ログイン“ซูเหม่ย มาหาแม่เร็วเข้า”
“ทะ...ท่านแม่”
“วันนี้เป็นวันเกิดเจ้า แม่สั่งสาวใช้ให้ทำหมั่นโถวไว้ให้เจ้าด้วยกินให้หมดล่ะ” แม้ใบหน้าของนางจะยิ้มแย้ม แต่ข้างในหาได้เป็นเหมือนที่แสดงออก
“ขอบคุณท่านแม่ ซูเหม่ยจะกินหมั่นโถวนี้ให้หมดอย่างแน่นอน”
“ดีมากเด็กดี แต่จะดีกว่านี้ถ้าหากเจ้าไม่เรียกข้าว่าแม่อีก” ท้ายประโยคหันมากระซิบพูดกับนางด้วยน้ำเสียงเย็นเฉียบ ตอนนั้นซูเหม่ยถึงได้รู้ธาตุแท้ของผู้หญิงคนนี้ว่าแท้จริงแล้วนางเป็นคนเช่นไร
เสียงสาวใช้ร้องโหวกเหวกโวยวายดังเข้ามาถึงด้านในทำให้เว่ยซูเหม่ยรู้สึกตัวตื่นขึ้นมาตั้งแต่รุ่งสาง
“เกิดอะไรขึ้น” นางถามขึ้น หลังจากเปิดประตูออก
“คือว่า”
“ไม่ต้องพูดแล้ว” นางแทรกขึ้น สายตามองยังพื้นที่มีน้ำสกปรกนองอยู่ เมื่อพอจะรู้แล้วว่าต้นเหตุเกิดจากอะไร
“คุณหนู เหตุใดท่านถึงยอมให้แม้แต่พวกสาวใช้รังแกล่ะเจ้าคะ”
“ใครบอกเจ้ากันว่าข้าจะยอมถูกรังแกเหมือนแต่ก่อน เพียงแต่เราเพิ่วกลับจวนมา รออีกสักหน่อยเถิดข้าจะตอบแทนพวกนางอย่างสาสมทีเดียว”
“บ่าวขออภัยที่ไม่อาจนำน้ำสะอาดมาให้ท่านล้างหน้าได้”
“เรื่องนั้นช่างเถิด”
“คุณหนู” หวนปี้เรียกชื่อเจ้านายของตนด้วยน้ำเสียงตกใจอยู่ในที เพราะไม่คิดว่าคุณหนูของตนจะมาที่ห้องครัวด้วยตัวเอง
“สำรับอาหารเช้าของข้าเล่า” นางถามสาวใช้ในครัว ทว่าไม่มีผู้ใดตอบกลับมาสักคนเดียว
“ข้าถามว่าสำรับอาหารของข้าอยู่ที่ใด”
“ไม่มีเจ้าค่ะ! ห้องครัวของเราเตรียมอาหารไว้แต่พอดีกับจำนวนคนในแต่ละเรือนเท่านั้น”
“เช่นนั้นเจ้าจะบอกข้าว่าข้าไม่ใช่เจ้านายของพวกเจ้าอย่างนั้นหรือ”
“เจ้านายของพวกเรามีเพียงนายท่าน ฮูหยินและคุณหนูรองเท่านั้นเจ้าค่ะ”
“อ่อ เช่นนี้เอง ข้าเป็นส่วนเกินสินะ แต่พวกเจ้าคงลืมไปแล้วกระมังว่าก่อนพวกนางสองคนจะมาอยู่ในจวนนี้มารดาของข้าเป็นนายหญิงของที่นี่ และข้าเป็นลูกสาวเพียงคนเดียวของนาง”
“คุณหนู เหตุใดท่านถึงพูดเรื่องน่าขันเช่นนี้ แต่ก่อนท่านอยู่ที่นี่ราวกับคนตายก็ไม่ปาน พอนายท่านใจดีรับกลับจวนหน่อยถึงได้คิดว่าตัวเองเป็นคนสำคัญของที่นี่งั้นหรือ”
“เป็นเพราะแต่ก่อนข้าใสซื่อเกินไป พวกเจ้าถึงได้คิดรังแกข้าเพราะคิดว่าข้าเป็นเหมือนเมื่อก่อน” เว่ยซูเหม่ยเดินเข้าไปใกล้สาวใช้คนที่พูดจาเย้ยหยันตัวเอง พลางเหยียดยิ้มที่มุมปาก
“นี่ท่านจะทำอะไร!”
“ข้าจะสั่งสอนคนชั้นต่ำเช่นเจ้าอย่างไรเล่า ว่านับจากนี้ควรใช้ชีวิตยังไง” ว่าแล้วก็บีบคอสาวใช้ผู้นั้นอย่างแรงจนหายใจแทบไม่ออก
“ขะ...ข้าผิดไปแล้ว แค่ก”
“ถ้ายังไม่อยากตาย อย่าได้คิดมารังแกพวกเราอีก” สิ้นคำถึงได้ปล่อยคอของนางให้เป็นอิสระ
“หวนปี้ นำวัตถุดิบที่อยู่ข้างหลังเจ้ามา”
“คุณหนูจะลงมือทำอาหารเองหรือเจ้าคะ”
“แม้ข้าไม่อยากทำเอง แต่สาวใช้พวกนี้คงไม่ยินยอมทำอาหารให้พวกเรากิน” ท้ายที่สุดทั้งสองคนได้ลงมือทำอาหารด้วยตัวเอง
ฮูหยินเว่ยได้ยินเรื่องนี้เข้าจึงได้เรียกนางมาร่วมรับประทานอาหารค่ำที่เรือนใหญ่ นี่เป็นคราแรกตั้งแต่จำความได้ที่เว่ยซูเหม่ยได้กินข้าวพร้อมกับทุกคน
“ข้าได้ยินว่าตอนเช้าเจ้าถึงกับทำอาหารกินเองเลยรึ”
“ฮูหยิน ท่านรู้ได้อย่างไร”
“มีเรื่องใดในจวนบ้างที่ข้าไม่รู้”
“เรื่องจริงรึ” น้ำเสียงเรียบนิ่งถามขึ้น
“เจ้าค่ะ”
“เจ้าทำเช่นนั้นทำไม เรื่องทำอาหารเป็นหน้าที่ของสาวใช้ เจ้าเป็นถึงคุณหนูของจวนอย่าได้ทำเช่นนั้นอีก”
“ข้าก็ไม่ได้อยากทำเช่นนั้นหรอกเจ้าค่ะ เพียงแต่สาวใช้พวกนั้นบอกข้าว่าไม่มีอาหารสำหรับข้า ด้วยเหตุนี้...”
“ฮูหยิน! นี่เจ้าดูแลจวนอย่างไร สาวใช้พวกนั้นถึงได้ประพฤติตัวเช่นนี้ ตัดลิ้นคนที่เอ่ยวาจาสามหาวเช่นนั้นเสีย ส่วนคนที่อยู่ในห้องครัวให้โบยคนละยี่สิบที ข้าจะดูซิว่ามีใครอีกบ้างที่กล้าเหิมเกริมอีก”
“เป็นความผิดของข้าเองเจ้าค่ะ ซูเหม่ยเจ้าอย่าได้คิดน้อยใจ แม่คนนี้สัญญาว่าจะไม่ให้เกิดเรื่องเช่นนี้อีก”
“ข้าไม่ได้น้อยใจอันใด ท่านอย่าคิดมากเพราะข้าเลยเจ้าค่ะ”
“ท่านพ่อ ท่านบอกท่านพี่หรือยังเจ้าคะเรื่องแต่งงานกับตระกูลสือ”
“ข้ากำลังจะบอกนางนี่แหละ ซูเหม่ย เจ้าคงได้ยินมาบ้างว่าฮ่องเต้มีพระราชโองการให้ตระกูลเรากับตระกูลสือเกี่ยวดองกัน”
“เจ้าค่ะ”
“ในเมื่อรู้แล้ว ข้าจะไม่พูดให้ยืดยาว เจ้าต้องแต่งเข้าจวนตระกูลสือ”
“ข้าขอถามได้รึไม่ ว่าบุรุษตระกูลสือคนใดที่ข้าต้องแต่งด้วย”
“ท่านโหวแห่งตระกูลสือ สืออันหลง”
“ข้าไม่คิดว่าเจ้าจะกล้าทำเรื่องอำมหิตเช่นนี้ เสียทีที่ข้ารับเจ้าเข้าจวนมา หย่งเจิ้ง ขังนางไว้ที่เรือน” หลังจากได้อยู่ด้วยกันตามลำพังนางได้เข้าไปนั่งใกล้เขา “ดูจากที่ตาของเจ้าบวมเป่งเช่นนี้ คงเอาแต่ร้องไห้ใช่รึไม่” เขาว่าพลางยันตัวขึ้นนั่งแล้วใช้มือลูบหัวนางแผ่วเบา “ข้าคิดว่าท่านจะไม่ฟื้นขึ้นมาเสียแล้ว ท่านหมดสติไปตั้งหลายวัน” “ข้อต้องฟื้นอยู่แล้ว เพราะข้ามีคนสำคัญที่ต้องปกป้อง” “อะ แฮ่ม ท่านโหวจะให้จัดการนักฆ่าที่รอดชีวิตอย่างไรดีขอรับ” “จับเข้าคุกหลวงให้หมด ข้าจะยื่นกีฎาให้ฮ่องเต้เป็นผู้ตัดสิน” “แล้วเรื่องฮูหยินเว่ยที่สมคบคิดกับแม่นางเหลียวล่ะขอรับจะให้จัดการเช่นไร” “ข้าจะเป็นคนจัดการเอง” เว่ยซูเหม่ยมองป้ายหน้าจวนตระกูลเว่ยด้วยความรู้สึกดีใจเสียยิ่งกว่าอะไร ในที่สุดคนชั่วช้าอย่างเหลียงเฟยฮุ่ยถึงคราที่ต้องได้รับกรรมที่นางก่อเสียที “ฮูหยินเว่ย อยู่ที่ใด” “อยู่ข้างในเจ้าค่ะ ฮูหยิน” แม่นมจ้าวออกมาต้อนรับนางด้วยรอยยิ้ม “ที่เรื่องทุกอย่างจบลงเช่นนี้ได้ก็เพราะแม
สุดท้ายแล้วเว่ยซูเหม่ยก็ไม่ได้ทิ้งรองเท้าคู่นั้น ด้วยเหตุผลที่ว่ารองเท้าของนางเริ่มเก่าแล้ว หากจะทิ้งก็เสียดายจึงได้เก็บกลับมาด้วย “ฮูหยิน ท่านไปให้ช่างทำรองเท้าให้ใหม่ตั้งแต่เมื่อใดกัน ทำไมข้าถึงไม่รู้เรื่องล่ะเจ้าคะ” “ใช่ที่ไหนกัน มีคนนำมาให้ข้าน่ะ” “หรือว่าคนผู้นั้นคือท่านโหว” “เจ้ารู้ได้อย่างไร” “เมื่อไม่กี่วันก่อนบ่าวคนสนิทของท่านโหวมาถามขนาดเท้าของท่านกับข้า จะเป็นผู้ใดได้ล่ะเจ้าคะหากไม่ใช่ท่านโหว” “หวนปี้ เจ้าช่างฉลาดหลักแหลมยิ่งนัก” “เพราะข้าได้ท่านมานั่นแหละเจ้าค่ะ” “งั้นรึ” สองนายบ่าวหัวเราะขบขัน “ฉีเยว่ เจ้าบอกพ่อบ้านต่งแล้วหรือยังว่าพรุ่งนี้ให้เตรียมรถม้าไว้ให้ข้าด้วย” “บ่าวบอกเรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ” “ทำไมเจ้าถึงได้ทำสีหน้าเคร่งเครียดเช่นนี้ มีเรื่องอะไรงั้นหรือ” “บ่าวแค่รู้สึกกังวลนิดหน่อยเจ้าค่ะ” “เจ้าจะกังวลไปไย พรุ่งนี้ข้ากับหวนปี้แค่ไปดูทำเลเปิดร้านใหม่เท่านั้นเอง” “แต่ฮูหยินออกไปโดยไร้คนติดตามนะเจ้าคะ จะไม่ให้เป็นห่วงได้เ
“วางใจเถิดเจ้าค่ะ แม้คนของข้าจะทำงานพลาดก็ไม่อาจสาวถึงพวกเราได้” “เช่นนั้นข้าจะลองเชื่อใจเจ้าดู” “หมดธุระแล้ว ข้าขอตัวก่อน” “ฮูหยิน ท่านเชื่อใจแม่นางเหลียวจริงหรือ หากแผนที่นางวางไว้ไม่สำเร็จล่ะเจ้าคะ” “แม่นมจ้าว เรื่องนี้ข้าคิดหาทางออกไว้อยู่แล้ว ถ้าแผนของนางล้มเหลวข้าก็แค่ปลิดชีพนางทิ้งเสีย เท่านี้เรื่องทุกอย่างก็ไม่อาจสาวมาถึงข้าได้” “ฮูหยิน ท่านช่างฉลาดนัก” “เจ้าเพิ่งรู้หรือ ฮ่า ๆ ๆ ๆ” นางหัวเราะร่าราวกับเป็นผู้คุมเกม ทั้งที่ตัวเองเป็นแค่หมากตัวหนึ่งเท่านั้น ตั้งแต่เปิดหอเหม่ยปี้มาร้านปักเย็บของเว่ยซูเหม่ยก็ขายดิบขายดีเป็นเทน้ำเทท่า เพราะลายปักที่งดงามเป็นเอกลักษณ์ช่วยดึงดูดชนชั้นสูงเข้ามาเป็นลูกค้าได้ไม่ขาดสายจนทำให้นางมีรายได้มากพอที่จะเปิดร้านปักเย็บอีกแห่งแถวชานเมือง “ขออภัยที่ข้ามาช้า” “ไม่เป็นไรเลยเจ้าค่ะ คุณชาย ที่ร้านยุ่งพอดี” “ถึงอย่างไรข้าก็มาสายจนพลาดพาแม่นางไปหาทำเลเปิดร้านอีกแห่ง” “เรื่องเล็กน้อยเท่านี้เอง ไว้โอกาสหน้าค่อยไปก็ได้เจ้าค่ะ” “แล
สืออันหลงยอมปล่อยมือจากชายหนุ่มตรงหน้า หลังข่มอารมณ์โกรธของตัวเองไว้ได้แล้ว “คุณชายหยวน เจ็บตรงไหนหรือไม่” “ข้าไม่เป็นไร” “คุณชาย ท่านกลับไปก่อนเถิด” “แล้วข้าจะมาใหม่ ส่วนภาพวาดฝากแม่นางดูแลด้วยนะขอรับ” “ข้าจะเก็บรักษาอย่างดีเจ้าค่ะ” ได้ยินดังนั้นหยวนชางเจี้ยนจึงกลับไปแต่โดยดี ผิดกับเขาที่มองมาที่นางราวกับโกรธแค้นนางนักหนา “นี่สินะ คือเหตุผลที่เจ้าอยากหย่ากับข้าใจจนจะขาด” เขากัดฟันพูด ยามอยู่ด้วยกันตามลำพังในเรือนของนาง ในหูยังได้ยินน้ำเสียงอ่อนนุ่มเป็นห่วงเป็นใยบุรุษอื่นที่ไม่ใช่เขา “ข้าไม่ยักรู้ว่าท่านโหวผู้สูงส่งอย่างท่านจะรู้จักพาลด้วย ข้าจะบอกท่านให้ว่าเรื่องนี้หาได้เกี่ยวข้องกับคุณชายหยวน” “ไหนเจ้าบอกว่ารักข้า แล้วทำไมเจ้าถึงได้เปลี่ยนใจเร็วเช่นนี้” “ท่านเข้าใจผิดแล้ว ตอนนี้ข้าไม่ได้รู้สึกกับท่านเช่นนั้นอีกต่อไปแล้ว ที่จริงข้าต้องขอบคุณท่านโหวที่ทำให้สตรีโง่งมเช่นข้าตาสว่าง” “อย่าพูดเช่นนี้ให้ข้าได้ยินอีก!” “ทำไมหรือเจ้าคะ ท่านจะสั่งกักขังข้างั้นรึ”
หลังจากเว่ยซูเหม่ยหายจากอาการป่วยจึงได้ถามข่าวคราวของฮูหยินเว่ยที่ตนเคยละเลยไปเพราะแต่ก่อนมัวแต่ตกอยู่ในห้วงของความรัก “คนของเราบอกว่าอีกสองวันข้างหน้านางจะกลับไปเยี่ยมบ้านเดิมเจ้าค่ะ” “ตระกูลเหลียงน่ะหรือ” “เจ้าค่ะ” “เช่นนั้นข้าควรเตรียมของขวัญต้อนรับนางกลับบ้านเสียหน่อย เจ้าว่าดีรึไม่” “ฮูหยิน คิดจะทำอะไรหรือเจ้าคะ” นางกระซิบข้างหูสาวใช้คนสนิท “ฝากเจ้าไปจัดการด้วยก็แล้วกัน จำไว้ว่าอย่าฆ่านางเป็นอันขาด” “ทำไมล่ะเจ้าคะ” “เพราะข้าจะทำให้นางมีชีวิตอยู่ด้วยความทุกข์ทรมานเสียยิ่งกว่าการตายซะอีก พอถึงตอนนั้นข้าจะให้นางเลือกว่าอยากอยู่หรือตายมากกว่ากัน” คล้อยหลังหวนปี้ไปได้ไม่นานเหลียวลี่อินก็โผล่หน้ามาหานางถึงที่เรือน “เจ้าหายป่วยแล้วมิใช่รึ แล้วใดต้องให้ท่านโหวมาหาที่เรือนทุกวันด้วยเล่า” “พูดเรื่องอะไรของเจ้า” “นี่อย่าบอกนะว่าเจ้าไม่รู้ หึ น่าขันนัก!” “เหลียวลี่อิน เจ้าอยากพูดอะไรก็พูดมาตามตรงเถิด ไม่จำเป็นต้องแกล้งพูดหลบเลี่ยงไปมาเช่นนี้” “
“เจ้ารีบไปเรียกท่านหมอมาดูอาการฮูหยินเร็วเข้า! ฮูหยินท่านอย่าเพิ่งเป็นอะไรไปนะเจ้าคะ” ท้ายประโยคหันไปพูดกับเว่ยซูเหม่ยที่นอนตัวสั่นอยู่ทั้งน้ำตา “ข้ามาขอพบท่านโหว” ฉีเยว่เอ่ยบอกสาวใช้ที่เฝ้าอยู่หน้าเรือน “เจ้าคิดว่าท่านโหวเป็นผู้ใด ถึงได้คิดมาขอพบง่าย ๆ เช่นนี้” “ข้ามีเรื่องสำคัญที่ต้องบอกท่านโหว ได้โปรดเถิด” “กลับไปเสีย! ตอนนี้ท่านโหวกำลังยุ่งอยู่” เสียงสาวใช้ทั้งสองทะเลาะกันเสียงดังจนได้ยินไปถึงด้านใน ท่านโหวหนุ่มจึงได้ให้หย่งเจิ้งออกมาดู “พวกเจ้าสองคนเอะอะโวยวายอะไรกัน ไม่รู้รึว่าท่านโหวต้องใช้สมาธิ” “ก็นางน่ะสิเจ้าคะ ข้าบอกไปหลายหนแล้วว่าท่านโหวกำลังยุ่ง แต่นางไม่ยอมฟัง” “ข้ามีเรื่องด่วนที่ต้องบอกท่านโหว” “เจ้าคือสาวใช้ของเรือนฮูหยินนี่ มีเรื่องใดเกิดขึ้นงั้นรึ” “คือว่า ตอนนี้ฮูหยินไม่สบายอาการหนักเอาการ จำเป็นต้องเรียกท่านหมอมาดูอาการ แต่นางไม่ยอมให้ข้าเข้าไป” “วางใจเถิด ข้าจะไปบอกท่านโหวให้ประเดี๋ยวนี้” “ว่าอย่างไร ข้างนอกเกิดเรื่องอันใด” “ส







