การห้ามมีเซ็กซ์ นั้นยากเย็นกว่าการห้ามรักเสียอีก
สัมผัสของพ่อหมอคนนั้นที่หล่อนหลงครวญหาจนนึกว่าเป็นนับสิบนั้นหลอกหลอนวนเวียนในหัวไม่หยุดหลังจากถึงเวลาเข้านอน ฝนยังคงตกไม่มีทีท่าว่าจะหยุดพักเลยสักนิด ความเหน็บหนาวที่ลอดเข้ามาแม้ว่าบานหน้าต่างจะถูกปิดสนิท ไหนจะเสียงฟ้าผ่าเป็นระยะๆ ทำให้แพรวพราวที่นอนหนาวอยู่บนฟูกนอนใหญ่รู้สึกตัวขึ้นมากลางดึกสงัด
เมื่อหันไปข้างๆ ก็พบกับร่างกายกำยำใหญ่โตที่นอนร่วมข้างกายหล่อน พรานสมิงปิดเปลือกตา ไม่มีทีท่าจะตื่นนอน เหมือนว่ากำลังหลับสนิทอยู่นะ
แต่เมื่อนึกถึงแต่ฉากร่วมเพศตลอดค่อนคืนจนถึงขนาดอาจเอาไปเก็บในนิมิตได้ มันทำให้เธอนอนไม่หลับและรู้สึกเสียววูบวาบยุบยิบในท้องน้อย จวบไปจนถึงเส้นทางสวาทที่ไม่ควรเปิดเผยให้คนข้างๆ เลยแม้แต่น้อย
พ่อครูคันศรชี้ชัดว่าเกลียดน้ำหน้าเธอขนาดนั้น ถ้าให้บากหน้าไปบอกว่า ‘อยากทำ’ คงไม่น่าไหว แต่ถ้าเป็นคนข้างๆ แล้วละก็...
แต่!
“ก็ได้นะ แต่กฎของฉันกับนาย คือห้ามแตะต้องตัวกันอย่างเด็ดขาด ห้ามมีเซ็กซ์ และห้ามรักฉันด้วย”
หล่อนตั้งกฎบ้าๆ นี่ออกไปแล้วน่ะสิ!
จะมากลืนน้ำลายตัวเองคงจะไม่ได้ แม้ว่าในชาติก่อนที่เป็นดาราสาวเธอก็มีวันไนท์สแตนด์และเด็กในสต้อคอยู่ประปราย เวลาเบื่อก็จะไปซื้อบริการบ้างในระดับ VIP แล้วเก็บเป็นความลับไม่ให้ออกไปทางสื่อ ก็ความเหงามันไม่ปราณีใคร คนมันรวยช่วยไม่ได้ แต่ตอนนี้เธอทำแบบนั้นไม่ได้แล้ว
เธอไม่มีเงินติดตัวสักแดงเดียว และที่สำคัญ เธอกำลังคิดว่าตัวเองรักนับสิบ และต้องการจริงจังกับเขาถ้ามีโอกาส จะเป็นนับสิบในอดีตกาลก็ยอม
พรานสมิงไม่ใช่สเปค และไม่ใช่ตัวเลือกที่เธอวางไว้ตั้งแต่แรก
เธอแค่เห็นว่าเขาสนใจเธออยู่ แล้วเขาก็ไม่มีใครด้วย แถมอีกฝ่ายยังมีวิชาอาคม เลี้ยงฝูงเสือสมิงเป็นสิบ เก่งกาจแถมพ่วงด้วยดีกรีเพื่อนเก่าเพื่อนแก่ของพ่อครู เลยอยากจะหลอกใช้เท่านั้นเอง
เขาก็ดูไม่โง่นะ แต่ว่า...
ก็หล่อนมันคนขี้เอาจะตาย
กว่าจะรู้สึกตัวก็หยัดกายเล็กๆ ที่มีเพียงผ้ารัดอกและซิ่นบางๆ ขึ้นขนาบกายคร่อมทับกายแกร่งของพรานสมิง หล่อนโน้มใบหน้าไปใกล้เขาที่ยังคงปิดเปลือกตาแนบสนิทราวกับชัตดาวน์ตัวเองไปแล้ว พร้อมกับเอียงหูฟังเสียงลมหายใจที่สม่ำเสมอที่เป่ารดแก้มผ่องหนักแน่น เส้นผมที่ยาวสยายตกลงมาปรกหน้าเขา แต่ดูอีกฝ่ายไม่มีทีท่าว่าจะตื่นเลยสักนิด
“นอนหรือตายกันนะ” แพรวพราวหัวเสีย จึงกวาดขาออกจากร่างกายใหญ่โตของคนตรงหน้า ยังไงตอนนี้เธอเหมือนเสียสติไปแล้ว “ออกไปสูดอากาศข้างนอกเผื่อสงบสติอารมณ์ดีกว่า”
คิดแล้วจึงเปิดประตูออกไปนั่งอยู่หน้ากองฟืนที่ไร้ดวงไฟ แสงจันทร์เป็นเพียงแสงเดียวที่ส่องสว่างท่ามกลางความมืดมิดที่ถูกโอบล้อมด้วยป่ากล้วย ฝนมีเพียงละอองโปรยปรายเท่านั้น แพรวพราวกะจะตากน้ำค้างให้ชุ่มฉ่ำเสียหน่อย
“ทั้งตัวมึง คงมีเพียงสิ่งนั้นที่ทำให้ชายมากมายใช้งานได้สิหนา”
ทันใดนั้นก็ปรากฏกายสูงกำยำของพ่อหมอขึ้นมาในความมืด เขาที่กำลังมึนเมาจากฤทธิ์ของสาวเสพติดจงใจค่อนขอดหล่อนโดยเจตนา แพรวพราวเหลียวหลังไปมอง พอเห็นว่าเป็นเขาก็ตกใจสุดตัว ตอนนี้ชุดที่นุ่งก็บางแสนบาง ตากน้ำฝนปรอยๆ หนาวสั่นขนาดนี้ ส่วนซิ่นที่อีกฝ่ายนุ่งก็บางพอกัน
มันทำให้เห็นโครงที่อยู่ใต้สะดือที่เต็มไปด้วยมัดกล้าม มันดูหในเหม่จนสาวเจ้าเริ่มกลืนน้ำลาย
“นี่ยังไม่นอนอีกเหรอคะพ่อหมอ?” ทำทีถามไปเพื่อกลบไฟที่ลุกโชนในกายเล็กจนพลุ้งพล่านเหลือเกิน
“กูนอนมิหลับดอก ตราบใดที่มีงูพิษเช่นมึงอยู่เฉียดใกล้”
“...”
“อยากจักรู้เสียจริงว่าใช้คาถาบทไหน ถึงครองใจไอ้พรานสมิงจนหัวปักหัวปำยอมเรียกฝูงสมิงที่เลี้ยงไว้ออกมาสร้างเรือนใหญ่โตเช่นนี้ให้กันล่ะ?” เธอรู้ว่าเขาเกลียดเจ้าของร่างนี้นะ ส่วนคำพูดหยามเหยียดนั่น ถ้าเทียบกับชาติปัจจุบันแล้ว เท่ากับบทละครที่หล่อนเคยอ่านประจำบทหนึ่งเท่านั้น “หรือจักเป็นคาถาที่ใช้สิ่งนั้นถ่างขาออกให้เล่า”
การมีเซ็กซ์เพื่อไต่เต้าหรือได้มาซึ่งสิ่งที่ต้องการนั้น ยอมรับแบบไม่โลกสวยเลยนะ แพรวพราวเองก็พอรับได้อยู่ เธอไม่ได้คิดว่าเซ็กซ์นั้นจะลดทอนคุณค่าของใครเลยแม้แต่นิด ไม่ว่าชายหรือหญิง มันมีเพียงความสมัครใจและการตกลงกันเท่านั้น ถ้าไม่ได้ไปขืนใจหรือแย่งชิงใครมา ก็ไม่ใช่เรื่องที่ดูแย่ขนาดนั้น
แต่คนในอดีตคงจะไม่เข้าใจสินะ
“ก็ไม่เลวนะถ้าฉันจะทำแบบนั้น แต่ยังไม่ได้คิดจะทำเร็วๆ นี้หรอกค่ะ” เธอฉีกยิ้มให้เขา ความกลัวและหวั่นเกรงในก่อนหน้าที่ยังตัวคนเดียวมลายหายไปเพราะเธอมีตัวบัคอยู่ข้างกายทั้งคน แถมสีหน้าของพ่อครูนั้นวาวโรจน์ทันทีที่เห็นว่าหล่อนเองก็ไม่ได้ปฏิเสธคำว่าร้าย แทนที่จะเจ็บใจ แล้วใช้ดวงหน้าแดงก่ำนั้นจ้องมองเขาอย่างสู้ไม่ได้ นังนี่มันหน้าหนาเสียจริงๆ “แต่กับคุณก็ไม่แน่นะ”
“หมายความว่าอย่างไรกัน?”
“คุณเกลียดฉันใช่ไหม” แพรวพราวจงใจตอบไม่ตรงคำถาม เธอย้อนคำถามกลับด้วยซ้ำพร้อมกับพลิกตัวหันกลับไปประจันหน้ากับพ่อครูคันศรที่ยืนชะงักอยู่ในดวงตาที่แข็งกร้าวของเธอ
“ใช่” เขาเชิ่ดหน้าขึ้นด้วยรอยยิ้มหยัน ตัวเล็กกว่าเขามากขนาดนี้ยังกล้าต่อปากต่อคำเสียอีก
“เพราะอะไรล่ะ”
“มึงรู้ดีอยู่แก่ใจ อีแพรว ใจมึงมันหยาบช้าตั้งแต่ที่คิดจักแย่งของจากคนที่กูรักยิ่งกว่าชีวิตแล้ว การลงโทษเพียงนี้เป็นเพียงแค่โทษสถานเบาเท่านั้น นับว่ากูปราณีกับมึงมากขนาดไหน”
“ถ้าคิดว่าการลงโทษสถานเบานั่นหมายถึงการด่าฉันว่าร่านหรือสำส่อนนอนกับผู้ชายไปทั่วเพื่อผลประโยชน์ที่ต้องการ มันก็น่าจะเบาจริงๆ นั่นล่ะ” หล่อนไหวไหล่ตอบรับ การนำเสนอข่าวฉาวก่อนที่แพรวพราวจะครองตัวอยู่บนที่สูงได้ถาวรน่ะมันหนักหนาสาหัสแค่ไหนเขาไม่รู้แน่ๆ
คำว่าฉาว สำส่อน ผู้หญิงแพศยา อดีตเด็กเสี่ย บ้านรวยแต่เปลือก อีกทั้งโซเชี่ยลที่รุมวิพากย์วิจารณ์หล่อนในวันนั้นมันเป็นสิ่งที่แพรวพราวจะไม่มีวันลืม การโดนคนหนึ่งคน กับคนเป็นแสนจิกกัดด่าทอน่ะ วันนี้มันเบากว่ากันเยอะเลย “แล้วนี่ก็ไม่ใช่ร่างของฉันด้วย แต่คิดว่าคุณคงรู้แล้วสินะคะ การทำของหรือคิดชั่วทำชั่วที่คุณว่า ไม่ได้เกี่ยวกับฉันคนนี้ที่อยู่ในร่างนี้เลยสักนิด”
“...”
“ชีวิตฉันไม่ต้องการเงินอยู่แล้วเพราะก่อนจะมาที่นี่ฉันเองก็มีเงิน แล้วก็ไม่ต้องการผัวรวยที่มีเมียอยู่แล้วด้วย ฉันคงไม่มีอารมณ์ทะเยอทะยานขนาดนั้นหรอก ในโลกที่ฉันจากมาฉันได้มันมามากพอแล้ว”
“...”
“คุณเคยเสียใจที่เสียของรักไปในวันที่สายไหมคะ? ในตอนนี้ฉันกำลังอยากได้มันกลับมาเป็นของตัวเองสุดๆ และพอดีพอฉันได้มาที่นี่แล้ว ฉันก็ได้เจอคนที่หน้าเหมือนกับของรักของฉันราวกับแกะ”
“...”
“รู้ไหมคะว่าฉันเสียสติไปแล้วน่ะ ฉันอยากได้มันกลับมาเป็นของฉันให้เร็วที่สุด ฉันไม่สนวิธีการหรือแม้กระทั่งตัวตนหรือความคิดของเขา ถึงแม้ว่าสุดท้ายฉันจะไม่ต่างกับแมงเม่าที่บินเข้าหากองไฟจนวอดวายไปเองก็ตาม” สิ้นประโยคนั้น พ่อครูก็เหมือนจะถูกดวงตากลมโตนั่นดึงดูดเข้าไป หล่อนพยายามจะสื่อสารอะไรบางอย่างใช่หรือไม่ และนั่นมันทำให้เขานึกถึงอดีต ในวันที่เขาเสียคนที่รักไปแบบไม่มีวันหวนกลับ
มันไม่ได้ลดทอนความชิงชังที่มีให้หญิงตรงหน้าเลยแม้แต่น้อย แต่ทว่าเมื่อหล่อนขยับปลายเท้ามาชิดกัน ใช้ปลายนิ้วเขี่ยเบาๆ ที่แผงอกหนาที่เต็มไปด้วยรอยสักยันต์นั้นแล้ว
“และเผอิญว่ามันก็คือคุณ ที่ฉันอยากได้”
“... นี่มึงพูดเรื่องกระไรกัน”
“ฉันอยากได้คุณค่ะ ได้ยินไหม” คราวนี้สาวเจ้าพูดเสียงดังฟังชัดมากกว่าเดิม เรียวขาขาวนั้นบดเบียดแนบชิดกับซอกขาแกร่งของเขา เธอจงใจยกเข่าขึ้นชิดกับอุ้งท่อนจันทน์ที่สั่นคลอนจากมารยาสาวยั่วสวาท เขาไม่รู้ว่าหญิงตรงหน้ากำลังพล่ามเรื่องอะไรอยู่ และไม่รู้ว่าเพราะฤทธิ์ฝิ่นหรือไม่ที่ทำให้เขากำลังถูกมอมเมาด้วยดวงตาสีรวงข้าวนั่น
“ต่อให้กูจักชิงชังมึงไปจนวันตายน่ะรึ?” เกิดคำถามขึ้นในห้วงความคิดของพ่อครูคันศรอย่างไม่เข้าใจ ผู้หญิงคนนี้รู้อยู่แก่ใจว่าเขาเกลียดชังหล่อนมากเพียงไหน แล้วไอ้พรานสมิงคงจะบอกเรื่องราวที่เขาส่งผีไปฆ่าหล่อนแล้ว แต่ทำไมยังปรารถนาในตัวเขา ทำไมยอมล้มเลิกแล้วเบนทิศมาหาเขา
“ถ้าฉันเป็นโสเภณีแล้วล่ะก็... ก็น่าจะมีเซ็กซ์กับคนที่เกลียดได้นะ”
“มึงนี่มันวิปลาสนัก”
“ก็อยากจะมาหน้าตาเหมือนของรักของหวงของฉันทำไมล่ะ” สิ้นคำนั้นหล่อนก็เข้าชิดใกล้เขาขึ้นอีกระดับ ความยั่วยวนที่จะพบเห็นได้ยากจากหญิงผู้ดีชาวสยามนั้นช่างดูแปลกพิกล หล่อนค่อยๆ เลื่อนปลายนิ้วไปเขี่ยปลายติ่งหูของเขา เรียวนิ้วเล็กนั้นอุ่นจนเขารู้สึกได้ถึงความซ่านเสียว ริมฝีปากเล็กกดจูบที่แผ่นอกเปลือยเปล่าที่เต็มไปด้วยรอยสักมากมาย หล่อนรู้สึกเหมือนมีกำลังมากเป็นพิเศษในค่ำคืนนี้
พลั่ก!
“... อึก!” ทำไมครานี้นางแรงเยอะเหลือเกิน หรือเพราะเขากำลังเมามายด้วยฤทธิ์สารเสพติด เมื่อเธอผลักเขาลงไปนั่งกับพื้นหญ้าก็กระทำได้โดยง่าย คนตัวเล็กกว่าโน้มลงขึ้นคร่อมร่างกายกำยำของเขาในท่านั่ง พร้อมดวงตาสีรวงข้าวที่สะกดเขาจนละสายตาไปที่ไหนไม่ได้
เหงื่อกาฬเริ่มไหลลงมาจากข้างขมับ เขาราวกับเหมือนถูกสะกด มีอิทธิฤทธิ์คล้ายๆ ผีอำ จนสาวเจ้าแลบลิ้นเลียริมฝีปาก
ผีกะตายโหง หรือว่านผีโพงที่ปลูกไว้สูบเลือดสูบเนื้อทั้งหลาย ช่วยกูที
เมื่อสุดท้ายเขาต้องจากกับเธอ ทั้งความตายที่เคยเป็นคำสาปแช่งที่มาจากอคติ ทั้งความรู้สึกชิงชังในวันนั้น ที่ในวันนี้มันกลายเป็นเพียงคำหลอกลวง เพราะเขานั้นหลงรักอีแพรวตั้งแต่แรกเจอแรกเริ่มอาจจะเป็นเพราะดวงหน้าที่คล้ายคลึงกับดอกรัก จนรู้สึกไปเองว่านั่นอาจเป็นความชิงชังที่ดูคล้ายกับยาพิษอันหอมหวาน ความรู้สึกในตอนที่ร่วมรักกับเธอ นั่นราวกับการมอบพรหมจรรย์ให้กับโอกาสสุดท้ายที่ก้าวเข้ามา ไม่ว่าหล่อนจะเป็นใครแปลงกายมากันแน่ทุกวันเขาบอกตนเองว่า ดอกรักไม่มีจริง คนที่คล้ายคลึงกับดอกรักเองก็ไม่มีจริงเช่นเดียวกัน ผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้านั้น ไม่ใช่ดอกรัก เธอเป็นเพียงสัตว์ประหลาด ที่หน้าตาคล้ายกับคนอัครที่เขาเคยรักเท่านั้นการปฏิบัติตัวที่ผ่านมากับแพรวพราวนั้น ราวกับเป็นการชดเชยในสิ่งที่ตัวเองอยากจะทำกับดอกรักมาโดยตลอด ที่เธอเคยปฏิเสธเขา ที่เธอทำท่ารังเกียจรังงอนเขา ที่เธอไม่แม้แต่จะมอบดวงใจให้เป็นของเขา เขาใช้ความรู้สึกน่ารังเกียจด้านมืดเหล่านี้ ส่งต่อให้กับแพรวพราวซึ่งไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับไร ในเรื่องราว ระหว่างเขา และอดีตคนที่เขาแอบรักมาโดยตลอดเลยสักนิดแต่เมื่อรู้ว่าหล่อนไม่ใช่มนุษย์ อคตินั้นยิ่งบ
“แพรว ข้า...” ฝ่ามือหยาบหนานั้นกำหมัดแน่นจนสั่นเทิ้ม เขาแค้นใจและนึกอาฆาตเธอมาตลอดทั้งเรื่องราว แต่ทันทีที่เธอยอมรับความคิดนั้นของเขาและยอมที่จะตายโดยไม่มีข้อแม้ เขากลับรู้สึกเจ็บปวดไปทั้งหัวใจ “ข้า... ไม่กล้าพอที่จักฆ่าเจ้า ข้าจึงใช้สังวรีราพณ์เป็นข้ออ้างเท่านั้น”“แล้วมันต่างกันตรงไหน?”“วันนี้ข้ารู้แล้วว่าเจ้าคือสิ่งสำคัญ ข้าไม่ได้อยากขอโอกาสจากเจ้า ข้ารู้ว่ากำลังถูกหลอกใช้ แต่ข้า... กลับใช้สิ่งนั้นเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจเพียงเพื่อที่จะกำจัดเจ้า เจ้าจักไปจากข้าก็ได้ แต่ขออย่างเดียวให้ข้าได้แก้ไขในสิ่งที่ข้าเคยทำผิดพลาดไปด้วยเถิด” พ่อหมอไม่ได้เข้าใจความรู้สึกของตนเองอย่างถ่องแท้หรอก เขาก็แค่กลัวว่าจะเสียเธอไปทั้งอย่างนี้เท่านั้น เพราะความรู้สึกในตอนที่เห็นว่าไม่มีเธออยู่ตรงนั้น และห้องอันว่างเปล่านั่นทำให้เขาทรมานยิ่งกว่าตอนที่ดอกรักตายจากไปในอ้อมแขนของเขาเสียอีกอาจจะเพราะหล่อนหน้าตาคล้ายกับเมียที่ตายจากไปแล้วก็ได้ ผู้หญิงที่เขาจะไม่มีวันได้ครอบครอง ผู้หญิงที่ทั้งหัวใจมีเพียงแค่พรานสมิงเท่านั้น ผู้หญิงที่แม้แต่ลูกที่เขาเฝ้าดูแล ยังไม่ใช่ลูกที่เกิดมาจากเลือดเนื้อของเขาด้วยซ้ำเขาทำลา
คำพูดของพรานสมิงทำให้แพรวพราวได้ฉุกคิด ที่ผ่านมาเธออาจไม่อยากยอมรับความจริงที่ว่าที่เธอรักนับสิบ และคิดว่าเขาคือคนที่อยู่เคียงข้างเธอ แสนดีกับเธอมาโดยตลอด อาจจะเป็นความรู้สึกถึงชัยชนะที่เธอมีต่อฟ้าลดา ผู้หญิงที่เป็นที่ต้องการของแม่มากกว่าเธอ เมื่อเธอตั้งท้องและคันศรไม่ต้องการกัน ทำให้แพรวพราวรู้สึกเหมือนถูกปฏิเสธอีกครั้ง เธอเสียใจ และเมื่อเขาพาวาดรักเข้ามา เธอจึงรู้สึกเหมือนถูกเหยียบย่ำตัวตนของตนเองจนลบเลือนหายไปที่บอกว่าการไม่มีแม่ก็ไม่เห็นเป็นไรที่จริงแล้วเธออาจจะโกหกตัวเอง การที่เธอบอกว่าเธอรักนับสิบอาจจะเพราะว่ามันคือชัยชนะที่โหยหามาโดยตลอด กับผู้ชายที่ฟ้าลดาหลงรัก แพรวพราวไม่มีวันลืมวันที่เธอก้าวเข้าหาเขา เพราะว่าข่าวลือที่ฟ้าลดาคนนั้นชอบพอกับคนในวงการเดียวกันที่เล่นละครด้วยกันเป็นคู่พระนางตลอดมาเหมือนที่ฟ้าลดาเป็นที่ต้องการของแม่มากกว่าเธอผู้หญิงคนนั้นไม่ได้ทำอะไรผิด เธอไม่รู้เรื่องราวการมีอยู่ระหว่าง DNA ของแม่กับแพรวพราวด้วยซ้ำ นับสิบเองก็ไม่ได้ผิดที่หลงรักเธอ มันก็แค่ความเห็นแก่ตัว และต้องการเรียกร้องความรักจากแม่ของเธอเท่านั้นมันก็แค่ความอิจฉาที่น่ารังเกียจของเธอเอง... ค
“นึกสงสัยขึ้นมาได้แล้วหรือแม่หญิงของข้า?”แต่ทว่าในขณะที่กำลังจมอยู่ในห้วงความคิดของตนเอง ท่ามกลางร่างใหญ่มหึมาของกานพลูนั้นปรากฏร่างของชายผู้หนึ่งโผล่ตัวขึ้นมาเหนือกายยักษ์ของช้างเชือกนั้น“... พรานสมิง” แพรวพราวยอมรับตามตรงว่าตกใจ ก็ไหนว่าเขาหนีหายออกไปแล้วยังไงล่ะ เพราะว่ารับไม่ได้ที่เธอตั้งท้องกับคันศร หรือว่าผัวเธอโป้ปดกันอีกแล้ว?“คิดถึงข้าหรือไม่” เขาไถ่ถาม โดยไม่ดูสถานการณ์ว่าหล่อนกำลังเข้าตาจนอยู่เลยสักนิด“นะ... ไหนพี่ศรบอกว่านายหนีไปแล้ว?”“ข้าแค่แวะไปหาลูกเท่านั้นแล” ชายหนุ่มทำได้แค่เพียงยักไหล่ปัดป้องและบอกความเป็นจริง “โดนทิ้งมาอีกแล้วสินะ”หากแต่ประโยคต่อมากลับทำให้เธอรู้สึกเจ็บที่หัวใจดวงน้อยๆ โดยไม่มีสาเหตุ จะว่าอย่างนั้นก็ไม่เชิง หรือจะยอมรับว่ามันไม่ใช่ก็ได้ เพราะเธอเป็นคนตัดสินใจหนีออกมาด้วยตัวเองต่างหาก… แต่นั่นก็เพราะว่าคนๆ นั้นแสดงออกว่าไม่ต้องการกันแล้วไม่ใช่หรือยังไง ก็เลยเจ็บใจเหมือนโดนแทงใจดำกันอย่างช่วยไม่ได้“พูดบ้าๆ ฉันต่างหากที่อุ้มท้องหนีออกมาเพราะเขาพาคุณวาดรักกลับมาที่เรือนนั่น” หญิงสาวคิดว่าเธอไม่จำเป็นต้องโกหกผู้ชายตรงหน้าหรอก เขาเห็นสภาพน่าสมเพชน
อยู่ดีๆ เมื่อรู้ว่าหล่อนได้หนีหายออกไปหลังจากที่เขาได้พาวาดรักกลับมาและปลดแอกทุกอย่าง คันศรที่เคยมั่นอกมั่นใจว่าเขาเกลียดชังหล่อนเหลือเกิน และต้องการจะฆ่าหล่อนมากที่สุด กลับรู้สึกเจ็บปวดกับการที่ไม่มีเธออยู่ในห้อง และได้รับรู้ว่าเธอหนีออกไปแล้วเพราะทนอยู่ร่วมกันไม่ได้อีกต่อไป การตามหาเธออาจจะยากเย็นเพราะว่าอีกฝ่ายไม่ใช่มนุษย์ แถมยังเป็นอสุรกายในตำนานอีกต่างหาก ยิ่งอีกฝ่ายต้องการจะหนีหน้าเขาด้วยแล้ว คงสามารถลบกลิ่นอายของเดรัจฉานได้จนไม่เหลือร่องรอยเป็นแน่ทำไมเขาถึงได้เพิ่งมารู้สึกตัวเอาป่านนี้?ทำไมถึงเพิ่งมารู้สึกได้ว่าเธอและลูกสำคัญกับเขาเพียงไหน ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่าลูกในท้องนั้นอาจจะไม่ใช่เด็กคนหนึ่ง แต่จะเป็นยาพิษเสียด้วยซ้ำ“ภูติผีทุกตนที่กูมีอยู่ในขณะนี้ จงออกไปตามหานางแลพานางกลับมาหากูให้ได้ ไม่ว่าจะเจอนางในสภาพไหน ก็จงบอกนางว่ากู...” ท้ายประโยคเขากลืนน้ำลายเพียงอึกเดียวด้วยความยากเย็นที่จะกล้าก้าวผ่านทิฐิที่สูงเสียดฟ้า เผลอลืมตัวไปว่าเคยพูดว่าเกลียดเธอขนาดไหน ก่อนที่จะกลั้นใจโพล่งขึ้นประกาศิตออกมา “ต้องการนาง”เงามืดจำนวนมากหลุดพ้นออกไปจากเขตอาคมของเขา และออกตามหาหญิงสาวที่เ
“อย่างไรลูกก็รู้สึกไม่ดีเจ้าค่ะ ที่ราวกับว่าจะเข้ามาคั่นกลางระหว่างพ่อกับเมียของท่านเช่นนี้”วาดรักโพล่งขึ้นมาหลังจากที่คันศรเข้ามาดูแลเธอด้วยการนวดปลายนิ้วเท้าที่ชาวางลงกับขันรองน้ำอุ่น คอยนวดส่วนไม่งามและอาจผิดครูให้ลูกที่ไม่ใช่เลือดเนื้อเชื้อไขของตนทั้งที่ไม่จำเป็นเลยด้วยซ้ำแน่นอนว่าเขาเองไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่ถึงเข้ามาทำเช่นนี้โดยไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย หลังเห็นว่าลูกสาวที่พากลับมาที่บ้านกำลังพยายามนวดปลายนิ้วเท้าของตนเอง อาการชาน่าจะมาจากท้องที่ใหญ่โตเกินร่างกายไปกระมังแม้นิสัยจะไม่ใช่คนที่มีความละเอียดอ่อนอะไรนัก แต่เขาเองก็พอเคยดูแลเมียท้องแก่ที่ไม่ได้รักเขาเลยอยู่บ้าง จะให้มาดูแลลูกเลี้ยงที่ไม่มีแม้แต่เลือดเนื้อของตนเองเลยอีกก็ไม่เห็นเป็นอะไรเลยนี่ก็แค่... อาจเพราะว่าดวงของเขาดึงดูดมาแต่คนที่ไม่ได้เป็นของตัวเองมาทั้งชีวิตก็ได้ล่ะมั้งหากแต่สิ่งเดียวที่ชัดเจนในวันนี้... คือหลังจากที่วาดรักได้กลับมาที่นี่ ความรู้สึกสงบในจิตใจจึงได้หวนคืนกลับมาอีกครั้ง อาจเพราะได้เจอกับผู้หญิงคนนั้นชีวิตที่ผ่านมาจึงปั่นป่วนรวนเร ทั้งความรู้สึกแย่ๆ จิตใจอันคิดลบและความฟุ้งซ่านเกี่ยวกับอดีตที่เลวร