อิสรภาพที่ได้สัมผัสเพียงชั่วครู่หอมหวานราวน้ำผึ้ง แต่ความเป็นจริงที่ตามมานั้นขมขื่นยิ่งกว่าบอระเพ็ด กงหยางเหวินยืนสูดอากาศบริสุทธิ์ยามค่ำคืนอยู่ได้ไม่นาน ก็ต้องเผชิญหน้ากับตรรกะอันสมบูรณ์แบบของพระเอกที่เขาไม่อาจโต้แย้งได้
“เราออกมาแล้ว แต่ภารกิจยังไม่สำเร็จ” เจิ้งเฟิงเยวี่ยเอ่ยขึ้นเรียบ ๆ ขณะเช็ดคราบเลือดออกจากคมกระบี่ด้วยผ้าผืนหนึ่ง “พวกเราเพียงแค่เดินผ่านถ้ำของพวกมัน แต่ไม่ได้ปราบพวกมันตามที่รับภารกิจมา”
กงหยางเหวินอยากจะเอาหัวโขกกับต้นไม้ข้าง ๆ ให้ตาย ๆ ไปเสียตรงนั้น
‘ใครสนภารกิจนั่นกันเล่า! เรารอดแล้ว แถมยังได้สมบัติมาอีก! นี่มันกำไรเห็น ๆ แล้วนะ!’ เขาคิดอย่างหัวเสีย แต่ก็รู้ดีว่าความคิดแบบตัวประกอบผู้รักตัวกลัวตายเช่นเขา ใช้ไม่ได้ผลกับบุรุษผู้เปี่ยมด้วยคุณธรรมและความรับผิดชอบตรงหน้านี้แน่
“แต่... แต่ว่าท่านเพิ่งจะหายดีนะ” เขาพยายามยกเหตุผลข้าง ๆ คู ๆ “การกลับเข้าไปอีกครั้งมันเสี่ยงเกินไป”
“ข้าหายดีแล้ว” เจิ้ง
ภายในโถงถ้ำที่บัดนี้เงียบสงัดลงแล้ว เหลือเพียงกลิ่นคาวเลือดจาง ๆ และซากก็อบลินที่นอนเกลื่อนกลาดเป็นเครื่องยืนยันถึงการต่อสู้อันดุเดือดที่เพิ่งผ่านพ้นไป กงหยางเหวินยืนนิ่งราวกับถูกสาป สายตาของเขาจับจ้องอยู่ที่หน้าจอสถานะโปร่งแสงที่ปรากฏขึ้นเฉพาะในสายตาของเขา บรรทัดสุดท้ายนั้นโดดเด่นราวกับตัวอักษรสีเลือดที่ถูกจารึกไว้บนโชคชะตาของพระเอก‘เป็นไปไม่ได้’ สมองของเขาขาวโพลนไปชั่วขณะ ‘เรื่องนี้มันไม่เคยอยู่ในพล็อตของข้า! คำสาปบ้าบออะไรกัน! ตัวเอกของข้าควรจะแข็งแกร่งขึ้นเรื่อย ๆ อย่างราบรื่นจนกระทั่งไปเจอบอสใหญ่ไม่ใช่รึไง! นี่มันอะไรกัน! หรือว่าโลกใบนี้มันกำลังเขียนเรื่องราวของตัวเองขึ้นมางั้นรึ?’ความหนาวเยือกแล่นจับขั้วหัวใจของเขา นี่ไม่ใช่แค่การทะลุมิติเข้ามาในนิยายที่ตัวเองเขียนอีกต่อไปแล้ว แต่มันคือการเข้ามาอยู่ในเรื่องราวที่กำลังเปลี่ยนแปลงไปจากต้นฉบับอย่างน่าสะพรึงกลัว“มีอะไรผิดปกติรึ?” เสียงเรียบ ๆ ของเจิ้งเฟิงเยวี่ยดังขึ้น ปลุกเขาให้ตื่นจากภวังค์แห่งความตื่นตระหนก
อิสรภาพที่ได้สัมผัสเพียงชั่วครู่หอมหวานราวน้ำผึ้ง แต่ความเป็นจริงที่ตามมานั้นขมขื่นยิ่งกว่าบอระเพ็ด กงหยางเหวินยืนสูดอากาศบริสุทธิ์ยามค่ำคืนอยู่ได้ไม่นาน ก็ต้องเผชิญหน้ากับตรรกะอันสมบูรณ์แบบของพระเอกที่เขาไม่อาจโต้แย้งได้“เราออกมาแล้ว แต่ภารกิจยังไม่สำเร็จ” เจิ้งเฟิงเยวี่ยเอ่ยขึ้นเรียบ ๆ ขณะเช็ดคราบเลือดออกจากคมกระบี่ด้วยผ้าผืนหนึ่ง “พวกเราเพียงแค่เดินผ่านถ้ำของพวกมัน แต่ไม่ได้ปราบพวกมันตามที่รับภารกิจมา”กงหยางเหวินอยากจะเอาหัวโขกกับต้นไม้ข้าง ๆ ให้ตาย ๆ ไปเสียตรงนั้น‘ใครสนภารกิจนั่นกันเล่า! เรารอดแล้ว แถมยังได้สมบัติมาอีก! นี่มันกำไรเห็น ๆ แล้วนะ!’ เขาคิดอย่างหัวเสีย แต่ก็รู้ดีว่าความคิดแบบตัวประกอบผู้รักตัวกลัวตายเช่นเขา ใช้ไม่ได้ผลกับบุรุษผู้เปี่ยมด้วยคุณธรรมและความรับผิดชอบตรงหน้านี้แน่“แต่... แต่ว่าท่านเพิ่งจะหายดีนะ” เขาพยายามยกเหตุผลข้าง ๆ คู ๆ “การกลับเข้าไปอีกครั้งมันเสี่ยงเกินไป”“ข้าหายดีแล้ว” เจิ้ง
มันเปรียบเสมือนบทละครที่ถูกขยำทิ้งลงถังขยะไปแล้ว แต่โลกใบนี้กลับเก็บมันขึ้นมาปัดฝุ่นแล้วนำมาจัดแสดงใหม่อย่างหน้าตาเฉย!ความจริงข้อนี้ทำให้หยางเหวินรู้สึกหนาวเยือกไปถึงไขกระดูก อำนาจในฐานะผู้สร้างของเขามันลึกล้ำ และน่ากลัวกว่าที่เขาคิดไว้มากนัก“ท่านรู้ที่มาของมันด้วยรึ?” เจิ้งเฟิงเยวี่ยเอ่ยถามเมื่อเห็นหยางเหวินยืนนิ่งไปนาน การแสดงออกของหยางเหวินในสายตาของเขาคือความไม่แยแสต่อของล้ำค่า ราวกับว่าสมบัติระดับนี้เป็นเพียงของธรรมดาสามัญสำหรับเขาเท่านั้น“อ่า... ก็เคยได้ยินมาบ้าง” หยางเหวินตอบเสียงอ่อย พลางรีบเก็บซ่อนความตื่นตระหนกไว้ภายใต้ใบหน้าที่เรียบเฉย “ในเมื่อมันเป็นยาชั้นดีเช่นนี้ ท่านก็รีบดื่มมันเสียสิ แผลของท่านจะได้หายสนิท”เขากล่าวพลางผายมือไปยังขวดยา มันเป็นการกระทำที่ออกมาจากใจจริง เพราะยิ่งเจิ้งเฟิงเยวี่ยหายเร็วเท่าไหร่ เขาก็จะยิ่งปลอดภัยมากขึ้นเท่านั้นเจิ้งเฟิงเยวี่ยมองลึกเข้าไปในดวงตาของหยางเหวิน เขาเห็นเพียงความว่างเปล่า แต่เขากลับตีค
“บ้าที่สุด! ติดอยู่ในถ้ำที่ตัวเองไม่ได้เขียนด้วยซ้ำ! ไอ้เส้นทางที่ปลอดภัยที่สุดของข้าก็นำมาสู่หายนะชัด ๆ! นี่ข้าเป็นนักเขียนประเภทไหนกันวะเนี่ย ขนาดพล็อตของตัวเองยังคาดเดาไม่ได้เลย!”เจิ้งเฟิงเยวี่ยยืนมองดูพฤติกรรมแปลก ๆ ของหยางเหวินอย่างเงียบ ๆ ในสายตาของเขา การเดินวนไปวนมา และคำพูดพึมพำเหล่านั้นไม่ใช่การเสียสติ แต่เป็นการวิเคราะห์สภาพแวดล้อมอย่างลึกซึ้งต่างหาก“แล้วดูกำแพงบ้านี่สิ!” หยางเหวินชี้ไปที่ทางตันอย่างหัวเสีย “โคตรจะดาษดื่น! ทางตันหลังอุโมงค์ถล่มเนี่ยนะ! ถ้าข้าเป็นคนเขียนล่ะก็ อย่างน้อย ๆ ก็ต้องใส่ปริศนาอะไรไว้บนกำแพงบ้าง หรือไม่ก็มีสวิตช์ลับซ่อนอยู่ ไม่ใช่แค่กำแพงโง่ ๆ น่าเบื่อแบบนี้!”เขาเดินเข้าไปทุบกำแพงเบา ๆ ด้วยความหงุดหงิด ก่อนจะถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วทิ้งตัวพิงกำแพงนั้นอย่างหมดแรง “โอ๊ย เหนื่อยเป็นบ้าเลยโว้ย”และในวินาทีที่แผ่นหลังของเขาพิงลงไปบนจุดหนึ่งของกำแพงนั่นเอง...ครืด... ครืดดดดด...เสียงหินเสียดสีกันดังก้องขึ้นมาจาก
ทั้งสองคนเดินเรียงหนึ่งเข้าไปในอุโมงค์ลับ บรรยากาศข้างในนั้นอับทึบและคับแคบยิ่งกว่าข้างนอกหลายเท่า พวกเขาต้องเดินเบียดเสียดไปตามทางเดินที่กว้างพอสำหรับคนคนเดียวเท่านั้น ความมั่นใจของกงหยางเหวินที่เคยมีอยู่อย่างเต็มเปี่ยมเริ่มสั่นคลอนเล็กน้อยเมื่อเขาตระหนักว่า ในความทรงจำของเขาอุโมงค์นี้มันควรจะเงียบไม่ใช่หรอกเหรอ แต่ตอนนี้เขากลับได้ยินเสียงบางอย่างกึกกัก... กึกกัก...มันเป็นเสียงขูดขีดที่ดังมาจากข้างหน้า เป็นเสียงที่น่ารำคาญและชวนให้ขนลุกในเวลาเดียวกัน‘เสียงอะไรวะ?’ หยางเหวินขมวดคิ้ว ‘ในพล็อตไม่ได้มีบอกไว้นี่นา หรือว่าข้าจะลืมรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ ไป?’ความมั่นใจของเขาในยามนี้นั้นช่างเปราะบางราวกับแผ่นน้ำแข็งในฤดูใบไม้ผลิ ที่พร้อมจะแตกสลายได้ทุกเมื่อเจิ้งเฟิงเยวี่ยเองก็หยุดเดินเช่นกัน เขาทำสัญญาณมือให้หยางเหวินเงียบ แล้วเงี่ยหูฟังอย่างตั้งใจ “มีสิ่งมีชีวิตอยู่ข้างหน้า หลายตัวด้วย”“จะเป็นก็อบลินได้ยังไง” หยางเหวินเผลอโพล่งออกมา
“ขอบคุณ” เจิ้งเฟิงเยวี่ยรับถุงเงินมาโดยไม่แสดงสีหน้าใด ๆ ก่อนจะเดินตรงไปยังกระดานภารกิจขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่กลางโถงกระดานภารกิจนั้นเปรียบเสมือนบันไดสู่ชื่อเสียงและเงินทอง แต่สำหรับพวกเขาในตอนนี้ มันคือฟางเส้นสุดท้ายที่ต้องคว้าเอาไว้ บนกระดานเต็มไปด้วยใบประกาศที่เขียนภารกิจต่าง ๆ ไว้มากมาย ตั้งแต่การคุ้มกันคาราวานสินค้า ไปจนถึงการล่าไวเวิร์นในเทือกเขาทางเหนือเจิ้งเฟิงเยวี่ยกวาดสายตามองภารกิจระดับสูงด้วยแววตาครุ่นคิด แต่ก็ส่ายศีรษะเล็กน้อย บาดแผลของเขายังไม่หายดีพอที่จะรับงานเสี่ยง ๆ เช่นนั้นได้ในขณะเดียวกัน กงหยางเหวินก็กำลังไล่สายตาอ่านภารกิจจากล่างขึ้นบน เขาไม่ได้มองหาภารกิจที่ให้รางวัลสูงที่สุด แต่กำลังมองหาภารกิจที่ปลอดภัยที่สุดต่างหาก และแล้วสายตาของเขาก็ไปสะดุดเข้ากับใบประกาศที่เหลืองกรอบใบหนึ่งในมุมที่ต่ำที่สุดของกระดาน[ภารกิจระดับ F: ปราบก็อบลินในถ้ำทางทิศเหนือ][รายละเอียด: ช่วงนี้มีก็อบลินกลุ่มหนึ่งเข้ามายึดถ้ำทางเหนือของเมืองและคอยดักปล้นชาวบ้านที่เดินทางผ่านไปมา ขอให้น