปพูดกับเว่ยซูเหม่ยที่นอนตัวสั่นอยู่ทั้งน้ำตา “ข้ามาขอพบท่านโหว” ฉีเยว่เอ่ยบอกสาวใช้ที่เฝ้าอยู่หน้าเรือน “เจ้าคิดว่าท่านโหวเป็นผู้ใด ถึงได้คิดมาขอพบง่าย ๆ เช่นนี้” “ข้ามีเรื่องสำคัญที่ต้องบอกท่านโหว ได้โปรดเถิด” “กลับไปเสีย! ตอนนี้ท่านโหวกำลังยุ่งอยู่” เสียงสาวใช้ทั้งสองทะเลาะกันเสียงดังจนได้ยินไปถึงด้านใน ท่านโหวหนุ่มจึงได้ให้หย่งเจิ้งออกมาดู “พวกเจ้าสองคนเอะอะโวยวายอะไรกัน ไม่รู้รึว่าท่านโหวต้องใช้สมาธิ” “ก็นางน่ะสิเจ้าคะ ข้าบอกไปหลายหนแล้วว่าท่านโหวกำลังยุ่ง แต่นางไม่ยอมฟัง” “ข้ามีเรื่องด่วนที่ต้องบอกท่านโหว” “เจ้าคือสาวใช้ของเรือนฮูหยินนี่ มีเรื่องใดเกิดขึ้นงั้นรึ” “คือว่า ตอนนี้ฮูหยินไม่สบายอาการหนักเอาการ จำเป็นต้องเรียกท่านหมอมาดูอาการ แต่นางไม่ยอมให้ข้าเข้าไป” “วางใจเถิด ข้าจะไปบอกท่านโหวให้ประเดี๋ยวนี้” “ว่าอย่างไร ข้างนอกเกิดเรื่องอันใด” “ส







