共有

บทที่ 6 ตัดสัมพันธ์

last update 最終更新日: 2025-08-02 14:33:52

หลายวันมานี้ไป๋เยว่ซินพยายามเรียนรู้ทุกอย่างจากคนตระกูลไป๋ จึงทำให้นางเริ่มจะทำทุกอย่างได้อย่างคล่องแคล่วขึ้นมาบ้าง อีกทั้งนางยังรู้สึกสนุกกับมันมากอีกด้วย

บางคราสวรรค์อาจจะเห็นใจที่นางเคยประสบเคราะห์ร้าย จึงมอบชีิวิตที่แสนเงียบสงบเช่นนี้มาให้นาง

ช่วงฤดูร้อนพืชผักที่สามารถปลูกได้ก็จะมี แตงกวา ถั่วฝักยาวและฟัก ไป๋เยว่ซินไม่อยากจะรั้งรอเวลาอีก นางคิดว่าควรจะลงมือทำได้แล้ว จึงชักชวนคนในบ้านเริ่มทำการเพาะปลูกทันที ท่านลุงใหญ่ของนางนั้นมีความรู้เรื่องนี้อยู่บ้าง อีกทั้งยังบอกว่าแต่ก่อนตอนที่ท่านปูยังมีชีวิตอยู่ก็เคยเพาะปลูกผักพวกนี้ไปขาย แต่ระยะหลังยิ่งทำยิ่งขาดทุนจึงไม่ทำอีก วันนี้ได้กลับมาปลูกผักอีกครั้ง มันทำให้ท่านลุงใหญ่และท่านพ่อของนางรู้สึกเหมือนว่าได้ย้อนเวลากลับไปสมัยวัยเด็กอีกครา

ไป๋ฟานไปช่วยบิดาตัดไม้มาทำเป็นเสาหลักและไม้เถาเพื่อให้ใบของพืชผักได้เลื้อยไปเกาะเกี่ยวได้สะดวก ส่วนป้าสะใภ้ใหญ่และท่านแม่ของนางก็ชวยกันรดน้ำเพาะปลูก ไป๋เซียงและอาหลิงกำลังก่อไฟทำอาหาร ส่วนนางเองก็กำลังช่วยไป๋ฟานใช้เชือกมัดไม้เถาที่สวน

ไป๋เยว่ซินมองดูพี่ชายตนคราหนึ่ง เพราะครอบครัวของนางรักใคร่ปรองกองกันมาก นางจึงไม่ได้เรียกไป๋ฟานอย่างห่างเหินว่าญาติผู้พี่ แต่กลับเรียกเขาว่าพี่ใหญ่ และเรียกไป๋เซียงว่าพี่รอง ส่วนนางคือน้องเล็ก ช่วงเวลาที่ได้ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันเช่นนี้ มันทำให้ไป๋เยว่ซินรู้สึกผูกพันกับพวกเขามากขึ้นเรื่อยๆ

"พี่ใหญ่"

"หืม?"

ไป๋ฟานที่กำลังใช้เชือกมัดไม้เถาเมื่อได้ยินน้องสาวเอ่ยเรียกจึงหันมายิ้มให้นาง ไป๋เยว่ซินจ้องมองพี่ชายตนพลางมีท่าทีครุ่นคิด ก่อนจะตัดสินใจเอ่ยออกไป

"พี่ใหญ่ ท่านอยากสอบเป็นขุนนางจริงๆหรือ"

ไป๋ฟานพลันชะงักไปคราหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยตอบ

"แน่นอนอยู่แล้ว ทำไมกัน หรือว่าเจ้าไม่อยากให้พี่ใหญ่ไปสอบ"

ไป๋เยว่ซินยิ้มและส่ายหน้าเล็กน้อย

"ที่ไหนกัน ข้าเพียงเป็นห่วงท่าน ข้าเคยได้ยินมาว่าขุนนางที่นครหลวงพวกนั้นทั้งเจ้าเล่ห์ทั้งกลับกลอก ข้ากลัวว่าท่านเข้าไปเป็นขุนนางแล้ว จะเสียรู้พวกเขา"

ไป๋ฟานเมื่อได้ฟังในใจก็เย็นวาบคราหนึ่ง ที่สำนักศึกษาเขาเองก็เคยได้ยินเรื่องเหล่านี้มาจากสหายที่มีบิดาและพี่น้องอยู่ในแวดวงขุนนางที่นครหลวงเช่นเดียวกัน ไม่คิดเลยว่าน้องเล็กจะเข้าใจเรื่องพวกนี้ด้วย

"เจ้านี่ รู้เยอะไม่เบาเลยนะ"

"ข้าก็ต้องไปสืบเสาะข่าวคราวมาอยู่แล้ว พี่ใหญ่ ข้ารู้ว่าท่านกำลังแบกความหวังของทุกคนในบ้านเอาไว้ แต่ข้าอยากให้ท่านยึดความต้องการของตนเองเป็นหลัก ข้าเพียงเป็นห่วงท่าน แต่ถ้าท่านยังยืนยันที่จะเดินบนเส้นทางนี้ ข้าก็พร้อมจะสนับสนุนท่าน"

ไป๋ฟานยื่นมือมาลูบศีรษะน้องสาวด้วยความเอ็นดู

"พี่ใหญ่เข้าใจแล้ว เจ้าไม่ต้องกังวล พี่ใหญ่จะดูแลตนเองเป็นอย่างดี อย่างไรพี่ใหญ่ก็ต้องสอบเป็นขุนนางให้ได้ บ้านเราจะได้ลืมตาอ้าปากขึ้นมาได้บ้าง"

"เช่นนั้นข้าจะสนับสนุนพี่ใหญ่เอง"

สองพี่น้องยิ้มให้กันอย่างอ่อนโยน ไป๋เยว่ซินที่ได้ยินไป๋ฟานยืนยันหนักแน่นว่าอย่างไรก็ต้องสอบเป็นขุนนางให้ได้ นางก็ไม่อาจจะทัดทานเขาได้อีก วันเวลานับจากนี้ นางคงทำได้เพียงสนับสนุนเขาให้บรรลุความตั้งใจแล้ว

ใช้เวลาอยู่ครึ่งค่อนวัน ในที่สุดงานก็แล้วเสร็จไปเกือบครึ่ง

วันนี้ไป๋เซียงกับอาหลิงทำก๋วยเตี๋ยวคลุกน้ำมันพริกเป็นอาหารว่างให้ทุกคนได้กินรองท้องระหว่างพักให้หายเหนื่อยก่อนจะไปทำงานต่อ ไป๋เยว่ซินกินจนหมดชาม นางรู้สึกว่าอาหารชาวบ้านธรรมดาพื้นๆเช่นนี้กลับรสชาติดีกว่าอาหารในวังหลวงเป็นไหนๆ

ตอนนี้ไม่มีงานในสวนให้เหล่าสตรีอย่างพวกนางทำแล้ว ที่เหลือล้วนเป็นงานหนักๆของบุรุษ ป้าสะใภ้ใหญ่ และท่านแม่ของนาง รวมไปถึงอาหลิงรีบกลับบ้านไปเตรียมมื้อเย็นก่อนแล้ว ไป๋เซียงเองก็ไปจ่ายตลาด ไป๋เยว่ซินยังอยากอยู่ชมธรรมชาติอีกสักหน่อยจึงบอกว่าจะตามกลับบ้านไปทีหลัง อย่างไรเสีย ท่านลุง ท่านพ่อและพี่ชายก็ยังอยู่ที่นี่ นางค่อยรอกลับพร้อมพวกเขาก็ไม่ใช่ปัญหาอันใด

หญิงสาวเดินตรงมาตามทางเล็กๆไม่ไกลจากแปลงผักมากนัก เบื้องหน้ามีต้นลิ้นจี่ต้นหนึ่งที่กำลังออกผลกลมโตชวนให้ลองลิ้ม นางเอื้อมมือไปเด็ดผลที่อยู่ต่ำๆมาชิมผลหนึ่ง พบว่ามีรสชาติหวานอมเปรี้ยว ให้ความรู้สึกสดชื่นเป็นอย่างมาก

อยู่ๆในหัวของไป๋เยว่ซินก็คิดถึงชาลิ้นจี่ขึ้นมา

นางจำได้ว่าเสด็จแม่เคยมีตำราอาหารเล่มหนึ่งซึ่งเป็นความลับสุดยอดของสูตรอาหารจากแดนพิเศษเอาไว้ในครอบครอง อีกทั้งยังมีแมวดำหนึ่งตัวคอยช่วยชี้แนะ นางไม่รู้ว่าท่านแม่ไปได้มันมาจากที่ใด นางจำได้ว่ายามเสด็จแม่เปิดตำราเล่มนั้นออกมาจะเกิดแสงสีขาวเจิดจ้า มีสูตรอาหารที่แปลกตามากมายอยู่ในนั้น อีกทั้งยังสามารถเลือกเครื่องปรุงที่หน้าตาแปลกประหลาดออกมาปรุงอาหารได้ด้วย เสด็จแม่สอนนางถึงวิธีใช้ของมันจนนางจำได้ขึ้นใจ

ทว่าหลังจากที่เสด็จแม่ทรงสิ้นพระชนม์จากไป ตำราอาหารแสนวิเศษและเจ้าแมวดำตัวนั้นก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย

แม้นางจะจำวิธีการทำอาหารในนั้นได้ทั้งหมด แต่หากขาดวัตถุดิบที่มาจากตำราวิเศษเล่มนั้นก็ไม่อาจทำมันออกมาได้

ไป๋เยว่ซินมีสีหน้าหม่นหมองคราหนึ่ง

ช่างเถอะ ชะตาชีวิตของคนเราก็เป็นเช่นนี้ ขอเพียงนับแต่นี้นางขยันอีกสักหน่อย หาลู่ทางทำกินอย่างไม่ย่อท้อ ย่อมต้องสำเร็จผลเป็นแน่

หญิงสาวเด็ดลิ้นจี่มาหลายพวงก่อนจะวางลงในกระบุงที่นำติดมาด้วย ดวงตาคู่สวยมองขึ้นไปด้านบนยอดต้นไม้พบว่าลิ้นจี่ที่อยู่บนกิ่งสูงนั้นลูกใหญ่กว่ากิ่งด้านล่างเสียอีก นางจึงตัดสินใจปีนขึ้นไปบนต้นลิ้นจี่เพื่อเก็บมันมาเพิ่ม ต้นลิ้นจี่ต้นนี้ไม่ได้สูงเท่าใดนัก แต่ไหนแต่ไรตอนเป็นองค์หญิงใหญ่ นางก็ปีนกำแพงแอบหนีออกไปเที่ยวเล่นนอกวังหลวงอยู่บ่อยครั้ง ปีนต้นลิ้นจี่เพียงเท่านี้จะนับเป็นอันใดกัน!

แต่เพราะไม่ทันระวังทำให้ไป๋เยว่ซินพลัดตกลงมาจากต้นลิ้นจี่โดยไม่ทันตั้งตัว

หญิงสาวตื่นตระหนกเป็นอย่างมาก นางหลับตาเตรียมยอมรับความอัปยศ ครานี้ไม่ขาหักก็คงแขนหักเป็นแน่! 

แต่รออยู่นานกลับไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวด แต่กลับสัมผัสได้ว่าตอนนี้ใบหน้าของตนกำลังซบอยู่กับแผงอกของใครบางคน

เป็นพี่ใหญ่หรือ?

ไป๋เยว่ซินรีบลืมตาขึ้นไปมอง ภาพตรงหน้าทำเอานางถึงกับปั้นสีหน้าไม่ถูก

"แม่นางไป๋ ข้าเพิ่งรู้ว่าเจ้าตระกละถึงเพียงนี้ ถึงขนาดปีนขึ้นไปกินลิ้นจี่บนยอดไม้ ดูสิ น้ำลิ้นจี่เลอะเทอะเต็มปากเจ้าแล้ว"

เขากำลังเอ่ยหยอกเย้านาง แววตาที่มองก็ล้ำลึกราวมหาสมุทร ไป๋เยว่ซินที่เห็นเช่นนั้นก็รีบผละออกมากจากชายหนุ่ม พร้อมกับทำท่าทีปัดกระโปรงตนเพื่อแก้เก้อ 

หยางซีไม่ได้ดึงดันจะอุ้มนางอีก ก่อนหน้านี้เขาเห็นว่านางออกมาเดินเล่นเพียงลำพัง จึงตามมา ผู้ใดจะรู้ว่าอดีตองค์หญิงใหญ่ผู้สูงส่งกลับกำลังปีนขึ้นไปบนปลายยอดต้นลิ้นจี่อย่างเอาเป็นเอาตาย

ไม่ใช่ว่าเขาไม่เคยเห็นนางทำเรื่องเช่นนี้ยามที่นางปลอมตัวเป็นบุรุษก็กินดื่มเที่ยวเล่นจนติดเป็นนิสัย ทั้งปีนกำแพงวังหลวง ปีนต้นไม้ ไปเที่ยวหอนางโลมเพราะความอยากรู้อยากเห็นนางก็ทำมาแล้ว

แต่ยามนี้มันกลับดูน่ารักน่าชังกว่าแต่ก่อนเสียอีก

ไป๋เยว่ซินไม่อยากจะอยู่ใกล้ๆหยางซีนานจึงรีบเอ่ยกับเขาทันที

"ขอบคุณใต้เท้าหยางมากเจ้าค่ะ ข้าขอตัวก่อน"

หยางซียกยิ้มมุมปาก ก่อนจะเดินเข้ามาใกล้ๆนาง พลางเอ่ยถาม

"แม่นางไป๋ชอบกินลิ้นจี่หรือ หืม?"

หยางซียื่นหน้าเข้ามาใกล้ไป๋เยว่ซินจนนางได้กลิ่นหอมสุราอ่อนๆจากกายของเขา นางย่นหัวคิ้วพลางถอยหลังไปสองก้าว หญิงสาวรีบเก็บลิ้นจี่ใส่กระบุง ก่อนจะยกมันขึ้นมา แต่นางกลับยกไม่ขึ้นเพราะมันหนักเกินไป จึงคิดจะไปตามพี่ชายมาช่วย แต่ยังไม่ทันได้ทำเช่นนั้น หยางซีก็เป็นคนยกกระบุงนั้นไปเสียแล้ว 

ไป๋เยว่ซินยิ่งสงสัยเข้าไปใหญ่ หยางซีนี่เป็นคนเช่นไรกัน หรือเขาเกิดชอบเจ้าของร่างนี้จึงมาตามตอแยอย่างนั้นหรือ

นางไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าเขาจะเป็นพวกผู้ชายเจ้าชู้เช่นนี้

หยางซีมีหรือจะมองไม่ออกถึงความคิดของไป๋เยว่ซิน แต่เขากลับทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น

"นำทางสิ ข้าจะไปส่ง"

ไป๋เยว่ซินอยากจะปฏิเสธ แต่ยามนี้นางไม่มีปัญญาแบกกระบุงลิ้นจี่นี่กลับไปได้ จึงต้องยอมตามน้ำไป นางพาเขาเดินมาจนถึงแปลงผักแต่เมื่อมาถึงกลับไม่พบใครสักคน นางขมวดคิ้วมุ่นพลางเอ่ยออกมาด้วยความสงสัย

"พวกเขาไปที่ใดกัน หรือว่ากลับบ้านไปหมดแล้ว อย่างนั้นข้าจะเอาลิ้นจี่กลับไปเช่นไรเล่า?"

"ข้าไปส่ง นำทางเถอะ"

ไป๋เยว่ซินหันมามองหยางซีคราหนึ่งด้วยความอึดอัด ก่อนจะพยักหน้าให้เขาอย่างจนใจ

ช่างเถอะ ก็แค่ไปส่งที่บ้านมีอันใดน่ากระอักกระอ่วนใจกันเล่า

ระหว่างทางคนทั้งสองไม่ได้เอ่ยสนทนาอันใดกันแม้เพียงครึ่งประโยค หยางซีมองออกว่าไป๋เยว่ซินพยายามหลีกเลี่ยงการสนทนากับเขา นั่นยิ่งทำให้เขามั่นใจว่านางคือหมิงจูจริงๆ

หากเป็นไป๋เยว่ซินคนเก่าคงแสดงท่าทีเขินอายไปนานแล้ว แต่นี่นอกจากนางจะไม่เขินอายแล้ว ยังทำท่าทางราวกับเขาจะไปเผาบ้านนางเสียอย่างนั้น

เมื่อเข้ามาในหมู่บ้านผู้คนก็จับจ้องพวกนางเป็นตาเดียว ไป๋เยว่ซินรีบเดินเพราะอยากให้ถึงบ้านเร็วๆ เดินอยู่นานในที่สุดก็มาถึงเสียที นางรีบเดินเข้าไปในลานบ้าน ก่อนจะยกมือขึ้นเท้าสะเอวพลางเอ่ยอย่างเอาแต่ใจ

"ท่านพ่อ ท่านลุงใหญ่ พี่ใหญ่ พวกท่านทิ้งข้า ข้าไปเก็บลิ้นจี่เพียงครู่เดียวกลับมาก็ไม่เห็นพวกท่านแล้ว!"

คนทั้งหมดรับหันขวับมามอง ก่อนจะพบว่าไป๋เยว่ซินเพิ่งกลับมาถึงบ้าน ไป๋จงเองก็ตกใจไม่น้อย

"เยว่เอ๋อร์ เจ้าไปที่ใดมากัน พ่อคิดว่าเจ้าไปเดินเล่นในตลาดพร้อมพี่สาวเจ้าเสีกอีก อ้าว แล้วนั่นคือผู้ใดกัน เจ้าพาบุรุษจากที่ไหนมาบ้านเรากัน?"

        ทุกคนต่างมองไปที่หยางซีเป็นตาเดียว ในขณะที่บรรยากาศเริ่มจะอึดอัดเข้าไปทุกขณะ อยู่ๆไป๋เซียงก็กลับมาจากตลาดพอดี เมื่อนางเห็นหยางซีก็รีบเข้าไปทำความเคารพเขา ก่อนจะหันไปเอ่ยกับทุกคนในบ้าน

"นี่คือใต้เท้าหยางคนนั้นที่ช่วยข้าและน้องเล็กเอาไว้เจ้าค่ะ ว่าแต่เหตุใดท่านจึงมาอยู่ที่นี่ได้เล่า?"

ไป๋เยว่ซินรีบเอ่ยตอบตัดบทอย่างรวดเร็ว

“เขาช่วยข้าแบกลิ้นจี่กลับมา”

“ตายแล้ว น้องเล็ก เจ้าใช้ไต้เท้าหยางส่งเดชได้อย่างไรกัน!”

ไป๋เซียงเอ่ยขึ้นมาด้วยความตื่นตระหนก ไป๋เยว่ซินกลับหลอกตาไปมาด้วยความเหนื่อยหน่าย ผู้ใดใช้เขาส่งเดชกัน เขาเต็มใจทำเองต่างหากจะมาโทษนางได้อย่างไร

ด้านคนในตระกูลไป๋เมื่อได้ยินว่าหยางซีคือผู้มีพระคุณ ก็มีท่าทีนอบน้อมต่อเขาเป็นอย่างมาก อีกทั้งยังหาน้ำมาให้เขาดื่มและเอาผลไม้ที่พอจะมีติดบ้านออกมารับรองเขา หยางซีเองก็ไม่รังเกียจ 

ไป๋เยว่ซินมองดูหยางซีนั่งสนทนาพูดคุยกับครอบครัวนางอยางไม่ถือตนก็ขมวดคิ้วมุ่นคราหนึ่ง

เหมือนหยางซีจะดูแปลกไป แต่แปลกอย่างไรนางก็บอกไม่ถูก

หยางซีอยู่กินมื้อเย็นที่บ้านของนาง คนที่บ้านนางชอบเขามาก ยิ่งรู้ว่าเขาเป็นแม่ทัพก็ยิ่งเกรงอกเกรงใจมากกว่าเดิม

เวลาล่วงเลยมาจนพระอาทิตย์ลาลับ ท้องฟ้าถูกอาบย้อมด้วยสีดำ หยางซีจึงขอตัวกลับ ไป๋เยว่ซินเป็นคนเดินมาส่งเขาที่หน้าประตูบ้าน ตอนที่เดินออกมาจากในบ้าน นางก็ยื่นลิ้นจี่ให้เขาจำนวนหนึ่ง

"ให้ท่าน วันนี้ขอบคุณมาก"

หยางซีมองดูสาวน้อยที่ยื่นลิ้นจี่มาตรงหน้าตนคราหนึ่ง ก่อนจะรับมันมาถือเอาไว้

ในขณะที่กำลังจะหันหลังเดินจากไปก็ได้ยินนางเอ่ยกับเขาด้วยน้ำเสียงที่ห่างเหิน

"หากไม่จำเป็น ท่านอย่ามาที่นี่อีก และไม่ต้องให้คนของท่านนำของมีค่าอันใดมาให้ครอบครัวข้าอีก ท่านและข้าสถานะเราสองคนแตกต่างกัน ข้าไม่อยากถูกผู้คนกล่าวหาว่าไม่เจียมตน"

เอ่ยจบนางก็เดินกลับเข้าบ้านไปโดยไม่หันกลับมามองเขาอีก หยางซีไม่เอ่ยอันใดเพียงเดินจากไปเงียบๆ

ไป๋เยว่ซินชะงักฝีเท้า นางหันกลับไปมองยังประตูบ้าน อยู่ๆในใจพลันรู้สึกเจ็บแปลบขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก

ดูเหมือนว่าก้อนเนื้อใต้หน้าอกของนาง กำลังส่งเสียงร่ำไห้ด้วยความเจ็บปวดอย่างไรอย่างนั้น

この本を無料で読み続ける
コードをスキャンしてアプリをダウンロード

最新チャプター

  • เมื่อองค์หญิงใหญ่เกิดใหม่พร้อมตำราจากแดนพิเศษ    บทที่ 23 จำนนด้วยหลักฐาน

    ไป๋เยว่ซินโมโหนัก นางยกมือขึ้นนวดหว่างคิ้วตนเองคราหนึ่ง ด้านคนตระกูลไป๋ที่ทราบเรื่องที่เกิดขึ้นก็รีบเข้ามาเอ่ยปลอบใจไป๋เยว่ซินยกใหญ่ ไป๋จงบิดาของนางถึงกับบอกว่าหากทำอันใดไม่ได้ ก็ขายขาดสูตรขนมนั่นไปเสีย อย่างไรก็รับเงินของเถ้าแก่จางแล้ว ไป๋เยว่ซินส่ายหน้าไปมา พร้อมกับบอกทุกคนว่านางอยากอยู่คนเดียวสักครู่หนึ่ง เมื่อคนในบ้านได้ยินเช่นนั้นก็ไม่กล้าขัดใจนางจึงรีบออกไปจากห้องทันทีเมื่ออยู่เพียงลำพังแล้ว ไป๋เยว่ซินก็พยายามใช้สติไตร่ตรองว่าจะทำเช่นไรดี ฉับพลันนางก็หาทางออกวิธีหนึ่งขึ้นมาได้ในขณะที่นางกำลังจะไปจัดการตามแผนของตน ก็ได้ยินเจ้าแมวอาซานเดินเข้ามาในห้องพร้อมกับส่งเสียงร้อง เมื่อไป๋เยว่ซินหันไปมอง ก็พบว่ามันกำลังเดินตรงเข้ามาหานาง ก่อนจะวางกระดาษแผ่นหนึ่งลงตรงหน้าของนาง ไป๋เยว่ซินที่เห็นกระดาษตรงหน้าชัดๆก็ถึงกับอุทานออกมาด้วยความดีใจ"นี่มัน..."เจ้าแมวอาซานยกมือของตนขึ้นมาเลียอย่างเกียจคร้าน"นายหญิงน้อย นี่คือสัญญาการซื้อขายระหว่างท่านกับเถ้าแก่ชั่วนั่น ข้าไปเอาคืนมาให้ท่านแล้ว เถ้าแก่จางเป็นคนสั่งให้คนมาขโมยไปจริงๆ อีกทั้งข้ายังทราบอีกด้วยว่า ที่เขาสั่งแป้งขนมของท่านไปมากมาย เพ

  • เมื่อองค์หญิงใหญ่เกิดใหม่พร้อมตำราจากแดนพิเศษ    บทที่ 22 สัญญาซื้อขาย

    ร้านขนมหวานตระกูลจางตั้งอยู่ไม่ไกลจากภัตตาคารตระกูลหม่าเท่าใดนัก อีกทั้งยังเป็นร้านที่ใหญ่ที่สุดในอำเภอเซียงถง ผู้คนต่างแวะเวียนมาซื้อขนมหวานที่ร้านนี้กันอย่างไม่ขาดสาย เพราะมีขนมหลากหลายและรสชาติดี ไป๋เยว่ซินเคยซื้อมาชิมครั้งหนึ่ง พบว่าจะรสชาติดีแต่ออกจะหวานเลี่ยนเกินไปเสียหน่อย หวานจนแสบคอไปเสียด้วยซ้ำ ซ้ำร้ายขนมบางชิ้นเนื้อแป้งก็หยาบแข็งจนสากคออีกด้วยเถ้าแก่ร้านขนมหวานตระกูลจาง เป็นคนไม่ค่อยชอบความวุ่นวาย ได้ยินคนแถวนั้นบอกว่าสักเดือนหนึ่งเขาจะมาที่นี่สักครั้ง และไป๋เยว่ซินก็สืบทราบมาได้ว่าทุกวันที่สิบห้าของเดือนเขาจึงจะเข้าร้านไป๋เยว่ซินเดินเข้ามาในร้านพร้อมนำขนมเค้กฟักทองมาด้วย ขนมนี่เป็นสูตรลับที่นางได้มาจากตำราพิเศษ ไม่เคยมีผู้ใดทำขายมาก่อน เมื่อผู้ดูแลร้านเห็นว่านางเดินเข้ามาในร้านก็จำนางได้ทันที จึงรีบเข้ามาต้อนรับอย่างเป็นกันเอง"แม่นางน้อย วันนี้จะรับขนมใดดีขอรับ"ไป๋เยว่ซินยิ้มตาหยี พลางเอ่ยตอบ"ข้าอยากพบเถ้าแก่ร้าน พอดีว่าข้ามีขนมสูตรใหม่อยากให้เขาลองชิม และอยากทำข้อตกลงการค้าร่วมกับเขา"ผู้ดูแลร้านเมื่อได้ยินเช่นนั้นก็ใช้สายตาพิจารณามองไป๋เยว่ซินอย่างดูแคลนวูบหนึ่ง น้ำ

  • เมื่อองค์หญิงใหญ่เกิดใหม่พร้อมตำราจากแดนพิเศษ    บทที่ 21 เค้กฟักทองของไป๋เยว่ซิน

    ด้านไป๋เยว่ซินนั้น ตอนนี้กิจการที่นางทำร่วมกับเถ้าแก่หม่ากำลังไปได้สวยเป็นอย่างมาก ทุกๆวันภัตตาคารตระกูลหม่าจะมีลูกค้าแวะเวียนเข้ามาไม่ขาดสาย ผู้คนต่างพูดกันปากต่อปากว่าอาหารของภัตตาคารตระกูลหม่านั้นเลิศรสเป็นอย่างมาก ช่วยดึงดูดลูกค้าจากต่างอำเภอรวมไปถึงผู้คนที่สัญจรไปมาให้เข้ามาลองลิ้มชิมรสอีกด้วย เถ้าแก่หม่าถึงกับต้องจ้างคนงานเพิ่มอีกหลายคนเพื่อเข้ามาช่วยงานในภัตตาคารทุกๆสามวัน ไป๋เยว่ซินนำผักและเครื่องปรุงพิเศษไปส่งให้เถ้าแก่หยวนด้วยตนเอง อีกทั้งเถ้าแก่หยวนยังสั่งห้ามคนนอกเข้าไปในห้องครัวนอกจากแม่ครัวและคนที่เกี่ยวข้อง เมื่อมีคนมาสอบถามเขาก็ตอบโดยหน้าไม่เปลี่ยนสีว่านี่คือสูตรลับใหม่ของเขาที่ตกทอดมาจากบรรพบุรุษ เหล่าชาวบ้านที่อยากรู้อยากเห็นต่างผิดหวังไปตามๆกันในอำเภอเซียงถงแห่งนี้ นอกจากภัตตาคารตระกูลหม่าแล้ว ยังมีภัตตาคารตระกูลหวังอีกแห่งหนึ่งด้วย เมื่อสามปีก่อนบุตรชายของเถ้าแก่หวังสามารถสอบได้เป็นเป็นจ้วงหยวน และได้เข้าไปทำงานในราชสำนักที่นครหลวง รั้งตำแห่งขุนนางขั้นหกในกรมพิธีการ ทำให้มีคนในอำเภอนับหน้าถือตาเถ้าแก่หวังเป็นอย่างมาก กิจการก็ไปได้ดี แต่เถ้าแก่หม่าเคยได้ยินคนพูดว่

  • เมื่อองค์หญิงใหญ่เกิดใหม่พร้อมตำราจากแดนพิเศษ    บทที่ 20 ความวุ่นวายในจวนตระกูลหยาง

    งานเลี้ยงตระกูลหยางกลายเป็นที่โจษจันท์ไปทั่วนครหลวง ทั้งที่จวนกั๋วกงตั้งใจปิดเรื่องนี้ และส่งของขวัญไปให้ทุกจวนหมายจะใช้ของขวัญปิดปาก แต่เรื่องโสโครกของหยางเหลียนกลับถูกแพร่งพรายออกไปได้ ยามนี้ฮ่องเต้หมิงต่งและหยางฮองเฮาทรงทราบเรื่องแล้ว และยังทรงพิโรธเป็นอย่างยิ่ง ฮ่องเต้หมิงต่งต่อว่าหยางฮองเฮาไปหลายคำรบ และสั่งลงดาบทำโทษหยางเหลียนห้ามออกไปพบหน้าผู้คนในช่วงระยะเวลานี้จวนตระกูลหยางค่อนข้างโกลาหลเป็นอย่างมาก หลังจากที่หยางเหลียนฟื้นคืนสติกลับมาก็ถูกหยางกั๋วกงทุบตีอย่างทารุณ ฮูหยินใหญ่ที่ขอร้องแทนบุตรชายตนทำให้โดนลูกหลงไปด้วย หยางกั๋วกงโมโหจึงเตะเสยปลายคางนางจนฟันหน้าร่วงไปหลายซี่ หยางซีที่มองดูเหตุการณ์ตรงหน้าด้วยแววตาเรียบเฉยไม่ยินดียินร้าย เขาไม่เอ่ยห้ามปรามเพียงปรายตามองบิดาทุบตีหยางเหลียนอย่างไม่ใส่ใจหยางฮูหยินกรีดร้องเหมือนคนบ้า หลังจากที่หยางเหลียนฟื้นได้สติมาเขาก็บอกว่าตนเองไม่รู้ว่าได้ทำอันใดลงไป ก่อนหน้านี้เขาดื่มสุราจนมึนเมา หลังจากกลับไปพักที่ห้องก็รู้สึกปวดหัว อีกทั้งยังคอแห้งจึงลุกขึ้นมาหาน้ำดื่ม หลังจากนั้นก็จำสิ่งใดไม่ได้แล้วเมื่อได้ยินบิดาและมารดาบอกว่าตนได้กอดจูบกับ

  • เมื่อองค์หญิงใหญ่เกิดใหม่พร้อมตำราจากแดนพิเศษ    บทที่ 19 เหยื่อรายแรก

    ด้านหยางซีนั้น เขาตัดสินใจที่จะยังไม่กลับไปที่อำเภอเซียงถง เพราะอยากอยู่ร่วมงานเลี้ยงวันเกิดของหยางเหลียงเสียก่อน ที่เขาทำเช่นนี้เพราะอยากพบกับคนผู้หนึ่งอวี๋สาม!"นายท่าน"อยู่ๆองค์รักษ์ลับก็ปรากฎตัวขึ้นเบื้องหน้าเขา หยางซีละจากความคิดในหัว ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมามององค์รักษ์ลับของตน"ว่าอย่างไร"องค์รักษ์ยกมือขึ้นประสานกัน ก่อนจะเอ่ยตอบ"เมื่อครู่คนของเรามารายงานว่าพบคุณหนูสามอวี๋อยู่ที่หน้าหลุมศพขององค์หญิงใหญ่หมิงจูขอรับ อีกทั้งนางยังกอดป้ายหน้าหลุมศพเอาไว้แน่นและยังร้องไห้ไม่หยุดอีกด้วยขอรับ""ว่าอย่างไรนะ?"หยางซีถึงกับผุดลุกขึ้นยืน แววตาของชายหนุ่มวูบไหวไปมา อยู่ๆในใจของเขาก็เต้นถี่ระรัวอย่างบ้าคลั่ง ในหัวพลันผุดชื่อของใครบางคนขึ้นมาสวีฝู อดีตฮองเฮา มารดาของหมิงจู!...............หลายวันต่อมาจวนหยางกั๋วกงก็จัดงานวันเกิดครบรอบอายุยี่สิบห้าปีให้กับหยางเหลียน ผู้คนต่างมาร่วมงานเลี้ยงกันอย่างอุ่นหนาฝาคั่ง อย่างไรเสียยามนี้จวนตระกูลหยางก็มีอำนาจมากที่สุดในเมืองหลวง หยางกั๋วกงนั้นช่างมีบุญนัก มีบุตรชายที่ดีถึงสองคน คนโตเป็นถึงซื่อจื่อผู้สืบทอด ส่วนบุตรชายคนรองก็รั้งตำแหน่งแม่ทัพใหญ่ของ

  • เมื่อองค์หญิงใหญ่เกิดใหม่พร้อมตำราจากแดนพิเศษ    บทที่ 18 การกลับมาของสวีฮองเฮา

    จวนตระกูลอวี๋"คุณหนูสามเจ้าคะ รถม้าเตรียมพร้อมแล้วเจ้าค่ะ"เสียงของสาวใช้น้อยนามว่าสวี่หยาเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงนอบน้อม อีกทั้งยังไม่กล้ากระทำการใดส่งเดชหากเจ้านายของตนยังไม่ได้อนุญาต หญิงสาวที่นั่งอยู่หน้ากระจกเพียงเอ่ยตอบรับว่าอืมคำหนึ่ง ก่อนจะมองใบหน้าของตนเองในคันฉ่องทองเหลืองสัมฤทธิ์ด้วยแววตาที่ไร้ริ้วคลื่น ภาพสตรีที่สะท้อนอยู่ในคันฉ่องบานนี้มีนามว่าอวี๋ฝู ปีนี้นางมีอายุสิบหกแล้ว นางเป็นบุตรสาวของอดีตฮูหยินผู้ล่วงลับของใต้เท้าอวี๋ เป็นบุตรภรรยาเอกและเป็นบุตรคนที่สามของไต้เท้าอวี๋ คนในจวนจึงเรียกนางว่าอวี๋สาม หลังจากมารดาตายจากไปเมื่อสามปีก่อน บิดาก็ยกย่องฮูหยินรองเฉิงขึ้นมาเป็นภรรยาเอกคนใหม่ นางเฉิงซื่อมีบุตรสาวและบุตรชายฝาแฝดคู่หนึ่งนามว่า อวี๋หลวนและอวี๋เสียน อายุมากกว่านางสองปี นางเฉิงซื่อคอยให้ท้ายบุตรตนอย่างผิดๆ อวี๋หลวนและอวี๋เสียนจึงคอยทำร้ายและกลั่นแกล้งนางสารพัด ท่านพ่อเองก็ทำเป็นปิดตาข้างนึงปล่อยให้นางถูกรังแก สุดท้ายแล้วนางกลับถูกนางเฉิงซื่อใส่ร้ายว่าคิดจะวางยามารดาเลี้ยงและให้ไต้ซือมาทำนายว่านางมีดวงอัปมงคล หากนางยังอยู่ในจวนย่อมทำให้คนในจวนถึงแก่ชีวิต ต้องไปอยู่ในอา

続きを読む
無料で面白い小説を探して読んでみましょう
GoodNovel アプリで人気小説に無料で!お好きな本をダウンロードして、いつでもどこでも読みましょう!
アプリで無料で本を読む
コードをスキャンしてアプリで読む
DMCA.com Protection Status