คีตาลดานั่งอยู่ตรงโต๊ะเครื่องแป้ง เบื้องหน้าของเธอคือกระจกเงาบานใหญ่ ในห้องพักนักดนตรีของโรงแรมตอนนี้มีเธอเพียงคนเดียว หญิงสาวมองดูตัวเองในกระจกนิ่งดั่งคนกำลังตกอยู่ในภวังค์ ความคิดดิ่งลึกนึกถึงช่วงเวลาก่อนที่เธอจะก้าวออกมาจากห้องรับรองนั้น
“คุณแน่ใจนะว่าเราไม่เคยเจอกันมาก่อนหน้านี้”
แปลก... น้ำเสียงนุ่มทุ้มต่ำลึกที่กระซิบข้างหลัง เธอช่างคุ้นหูเธอเหลือเกิน ตอนแรกที่เขาถามเธอไม่ได้รู้สึกอะไร แต่พอถูกถามย้ำอีกครั้งในระยะประชิดตัวแบบนี้ เธอก็อดหวนคิดถึงฝันร้ายแสนหวามในค่ำคืนนั้นไม่ได้
บ้าจริง! คิดแบบนั้นได้ยังไงกันนะลดา ท่านประธานจะเป็นผู้ชายคนนั้นได้ยังไง ต่อให้เกิดเหตุในโรงแรมของเขาก็เถอะ แต่ทายาทคุปต์อนันต์อย่างเขาจะไม่เลือกกินขนาดลากใครที่ไหนขึ้นเตียงแบบนั้น มันเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้
“ท่านประธานถามแบบนี้ กำลังจะบอกว่าเคยเจอดิฉันมาก่อนหน้านี้เหรอคะ” เธอถามออกไปแล้วกลั้นใจรอคำตอบ หวังว่าจะไม่ใช่อย่างที่เธอคิด หากใช่ล่ะ?
“คุณอยู่ในสถานะที่ควรย้อนถามผมอย่างนั้นเหรอ”
คำถามของเขาทำเอาใจเธอหล่นวูบ นั่นสินะ เธอเป็นใครถึงอาจหาญย้อนถามเขาไปแบบนั้น
“ขอประทานโทษค่ะ ดิฉันล่วงเกินท่านแล้ว ดิฉันพูดไม่ทันคิด ดิฉัน...”
“พอเถอะ! ผมขี้เกียจฟังคำขอโทษคำแก้ตัว คุณไปได้แล้ว” น้ำเสียงของเขาฉุนเล็กน้อย คีตาลดาหันขวับมามองท่านประธานด้วยแววตาวาววับบ่งบอกความเป็นคนไม่ยอมคน แต่เพียงวูบเดียวประกายเรืองรองในดวงตากลมโตของเธอก็เปลี่ยนเป็นดวงตาที่เต็มไปด้วยความสงบนิ่ง
“ขอบคุณสำหรับโอกาสที่มอบให้ ดิฉันไม่รบกวนท่านแล้ว สวัสดีค่ะ”
พอพูดจบคีตาลดาก็เปิดประตูห้องแล้วก้าวออกไปอย่างรวดเร็ว เธอไม่ได้หันกลับไปมองว่าท่านประธานใหญ่ทายาทคุปต์อนันต์จะมองตามมาหรือว่าทำอะไรหลังจากนั้น สิ่งเดียวที่อยู่ในความรู้สึกนึกคิดของเธอก็คือ รีบทำภารกิจที่ตั้งใจให้สำเร็จโดยเร็วที่สุด ก่อนที่เธอจะถูกเขาก็ไล่ออกเพราะเธอเป็นจุดด่างพร้อยที่ทำให้ภาพลักษณ์ของเค.เค.รอยัลเสื่อมเสีย
‘เครียดเกินไปแล้ว ช่วงนี้เธอเครียดเกินไปแล้วลดา แบบนี้ไม่เป็นผลดีกับงานของเธอเลยนะ เธอจะเล่นเปียโนในสภาพจิตใจตึงเครียดแบบนี้ได้ยังไงกัน’
คีตาลดาสลัดศีรษะขับไล่ความตึงเครียด หญิงสาวเป่าลมออกจากปากแรงๆแล้วสูดอากาศเข้าปอดลึกๆปรับสภาพอารมณ์ให้มั่นคง อีกไม่ถึงชั่วโมงเธอต้องขึ้นเวทีเล่นเปียโนที่ห้องอาหารแล้ว ความสุขคือสิ่งที่เธอต้องส่งมอบให้ผู้คน ไม่ใช่ความตึงเครียดที่มีอยู่เต็มหัวเธอ
หญิงสาวปรับสภาพอารมณ์ตัวเองอยู่พักใหญ่ เมื่อรู้สึกมั่นคงก็พอดีกับสตาฟจัดคิวแสดงบนเวทีเข้ามาเตือนให้เธอออกไปรอเตรียมพร้อมขึ้นเวทีในอีกสิบนาที คีตาลดายิ้มให้กำลังใจตัวเองแล้วลุกขึ้นเดินตามสตาฟคนนั้นออกไปรอด้านหลังเวที
เพียงอึดใจก็ถึงคิวเธอขึ้นแสดง พลันสายตาของเธอก็สบเข้ากับร่างสูงใหญ่ของทายาทคุปต์อนันต์ที่กำลังเดินเข้ามาในห้องอาหารแห่งนั้น เขาตรงไปยังโต๊ะอาหารซึ่งอยู่ชิดติดขอบเวที หญิงสาวกลืนน้ำลายลงคอฝืดเฝื่อน สองเท้าเล็กๆออกอาการสั่นขณะเธอก้าวเดินไปยังเปียโนที่ตั้งตระหง่านอยู่กลางเวที
ช่างเขาเถิด... เขาจะมาประเมินผลงานการแสดงของเธอหรือว่าอย่างไรก็ช่างเขาเถิด ถือเสียว่าเขาคือแขกผู้มีเกียรติคนหนึ่ง เขาเป็นคนฟัง เธอเป็นคนบรรเลง ทำหน้าที่ของเธอให้ดีที่สุดเท่านั้นก็พอ
ดวงตาคมกริบของคิรินจับจ้องมองคนบนเวทีตลอดเวลา ในหัวของเขามีแต่ความคิดเกี่ยวกับเรื่องราวของเธอ ยิ่งคิดถึงชายชั่วที่ทำร้ายเธอในวันนั้น ใจของเขาก็ยิ่งคุกรุ่น เขารู้สึกว่าที่จัดการสั่งสอนพวกมันยังน้อยไปกับสิ่งที่พวกมันทำกับเธอ และยังมีใครบางคนลอยนวลยังไม่ได้รับผลกรรมที่มันกระทำ
‘คีตาลดาผมจะปกป้องคุณเอง ใครก็ตามที่มันทำร้ายคุณผมจะเอาคืนให้สาสม’
คิรินผ่อนลมหายใจปัดความคิดร้อนลุ่มชวนคุกรุ่นใจออกไป เขาดึงความคิดกลับมาสนใจคนบนเวทีกับเสียงเพลงที่เธอบรรเลง ทั้งที่เป็นบทเพลงคุ้นหูซึ่งเคยฟังมานักต่อนัก แต่ท่วงทำนองที่คีตาลดาบรรเลงนั้นช่างลึกซึ้งตราตรึงหัวใจเกินคำบรรยาย
เขาควรคุยกับเธอถึงเรื่องราวค่ำคืนนั้นเสียให้รู้แล้วรู้รอดไปเลยหรือควรเก็บงำเอาไว้แบบนี้ต่อไปดี
ทำไปทำมาเขาก็วนความคิดกลับมาเรื่องนี้อีกจนได้ ช่างน่าหัวเราะ มหาเศรษฐีผู้ยิ่งใหญ่แห่งตระกูลคุปต์อนันต์กลับลังเลเพราะผู้หญิงตัวเล็กๆคนหนึ่ง เขาควรจะมาคิดอะไรมากมายอย่างนั้นเหรอ เพียงเขากระดิกนิ้วก็มีแต่คนพร้อมวิ่งเข้าหา แล้วทำไมกับเธอคนนี้ ‘คีตาลดา’ ผู้หญิงที่เขาครอบครองเธออย่างสมบูรณ์แล้ว เขาถึงไม่กล้าพอที่จะเปิดเผยตัวตนแล้วครอบครองเธอตลอดกาล
ไม่! เขาทำแบบนั้นไม่ได้ จากการประเมินคีตาลดาไม่ใช่ผู้หญิงที่เขาจะใช้อำนาจบีบบังคับให้ทำตามใจได้ เขารู้ว่าใน ทีท่านอบน้อมยอมจำนนเต็มไปด้วยความทระนงไม่ยอมให้ใครหยามศักดิศรีง่ายๆ
การใช้อำนาจเงินกับเธอมีแต่จะทำให้เธอหนีหายไปจากเขา ดังนั้นเขาควรใจเย็นให้มากพอ รอให้เธอคุ้นชินกับเขาอีกสักหน่อย แล้วค่อยๆเผยความจริง ค่อยๆตะล่อมต้อนเธอมาครอบครอง
ตื๊ดดดด...ตื๊ดดดด...
คิรินตวัดสายตามองสมาร์ทโฟนบนโต๊ะ เขารับสายทันทีโดยไม่รอให้ดังนาน หากไม่ใช่เรื่องด่วนชินโยไม่มีทางโทรมารบกวนเขาในเวลาแบบนี้แน่นอน
“เคเคครับ คุณนายใหญ่มา กำลังถามหาเคเคให้วุ่นเลยครับ”
คิรินเขาถอนหายใจ มารดามาหาเขาแบบไม่บอกกล่าวอย่างนี้ ไม่ต้องเดาเขาก็รู้ว่าฝีมือใคร
‘หงุดหงิดชะมัด’ นรียาถือว่ามีมารดาเขาให้ท้ายหล่อนถึงตามตอแยไม่เลิก คิดว่าลากมารดาเขามาที่นี่ได้แล้วจะได้ตามหวังเหรอ หึ! ไม่มีทาง
“รู้ใช่ไหมว่าต้องทำยังไง” เขาพูดเพียงเท่านั้นก็ตัดสายก่อนตวัดสายตามองคนบนเวที ภาพคีตาลดากำลังเพลิดเพลินกับการบรรเลงเสียงเพลงช่างสวยหวานในความรู้สึก ภาพนั้นทำให้แววคุกรุ่นในดวงตาของคิรินอ่อนโยนลง ริมฝีปากหยักสวยยิ้มเล็กๆก่อนเจ้าตัวจะตัดใจลุกขึ้นเดินออกไป นรียาทำให้เขาพลาดช่วงเวลาดีๆ เขาก็จะทำให้หล่อนพลาดหวังเช่นทุกครั้ง ในเมื่อพามารดามากดดันเขาก็เรื่องของหล่อน เขาไม่อยู่ที่นี่แล้วหล่อนจะทำอะไรได้
-----------------------------------
มัมมาขัดจังหวะลูกแล้วค่ะมัม ลูกกำลังคลั่งสาว มัมจะรู้ไหมน้า...
คีตาลดานั่งมองกล่องของขวัญใบย่อมที่วางอยู่ตรงหน้าด้วยความรู้สึกหลากหลาย กล่องใบนี้เธอตั้งชื่อให้มันว่ากล่องแห่งความทรงจำ กล่องที่เธอเก็บเรื่องราวไว้ในนั้นมากมายหญิงสาวค่อยๆเปิดกล่องนั้นออกแล้วหยิบของในนั้นออกมาทีละชิ้น มองดูแล้วยิ้มน้อยๆ ก่อนวางลงข้างกล่องแล้วหยิบชิ้นอื่นๆออกมาทีละชิ้นๆ จนถึงชิ้นสุดท้ายซึ่งเป็นรูปคู่รูปแรกของเธอกับทัชกรคีตาลดามองดูแล้วน้ำตารื้น พอคิดถึงคืนวันเก่าๆแล้วไม่อยากคิดเลยว่าเธอและเขาจะเดินมาถึงจุดสิ้นสุดในวันนี้‘ผมรักคุณนะลดา รักตั้งแต่ครั้งแรกที่เราเจอกัน ผมตัดสินใจนานมากกว่าจะทำใจกล้าบอกรักคุณ’คีตาลดาแค่นยิ้มเมื่อคิดถึงคำพูดและสีหน้าของทัชกรในวันนั้น หญิงสาวผ่อนลมหายใจเมื่อคิดถึงคำพูดสุดท้ายที่เธอเขาพูดกับเธอก่อนที่จะเกิดอุบัติเหตุจนเธอเกือบไม่รอดชีวิต‘ผมรักคุณนะลดา ผมอาจเป็นคนเลวในสายตาคุณ แต่ผู้ชายชั่วช้าคนนี้แหละที่หัวใจมันมีแต่คุณ’คีตาลดาปาดน้ำตาซึ่งไหลพราก แล้วตัดใจฉีกรูปถ่ายใบนั้นดั่งต้องการฉีกเธอและทัชกรออกจากกันชั่วกัปชั่วกาล“ฉันไม่รู้ว่ารักของคุณคือเรื่องจริงหรือลวง ฉันรู้แค่วันนี้ฉันมีคนที่
หลายวันแล้วที่คีตาลดายังคงนอนหมดสติอยู่ในห้อง ไอ.ซี.ยู คิรินได้เพียงเฝ้ามองเธออยู่นอกห้องผ่านกระจกใส น้ำตาลูกผู้ชายไหลอาบแก้ม หัวใจแกร่งปวดหนึบที่ตัวเองช่วยอะไรเธอไม่ได้ทำได้เพียงแค่ยืนมอง“หมดเวลาเยี่ยมไข้แล้วค่ะ”เสียงพยาบาลเตือนมาเช่นทุกครั้งที่เขาเอาแต่ยืนมองคีตาลดานิ่งจนวินาทีสุดท้ายที่หมออนุญาตให้เยี่ยมได้ เขาเฝ้าภาวนาหวังสักครั้งว่าจะได้เห็นเธอเปิดปรือเปลือกตาขึ้นมา เขาหวังเหลือใจว่าจะได้เห็นรอยยิ้มได้ยินเสียงหัวเราะของเธอในเร็ววัน“คีตาลดาคุณนอนหลับนานเกินไปแล้วรีบตื่นได้แล้ว ผมคิดถึงคุณจนไม่เป็นอันหลับนอนแล้วรู้ไหมครับ”“คิรินกลับบ้านก่อนเถอะลูก กลับไปนอนพักผ่อนสักหน่อย แม่รู้ว่าคิรินเป็นห่วงน้อง แต่ถ้าน้องตื่นมาเห็นคิรินสภาพนี้น้องคงเสียใจนะลูก” คุณภนิดาอดกังวลไม่ได้ นางกลัวบุตรชายจะทรุดลงไปอีกคน แม้ร่างกายของคิรินจะแข็งแรงแต่อาการบาดเจ็บในวันนั้นก็สรางความบอบช้ำให้ไม่น้อย“พรุ่งนี้เราค่อยมาเยี่ยมน้องกันใหม่นะลูกนะ”“ครับแม่ ผมจะกลับเดี๋ยวนี้ แต่ผมขอไปนอนที่คอนโดฯเหมือนเดิมนะครับ ผมอยากอยู่ในที่ที่เคยอยู่กับคีตาลดา”คุณภนิดา
คีตาลดาครึ่งหลับครึ่งตื่น หญิงสาวพยายามฝืนดึงสติ โชคดีที่เธอกลั้นหายใจจึงสูดไอเย็นชื้นนั่นไม่มาก ไม่กี่นาทีเธอจึงคืนสติแม้จะยังไม่สมบูรณ์แต่ก็พอรู้ตัวว่ากำลังเกิดอะไรขึ้น“ทัชกรคุณจับตัวฉันมาทำไม” หญิงสาวถามเสียงเครียดพยายามดิ้นหวังให้หลุดจากพันธนาการแต่เชือกที่มัดข้อมือเธอก็แน่นเกินกว่าจะหลุดออกได้“คุณกำลังคิดจะหลบหนีสินะ” คีตาลดาตั้งสติถาม เธอระลึกได้ว่าสร้อยจี้รูปหัวใจนอกจากจะเป็นจีพีเอสติดตามตัวเธอแล้วยังซ่อนไมค์เล็กๆไว้อัดเสียงอีกด้วย หากว่าเธอเป็นอะไรไปอย่างน้อยนี่น่าจะเป็นหลักฐานมัดตัวทัชกรได้“เพราะคุณฉลาดแบบนี้ไงผมถึงรักคุณลดา”“คุณรักแต่ตัวเองต่างหากทัชกร ถ้าคุณรักฉันจริงคุณไม่มีวันจับฉันมาเป็นตัวประกันแบบนี้หรอก”“จุ๊ๆ ใครว่าผมจับคุณมาเป็นตัวประกันล่ะ ผมจะพาคุณหนีไปด้วยกันกับผมต่างหาก”“อย่าหวังว่าฉันจะยินยอมง่ายๆ ฉันไม่มีวันไปกับคุณ” คีตาลดาพูดจบก็ใช้เท้ายันตัวเองขึ้นดันร่างหวังให้หลุดพ้นจากเข็มขัดนิรภัย ทัชกรตกใจกับการกระทำบ้าระห่ำนั่น“คุณทำบ้าอะไรลดากลับไปนั่งที่เดิมเดี๋ยวนี้”คีตาลดาไม่ฟัง หญิงสาวพยายามพุ
“ไม่ต้องมาหัวเราะแม่เลยนะพ่อตัวดี”“ผมบอกแล้วว่าปล่อยให้เป็นหน้าที่ผม เมียผม...ผมหาเองได้”“ย่ะ!” คุณภนิดาไม่วายค้อนก่อนหันมาทางคีตาลดาบีบไม้บีบมือหญิงสาวแล้วเอื้อนเอ่ยด้วยความยินดี“ไม่คิดว่าโลกจะกลมขนาดนี้ ตอนหนูบอกป้าว่ามีคนรักอยู่แล้วป้านี่เสียดายจะแย่ ที่แท้คนรักหนูก็คือลูกชายป้านี่เอง”หญิงสาวอมยิ้มขัดเขินขณะเลื่อนผ้าห่มมาคลุมอกให้มารดาของคิริน คุณภนิดามองความอ่อนโยนน่ารักนั้นด้วยความรู้สึกปลื้มปีติ“ถ้าพาหนูลดามาให้แม่รู้จักเร็วกว่านี้ แม่ก็ไม่ต้องมานอนปวดหัวอยู่แบบนี้หรอกคิริน”“ครับคุณแม่ผมผิดเองครับ” คิรินตอบรับแสนทะเล้นแล้วหัวเราะอย่างอารมณ์ดีถอยห่างออกไปยืนกอดอกมองผู้หญิงที่รักทั้งสองคนพูดคุยกันอย่างสนิทสนมคิรินรู้สึกขอบคุณโชคชะตาที่พาให้คีตาลดาเป็นคนช่วยชีวิตมารดาของเขาเอาไว้ อะไรๆจึงลงตัวง่ายขึ้น“คิรินพาน้องกลับไปพักผ่อนเถอะลูกเหนื่อยกันมาทั้งวันแล้ว”“คุณป้าจะอยู่คนเดียวได้ยังไง ให้ลดาอยู่เป็นเพื่อนดีกว่านะคะ”“คิรินจ้างพยาบาลพิเศษให้อยู่เป็นเพื่อนแล้วหนูกลับไปพักเถอะลดา แล้วต่อไปอย่าเรียกป้าเลยนะ
“คุณแม่ท่านเป็นอะไรเหรอคะทำไมถึงเข้าโรงพยาบาล” คีตาลดาชวนคุยระหว่างนั่งอยู่ในรถ คิรินยิ้มอ่อนก่อนเล่าให้ฟัง“จู่ๆ วันนี้ท่านก็โรคหัวใจกำเริบ โชคดีที่มีคนพบแล้วช่วยเหลือพาส่งโรงพยาบาลได้ทันเวลาไม่อย่างนั้นผมก็คง...”“ไม่เป็นไรนะคะ ตอนนี้ท่านปลอดภัยแล้วนะ” คีตาลดาบีบกระชับมือแกร่งถ่ายทอดความอบอุ่นปลอบประโลมคิรินมองคนรักด้วยความรู้สึกขอบคุณ คีตาลดาเหมือนจะเปราะบางแต่เอาเข้าจริงเขากลับรู้สึกว่าเธอเข้มแข็งกว่าที่เขาคิดมากนัก“เสียดายที่ผมไม่มีโอกาสขอบคุณคนที่ช่วยเหลือคุณแม่ พอมาถึงโรงพยาบาลเธอก็ไปแล้ว”คีตาลดานิ่วหน้าเล็กๆ เธอรู้สึกแปลกที่เรื่องราวมันคลับคล้ายคลับคลาราวกับว่าเป็นเรื่องเดียวกันกับเธอในวันนี้ หญิงสาวยังไม่ทันได้พูดอะไรต่อรถสปอร์ตของคิรินก็เลี้ยวเข้าประตูทางเข้าของโรงพยาบาล คีตาลดาแหงนเงยหน้ามองดูป้ายชื่อโรงพยาบาล เห็นแล้วก็ยิ่งครุ่นคิดหนักเข้าเพราะมันเป็นโรงพยาบาลเดียวกันกับที่เธอพาคุณป้าคนนั้นมาส่งวันนี้“มาเถอะคุณแม่รออยู่” คิรินบอกเมื่อรถเทียบจอดตรงลานจอดรถโซนวีไอพีของโรงพยาบาล คีตาลดาเปิดประตูก้าวลงไปโดยไม่รอให้เขามาเปิดให้ หญ
“ระหว่างผมกับนรียามันมีความเกี่ยวโยงกันแค่นั้นจริงๆคีตาลดา นอกเหนือจากนั้นผมไม่เคยเห็นเขาในสายตาเลยสักนิด”“แต่เขาพูดเต็มปากมั่นใจเกินร้อยเลยนะคะ” คีตาลดาไม่วายท้วง แม้จะเชื่อใจเขาเกินครึ่งแต่ก็อดหวาดหวั่นไม่ได้ คิรินถอนหายแล้ว โอบกระชับรั้งไหล่แบบบางดึงร่างเธอมากอดแน่นเข้าแล้วถาม“คุณไม่เคยเจอคนพูดเองเออเองคิดไปเองเหรอครับคีตาลดา”“ของแบบนี้ตบมือข้างเดียวไม่ดังนะคะ”“ผมไม่เคยร่วมตบมือร่วมกับใครนอกจากคุณ”คีตาลดาจ้องดวงตาคมกริบซึ่งเจือด้วยแววรักหวานซึ้ง“เชื่อใจผมนะครับ อย่าไปรับเอาคำพูดของคนไร้สติแบบนั้นมาคิดมากเลย”คีตาลดาถอนหายใจก่อนบ่นพึมพำ“ลดาก็ไม่อยากคิดมากหรอกค่ะ แต่เรื่องเพิ่งเกิดก็อดขุ่นเคืองไม่ได้”“เอาแบบนี้...ผมมีวิธีทำให้คุณหายโกรธ”คีตาลดาเลิกคิ้วถาม“ยังไงคะ”“มาเถอะครับ ผมจะพาไประบายมันออกมา”คีตาลดาลุกเดินตามอย่างว่าง่าย แม้จะไม่รู้ว่าเขาจะพาเธอไปไหนแต่ก็ยังดีกว่านั่งอึดอัดอยู่ในห้องนี้“ปกติแล้วคุณระบายความโกรธด้วยวิธีไหนนะ” เขาชวนคุยเมื่อขึ้นนั่งบนรถสปอร์ตคันโก้ของเข