[7]
สิ่งที่ติดตามมาในความมืด "วันนี้ผมคงไปช่วยหลวงปู่บิณฑบาตไม่ไหวแล้วล่ะ" ฟีฟ่าเดินเดี้ยงออกมายังชานหน้าบ้านทั้งที่ยังอยู่ในชุดนอนตัวเก่ง เวลาตีห้ากว่าแล้วแต่ท้องฟ้ายังคงมืดสนิทและไม่มีวี่แววว่าพระอาทิตย์จะขึ้นสักนิด ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือเปล่าว่าตั้งแต่มาอยู่ที่นี่เหมือนเวลากลางคืนจะยาวนานกว่าปกติ "ไม่ไหวก็ไม่ต้องไป ไม่มีนายหลวงปู่ยังมีลูกศิษย์อีกเยอะ" "ชิ!" ร่างเล็กทิ้งตัวลงบนเก้าอี้ไม้สักทองและมองออกไปรอบตัวบ้าน กิ่งไผ่สูงท่วมหัวโอนเอนไปตามสายลมดูน่ากลัวจนต้องลุกไปนั่งอยู่ใกล้ ๆ กับภพภูมิ "เป็นอะไรอีกล่ะ" "ตะ..ต้นไผ่มันโยกไปโยกมา น่ากลัวยังไงก็ไม่รู้" ดวงตาคู่คมมองออกไปตามที่ฟีฟ่าบอก แม้ไม่เห็นเป็นตัวเป็นตนแต่ก็รู้ว่าสิ่งนั้นคืออะไร ในเมื่อต่างคนต่างอยู่เขาจึงไม่ทำอะไร และบริเวณเรือนไม้สีขาวก็ได้ทำการลงอาคมเพื่อป้องกันสิ่งเหล่านี้เอาไว้แล้ว "ถ้ากลัวแล้วจะมองทำไม กลัวมากก็มานั่งสมาธินี่" เอะอะก็จะให้นั่งสมาธิอยู่เรื่อย ไอ้ฟ่าไม่เอาด้วยหรอก แต่อีกคนไม่สนใจหลังก้มกราบสิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็เข้าสู่สมาธิโดยมีฟีฟ่านั่งอยู่ข้าง ๆ คนไม่มีอะไรทำก็เริ่มง่วงขึ้นมาสุดท้ายก็ฟุบหลับไปบนตักของภพภูมิ เปลือกตาสีอ่อนเปิดขึ้น รู้สึกจิตใจสงบกว่าที่ผ่านมา ดวงตาคู่คมเหลือบมองร่างเล็กที่นอนหนุนตักอยู่พลันขมวดคิ้วแน่น เพราะไอ้โรคจิตนี่เหรอ ไม่ใช่หรอกมั้ง.. คิดพลางจับคอเสื้อของฟีฟ่าเอาไว้ตั้งใจจะโยนตัวออกไปเหมือนทุกครั้ง แต่สายตาเจ้ากรรมดันเหลือบไปเห็นแก้มก้นขาวโผล่ออกมาจากกางเกงวิ่งตัวเดิมถึงกับต้องเปลี่ยนมากุมขมับแทน พลันให้นึกถึงร่างเปลือยที่เคยขยับโยกอยู่บนกายแกร่งในคืนที่แสนจะเร่าร้อนนั้น "แม่งเอ๊ย.." ภพภูมิจับศีรษะทุยยกขึ้นและขยับตัวออกโดยเอาเบาะรองนั่งมาหนุนให้แทน ร่างสูงลุกกลับไปในห้องเพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้าและลงจากเรือนไป โดยทิ้งฟีฟ่าให้นอนอยู่ลำพัง เวลาใกล้หกโมงเช้าแต่บริเวณเรือนไม้สีขาวยังคงมืด ทั้งที่โดยรอบเริ่มมีแสงอาทิตย์สาดส่องลงมาแล้ว ภพภูมิเดินหายเข้าไปในป่าไผ่ที่สูงท่วมหัว ตรงไปยังจุดนัดหมายกับลูกน้องคนสนิท "ของที่คุณภพสั่งได้แล้วครับ" ภพภูมิรับถุงใส่อาหารที่สั่งให้ลูกน้องคนสนิทเอามาส่ง เปิดดูได้ของครบตามที่สั่ง จากนั้นจึงถามถึงความคืบหน้าของงานที่ให้ไปทำ "มีอะไรคืบหน้าบ้างมั้ย" "ครับ สายรายงานมาว่าระยะนี้คุณภีมมีการติดต่อกับหัวหน้าสาขาที่ไม่เห็นด้วยกับนโยบายของอดีตนายใหญ่ ส่วนคุณเท็นมะกำลังจับตาดูคุณคิมอยู่ ถ้ามีอะไรคืนหน้ามากกว่านี้คุณเท็นมะบอกว่าจะคุยกับคุณภพเองครับ" แม้จะไม่ได้ข้อมูลอะไรเพิ่มเติมมากนักแค่ก็ยังดีกว่าไม่ได้อะไรเลย ตัวเขาตอนนี้ยังทำอะไรมากไม่ได้นอกจากรอฟังข่าวจากคนที่ไว้ใจได้ พร้อมเมื่อไหร่เขาจะจัดการเรื่องทั้งหมดด้วยตัวเองอีกครั้ง "นายกลับไปได้แล้ว และอย่าให้ใครรู้ว่าฉันอยู่ที่นี่" "ครับ" ชายหนุ่มโน้มตัวเล็กน้อยเพื่อทำความเคารพก่อนหมุนตัวเดินออกจากป่าไผ่ไป ภพภูมิยืนมองลูกน้องคนสนิทจนพ้นสายตา จากนั้นจึงหันหลังและเดินกลับไปยังเรือนไม้สีขาวโดยไม่รู้ตัวว่ากำลังถูกจับตามองโดยใครบางคนที่แอบซ่อนอยู่ในที่ลับตา พอกลับขึ้นเรือนก็เห็นร่างเล็กยังนอนอยู่ที่เดิม ภพภูมิจึงนำอาหารที่สั่งมาไปวางบนโต๊ะ เพียงแค่หยิบแก้วกาแฟขึ้นมากลิ่นหอมก็ลอยฟุ้งไปทั่ว จมูกรั้นขยับฟุดฟิดเมื่อได้กลิ่นหอมจากกาแฟราคาแพงจึงลืมตาตื่นขึ้นทันที "ขี้งก! แอบกินกาแฟคนเดียวอีกแล้วนะ" คนอยากกินโวยวายโดยที่ไม่มองบนโต๊ะให้ดีก่อนว่ามีแก้วกาแฟอีกใบวางอยู่ด้วย "ดูท่านายคงอยากจะนอนไปตลอดชีวิตใช่มั้ย โน่น..ของนายอยู่นั่นไง!" ดวงตาคู่คมมองไปยังแก้วกาแฟแบรนด์ดังอีกใบก่อนมองใบหน้าสะลึมสะลือของฟีฟ่า คนตัวเล็กยิ้มแหย ๆ พลางทิ้งตัวลงบนเก้าอี้ไม้สักทองอีกตัวและหยิบกาแฟขึ้นดื่มและยิ้มอย่างฟิน ของฟรีนี่มันอร่อยจริง ๆ สมัยทำงานเขาได้ดื่มแค่อาทิตย์ละแก้วเท่านั้นเพราะสู้ราคาไม่ไหว และถ้าเฮียยูโรรู้ว่าเขาฟุ่มเฟือยก็จะโดนดุอีก นอกจากกาแฟแล้วภพภูมิยังสั่งอาหารเช้าเผื่ออีก เขาบอกกับฟีฟ่าว่าต่อไปไม่ต้องแบ่งข้าววัดมาอีกเพราะกับข้าวส่วนใหญ่ฟีฟ่ากินไม่เป็น เมื่อวานก็เหลือทิ้งตั้งเยอะ เห็นแล้วเสียดายของ สู้เอาไปให้คนอื่นกินยังมีประโยชน์กว่า เวลาบ่าย.. คนมาปฏิบัติธรรมเพื่อสะเดาะเคราะห์ตอนนี้กำลังนอนเกลือกกลิ้งอยู่บนแคร่ใต้ต้นลีลาวดีแทนที่จะไปนั่งสมาธิเจริญสติเหมือนคนอื่นเขา ฟีฟ่าถูกแยกตัวออกมาเพราะเหตุผลบางอย่างจึงไม่ได้เคร่งครัดมากนัก เขาได้รับอนุญาตให้ไม่ต้องใส่ชุดขาวขณะอยู่ที่นี่ยกเว้นตอนไปช่วยหลวงปู่ถือของใส่บาตรและตอนเข้าไปในเขตวัด อย่างช่วงเย็นวันนี้หลวงปู่จะมีเทศนาให้ญาติธรรมฟัง ซึ่งฟีฟ่าต้องไปด้วย หลังทำวัตรเย็น ภพภูมิและฟีฟ่าซึ่งสวมชุดขาวด้วยกันทั้งคู่ได้พากันมายังจุดที่หลวงปู่ใช้เทศนาธรรมซึ่งเป็นลานกว้าง ขณะเดินออกจากป่าช้าฟีฟ่าได้แอบมองร่างสูงที่อยู่ในชุดเหมือนกัน อีกคนกลับดูมีสง่าราศีมากกว่านัก แต่ใบหน้าหล่อยังคงความน่าเกรงขามอยู่ไม่น้อย พอมาถึงที่หมายพวกเขากลับพบเพียงหลวงปู่และลูกศิษย์หนึ่งคนเท่านั้น จึงพากันเข้าไปก้มกราบท่าน "สีหน้าดูดีขึ้นกว่าเมื่อวานอีกนะ" หลวงปู่เอ่ยทักภพภูมิ สีหน้าเต็มไปด้วยความพึงพอใจก่อนจะหันมาทางฟีฟ่าและสนทนากันสั้น ๆ จากนั้นจึงเรียกให้ทั้งคู่ย้ายมานั่งด้านข้างโดยหันหน้าเข้าหาลานกว้าง "ได้เวลาแล้ว โยมทั้งสองย้ายมานั่งตรงนี้สิ" ภพภูมิและฟีฟ่าขยับไปนั่งด้านข้างหลวงปู่ พอหันกลับมาทางลานกว้างอีกครั้งก็พบผู้คนจำนวนไม่น้อยกว่าสามสิบคนมานั่งอยู่เบื้องหน้า ไม่รู้ว่ามากันตอนไหนเพราะไม่ได้ยินเสียงฝีเท้าสักนิด ภพภูมิและลูกศิษย์ของหลวงปู่ดูไม่สงสัยอะไรยกเว้นฟีฟ่า อยากจะถามแต่ถูกภพภูมิห้ามไว้ ผู้ที่มาฟังธรรมในยามนี้ดูสำรวมนัก หลวงปู่เริ่มเทศนาโดยได้ยกเรื่องราวในพระไตรปิฎกตอนหนึ่งออกมาเทศนาให้ญาติธรรมฟัง ทุกคนล้วนนั่งก้มหน้านิ่งและฟังด้วยความตั้งใจ ไม่มีการพูดคุย ต่างไม่สนใจคนข้าง ๆ บรรยากาศรอบตัวมีเพียงเสียงของหลวงปู่ที่ดังก้องกังวานแม้ไม่ได้ใช้เครื่องขยายเสียง สลับกับเสียงหมาหอนดังมาเป็นระยะ "เป็นอะไร สำรวมหน่อยสิ" เสียงทุ้มพูดอยู่ข้างหูฟีฟ่าเมื่อมือเล็กบีบท่อนแขนแกร่งแน่น "ตะ..ตรงนั้น.." ฟีฟ่ามองเลยกลุ่มคนที่มาฟังธรรมออกไป เห็นเป็นเงาสูงกว่าต้นมะพร้าวโอนเอนไปมาในความมืด "อย่าไปมอง ไม่มีอะไรหรอก" "ตะ..แต่ฟ่ากลัว" "ถ้ากลัวก็หลับตา" มือหนาดันศีรษะฟีฟ่าแนบไปกับต้นแขนแกร่ง ร่างเล็กสั่นเทาด้วยความกลัวจนภพภูมิสัมผัสได้ ดวงตาคู่คมมองทอดไปเบื้องหน้ามองญาติธรรมแล้วหันกลับมามองฟีฟ่าอีกครั้งพลางถอนหายใจ ถ้าฟีฟ่ารู้ว่าคนพวกนี้เป็นใครมีหวังหัวใจวายตายก่อนแน่ เวลาผ่านไปนานเท่าไรไม่รู้ รู้แต่ตลอดเวลาที่หลวงปู่แสดงธรรมฟีฟ่าไม่กล้าลืมตามองไปข้างหน้า กระทั้งถูกเรียกด้วยเสียงทุ้มอีกครั้งจึงลืมตาขึ้นก็ไม่พบคนที่มาฟังธรรมสักคน "คนไปไหนหมดแล้วล่ะ?" "ก็กลับกันหมดแล้วนะสิ" ตอนนี้บริเวณลานกว้างนอกจากเขาและภพภูมิก็มีเพียงหลวงปู่กับลูกศิษย์หนึ่งคนเท่านั้น น่าแปลก..เขาก็ไม่ได้นอนหลับนี่นาทำไมถึงไม่ได้ยินเสียงฝีเท้าสักนิดเลยล่ะ คนตั้งเยอะถ้าลุกเดินเขาน่าจะรู้สึกตัวบ้างสิ "ดึกแล้ว โยมสองคนกลับไปพักผ่อนเถอะ" หลวงปู่บอกกับทั้งคู่พร้อมลุกขึ้นจากอาสนะโดยมีลูกศิษย์ช่วยประคอง "อ้อ..ขากลับเดินระวังกันหน่อยนะ ทางมันมืด" และได้ย้ำกับทั้งสองคนอีกครั้งว่าให้เดินอย่างระมัดระวังเพราะทางมันมืด "ครับ หลวงปู่" ภพภูมิและฟีฟ่าก้มกราบลาหลวงปู่และพากันเดินกลับไปทางหลังวัด พอเข้าเขตป่าช้ารอบตัวก็มืดสนิทจนมองไม่เห็นทาง ไฟสักดวงก็ไม่มี มีเพียงแสงจากไฟฉายกระบอกเดียวในมือของภพภูมิที่สาดไปด้านหน้า "เดินดี ๆ สิ เกาะติดแบบนี้มันเดินไม่ถนัดรู้มั้ย!" ท่าเดินของฟีฟ่าไม่ปกติ ขาเขาสั่นยิ่งกว่าตอนอยู่ที่ลานแสดงธรรมเสียอีก จิตแข็งแค่ไหนลองมาเดินในป่าช้าตอนห้าทุ่มเที่ยงคืนต้องมีจิตหลุดกันบ้างล่ะ ยิ่งคนประสาทอ่อนอย่างฟีฟ่าไม่ต้องพูดถึง "ฮือ..พี่ภูมิอย่าทิ้งฟ่านะ ฟ่ากลัว" "ถ้านายไม่หยุดทำเสียงแปลก ๆ และเดินดี ๆ ฉันทิ้งนายแน่!" พอได้ยินว่าจะโดนทิ้งฟีฟ่าก็กลัวหนักกว่าเก่า แม้ภพภูมิจะใช้ทางที่สั้นกว่ากลับเรือนแต่ฟีฟ่ากลับรู้สึกเหมือนมันไกลขึ้นเป็นสิบกิโล ยิ่งใกล้ถึงเรือนไม้สีขาว อากาศกลับเริ่มเย็นลงเรื่อย ๆ แม้แต่ภพภูมิยังขนลุก ไม่ใช่ว่ากลัวแต่สัมผัสได้ถึงบางอย่างที่เคลื่อนไหวอยู่รอบตัว ดวงตาคู่คมมองสำรวจไปรอบ ๆ ก่อนมือหนาจะกระชับตัวฟีฟ่าเข้ามาใกล้กว่าเดิม "มะ..มีอะไรเหรอ?" "ใกล้ถึงเรือนแล้ว เดินให้เร็วกว่านี้หน่อย" พูดนะง่ายแต่อย่าลืมสิว่าไอ้ฟ่าขาสั้น จู่ ๆ ภพภูมิก็สาวเท้าเร็วขึ้น ก้าวเดียวของเขาเท่ากับฟีฟ่าสองก้าวแล้วอย่างนี้จะไปตามทันได้ยังไง "พะ..พี่ภูมิช้าหน่อย ฟ่าตามไม่ทัน" เห็นเรือนไม้สีขาวอยู่ไม่ไกลขายาวก็จ้วงเดินเร็วขึ้น พื้นที่ไม่เรียบบวกกับรองเท้าแตะหนีบทำให้ฟีฟ่าเดินไม่ถนัดและสะดุดเข้าจนได้ มือที่จับชายเสื้อคนข้างหน้าหลุดออกทำให้ล้มหน้าคะมำ "ฟ่า!" ร่างสูงหันกลับมาดู ส่องไฟฉายเห็นฟีฟ่านอนคว่ำหน้าอยู่กับพื้นจึงเข้าไปช่วยดึงตัวขึ้น "เดินยังไงให้หกล้มวะ!" "ก็พี่เล่นก้าวยาวขนาดนั้น ฟ่าจะไปตามทันได้ยังไงเล่า!" ฟีฟ่าเถียงกลับไปและค่อย ๆ พาตัวเองลุกขึ้น ทันใดนั้น ได้มีเงาดำพุ่งมาจากทางด้านหลังของฟีฟ่าตรงเข้ามาหมายจะขย้ำ ภพภูมิจึงใช้ท่อนแขนปัดมันออกไปก่อนจะมาถึงตัว "มีอะไรหรือครับ?" ฟีฟ่ามองไม่เห็นเงาดำนั้น เขารู้สึกเหมือนมีลมวูบหนึ่งผ่านหลังไปเท่านั้น หลงเหลือเพียงกลิ่นเหม็นสาบที่ยังคละคลุ้งอยู่ ยิ่งทำให้ฟีฟ่าหลอนกว่าเก่า "ไม่มีอะไร รีบลุกขึ้นเร็ว" มือหนาหิ้วร่างของฟีฟ่าจนลอยจากพื้นและบอกให้รีบเดินตามมา ฟีฟ่าจับชายเสื้อคนข้างหน้าไว้แน่นและเดินตามติดแผ่นหลังกว้างจนถึงเรือนท่ามกลางสายตาแดงก่ำนับสิบคู่ที่จับจ้องมายังพวกเขาสองคน ครั้นพอย่างเท้าเข้าสู่บริเวณเรือนไม้สีขาวบรรยากาศที่แสนจะอึมครึมก็อันตรธานหายไปในทันที เหลือเพียงเสียงโหยหวนที่ดังไล่หลังของทั้งสองคนมา ซึ่งแม้แต่ฟีฟ่ายังได้ยิน ยิ่งทำให้คนตัวเล็กกลัวจนตัวสั่น ยังดีที่มันดังอยู่ไม่นานก็หายไปและทุกอย่างก็กลับเข้าสู่ความเงียบของรัตติกาลอีกครั้ง ภพภูมิรู้อยู่แล้วว่าสิ่งที่ติดตามเขาและฟีฟ่ามานั้นไม่สามารถเข้ามาในอาณาเขตของเรือนไม้สีขาวแห่งนี้ได้ เพราะนอกจากจะมีอาคมป้องกันแล้วสิ่งที่สถิตอยู่ ณ ที่แห่งนี้ยังไม่ธรรมดาอีกด้วย "ไปอาบน้ำซะ" เสียงทุ้มออกคำสั่งเมื่อเห็นชุดขาวของฟีฟ่าเปื้อนดินตอนที่หกล้ม แต่คนกลัวผีไล่ให้ตายยังไงก็ไม่ไป "ผมอาบไปแล้วเมื่อตอนเย็น จะอาบทำไมอีก" นอกจากจะไม่ยอมอาบน้ำแล้วฟีฟ่ายังกระโดดขึ้นไปนอนบนฟูกก่อน ตั้งใจจะให้ภพภูมิเป็นคนปิดไฟเอง "เดี๋ยวนายต้องมานอนข้างฉัน มันสกปรก" "ไม่! ฟ่าไม่อาบ ถ้าพี่กลัวสกปรกคืนนี้พี่ก็ไม่ต้องมากอดฟ่าสิ" เรื่องอะไรจะยอม นอนกับฟีฟ่านอกจากจะหลับสนิทแล้วเหมือนดูเหมือนพลังพิเศษของเขาดูเหมือนจะค่อย ๆ กลับมาอีกด้วย แต่ในเมื่ออีกฝ่ายไม่ยอมอาบน้ำจึงสั่งให้ไปเปลี่ยนชุดใหม่และเช็ดตัวให้สะอาดแทน โดยเขาต้องยอมลงไปเอาน้ำใส่กะละมังมาให้ "อย่าคิดว่าฉันพิศวาสนายนะ ถ้าตัวนายมีกลิ่นเหม็นฉันโยนนายลงเรือนแน่!" ขู่เขาแล้วยังจะนอนกอดเขาอีก คนอะไรหน้าไม่อายจริง ๆ หลังปิดไฟในห้องแล้วร่างสูงจึงกลับที่ไปฟูกและทิ้งตัวลงนอน แขนแกร่งดึงร่างเล็กเข้ามาแนบอก ตัวของฟีฟ่าไม่เหม็นกลิ่นเหงื่อให้หงุดหงิดกลับเป็นกลิ่นเฉพาะกายที่ชวนให้สบายใจ ใบหน้าหล่อน่าเกรงขามฝังปลายจมูกลงบนเรือนผมสีอ่อน ไม่นานก็เคลิ้มหลับไป มารู้สึกตัวอีกทีเมื่อมีบางสิ่งมาถูไถกับต้นขาแกร่ง จึงลืมตาขึ้นมองเห็นฟีฟ่ากำลังใช้ลำท่อนขนาดน่ารักถูกับต้นขาอยู่ จากที่ง่วงถึงกับตาสว่างขึ้นทันที "อะ..ไอ้โรคจิต นี่มึงจะข่มขืนต้นขากูเหรอ!!" "มะ..ไม่ใช่นะ ฟังฟ่าก่อน!" คนพี่ไม่ฟังอะไรทั้งนั้น เขาจับคอเสื้อของฟีฟ่าด้วยมือเดียวและเหวี่ยงร่างเล็กไปกระแทกกับมุมห้อง จุดเดิมกับเมื่อครั้งก่อนเป๊ะ "โอ๊ย..ทำบ้าอะไรของพี่น่ะ!" "กูต้องเป็นฝ่ายถามมากกว่า มึงคิดจะลักหลับกูเหรอ!" "ใช่ที่ไหนกัน พี่ต่างหากล่ะที่ลักหลับฟ่า!" ภพภูมิเบิกตากว้างมองร่างเปลือยท่อนล่างของคนตัวเล็กก่อนเหลือบมองกางเกงขาสั้นที่หล่นอยู่บนฟูก เขาไม่เชื่อหรอกว่าตัวเองจะละเมอถอดกางเกงของอีกฝ่ายออก กลับกัน..น่าจะเป็นฟีฟ่านั่นแหละที่ถอดเองและพยายามจะลักหลับเขาตอนพิเศษ - เจย์ - ภาคินแสงสียามค่ำคืนบนถนนบันเทิงเป็นสิ่งที่คนอย่างผมโปรดปรานมากที่สุด แม้อายุจะยังไม่ถึงยี่สิบปี แต่ผมก็สามารถตะลอนหาความสนุกได้โดยอาศัยเส้นสายของภูวเดชเดชานอกจากหน้าตาที่หล่อเหลาเหนือมนุษย์แล้วด้วยความที่เป็นทายาทคนหนึ่งของตระกูลทำให้ผมเป็นที่หมายปองของนักเที่ยวราตรีอย่างล้นหลาม สเปคของผมไม่ใช่สาวสวยหรือน่ารักแต่เป็นหนุ่มหน้าหวาน ซึ่งผมไม่เคยขาดแคลนเลย แต่ที่โปรดปรานที่สุดก็คือคนสวยขาที่ร้อนแรงและพร้อมจะถ่างขาให้ผมตลอดเวลา"อื้มม..อ๊าา..คุณคิน แรง ๆ กระแทกผมให้แรงกว่านี้อีก อ๊าา.."ทุกครั้งหลังดีลกันในผับเรียบร้อยแล้วผมจะพาพวกเขาไปเริงรักต่อยังโรงแรมระดับห้าดาว ผมเปิดห้องที่มีราคาแพงที่สุดให้กับพวกเขาเพราะเสียงครางด้วยความเสียวซ่านจะช่วยกระตุ้นอารมณ์ผมจนกระเจิง บ่อยครั้งที่ผมขยับโยกอย่างรุนแรงพวกหนุ่มหน้าหวานถึงกับเข่าทรุดไม่เป็นท่า และทุกครั้งหลังเสร็จกิจผมจะมีค่าตอบแทนให้จำนวนหนึ่งเพื่อป้องกันความยุ่งยากที่จะตามมาผมจะไม่ยุ่งกับคนเดิมซ้ำเป็นหนที่สองเว้นเสียแต่ว่าเด็ดจริง ๆ ดังนั้นจึงมีหลายคนไม่พอใจกับการถูกผมเอาและทิ้งในครั้งเดียว ฉะนั้นผมจึงค่อนข้างระวังตัวเองเป
ตอนพิเศษ - มังกร - ภีมเมื่ออายุครบสิบสองปีทายาทของภูวเดชเดชาจะต้องเลือกคนคุ้มกันขึ้นมาหนึ่งคน โดยคนผู้นี้จะอยู่ข้างกายเพื่อปกป้องผู้เป็นนาย ตราบลมหายใจสุดท้ายของชีวิตก๊อก ๆ"เข้ามา""ขออนุญาตครับ ท่านผู้นำเชิญคุณภีมให้ไปพบที่ห้องทำงานครับ" ร่างสูงก้มศีรษะลงอย่างนอบน้อมผมปิดหนังสือในมือลงเมื่อคนของคุณพ่อเข้ามาภายในห้องก่อนลุกขึ้นและเดินนำเขาออกไปโดยไม่พูดอะไร เมื่อไปถึงก็พบคุณพ่อ อาธีร์ นั่งอยู่บนโซฟา ภายในห้องนั้นยังมีเด็กชายอายุรุ่นราวคราวเดียวกับผมอยู่อีกหนึ่งคน"คุณพ่อต้องการพบผม มีอะไรหรือเปล่าครับ"?"นั่งก่อนสิ"ผมเข้าไปนั่งข้างคุณพ่อ มือหนาวางลงบนศีรษะอย่างอ่อนโยนก่อนหันไปเรียกเด็กชายคนนั้นเพื่อมาแนะนำให้ผมรู้จัก"นี่คือมังกร เขาจะมาเป็นผู้คุ้มกันของลูก ลูกคิดว่าเป็นยังไงบ้างล่ะ"ผมมองสำรวจเด็กชายที่มีอายุเท่ากันตั้งแต่หัวจดเท้าก่อนลุกขึ้นประจันหน้า ส่วนสูงของเขาทำให้ผมถึงกับต้องขมวดคิ้ว คนอายุรุ่นราวคราวเดียวกับผมน้อยคนนักที่จะมีส่วนสูงมากกว่า ไหนจะกล้ามเนื้อที่โตเกินวัยและผิวที่คล้ำแดดนั่นอีก"ผมยังไงก็ได้ครับ" ผมตอบคุณพ่อไปมังกรไม่ใช่เด็กคนแรกที่คุณพ่อพามาให้ผมเลือก ก่อนห
ตอนพิเศษ - เรือนไม้สีขาว..พ่อยอดขวัญยอดดวงใจของพี่แก้ว พี่จะรอพ่ออยู่ ณ ที่แห่งนี้ ตลอดไป..สายลมพัดเอื่อยผ่านมาทางเรือนไม้สีขาว กระทบกระดิ่งลมเกิดเป็นเสียงกังวานฟังเพราะเสนาะหูเรือนไม้สีขาวหลังน้อยปลูกอยู่อย่างโดดเดี่ยวท่ามกลางแมกไม้นานาพันธุ์ โดยเฉพาะแก้วเจ้าจอมที่ส่งกลิ่นหอมฟุ้งไปทั่ว ด้านหลังเป็นป่าไผ่ต้นสูงท่วมหัว ถัดออกไปมีบึงน้ำขนาดใหญ่ผ่านอยู่ไหลสายหนึ่งด้วยสุขภาพที่ไม่แข็งแรงทำให้ผมต้องมาอาศัยอยู่ ณ สถานที่แห่งนี้เพียงลำพัง อากาศที่บริสุทธิ์จะช่วยให้อาการป่วยของผมไม่หนักหนาเหมือนตอนอยู่พระนครในแต่ละวันของผมผ่านไปอย่างเชื่องช้าและเงียบเหงานอกจากอ่านตำราและวาดภาพ การไปเดินเล่นริมบึงหลังป่าไผ่ยังไม่สามารถคลายความเบื่อหน่ายนี้ลงไปได้ทิวาผันผ่านล่วงเข้าสู่รัตติกาลแห่งวัน ณ ที่แห่งนี้ยังคงมีเพียงผมเช่นเดิม ผมเคยคิดอยู่บ่อยครั้งว่าจะต้องจบชีวิตอยู่ที่เรือนสีขาวแห่งนี้เพียงลำพัง แต่อย่างน้อยก่อนจะถึงวันนั้นขอให้ความอ้างว้างในใจผมได้เบาบางลงสักนิดก็ยังดีและในที่สุดคำขอก็เป็นจริง เมื่อวันหนึ่งสายลมได้พัดพาคนผู้นั้นเข้ามาในชีวิตของผม"เห็นเดินมาทางนี้นี่นา หายไปไหนแล้วล่ะ""ทางนั้
[23] คิดถึงนะ "มองอะไรอยู่ไอ้ฟ่า ไปกันได้แล้ว" เลิฟเรียกฟีฟ่าที่เอาแต่ยืนมองไปรอบกุฏิของหลวงปู่ ทั้งที่คนอื่น ๆ นั่งรออยู่ในรถกันหมดแล้ว หลังกราบลาหลวงปู่และได้รับพรมาชุดใหญ่ทุกคนจึงเดินทางกลับกรุงเทพฯ คิดว่าฟีฟ่าจะกระดี๊กระด๊ารีบไปให้ไว ที่ไหนได้กลับอิดออดไม่ยอมขึ้นรถสักที "จะไม่มาส่งจริง ๆ เหรอเนี่ย" ฟีฟ่าเริ่มถอดใจเมื่อไม่เห็นเงาหัวของภพภูมิโผล่ออกมาให้เห็น จนได้ยินเสียงเพื่อนเลิฟตะโกนเรียกอีกครั้งจึงรีบเดินไปขึ้นรถ เพราะหากมีครั้งที่สามจะต้องเป็นเสียงเฮียยูโรแน่ "ไอ้คนใจดำ จำไว้เลย ถ้ามาง้อทีหลังไอ้ฟ่าจะไม่ให้ยกโทษให้แน่ คอยดูสิ!!" เขาต่อว่าภพภูมิก่อนมุดตัวเข้าไปในรถและยังแช่งให้คนพี่นอนไม่หลับ ตั้งใจว่าต่อไปจะไม่เป็นหมอนข้างให้อีกแล้ว ยูโรขับรถพาทุกคนมุ่งหน้าเข้าสู่กรุงเทพฯ ตลอดทางราบรื่นไร้อุปสรรค ใช้เวลาไม่นานก็มาถึงบ้านสวนบรรยากาศร่มรื่นที่มีพื้นที่เล็ก ๆ ไว้สำหรับปลูกต้นไม้ขาย ฟีฟ่าฝากให้ป๊าช่วยปลูกต้นไผ่ที่ได้รับมาไว้ที่หลังบ้าน ซึ่งจุดนั้นตรงกับระเบียงห้องของยูโรพอดี ราวกับถูกจัดเตรียมไว้ล่วงหน้า แม้ไม่ชอบใจแต่ยูโรก็ไม่ได้ขัดอะไร "วันนี้ไม่ออกไปสมัครงานเหรอ
[22] ลาก่อนเรือนไม้สีขาว ภพภูมิยืนอยู่ท่ามกลางวงล้อมของกลุ่มมือปืนที่ต่างกำลังจดจ่อวัตถุสีดำมาทางเขา มือหนากำแน่นจนสั่นด้วยความเจ็บใจที่มองไม่เห็นหนทางที่จะช่วยฟีฟ่าเพราะตอนนี้แม้แต่ตัวเองยังเอาไม่รอดเลย "เจอกันชาติหน้านะครับคุณภพ ป่านนี้คุณพ่อคุณคงรอจนเมื่อยแล้ว" รอยยิ้มเหี้ยมปรากฏขึ้นบนใบหน้าของธีร์ก่อนจะสั่งให้ลูกน้องกระหน่ำยิงคนตรงหน้า เมื่อตอนรถตกเหวไปพร้อมกับอดีตนายใหญ่ยังอุตส่าห์รอดชีวิตมาได้ คราวนี้ถ้าไม่ตายก็ไม่รู้จะว่าไงแล้ว "อย่ายิงนะ..พี่ภูมิ!!" ฟีฟ่าตะโกนห้ามแต่ไม่ทันเสียแล้ว สมุนของธีร์ลั่นไกแทบจะพร้อมกัน โดยมีเป้านิ่งคือภพภูมิ ปัง! ปัง! ปัง! เอี๊ยดดดดด!! เสียงปืนรัวขึ้นดังจนหูแทบดับแต่ช้ากว่ารถยนต์ติดกระจกกันกระสุนที่ขับพุ่งเข้ามาขวางด้านหน้าของภพภูมิเอาไว้ ร่างสูงย่อตัวลงเพื่อหลบคมกระสุนที่ยิงเลยหลังคารถมาได้อย่างหวุดหวิด "รอพี่นานมั้ยจ๊ะที่รัก" คนในรถลดกระจกลงพลางยักคิ้วข้างหนึ่งทักทายภพภูมิ มือหนาดันแว่นตากันแดดขึ้นพลางขยิบตาให้ "เงียบปากไปเลยไอ้เท็นมะ แล้วไอ้เจย์ล่ะ!" "ไอ้เจย์ไปจัดการข้างบนแล้ว เห็นมันว่าจะไปดูหน้าเมียมันด้วย ช่วงนี้ได้ข่าวว่าติดเ
[21] คนบงการ"ผมขอเสนอให้คุณธีร์เป็นผู้นำคนต่อไป"เสียงทุ้มพูดชัดเจนทำให้เกิดเสียงฮือฮาขึ้นภายในห้องประชุมขนาดใหญ่ ธีร์แสดงท่าทีลำบากใจเมื่อถูกคะยั้นคะยอให้ยอมรับ ฝ่ายที่สนับสนุนธีร์ต่างแสดงเจตจำนงชัดเจนว่าเขาเหมาะสมกับตำแหน่งนี้ที่สุดทางด้านฝ่ายที่สนับสนุนอดีตนายใหญ่ต่างหันมองกันด้วยความตกใจ ไม่คิดว่าจะมีคนกล้าเสนอชื่อธีร์ให้ขึ้นเป็นผู้นำคนต่อไป แต่เสียงของผู้ที่สนับสนุนเขาก็ยังดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง"ผมเห็นด้วยที่จะให้คุณธีร์เป็นผู้นำคนใหม่""ผมก็เหมือนกัน""ทุกท่านกรุณาคิดให้ดี ๆ ก่อนนะครับ ผมคิดว่าตัวผมไม่มีความสามารถขนาดนั้นหรอกนะครับ" ธีร์ลุกขึ้นยืนและบอกทุกคนในห้องอย่างถ่อมตนในขณะที่หลายคนพยายามผลักดันให้เขาขึ้นรับตำแหน่งให้ได้"คุณธีร์ติดตามอดีตนายใหญ่มานาน ฝีไม้ลายมือย่อมดีกว่าพวกเด็กเมื่อวานซืนเยอะ เพื่อความก้าวหน้าของพรรค ผมขอสนับสนุนคุณธีร์อีกเสียงครับ""ใช่แล้ว ถ้าไม่ใช่คุณธีร์ก็ไม่มีใครเหมาะสมแล้ว"ฝ่ายที่เชียร์ธีร์ต่างส่งเสียงสนับสนุนเขาเต็มที่ เมื่อเทียบกับคนที่ไม่เห็นด้วยแล้วมีจำนวนมากกว่าทำให้ฝ่ายสนับสนุนอดีตนายใหญ่ต้องนั่งเงียบ อยากจะลุกจากเก้าอี้แต่ก็อยากรู้ข้อความ