การห้ามมีเซ็กซ์ นั้นยากเย็นกว่าการห้ามรักเสียอีก
สัมผัสของพ่อหมอคนนั้นที่หล่อนหลงครวญหาจนนึกว่าเป็นนับสิบนั้นหลอกหลอนวนเวียนในหัวไม่หยุดหลังจากถึงเวลาเข้านอน ฝนยังคงตกไม่มีทีท่าว่าจะหยุดพักเลยสักนิด ความเหน็บหนาวที่ลอดเข้ามาแม้ว่าบานหน้าต่างจะถูกปิดสนิท ไหนจะเสียงฟ้าผ่าเป็นระยะๆ ทำให้แพรวพราวที่นอนหนาวอยู่บนฟูกนอนใหญ่รู้สึกตัวขึ้นมากลางดึกสงัด
เมื่อหันไปข้างๆ ก็พบกับร่างกายกำยำใหญ่โตที่นอนร่วมข้างกายหล่อน พรานสมิงปิดเปลือกตา ไม่มีทีท่าจะตื่นนอน เหมือนว่ากำลังหลับสนิทอยู่นะ
แต่เมื่อนึกถึงแต่ฉากร่วมเพศตลอดค่อนคืนจนถึงขนาดอาจเอาไปเก็บในนิมิตได้ มันทำให้เธอนอนไม่หลับและรู้สึกเสียววูบวาบยุบยิบในท้องน้อย จวบไปจนถึงเส้นทางสวาทที่ไม่ควรเปิดเผยให้คนข้างๆ เลยแม้แต่น้อย
พ่อครูคันศรชี้ชัดว่าเกลียดน้ำหน้าเธอขนาดนั้น ถ้าให้บากหน้าไปบอกว่า ‘อยากทำ’ คงไม่น่าไหว แต่ถ้าเป็นคนข้างๆ แล้วละก็...
แต่!
“ก็ได้นะ แต่กฎของฉันกับนาย คือห้ามแตะต้องตัวกันอย่างเด็ดขาด ห้ามมีเซ็กซ์ และห้ามรักฉันด้วย”
หล่อนตั้งกฎบ้าๆ นี่ออกไปแล้วน่ะสิ!
จะมากลืนน้ำลายตัวเองคงจะไม่ได้ แม้ว่าในชาติก่อนที่เป็นดาราสาวเธอก็มีวันไนท์สแตนด์และเด็กในสต้อคอยู่ประปราย เวลาเบื่อก็จะไปซื้อบริการบ้างในระดับ VIP แล้วเก็บเป็นความลับไม่ให้ออกไปทางสื่อ ก็ความเหงามันไม่ปราณีใคร คนมันรวยช่วยไม่ได้ แต่ตอนนี้เธอทำแบบนั้นไม่ได้แล้ว
เธอไม่มีเงินติดตัวสักแดงเดียว และที่สำคัญ เธอกำลังคิดว่าตัวเองรักนับสิบ และต้องการจริงจังกับเขาถ้ามีโอกาส จะเป็นนับสิบในอดีตกาลก็ยอม
พรานสมิงไม่ใช่สเปค และไม่ใช่ตัวเลือกที่เธอวางไว้ตั้งแต่แรก
เธอแค่เห็นว่าเขาสนใจเธออยู่ แล้วเขาก็ไม่มีใครด้วย แถมอีกฝ่ายยังมีวิชาอาคม เลี้ยงฝูงเสือสมิงเป็นสิบ เก่งกาจแถมพ่วงด้วยดีกรีเพื่อนเก่าเพื่อนแก่ของพ่อครู เลยอยากจะหลอกใช้เท่านั้นเอง
เขาก็ดูไม่โง่นะ แต่ว่า...
ก็หล่อนมันคนขี้เอาจะตาย
กว่าจะรู้สึกตัวก็หยัดกายเล็กๆ ที่มีเพียงผ้ารัดอกและซิ่นบางๆ ขึ้นขนาบกายคร่อมทับกายแกร่งของพรานสมิง หล่อนโน้มใบหน้าไปใกล้เขาที่ยังคงปิดเปลือกตาแนบสนิทราวกับชัตดาวน์ตัวเองไปแล้ว พร้อมกับเอียงหูฟังเสียงลมหายใจที่สม่ำเสมอที่เป่ารดแก้มผ่องหนักแน่น เส้นผมที่ยาวสยายตกลงมาปรกหน้าเขา แต่ดูอีกฝ่ายไม่มีทีท่าว่าจะตื่นเลยสักนิด
“นอนหรือตายกันนะ” แพรวพราวหัวเสีย จึงกวาดขาออกจากร่างกายใหญ่โตของคนตรงหน้า ยังไงตอนนี้เธอเหมือนเสียสติไปแล้ว “ออกไปสูดอากาศข้างนอกเผื่อสงบสติอารมณ์ดีกว่า”
คิดแล้วจึงเปิดประตูออกไปนั่งอยู่หน้ากองฟืนที่ไร้ดวงไฟ แสงจันทร์เป็นเพียงแสงเดียวที่ส่องสว่างท่ามกลางความมืดมิดที่ถูกโอบล้อมด้วยป่ากล้วย ฝนมีเพียงละอองโปรยปรายเท่านั้น แพรวพราวกะจะตากน้ำค้างให้ชุ่มฉ่ำเสียหน่อย
“ทั้งตัวมึง คงมีเพียงสิ่งนั้นที่ทำให้ชายมากมายใช้งานได้สิหนา”
ทันใดนั้นก็ปรากฏกายสูงกำยำของพ่อหมอขึ้นมาในความมืด เขาที่กำลังมึนเมาจากฤทธิ์ของสาวเสพติดจงใจค่อนขอดหล่อนโดยเจตนา แพรวพราวเหลียวหลังไปมอง พอเห็นว่าเป็นเขาก็ตกใจสุดตัว ตอนนี้ชุดที่นุ่งก็บางแสนบาง ตากน้ำฝนปรอยๆ หนาวสั่นขนาดนี้ ส่วนซิ่นที่อีกฝ่ายนุ่งก็บางพอกัน
มันทำให้เห็นโครงที่อยู่ใต้สะดือที่เต็มไปด้วยมัดกล้าม มันดูหในเหม่จนสาวเจ้าเริ่มกลืนน้ำลาย
“นี่ยังไม่นอนอีกเหรอคะพ่อหมอ?” ทำทีถามไปเพื่อกลบไฟที่ลุกโชนในกายเล็กจนพลุ้งพล่านเหลือเกิน
“กูนอนมิหลับดอก ตราบใดที่มีงูพิษเช่นมึงอยู่เฉียดใกล้”
“...”
“อยากจักรู้เสียจริงว่าใช้คาถาบทไหน ถึงครองใจไอ้พรานสมิงจนหัวปักหัวปำยอมเรียกฝูงสมิงที่เลี้ยงไว้ออกมาสร้างเรือนใหญ่โตเช่นนี้ให้กันล่ะ?” เธอรู้ว่าเขาเกลียดเจ้าของร่างนี้นะ ส่วนคำพูดหยามเหยียดนั่น ถ้าเทียบกับชาติปัจจุบันแล้ว เท่ากับบทละครที่หล่อนเคยอ่านประจำบทหนึ่งเท่านั้น “หรือจักเป็นคาถาที่ใช้สิ่งนั้นถ่างขาออกให้เล่า”
การมีเซ็กซ์เพื่อไต่เต้าหรือได้มาซึ่งสิ่งที่ต้องการนั้น ยอมรับแบบไม่โลกสวยเลยนะ แพรวพราวเองก็พอรับได้อยู่ เธอไม่ได้คิดว่าเซ็กซ์นั้นจะลดทอนคุณค่าของใครเลยแม้แต่นิด ไม่ว่าชายหรือหญิง มันมีเพียงความสมัครใจและการตกลงกันเท่านั้น ถ้าไม่ได้ไปขืนใจหรือแย่งชิงใครมา ก็ไม่ใช่เรื่องที่ดูแย่ขนาดนั้น
แต่คนในอดีตคงจะไม่เข้าใจสินะ
“ก็ไม่เลวนะถ้าฉันจะทำแบบนั้น แต่ยังไม่ได้คิดจะทำเร็วๆ นี้หรอกค่ะ” เธอฉีกยิ้มให้เขา ความกลัวและหวั่นเกรงในก่อนหน้าที่ยังตัวคนเดียวมลายหายไปเพราะเธอมีตัวบัคอยู่ข้างกายทั้งคน แถมสีหน้าของพ่อครูนั้นวาวโรจน์ทันทีที่เห็นว่าหล่อนเองก็ไม่ได้ปฏิเสธคำว่าร้าย แทนที่จะเจ็บใจ แล้วใช้ดวงหน้าแดงก่ำนั้นจ้องมองเขาอย่างสู้ไม่ได้ นังนี่มันหน้าหนาเสียจริงๆ “แต่กับคุณก็ไม่แน่นะ”
“หมายความว่าอย่างไรกัน?”
“คุณเกลียดฉันใช่ไหม” แพรวพราวจงใจตอบไม่ตรงคำถาม เธอย้อนคำถามกลับด้วยซ้ำพร้อมกับพลิกตัวหันกลับไปประจันหน้ากับพ่อครูคันศรที่ยืนชะงักอยู่ในดวงตาที่แข็งกร้าวของเธอ
“ใช่” เขาเชิ่ดหน้าขึ้นด้วยรอยยิ้มหยัน ตัวเล็กกว่าเขามากขนาดนี้ยังกล้าต่อปากต่อคำเสียอีก
“เพราะอะไรล่ะ”
“มึงรู้ดีอยู่แก่ใจ อีแพรว ใจมึงมันหยาบช้าตั้งแต่ที่คิดจักแย่งของจากคนที่กูรักยิ่งกว่าชีวิตแล้ว การลงโทษเพียงนี้เป็นเพียงแค่โทษสถานเบาเท่านั้น นับว่ากูปราณีกับมึงมากขนาดไหน”
“ถ้าคิดว่าการลงโทษสถานเบานั่นหมายถึงการด่าฉันว่าร่านหรือสำส่อนนอนกับผู้ชายไปทั่วเพื่อผลประโยชน์ที่ต้องการ มันก็น่าจะเบาจริงๆ นั่นล่ะ” หล่อนไหวไหล่ตอบรับ การนำเสนอข่าวฉาวก่อนที่แพรวพราวจะครองตัวอยู่บนที่สูงได้ถาวรน่ะมันหนักหนาสาหัสแค่ไหนเขาไม่รู้แน่ๆ
คำว่าฉาว สำส่อน ผู้หญิงแพศยา อดีตเด็กเสี่ย บ้านรวยแต่เปลือก อีกทั้งโซเชี่ยลที่รุมวิพากย์วิจารณ์หล่อนในวันนั้นมันเป็นสิ่งที่แพรวพราวจะไม่มีวันลืม การโดนคนหนึ่งคน กับคนเป็นแสนจิกกัดด่าทอน่ะ วันนี้มันเบากว่ากันเยอะเลย “แล้วนี่ก็ไม่ใช่ร่างของฉันด้วย แต่คิดว่าคุณคงรู้แล้วสินะคะ การทำของหรือคิดชั่วทำชั่วที่คุณว่า ไม่ได้เกี่ยวกับฉันคนนี้ที่อยู่ในร่างนี้เลยสักนิด”
“...”
“ชีวิตฉันไม่ต้องการเงินอยู่แล้วเพราะก่อนจะมาที่นี่ฉันเองก็มีเงิน แล้วก็ไม่ต้องการผัวรวยที่มีเมียอยู่แล้วด้วย ฉันคงไม่มีอารมณ์ทะเยอทะยานขนาดนั้นหรอก ในโลกที่ฉันจากมาฉันได้มันมามากพอแล้ว”
“...”
“คุณเคยเสียใจที่เสียของรักไปในวันที่สายไหมคะ? ในตอนนี้ฉันกำลังอยากได้มันกลับมาเป็นของตัวเองสุดๆ และพอดีพอฉันได้มาที่นี่แล้ว ฉันก็ได้เจอคนที่หน้าเหมือนกับของรักของฉันราวกับแกะ”
“...”
“รู้ไหมคะว่าฉันเสียสติไปแล้วน่ะ ฉันอยากได้มันกลับมาเป็นของฉันให้เร็วที่สุด ฉันไม่สนวิธีการหรือแม้กระทั่งตัวตนหรือความคิดของเขา ถึงแม้ว่าสุดท้ายฉันจะไม่ต่างกับแมงเม่าที่บินเข้าหากองไฟจนวอดวายไปเองก็ตาม” สิ้นประโยคนั้น พ่อครูก็เหมือนจะถูกดวงตากลมโตนั่นดึงดูดเข้าไป หล่อนพยายามจะสื่อสารอะไรบางอย่างใช่หรือไม่ และนั่นมันทำให้เขานึกถึงอดีต ในวันที่เขาเสียคนที่รักไปแบบไม่มีวันหวนกลับ
มันไม่ได้ลดทอนความชิงชังที่มีให้หญิงตรงหน้าเลยแม้แต่น้อย แต่ทว่าเมื่อหล่อนขยับปลายเท้ามาชิดกัน ใช้ปลายนิ้วเขี่ยเบาๆ ที่แผงอกหนาที่เต็มไปด้วยรอยสักยันต์นั้นแล้ว
“และเผอิญว่ามันก็คือคุณ ที่ฉันอยากได้”
“... นี่มึงพูดเรื่องกระไรกัน”
“ฉันอยากได้คุณค่ะ ได้ยินไหม” คราวนี้สาวเจ้าพูดเสียงดังฟังชัดมากกว่าเดิม เรียวขาขาวนั้นบดเบียดแนบชิดกับซอกขาแกร่งของเขา เธอจงใจยกเข่าขึ้นชิดกับอุ้งท่อนจันทน์ที่สั่นคลอนจากมารยาสาวยั่วสวาท เขาไม่รู้ว่าหญิงตรงหน้ากำลังพล่ามเรื่องอะไรอยู่ และไม่รู้ว่าเพราะฤทธิ์ฝิ่นหรือไม่ที่ทำให้เขากำลังถูกมอมเมาด้วยดวงตาสีรวงข้าวนั่น
“ต่อให้กูจักชิงชังมึงไปจนวันตายน่ะรึ?” เกิดคำถามขึ้นในห้วงความคิดของพ่อครูคันศรอย่างไม่เข้าใจ ผู้หญิงคนนี้รู้อยู่แก่ใจว่าเขาเกลียดชังหล่อนมากเพียงไหน แล้วไอ้พรานสมิงคงจะบอกเรื่องราวที่เขาส่งผีไปฆ่าหล่อนแล้ว แต่ทำไมยังปรารถนาในตัวเขา ทำไมยอมล้มเลิกแล้วเบนทิศมาหาเขา
“ถ้าฉันเป็นโสเภณีแล้วล่ะก็... ก็น่าจะมีเซ็กซ์กับคนที่เกลียดได้นะ”
“มึงนี่มันวิปลาสนัก”
“ก็อยากจะมาหน้าตาเหมือนของรักของหวงของฉันทำไมล่ะ” สิ้นคำนั้นหล่อนก็เข้าชิดใกล้เขาขึ้นอีกระดับ ความยั่วยวนที่จะพบเห็นได้ยากจากหญิงผู้ดีชาวสยามนั้นช่างดูแปลกพิกล หล่อนค่อยๆ เลื่อนปลายนิ้วไปเขี่ยปลายติ่งหูของเขา เรียวนิ้วเล็กนั้นอุ่นจนเขารู้สึกได้ถึงความซ่านเสียว ริมฝีปากเล็กกดจูบที่แผ่นอกเปลือยเปล่าที่เต็มไปด้วยรอยสักมากมาย หล่อนรู้สึกเหมือนมีกำลังมากเป็นพิเศษในค่ำคืนนี้
พลั่ก!
“... อึก!” ทำไมครานี้นางแรงเยอะเหลือเกิน หรือเพราะเขากำลังเมามายด้วยฤทธิ์สารเสพติด เมื่อเธอผลักเขาลงไปนั่งกับพื้นหญ้าก็กระทำได้โดยง่าย คนตัวเล็กกว่าโน้มลงขึ้นคร่อมร่างกายกำยำของเขาในท่านั่ง พร้อมดวงตาสีรวงข้าวที่สะกดเขาจนละสายตาไปที่ไหนไม่ได้
เหงื่อกาฬเริ่มไหลลงมาจากข้างขมับ เขาราวกับเหมือนถูกสะกด มีอิทธิฤทธิ์คล้ายๆ ผีอำ จนสาวเจ้าแลบลิ้นเลียริมฝีปาก
ผีกะตายโหง หรือว่านผีโพงที่ปลูกไว้สูบเลือดสูบเนื้อทั้งหลาย ช่วยกูที
แพรวพราวไม่รู้ว่าทำไมตอนนี้เรี่ยวแรงของเธอนั้นมันช่างมหาศาลจนสามารถสะกดหมอผีที่หยิ่งยโสคนนั้นได้จนอยู่หมัด เขาที่เธอนั่งคร่อมอยู่เหนือกว่าด้านบนนั้นมองคนตัวเล็กกว่าด้วยแววตาสั่นไหว วันนี้มันคืนเดือนมืด ดวงตาของหล่อนส่องแสงราวกับทับทิมสีแดงก่ำ“มึง... หยุดประเดี๋ยวนี้ มิเช่นนั้นกูจักออกคำสั่งให้พวกผีมาฆ่ามึงอีกครา”“เอาสิ ฉันไม่กลัวผี สู้แรงกันให้ได้ก่อนเถอะ คุณในตอนนี้เสร็จฉันแน่” แต่หล่อนไม่ได้ใส่ใจน้ำเสียงสั่นคลอนนั่นแม้ใจความจะขู่กรรโชกอยู่ก็ตาม ไม่รู้ทำไมรู้สึกเหมือนคืนนี้หล่อนจะเร่าร้อนเป็นพิเศษ กำหนัดจนไม่สนอะไรทั้งนั้นแม้แต่ความกลัว ยิ่งกว่ากินยาปลุกเซ็กซ์เสียอีก มันต้องการสูบพลังชีวิตใครบางคนในยามที่มีความอยากอันร้อนแรงหมับ!ไหล่หนาเปลือยเปล่าแข็งแกร่งถูกมือเล็กจ้อยมือเดียวผลักให้กระแทกกับพื้นหญ้าเปียกชื้นอันเย็นชืด มันไม่สบายตัวเอาเสียเหลือเกิน แต่เขาไม่สามารถสู้แรงหล่อนได้เลย อีแพรวในตอนนี้พละกำลังมหาศาลจนใช้สองมือกดเขาไว้แน่นไม่ต่างกับผู้ชายร่างใหญ่คนหนึ่งนังนี่มันมิใช่มนุษย์ธรรมดาแน่ๆ เรากำลังจักเสร็จมัน“ปล่อยกู!”“มาให้ฉันกินเสียดีๆ เถอะค่ะพ่อหมอ ฉันหิวจะตายอยู่แล้ว แล
การห้ามมีเซ็กซ์ นั้นยากเย็นกว่าการห้ามรักเสียอีกสัมผัสของพ่อหมอคนนั้นที่หล่อนหลงครวญหาจนนึกว่าเป็นนับสิบนั้นหลอกหลอนวนเวียนในหัวไม่หยุดหลังจากถึงเวลาเข้านอน ฝนยังคงตกไม่มีทีท่าว่าจะหยุดพักเลยสักนิด ความเหน็บหนาวที่ลอดเข้ามาแม้ว่าบานหน้าต่างจะถูกปิดสนิท ไหนจะเสียงฟ้าผ่าเป็นระยะๆ ทำให้แพรวพราวที่นอนหนาวอยู่บนฟูกนอนใหญ่รู้สึกตัวขึ้นมากลางดึกสงัดเมื่อหันไปข้างๆ ก็พบกับร่างกายกำยำใหญ่โตที่นอนร่วมข้างกายหล่อน พรานสมิงปิดเปลือกตา ไม่มีทีท่าจะตื่นนอน เหมือนว่ากำลังหลับสนิทอยู่นะแต่เมื่อนึกถึงแต่ฉากร่วมเพศตลอดค่อนคืนจนถึงขนาดอาจเอาไปเก็บในนิมิตได้ มันทำให้เธอนอนไม่หลับและรู้สึกเสียววูบวาบยุบยิบในท้องน้อย จวบไปจนถึงเส้นทางสวาทที่ไม่ควรเปิดเผยให้คนข้างๆ เลยแม้แต่น้อยพ่อครูคันศรชี้ชัดว่าเกลียดน้ำหน้าเธอขนาดนั้น ถ้าให้บากหน้าไปบอกว่า ‘อยากทำ’ คงไม่น่าไหว แต่ถ้าเป็นคนข้างๆ แล้วละก็...แต่!“ก็ได้นะ แต่กฎของฉันกับนาย คือห้ามแตะต้องตัวกันอย่างเด็ดขาด ห้ามมีเซ็กซ์ และห้ามรักฉันด้วย”หล่อนตั้งกฎบ้าๆ นี่ออกไปแล้วน่ะสิ!จะมากลืนน้ำลายตัวเองคงจะไม่ได้ แม้ว่าในชาติก่อนที่เป็นดาราสาวเธอก็มีวันไนท์สแตนด์
“ข้าทำตามได้อยู่แล้ว” แต่อีกฝ่ายกลับตกลงรับคำไม่มีข้อกังขาใดๆ ทั้งนั้น เขาไม่ได้มีปัญหากับการอยู่ร่วมชายคาเดียวกับสาววัยแรกรุ่นที่ถ้าเทียบการถือกำเนิดและอยู่บนโลกมนุษย์มาแล้วนับร้อยปี แพรวพราวไม่ต่างอะไรกับลูกหลานเหลนโหลนของเขาด้วยซ้ำไปนั่นทำให้สาวเจ้านึกโล่งใจ อย่างน้อยถ้าได้รับความร่วมมือจากฝ่ายชายอย่างแข็งขัน หล่อนอาจจะอยู่ร่วมชายคาเดียวกันกับเขาได้แบบสันติสุขโดยไม่มีการเสียตัวให้กันและกัน คิดดังนั้นจึงตรงเข้าไปในเรือนใหญ่หรูหรา ที่มีห้องหับแบบโบร่ำโบราณแยกกันอยู่สองฝั่ง ฝั่งหนึ่งเป็นห้องน้ำ อีกฝั่งเป็นห้องหลับนอน ห้องทำกับข้าวน่าจะเป็นการผิงไฟย่างเนื้ออยู่ด้านนอกแบบหมู่บ้านเก่าของเขากระมังโลกนี้น่าจะไม่มีอลาคาสหรูหราแบบที่ทานอยู่เป็นประจำ เธอไหวไหล่อย่างไม่แคร์ ถ้าอยากอยู่รอดในโลกนี้ต้องทนๆ เอา ข้าวเหนียวห่อใบตองก็ไม่ได้เลวร้ายเท่าไหร่นักพูดถึงข้าวเหนียวห่อใบตอง ก็คิดถึงโรเบิร์ตขึ้นมาเลย ตั้งแต่กลับมาไม่รู้ว่ามันหายไปไหน แถมพ่อหมอก็ไม่ได้พูดถึงด้วยโฮ่ง!แต่ทว่านึกถึงไม่ทันไร ก็เกิดเสียงดังอยู่กลางป่ากล้วยเป็นเสียงเห่าของสุนัข แพรวพราวโผล่หน้าออกมาจากบานหน้าต่างฝั่งปีกห้องนอนทั
แพรวพราวชะงักไป หล่อนจ้องเขาตาเขม็ง“ไหนว่าไม่ต้องการข้อแลกเปลี่ยนไงคะ” ก็เมื่อครู่เขายังยอมเซ็นสัญญาปากเปล่าเป็นเด็กในสังกัดเธอโดยไม่รับข้อแม้อะไรอยู่เลย“นี่หาใช่ข้อแลกเปลี่ยนไม่ แม่รับมือไอ้คันศรมิได้ดอก ข้าเองก็มิมีหมู่บ้านให้อยู่อาศัยอีกต่อไป หมู่บ้านนั้นนอกจากเสือก็มีเพียงข้าคนเดียวที่เป็นคน”“...”“การไปร่วมชายคากับแม่เป็นทางเลือกที่ข้าเต็มใจจักเลือก... ข้าอยากอยู่กับแม่”ต๊าย มีผู้ชายตื้ออยากอยู่ด้วยแล้ว“ก็ได้ ถ้าอยากมาก็มา ยังไงนั่นก็ไม่ใช่บ้านฉันอยู่แล้ว” แต่การถูกตามตื้อไม่ใช่ปัญหาของคนที่เคยพราวเสน่ห์อย่างเธอหรอก ผู้ชายตรงหน้าก็ไม่ได้เลวร้าย อีกอย่างเธอจะอวดดีกลับไปโต้อารมณ์กับพ่อครูคันศรเพียงคนเดียวคงเป็นไปไม่ได้ แพรวพราวยังไร้กำลังนัก และหล่อนรู้ดีว่าโลกใบนี้ชายหญิงไม่เท่าเทียมกัน“งั้นข้าจักพาแม่ไปส่งประเดี๋ยวนี้เลย” ร่างกำยำค่อยๆ หยัดเดินขึ้นมาที่ริมเนินตลิ่ง เจ้ากานพลูชูงวงอย่างเริงร่าจากที่แอบฟังชายหญิงสองคนพูดคุยกันอยู่นานสองนาน มันเดินตามอีกฝ่ายขึ้นมาด้วย พรานสมิงเปิดเปลือยอวดความบาดตาบาดใจให้หญิงสาวได้เห็น แต่เมื่อเขาจะแต่งกายก็ถูกเจ้ากานพลูเอางวงมาปิดช่วงล่างเอา
“ถ้าฉันไปอยู่กับพระยาสิงห์ ก็ต้องอยู่ในฐานะเมียน้อยล่ะสิ” เรื่องแบบนี้ยิ่งรับไม่ได้เข้าไปใหญ่“ใช่”“ไม่มีทางหรอกค่ะ”“แม่มิมีทางเลือกดอก” แต่ความคาดหวังและการตัดสินใจที่เสรีถูกปัดตกไปตั้งแต่ที่เกิดเป็นโสเภณีในยุคโบราณแบบนี้แล้ว ยุคสมัยนี้ผู้หญิงไม่ได้มีปากมีเสียง มีความคิดที่อิสระเหมือนบ้านเราในปัจจุบัน สิ่งที่แพรวพราวเลือกได้คือต้องอยู่กับพระยาสิงห์ในฐานะอนุภรรยา หรือถ้ากล้ำกลืนความเป็นเมียน้อยคนแก่พุงพลุ้ยไม่ได้ ก็ต้องตายเท่านั้นเองแต่อยู่ดีๆ สาวเจ้าก็บังเกิดความคิดสุดบรรเจิดและค่อนข้างที่จะสุดโต่งขึ้นมาในหัวแล้วถ้าหล่อนยอมเป็นเมียของคนที่คิดจะฆ่าหล่อนมาตั้งแต่แรก และพยายามทำให้เขาตกหลุมรักให้ได้ล่ะ?ถ้าเธอยอมปรนนิบัติรับใช้พ่อครูคันศร เขาจะเปลี่ยนใจมาช่วยเหลือเธอหรือเปล่า?แน่นอนว่าพรานสมิงเองก็น่าสนใจ แต่ทำไมเธอถึงไม่เลือกเขาน่ะเหรอ?ก็เพราะว่าไม่ตรงสเปคยังไงล่ะอีกอย่าง... ก็เพราะติดใจในหน้าตาที่ละหม้ายคล้ายคลึงกับนับสิบราวกับคนเดียวกันอย่างน่าประหลาดของเขา ถ้าเกิดว่าหมอผีคนนั้นเป็นนับสิบในชาติที่แล้วจริงๆ เธอจะได้เจอกับนับสิบในภพปัจจุบันอีกไหม?ไม่รู้ว่าเพราะอะไร... พอคิดว่าจ
“ลงมาชำระกายกับข้าไหม... แพรวพราว”เป็นคำชวนแรกจากผู้ชายที่เพิ่งรู้จักกันไม่ถึงครึ่งวัน หญิงสาวชะงักไป หล่อนไม่ได้เกิดความรู้สึกอยากลงไปในลำธารนิ่งสงบนั่นเสียเท่าไหร่ ทำแค่เพียงสลับกลับมานั่งพับเพียบอย่างเรียบร้อย พร้อมกับสบตาอีกฝ่ายอยู่ที่เนินตลิ่งอย่างใช้ความคิด“ไม่ดีกว่าค่ะ” สุดท้ายจึงเลือกที่จะปฏิเสธออกไป“มิไว้ใจข้าหรือ” ดวงหน้าคมคายนั้นฉีกยิ้มพรายทรงเสน่ห์ เขาเป็นผู้ชายที่ดูดีแถมเรือนกายกำยำล่ำสัน ที่ถ้าเป็นผู้หญิงใจง่ายทั่วไปคงแทบวิ่งเข้าใส่ หากแต่หญิงสาวยังตกอยู่ในความตะลึงพรึงเพริดจากเหตุการณ์ก่อนหน้าจนยากจะอธิบาย ถ้าพูดให้ถูกคือชายตรงหน้าเป็นใครก็ไม่รู้ เธอไม่เคยรู้จักเขา แถมเขาไม่ใช่คนในยุคสมัยที่เธอจากมา ถึงจะช่วยเหลือกันไว้แต่หญิงสาวก็ยังไม่ไว้เนื้อเชื่อใจนัก ก็เขาเลี้ยงสมิงไว้ทั้งฝูงนี่ เผลอๆ อาจจะหาทางทำมิดีมิร้ายเธอก็ได้ต้องคิดลบไว้ก่อนเพราะตอนนี้ทุกอย่างที่เกิดขึ้นมันชวนสับสนมึนงงไปหมด“ไม่ใช่ไม่ไว้ใจ แต่เราเพิ่งจะรู้จักกัน จะให้ฉันถอดเสื้อถอดผ้าลงไปอาบน้ำกับผู้ชายคงไม่ดีเท่าไหร่” อีกอย่างการที่จะได้ ‘กิน’ ผู้ชายสักคนเนี่ย แพรวพราวต้องแน่ใจเสียก่อนว่ารู้ตัวตนและโปรไ