Share

เป็นเมียหมอผี บทที่ ๑ (๓) จบตอน

Penulis: Madam Hangover
last update Terakhir Diperbarui: 2025-06-02 00:01:30

“ว่าแต่ชื่อพ่อครูอะไรนะ?” อีกฝ่ายกดสายตามองเขาตั้งแต่หัวจรดเท้า แม้ไม่มั่นใจว่าผู้ชายคนนี้จะเป็นมิจฉาชีพมาหลอกลวงเธอหรือเปล่า เพราะท่าทางยังดูหนุ่มแน่นไม่เหมือนพ่อหมอหรือพวกแม่หมอดูดวงชะตาตามที่เห็นได้ทั่วไป

“เรียกว่าพ่อครูคันศรจักดีกว่า” เขาไม่ชอบให้หญิงที่ชังน้ำหน้าเรียกชื่อห้วนๆ คนที่เขาอนุญาตให้เรียกว่า ‘พ่อศร’ มีเพียงวาดรักเท่านั้น

ไม่สิ... ก็หล่อนมีศักดิ์เป็นคุณผู้หญิงแล้ว ความเคยชินเดิมๆ จึงถูกปัดทิ้งไปในความทรงจำในที่สุด

“โอเคค่ะพ่อครูคันศร ฉันคงไม่มีทางเลือกนอกจากต้องทำตามอย่างเคร่งครัด แต่งานบ้านฉันทำไม่เป็นเลยค่ะ ปกติให้แม่บ้านที่โรงแรมทำ พ่อครูทำเองได้ไหมเจ้าคะ?” เป็นสิ่งที่พ่อครูหนุ่มแทบไม่อยากจะเชื่อว่านังหญิงโสเภณีคนนี้จะหน้าด้านไร้ยางอายขนาดไหน หล่อนไม่มีแม้แต่ความเป็นกุลสตรีอย่างที่หญิงสาวควรจักมี หล่อนอวดดี สีหน้าเชิ่ดรั้นมิคิดจักลงมือทำงานเรือนที่คนเป็นหญิงควรต้องทำ

“ฝึกเอาเสีย... เมื่ออยู่ที่นี่มึงควรปรับตัวตามสมควร” เขากัดฟันกรอดโพล่งออกมาด้วยสีหน้าเรียบเฉยด้วยพยายามสะกดอารมณ์ชิงชัง แผนการกำจัดนางหญิงกาลกิณียังต้องดำเนินต่อไป

แพรวพราวถึงกับเบ้หน้า หล่อนไม่ใช่คนหยิบหย่งแต่เพราะว่าไม่เคยได้หยิบจับอะไรพวกนี้มาก่อน เนื่องจากบ้านเธอรวยพอที่จะจ้างแม่บ้านมาทำความสะอาดวันเว้นวันอยู่แล้ว

ถึงไม่ใช่เธอ งานบ้านงานเรือนก็คือสิ่งที่ผู้หญิงส่วนใหญ่ในยุคปัจจุบันเกลียด การหาเงินสนุกกว่าตั้งเยอะ ในยุคสมัยนี้เราเทียบเท่าผู้ชายอยู่แล้ว

แต่ดูเหมือนหล่อนจะไม่ได้อยู่ในที่ที่ถูกที่ควรนัก จะว่าเป็นชนบทก็ไม่ใช่ เพราะเรือนไทยหลังใหญ่นั้นมีความแปลกประหลาดที่ชวนให้ขนลุก ฝูงอีกามากมายบินว่อน พอๆ กับผ้านุ่งที่เขาใส่ ไม่มีทางที่คนต่างจังหวัดจะใส่ของที่ดูแพงและโบราณเช่นนี้ ก็ลวดลายทรงไทยวิจิตรตระการตา พร้อมกับหัวเข็มขัดเงินโบราณวาววับที่ดูไม่ค่อยได้เห็นใครสวมใส่เครื่องแต่งกายครบองค์แบบนี้นักนอกจากช่วงกระแสแต่งชุดไทยตามรอยละครพีเรียดที่เห่อกันอยู่ช่วงหนึ่ง แต่ตอนนี้กระแสก็เงียบลงไปมากแล้ว

ตอนนี้เธออยู่ที่ไหนกันแน่?

คลายความสงสัยได้ไม่นานนัก พ่อครูคันศรก็เดินนำหน้าหล่อนเข้าไปภายในตำหนักโดยไม่แม้แต่จักหันกลับมามองว่าแพรวพราวจะเดินตามมาหรือไม่ สิ่งแรกที่เห็นเมื่อบานประตูที่เธอได้ยินเสียงบริกรรมคาถาแว่วมานั้นเปิดออกชวนตกตะลึงปนขนลุก มันคือหิ้งหมู่บูชา ไม่ว่าจะเป็นของขลัง หัวโขนหน้าตาน่ากลัว รวมถึงเศียรฤาษีที่ไม่คุ้นตา ยอมรับก็ได้ว่าเธอไม่มีความรู้เรื่องการเล่นของมาก่อนเพราะชีวิตที่มีอยู่ดีเกินกว่าที่จะไปทำของใส่ใคร

เธอไม่มีปมด้อยที่จะคิดร้ายกับใคร แต่ก็ไม่ใช่คนดีพอที่จะแยแสคนที่คิดร้ายกับตัวเอง เธอไม่ใช่คนใจดีและแน่นอนว่าคนพวกนั้นจะโดนฟ้องจนหมดเนื้อหมดตัวโดยที่แพรวพราวใช้เงินเพียงก้อนเดียวเท่านั้น

ชีวิตดีๆ แบบนี้ถ้าเสียมันไปคงอยากจะร้องไห้หนักๆ

เธอสู้ทนใช้ชีวิตลำบากตรากตรำไม่ได้หรอก

ยิ่งเป็นเมียคนๆ นี้ในสถานที่เช่นนี้น่ะหรือ ลืมไปได้เลย การอาบน้ำต่างขันไม่ใช่วิถีทางของเธอ อย่างเธอมันต้องชาวเวอร์ ไม่ก็แช่ร่างกายในอ่างน้ำนมเท่านั้น

“นั่งลงตรงนั้นเสีย” พ่อครูคันศรชี้ไปทางพื้นเรือนกระด้าง สีหน้าของแพรวพราวยิ่งยากจะอธิบาย แต่ก็จำใจหย่อนก้นลงนั่งแต่โดยดี

“ไม่มีพรมปูรองเหรอคะ?” แต่เธอมันมากเรื่องนัก นั่งลงแบบนี้ปวดเมื่อยตัวจะแย่ ขยาดพื้นเย็นๆ แล้ว

“กูจักนั่งทางในว่าเกิดกระไรขึ้น ถ้าวิปลาสจักบอกว่าวิปลาส แต่ถ้ามีข้อแม้นอกเหนือจากนั้น... จักแจ้งให้ประจักษ์ตามตรง” หากแต่อีกฝ่ายเมินข้อโต้แย้งอันไร้สาระนั่น พร้อมกับนั่งลงขัดสมาธิบนตั่งไม้ราวกับตัดรำคาญ

“เจ้าค่ะ”

พลันนั้นลมจากภายนอกก็พัดโบกเข้ามาจนรู้สึกหนาวเหน็บจับใจ กลิ่นคาวคลุ้งเหม็นเน่ามาพร้อมกับเสียงหวีดของลมท่ามกลางป่ากล้วยรกชัฏอย่างน่าสยดสยอง พ่อครูตรงหน้าบริกรรมคาถาปากก็พึมพำขมมุกขมัว ดวงตาของแพรวพราวมองไม่เห็นว่าร่างเน่าเฟะที่ลำตัวยาวประมาณสามเมตรกำลังจ้องมองร่างของเธอ น้ำลายของร่างอันสยดสยองนั้นเจือน้ำเลือดน้ำหนองหยดลงพื้นเรือนเป็นหย่อมๆ ลำคอที่ยาวคดเคี้ยว ทั้งตัวเป็นสีดำของศพที่เน่าเปื่อยและแห้งกรัง มันค่อยๆ ควักบางสิ่งบางอย่างออกมาจากอกอิ่มของแพรวพราว เธอรู้สึกใจหายวูบวาบจนร่างสะอิดสะเอียนนั้นวางลูกแก้วสีชาดลงบนฝ่ามือหนาของพ่อครูคันศร

ท่านลืมตาขึ้นมา อ่านลูกแก้วดวงจิตดวงนั้น ก่อนที่จักเป่ามันกลับเข้าอกของหญิงตรงหน้าดังเดิม

“วิปลาส จิตของมึงเกิดวิปลาส ชะตาบอกว่าต้องนอนรอความตายในวันข้างหน้า” นั่นคือชะตาที่อ่านได้ในมณีแก้วดวงเล็ก ขวัญของอีแพรวกระเจิดกระเจิงหนีหายไปบางส่วน และในตอนนี้ขวัญที่หายไปต้องเรียกกลับคืนมา มิชะนั้นเจ้าชะตาจักเจ็บป่วย มีเรื่องราวอันตรายแทรกซ้อนมิจบมิสิ้น แต่เมื่อหล่อนมิได้ร้องขอ แลเขาเองก็ต้องการให้หญิงผู้นี้ได้รับรู้รสชาติของการที่ยิ่งกว่าขวัญกระเจิง พ่อครูคันศรจึงซ่อนรอยยิ้มพรายไว้ใต้ความมืดยามค่ำที่มีเพียงแสงจันทร์โอบล้อมเสี้ยวดวงหน้า

“จริงเหรอคะ!” อีกฝ่ายแตกตื่น ว่าแต่เขาได้ดูให้ใครกัน? “แต่หน้าฉันเปลี่ยนไป เนี่ย! เสียงก็เปลี่ยน ปกติเสียงฉันจะนุ่มหวานชวนฟังไม่ใช่เสียงแหลมเล็กแบบนี้”

“กูมิรับรู้ ตามที่ว่าไว้ว่าวิปลาส ตัวมึงหาใช่ตัวมึงไม่ ทำความเข้าใจกับสถานที่ที่อยู่ให้ได้ มึงจักยังมิสามารถเรียกขวัญที่หนีกระเจิงกลับมาได้ เพราะมีเงื่อนไขกับกูว่าจักปรนนิบัติรับใช้อยู่ที่นี่”

จะบอกหล่อนกลายๆ ว่าไม่มีอะไรที่ได้มาฟรีๆ สินะ

“แล้วที่นี่ที่ไหนล่ะเจ้าคะ อย่างน้อยถ้าอยากให้ฉันรู้ว่าอยู่ที่ไหน พ่อหมอก็ควรบอกฉันก่อนสิ”

“ตำหนักทรงของกู นี่จำมิได้แม้แต่สถานที่ที่ก้าวเดินมาเองเลยรึ?”

ตำหนักทรงอะไร โบราณมากแถมยังตั้งกลางป่ารกๆ อีกต่างหาก

เผลอๆ หมอนี่น่ะอาจจะไม่มีวิชาอาคมอะไรหรอก น่าจะเป็นแค่พวกต้มตุ๋นลักพาตัวหล่อนมาเรียกค่าไถ่มากกว่า

อาจจะลักพาตัวมาหลังจากที่พักรักษาตัวจากการตกสลิงจนรูปร่างหน้าตามีบาดแผลจนผิดรูปก็ได้ (แพรวพราวเริ่มคิดไปเอง) เสียดายที่หมอศัลยกรรมให้หน้าออกแขกเกินไปหน่อย เธอไม่ชอบหน้าตาแนวนี้สักเท่าไหร่

หรือไม่... เธอก็อาจจะตายไปแล้วจริงๆ จากการตกสลิงครั้งนั้น และนี่ก็คือความฝันในโลกหลังความตาย และชายผู้นี้ก็คงเป็นเจ้ายมโลก

เอาเป็นว่าจะหาทางเอาตัวรอดให้ได้ก่อนก็แล้วกัน

ชาติก่อนเธอเองก็มีข่าวฉาวเรื่องราวแย่งผัวเขาไว้เยอะ กลัวจะได้ปีนต้นงิ้วเอา

แต่งานบ้านงานเรือนที่เขาให้หล่อนทำ มันดันหนักหนากว่าที่คิด

ใครจะคิดว่าผู้หญิงคนเดียวต้องมานั่งทำความสะอาดเรือนไทยใหญ่ทั้งหลัง แถมบ้านหลังนี้ไม่มีอุปกรณ์อำนวยความสะดวกอะไรทั้งสิ้น แน่นอนว่าการถูพื้นบ้านที่ฝุ่นจับใบไม้ตกทั้งวันนั้น... ใช้แต่สองมือสองตีนเท่านั้น!

ผ้าขี้ริ้วถูกชุบกับน้ำบิดหมาดอย่างหัวเสีย สภาพของแพรวพราวนั้นไม่เหลือเค้าโครงความเป็นมาดดาราสาวหลงเหลืออยู่เลยสักนิด ผมยาวถึงเอวถูกเกล้าหลวมๆ แล้วปักกิ่งไม้แห้งไว้ (เนื่องจากที่นี่ไม่มีปิ่นปักผมหรือแม้แต่ยางมัดด้วยซ้ำ!) หล่อนจึงต้องใช้สกิลมวยผมมั่วๆ เอาเอง ซึ่งก็รุงรังสิ้นดีเพราะชีวิตที่เป็นดาวร้ายตัวท็อปนั้นมีสไตล์ลิสต์มาแต่งหน้าทำผมให้ตลอด เรียกได้ว่าทำอะไรไม่เป็นนอกจากโยนเงินจ้างอย่างเดียว

แต่ ณ ตอนนี้ เงินที่ติดกระเป๋าไม่มีสักบาท ชาแนลสุดหรูกับเงินฟ่อนและบัตรเครดิตก็หายไป!

สภาพหล่อนที่นุ่งแค่ผ้ารัดอกเปิดเปลือยหน้าท้องแบนราบกับผ้าถุงลายโบราณๆ นั่งยองๆ พลางบิดผ้าขี้ริ้วข้างถังไม้นี่ คงไม่ดีนักถ้านักข่าวมาตามเจอแล้วถ่ายภาพนี้เอาไว้

จะแค้นไอ้พ่อหมอนั่น ก็เหลือจะแค้น ยังไม่รู้แน่ชัดว่าเขาเป็นใคร เพราะดูลึกลับเหลือเกิน แถมตั้งแต่วันนั้นก็ใช้งานเธอเยี่ยงทาส

แต่ดูมีคนแวะเวียนมาตำหนักทรงที่นี่และหายไปในห้องหมู่บูชาน่ากลัวๆ นั่นอยู่ เขาอาจจะเป็นผู้มีวิชาจริงๆ ก็ได้

แต่เท่าที่เคยแอบฟังอยู่ข้างหลังบานประตู คนเหล่านั้นพูดจาแปลกๆ

ไม่ใช่พูดจาภาษาปากแบบคนชนบทคอกนา แต่มันดู... โบร่ำโบราณกว่านั้น

บางคำก็ฟังไม่ค่อยเข้าใจสักเท่าไหร่

ดูเหมือนว่าที่นี่จะไม่ใช่ที่ที่เธอสมควรมาอยู่ มันดูเก่าแก่ โบราณ แถมยัง... ให้อารมณ์เหมือนเธอถูกย้อนเวลามาที่ยุคไทยสมัยก่อนซะจริง

แต่เรื่องอัศจรรย์ยิ่งกว่าตายแล้วไปยมโลกเนี่ย มันจะมีจริงๆ เหรอ?

Lanjutkan membaca buku ini secara gratis
Pindai kode untuk mengunduh Aplikasi

Bab terbaru

  • เมื่อนางร้ายเกิดใหม่เป็นเมียหมอผีเเห่งกรุงศรีอโยธยา   เป็นเมียหมอผี ปัจฉิมบท

    เมื่อสุดท้ายเขาต้องจากกับเธอ ทั้งความตายที่เคยเป็นคำสาปแช่งที่มาจากอคติ ทั้งความรู้สึกชิงชังในวันนั้น ที่ในวันนี้มันกลายเป็นเพียงคำหลอกลวง เพราะเขานั้นหลงรักอีแพรวตั้งแต่แรกเจอแรกเริ่มอาจจะเป็นเพราะดวงหน้าที่คล้ายคลึงกับดอกรัก จนรู้สึกไปเองว่านั่นอาจเป็นความชิงชังที่ดูคล้ายกับยาพิษอันหอมหวาน ความรู้สึกในตอนที่ร่วมรักกับเธอ นั่นราวกับการมอบพรหมจรรย์ให้กับโอกาสสุดท้ายที่ก้าวเข้ามา ไม่ว่าหล่อนจะเป็นใครแปลงกายมากันแน่ทุกวันเขาบอกตนเองว่า ดอกรักไม่มีจริง คนที่คล้ายคลึงกับดอกรักเองก็ไม่มีจริงเช่นเดียวกัน ผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้านั้น ไม่ใช่ดอกรัก เธอเป็นเพียงสัตว์ประหลาด ที่หน้าตาคล้ายกับคนอัครที่เขาเคยรักเท่านั้นการปฏิบัติตัวที่ผ่านมากับแพรวพราวนั้น ราวกับเป็นการชดเชยในสิ่งที่ตัวเองอยากจะทำกับดอกรักมาโดยตลอด ที่เธอเคยปฏิเสธเขา ที่เธอทำท่ารังเกียจรังงอนเขา ที่เธอไม่แม้แต่จะมอบดวงใจให้เป็นของเขา เขาใช้ความรู้สึกน่ารังเกียจด้านมืดเหล่านี้ ส่งต่อให้กับแพรวพราวซึ่งไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับไร ในเรื่องราว ระหว่างเขา และอดีตคนที่เขาแอบรักมาโดยตลอดเลยสักนิดแต่เมื่อรู้ว่าหล่อนไม่ใช่มนุษย์ อคตินั้นยิ่งบ

  • เมื่อนางร้ายเกิดใหม่เป็นเมียหมอผีเเห่งกรุงศรีอโยธยา   เป็นเมียหมอผี บทที่ ๑๓ (๖) จบตอน

    “แพรว ข้า...” ฝ่ามือหยาบหนานั้นกำหมัดแน่นจนสั่นเทิ้ม เขาแค้นใจและนึกอาฆาตเธอมาตลอดทั้งเรื่องราว แต่ทันทีที่เธอยอมรับความคิดนั้นของเขาและยอมที่จะตายโดยไม่มีข้อแม้ เขากลับรู้สึกเจ็บปวดไปทั้งหัวใจ “ข้า... ไม่กล้าพอที่จักฆ่าเจ้า ข้าจึงใช้สังวรีราพณ์เป็นข้ออ้างเท่านั้น”“แล้วมันต่างกันตรงไหน?”“วันนี้ข้ารู้แล้วว่าเจ้าคือสิ่งสำคัญ ข้าไม่ได้อยากขอโอกาสจากเจ้า ข้ารู้ว่ากำลังถูกหลอกใช้ แต่ข้า... กลับใช้สิ่งนั้นเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจเพียงเพื่อที่จะกำจัดเจ้า เจ้าจักไปจากข้าก็ได้ แต่ขออย่างเดียวให้ข้าได้แก้ไขในสิ่งที่ข้าเคยทำผิดพลาดไปด้วยเถิด” พ่อหมอไม่ได้เข้าใจความรู้สึกของตนเองอย่างถ่องแท้หรอก เขาก็แค่กลัวว่าจะเสียเธอไปทั้งอย่างนี้เท่านั้น เพราะความรู้สึกในตอนที่เห็นว่าไม่มีเธออยู่ตรงนั้น และห้องอันว่างเปล่านั่นทำให้เขาทรมานยิ่งกว่าตอนที่ดอกรักตายจากไปในอ้อมแขนของเขาเสียอีกอาจจะเพราะหล่อนหน้าตาคล้ายกับเมียที่ตายจากไปแล้วก็ได้ ผู้หญิงที่เขาจะไม่มีวันได้ครอบครอง ผู้หญิงที่ทั้งหัวใจมีเพียงแค่พรานสมิงเท่านั้น ผู้หญิงที่แม้แต่ลูกที่เขาเฝ้าดูแล ยังไม่ใช่ลูกที่เกิดมาจากเลือดเนื้อของเขาด้วยซ้ำเขาทำลา

  • เมื่อนางร้ายเกิดใหม่เป็นเมียหมอผีเเห่งกรุงศรีอโยธยา   เป็นเมียหมอผี บทที่ ๑๓ (๕)

    คำพูดของพรานสมิงทำให้แพรวพราวได้ฉุกคิด ที่ผ่านมาเธออาจไม่อยากยอมรับความจริงที่ว่าที่เธอรักนับสิบ และคิดว่าเขาคือคนที่อยู่เคียงข้างเธอ แสนดีกับเธอมาโดยตลอด อาจจะเป็นความรู้สึกถึงชัยชนะที่เธอมีต่อฟ้าลดา ผู้หญิงที่เป็นที่ต้องการของแม่มากกว่าเธอ เมื่อเธอตั้งท้องและคันศรไม่ต้องการกัน ทำให้แพรวพราวรู้สึกเหมือนถูกปฏิเสธอีกครั้ง เธอเสียใจ และเมื่อเขาพาวาดรักเข้ามา เธอจึงรู้สึกเหมือนถูกเหยียบย่ำตัวตนของตนเองจนลบเลือนหายไปที่บอกว่าการไม่มีแม่ก็ไม่เห็นเป็นไรที่จริงแล้วเธออาจจะโกหกตัวเอง การที่เธอบอกว่าเธอรักนับสิบอาจจะเพราะว่ามันคือชัยชนะที่โหยหามาโดยตลอด กับผู้ชายที่ฟ้าลดาหลงรัก แพรวพราวไม่มีวันลืมวันที่เธอก้าวเข้าหาเขา เพราะว่าข่าวลือที่ฟ้าลดาคนนั้นชอบพอกับคนในวงการเดียวกันที่เล่นละครด้วยกันเป็นคู่พระนางตลอดมาเหมือนที่ฟ้าลดาเป็นที่ต้องการของแม่มากกว่าเธอผู้หญิงคนนั้นไม่ได้ทำอะไรผิด เธอไม่รู้เรื่องราวการมีอยู่ระหว่าง DNA ของแม่กับแพรวพราวด้วยซ้ำ นับสิบเองก็ไม่ได้ผิดที่หลงรักเธอ มันก็แค่ความเห็นแก่ตัว และต้องการเรียกร้องความรักจากแม่ของเธอเท่านั้นมันก็แค่ความอิจฉาที่น่ารังเกียจของเธอเอง... ค

  • เมื่อนางร้ายเกิดใหม่เป็นเมียหมอผีเเห่งกรุงศรีอโยธยา   เป็นเมียหมอผี บทที่ ๑๓ (๔)

    “นึกสงสัยขึ้นมาได้แล้วหรือแม่หญิงของข้า?”แต่ทว่าในขณะที่กำลังจมอยู่ในห้วงความคิดของตนเอง ท่ามกลางร่างใหญ่มหึมาของกานพลูนั้นปรากฏร่างของชายผู้หนึ่งโผล่ตัวขึ้นมาเหนือกายยักษ์ของช้างเชือกนั้น“... พรานสมิง” แพรวพราวยอมรับตามตรงว่าตกใจ ก็ไหนว่าเขาหนีหายออกไปแล้วยังไงล่ะ เพราะว่ารับไม่ได้ที่เธอตั้งท้องกับคันศร หรือว่าผัวเธอโป้ปดกันอีกแล้ว?“คิดถึงข้าหรือไม่” เขาไถ่ถาม โดยไม่ดูสถานการณ์ว่าหล่อนกำลังเข้าตาจนอยู่เลยสักนิด“นะ... ไหนพี่ศรบอกว่านายหนีไปแล้ว?”“ข้าแค่แวะไปหาลูกเท่านั้นแล” ชายหนุ่มทำได้แค่เพียงยักไหล่ปัดป้องและบอกความเป็นจริง “โดนทิ้งมาอีกแล้วสินะ”หากแต่ประโยคต่อมากลับทำให้เธอรู้สึกเจ็บที่หัวใจดวงน้อยๆ โดยไม่มีสาเหตุ จะว่าอย่างนั้นก็ไม่เชิง หรือจะยอมรับว่ามันไม่ใช่ก็ได้ เพราะเธอเป็นคนตัดสินใจหนีออกมาด้วยตัวเองต่างหาก… แต่นั่นก็เพราะว่าคนๆ นั้นแสดงออกว่าไม่ต้องการกันแล้วไม่ใช่หรือยังไง ก็เลยเจ็บใจเหมือนโดนแทงใจดำกันอย่างช่วยไม่ได้“พูดบ้าๆ ฉันต่างหากที่อุ้มท้องหนีออกมาเพราะเขาพาคุณวาดรักกลับมาที่เรือนนั่น” หญิงสาวคิดว่าเธอไม่จำเป็นต้องโกหกผู้ชายตรงหน้าหรอก เขาเห็นสภาพน่าสมเพชน

  • เมื่อนางร้ายเกิดใหม่เป็นเมียหมอผีเเห่งกรุงศรีอโยธยา   เป็นเมียหมอผี บทที่ ๑๓ (๓)

    อยู่ดีๆ เมื่อรู้ว่าหล่อนได้หนีหายออกไปหลังจากที่เขาได้พาวาดรักกลับมาและปลดแอกทุกอย่าง คันศรที่เคยมั่นอกมั่นใจว่าเขาเกลียดชังหล่อนเหลือเกิน และต้องการจะฆ่าหล่อนมากที่สุด กลับรู้สึกเจ็บปวดกับการที่ไม่มีเธออยู่ในห้อง และได้รับรู้ว่าเธอหนีออกไปแล้วเพราะทนอยู่ร่วมกันไม่ได้อีกต่อไป การตามหาเธออาจจะยากเย็นเพราะว่าอีกฝ่ายไม่ใช่มนุษย์ แถมยังเป็นอสุรกายในตำนานอีกต่างหาก ยิ่งอีกฝ่ายต้องการจะหนีหน้าเขาด้วยแล้ว คงสามารถลบกลิ่นอายของเดรัจฉานได้จนไม่เหลือร่องรอยเป็นแน่ทำไมเขาถึงได้เพิ่งมารู้สึกตัวเอาป่านนี้?ทำไมถึงเพิ่งมารู้สึกได้ว่าเธอและลูกสำคัญกับเขาเพียงไหน ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่าลูกในท้องนั้นอาจจะไม่ใช่เด็กคนหนึ่ง แต่จะเป็นยาพิษเสียด้วยซ้ำ“ภูติผีทุกตนที่กูมีอยู่ในขณะนี้ จงออกไปตามหานางแลพานางกลับมาหากูให้ได้ ไม่ว่าจะเจอนางในสภาพไหน ก็จงบอกนางว่ากู...” ท้ายประโยคเขากลืนน้ำลายเพียงอึกเดียวด้วยความยากเย็นที่จะกล้าก้าวผ่านทิฐิที่สูงเสียดฟ้า เผลอลืมตัวไปว่าเคยพูดว่าเกลียดเธอขนาดไหน ก่อนที่จะกลั้นใจโพล่งขึ้นประกาศิตออกมา “ต้องการนาง”เงามืดจำนวนมากหลุดพ้นออกไปจากเขตอาคมของเขา และออกตามหาหญิงสาวที่เ

  • เมื่อนางร้ายเกิดใหม่เป็นเมียหมอผีเเห่งกรุงศรีอโยธยา   เป็นเมียหมอผี บทที่ ๑๓ (๒)

    “อย่างไรลูกก็รู้สึกไม่ดีเจ้าค่ะ ที่ราวกับว่าจะเข้ามาคั่นกลางระหว่างพ่อกับเมียของท่านเช่นนี้”วาดรักโพล่งขึ้นมาหลังจากที่คันศรเข้ามาดูแลเธอด้วยการนวดปลายนิ้วเท้าที่ชาวางลงกับขันรองน้ำอุ่น คอยนวดส่วนไม่งามและอาจผิดครูให้ลูกที่ไม่ใช่เลือดเนื้อเชื้อไขของตนทั้งที่ไม่จำเป็นเลยด้วยซ้ำแน่นอนว่าเขาเองไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่ถึงเข้ามาทำเช่นนี้โดยไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย หลังเห็นว่าลูกสาวที่พากลับมาที่บ้านกำลังพยายามนวดปลายนิ้วเท้าของตนเอง อาการชาน่าจะมาจากท้องที่ใหญ่โตเกินร่างกายไปกระมังแม้นิสัยจะไม่ใช่คนที่มีความละเอียดอ่อนอะไรนัก แต่เขาเองก็พอเคยดูแลเมียท้องแก่ที่ไม่ได้รักเขาเลยอยู่บ้าง จะให้มาดูแลลูกเลี้ยงที่ไม่มีแม้แต่เลือดเนื้อของตนเองเลยอีกก็ไม่เห็นเป็นอะไรเลยนี่ก็แค่... อาจเพราะว่าดวงของเขาดึงดูดมาแต่คนที่ไม่ได้เป็นของตัวเองมาทั้งชีวิตก็ได้ล่ะมั้งหากแต่สิ่งเดียวที่ชัดเจนในวันนี้... คือหลังจากที่วาดรักได้กลับมาที่นี่ ความรู้สึกสงบในจิตใจจึงได้หวนคืนกลับมาอีกครั้ง อาจเพราะได้เจอกับผู้หญิงคนนั้นชีวิตที่ผ่านมาจึงปั่นป่วนรวนเร ทั้งความรู้สึกแย่ๆ จิตใจอันคิดลบและความฟุ้งซ่านเกี่ยวกับอดีตที่เลวร

Bab Lainnya
Jelajahi dan baca novel bagus secara gratis
Akses gratis ke berbagai novel bagus di aplikasi GoodNovel. Unduh buku yang kamu suka dan baca di mana saja & kapan saja.
Baca buku gratis di Aplikasi
Pindai kode untuk membaca di Aplikasi
DMCA.com Protection Status