Masukท่ามกลางความอนธการ [1] ม่านหมอกสีขาวลอยฟุ้งเหนือบรรยากาศ ไม่นานก็เริ่มเลือนรางและก็จางหาย มือเรียวเที่ยวควานไปทั่วทว่ากลับพบเพียงความว่างเปล่า
“นี่คือที่ใด?”
ท่อนขาผอมเพรียวขยับเดินไปข้างหน้า หญิงสาวยกมือทั้งสองขึ้นมาสำรวจพลางขมวดคิ้วฉงน “นี่ข้า...มองเห็นแล้วหรือ?”
“หนิงเสวี่ยซิน”
เสียงใสกังวานก้อง ใบหน้างามแหงนเงยขึ้นพลางกวาดสายตาสำรวจโดยรอบ
“เจ้ากำลังเรียกข้าหรือ ไฉนข้าจึงเห็นแต่เพียงหมอกขาว”
เสียงใสหัวเราะแว่วมาตามสายลม “ใช่ข้าเรียกเจ้า เจ้าก็คือ... หนิงเสวี่ยซิน”
“ข้าหรือ? ข้ามิใช่หนิงเสวี่ยซิน ข้าคือ หลี่เสวี่ยซิน เจ้าจำคนผิดแล้ว ชื่ออาจจะคล้ายแต่สกุลของข้าคือหลี่มิใช่หนิง”
“ไม่ผิด เป็นเจ้า เจ้าก็คือหนิงเสวี่ยซิน”
หลี่เสวี่ยซินขมวดคิ้วแน่น นางไม่เข้าใจว่าผู้มาเยือนต้องการสิ่งใด ไฉนต้องยัดเยียดให้นางเป็นหนิงเสวี่ยซินผู้นั้นให้ได้ หนำซ้ำอีกฝ่ายยังเล่นละครปาหี่ด้วยการทำตัวดุจเทพมังกรเห็นหัวไม่เห็นหาง [2]
“เจ้าเอาแต่พูดเพ้อเจ้ออยู่ฝ่ายเดียว เหตุใดจึงไม่ปรากฏกาย”
สิ้นประโยคสตรีร่างระหงพลันสาวเท้าออกมาด้วยรอยยิ้มละไม ใบหน้าของนางจิ้มลิ้มพริ้มเพราแตกต่างจากหลี่เสวี่ยซินที่ยามนี้ทั้งดูสกปรกมอมแมมกระทั่งเรียกได้ว่าอยู่ในสภาพคนก็ไม่ใช่ผีก็ไม่เชิง
“เจ้าเป็นใคร?”
หญิงสาวส่งยิ้มตอบด้วยแววตาหวานละมุน “ข้าก็คือเจ้า เจ้าก็คือข้า นับจากนี้เจ้าก็คือ หนิงเสวี่ยซิน”
“หา…นี่เจ้าพูดเรื่องอะไร” หญิงสาวตรงหน้าต้องเลอะเลือนเป็นแน่ ดูท่าจะไม่ยอมเลิกรายัดเยียดตัวตนของหนิงเสวี่ยซินมาให้นาง “สภาพของเจ้ากับข้าต่างกันดุจฟ้ากับเหว อีกอย่างเราจะเป็นคนคนเดียวกันได้อย่างไร”
ฝ่ามือเนียนละเอียดเอื้อมคว้ามือหยาบระคายซึ่งเต็มไปด้วยผดผื่นสีแดงก่ำขึ้นมาอย่างไม่นึกรังเกียจ หลี่เสวี่ยซินตัวแข็งทื่อเมื่อสัมผัสถูกปลายนิ้วอีกฝ่าย มันเย็นยะเยือกราวกับศิลาน้ำแข็ง หลี่เสวี่ยซินหวังชักมือกลับทว่าอีกฝ่ายแข็งขืนไม่ยอมปล่อย ริมฝีปากซีดขาวเผยอออกเล็กน้อยไม่ทันเอ่ยเพื่อคลายความแคลงใจ อยู่ ๆ ก็มีแสงเจิดจ้าทอประกายพุ่งปะทะเข้าดวงตาจนต้องปิดสนิท สติที่ยังหลงเหลือเพียงเสี้ยวพลันดับวูบลงไม่ทันตั้งตัว
“อาอี้ อาอี้ เจ้าดูนี่สิท่านหญิงขยับตัวแล้ว” เสียงเล็กเปล่งออกมาด้วยท่าทีดีใจระคนตื่นเต้น
ใบหน้าของผู้ถูกเรียกมิได้เปลี่ยนสี ซ้ำยังง่วนเก็บภาชนะน้ำสะอาดที่ถูกใช้แล้วต่อไปด้วยความชินชา “อาเซียวเจ้าเพ้อเจ้อเช่นนี้ทุกวันข้าก็มิเห็นว่าท่านหญิงจะฟื้นเสียที เลิกหลอกให้ข้าดีใจเก้อจะได้หรือไม่”
“แค่ก แค่ก น้ำ…”
มือที่หยิบโน้นจับนี่ชะงัก หลิวอี้หมุนร่างกลับหลังด้วยใจไหวระทึก ส่วนหม่าเซียวทั้งตื่นเต้นและก็ตกใจจนลำคอตีบ
“คอแห้งจัง” เสียงแหบแห้งยังดังต่อไป
แปะ แปะ
หลิวอี้ตบหน้าตนเองเพื่อเรียกสติ “โอ๊ย! เจ็บ ข้าไม่ได้ฝันหรือนี่” หญิงสาววางมือจากงานตรงหน้าแล้วถลาเข้าเกาะขอบเตียง “ท่านหญิง! ฮื่อ…สวรรค์ ท่านหญิงฟื้นแล้ว”
เสียงร้องไห้โฮของหลิวอี้ทำให้หม่าเซียวหลุดจากภวังค์ หม่าเซียวสลัดศีรษะจนเส้นผมแตกกระเจิง ครั้นแน่ใจว่าหนนี้ตนมิได้ตาฝาดก็ปรี่เข้ามานั่งแหมะคร่ำครวญอีกคน “ท่านหญิงฟื้นแล้วจริง ๆ ฮื่อ...ขะ...ข้าบอกเจ้าแล้วว่าไม่ได้ตาฝาด คราวนี้เจ้าเชื่อข้าแล้วหรือยัง”
หลิวอี้พยักหน้าระรัว “อือ อือ”
หลี่เสวี่ยซินไม่รู้ว่าหญิงสาวทั้งสองคนที่เอาแต่ร่ำไห้ดุจสูญเสียญาติมิตรนั้นเป็นผู้ใด สังเกตจากรูปร่างและใบหน้าของพวกนางแล้วยังเด็กทั้งคู่ แต่ยามนี้หลี่เสวี่ยซินรู้สึกคอแห้งผากจนมิอาจไต่ถามอะไรมากไปกว่านี้ นางจึงร้องขอในสิ่งที่ต้องการอีกหน
“น้ำ…”
สองสาวใช้ได้สติ “ตายจริง อาเซียวเร็วเข้า น้ำ น้ำ ท่านหญิงอยากกินน้ำ”
หม่าเซียวกุลีกุจอหยิบป้านชาข้างหัวเตียงขึ้นมาทันควัน จากนั้นรินชาสีอำพันลงในถ้วยกระเบื้องเคลือบก่อนยื่นส่งต่อให้กับหลิวอี้
“ท่านหญิงน้ำเจ้าค่ะ”
‘ท่านหญิงรึ พวกนางกำลังเรียกข้าใช่หรือไม่’
หลี่เสวี่ยซินโยนความคลางแคลงทิ้งก่อนชั่วคราว จากนั้นพยายามควบคุมแขนทั้งสอง นางมิอาจรับชาตรงหน้าขึ้นมาดื่มได้ กำลังวังชาหดหายไปหมด
“ท่านหญิงเพิ่งฟื้นคงยังไม่มีแรง เดี๋ยวบ่าวช่วยป้อนนะเจ้าคะ”
หลี่เสวี่ยซินพยักหน้า สองสาวใช้รุดเข้ามาประคองร่างบอบบางให้นั่งถนัดถนี่ หลิวอี้ส่งถ้วยชาป้อนเข้าปากหญิงสาวด้วยความระมัดระวัง
หม่าเซียวมองภาพตรงหน้าน้ำตารื้นปริ่ม “อาอี้ เช่นนั้นข้าไปตามฮูหยินกับท่านโหวก่อนนะ”
“ได้ เจ้ารีบไปเถิด”
หลี่เสวี่ยซินมองตามแผ่นหลังเล็กจนลับสายตา จากนั้นจึงย้ายกลับมาจ้องหลิวอี้ต่อ “พวกเจ้าเป็นใคร แล้วที่นี่คือที่ไหนหรือ”
คำถามแรกของหลี่เสวี่ยซินทำเอาหลิวอี้ตะลึงงันตัวแข็ง “ทะ…ท่านหญิง นี่ท่านความจำเสื่อมหรือเจ้าคะ ฮื่อ ตายแล้ว ตายแล้ว ทำอย่างไรดี ท่านหญิงจำสิ่งใดไม่ได้เลย”
คิ้วสวยเคลื่อนเข้าหากันแทบผูกเป็นปม หลี่เสวี่ยซินควานหาความทรงจำในโซนสมอง แต่แล้วก็ต้องตกใจจนหน้าเปลี่ยนสี เมื่อหางตาของนางเผลอไปเห็นเงาสะท้อนบนคันฉ่องบานใหญ่ หญิงสาวหันขวับตามสัญชาตญาณ “นั่นข้าหรือ จริงสิ ดวงตาข้า…ดวงตาของข้ามองเห็นแล้ว”
หลี่เสวี่ยซินเอียงหน้าซ้ายขวาประหนึ่งคนเสียสติ ไม่ว่านางจะเอนตัวไปทางใดเงาหญิงสาวที่สะท้อนบนกระจกบานนั้นก็ทำท่าเช่นนางไม่มีผิดเพี้ยน “นาง! นี่ข้าเข้ามาอยู่ในร่างของนางอย่างนั้นหรือ!?”
หลิวอี้กลืนไม่เข้าคายไม่ออก นางจ้องท่าทางแปลกประหลาดของผู้เป็นนายด้วยแววตาสุดฉงน “ท่านหญิง ท่านเป็นอะไรไปเจ้าคะ หรือว่าท่านหลับไปนานก็เลย ฮึก…เลยจำอะไรไม่ได้แล้วหรือเจ้าคะ ฮื่อ...”
หลี่เสวี่ยซินได้สติเมื่อได้ยินเสียงคร่ำครวญของหลิวอี้ นางลังเลพักหนึ่งมือที่ไร้เรี่ยวแรงก็เกิดขยับ หญิงสาววางมือลงบนบ่าอีกฝ่ายพลางตบเปาะแปะเพื่อปลอบประโลมให้ใจสงบ “ไม่ต้องร้อง เช่นนั้นข้าขอถามอะไรหน่อยได้หรือไม่”
หลิวอี้กลืนก้อนสะอื้นลงคอพลางยกมือเช็ดคราบน้ำตาของตนลวก ๆ “ได้แน่นอนเจ้าค่ะ ท่านหญิงอยากทราบเรื่องใดหรือเจ้าคะ”
“คือว่า…ข้าคงมิได้ชื่อว่า หนิงเสวี่ยซินกระมัง”
หลิวอี้ได้ยินเช่นนั้นก็ยิ้มทั้งน้ำตา ราวกับว่าแสงสว่างได้ผุดขึ้นมาที่ตรงหน้า หญิงสาวพยักหน้าจนผมแตกกระเจิง “เจ้าค่ะ ท่านหญิงนามว่าหนิงเสวี่ยซิน บุตรสาวเพียงคนเดียวของหนิงโหว”
หลี่เสวี่ยซินตกใจจนจิตแทบหลุด มือเรียวลอบหยิกตัวเองไปหนึ่งครั้ง ใบหน้าของนางถึงกับบิดเบี้ยว หนิงเสวี่ยซินที่ว่าไม่ใช่ชื่อที่นางเพิ่งถูกยัดเยียดจากในความฝันหรอกหรือ รูปร่างและใบหน้าที่เผยอยู่ตำตาบ่งบอกชัดเจนว่าคนที่เรียกนางในความฝันนั้นก็คือหนิงเสวี่ยซินเจ้าของร่างนี้ไม่ผิดแน่
แล้วหนิงเสวี่ยซินตัวจริงไปอยู่ที่ใด?
หลี่เสวี่ยซินเก็บสีหน้ากลับ เพื่อจะล้วงข้อมูลให้มากที่สุดนางจำต้องผลักเรือตามน้ำ “แล้วนี่เกิดอะไรขึ้นกับข้าหรือ”
หลิวอี้เบะปาก น้ำตาของนางทำท่าจะเอ่อออกมาอีกหน หลี่เสวี่ยซินเห็นบรรยากาศไม่สู้ดีจึงคลี่ยิ้มหวานเพื่อใช้ปลอบขวัญให้แก่อีกฝ่าย มิเช่นนั้นวันนี้ทั้งวันก็คงพูดกันไม่รู้ความ “อาอี้เจ้าไม่ต้องร้องนะ ไม่ต้องร้อง ข้าก็แค่หลับนานเสียหน่อยความทรงจำเลยเลือนรางไปบ้าง”
หลิวอี้ตาโตเมื่อได้ยินหลี่เสวี่ยซินนั้นเรียกชื่อตน ม่านน้ำตาวาวระยับถูกปาดทิ้งทันควัน สีหน้าพลิกกลับเป็นยิ้มจนตาปิด “จริงหรือเจ้าคะ”
หลี่เสวี่ยซินขบขัน “ข้าต้องจำได้อยู่แล้ว เช่นนั้นเจ้าช่วยบอกข้าได้หรือยังว่าเกิดอะไรขึ้นกับข้า”
หลิวอี้พยักหน้ารัวเร็ว “เจ้าค่ะ” จากนั้นนางก็เริ่มเล่าเรื่องราวตั้งแต่ต้น
ไม่แปลกใจที่หลี่เสวี่ยซินถูกเรียกว่าท่านหญิง เพราะสถานะเจ้าของร่างนี้ก็คือบุตรีหัวแก้วหัวแหวนเพียงคนเดียวแห่งจวนหนิงโหว แม้แต่ฝ่าบาทก็ยังต้องเกรงใจ หนิงเสวี่ยซินนางเป็นคนร่างกายอ่อนแอ อยู่มาวันหนึ่งได้ป่วยกะทันหันจนทำให้หลับใหลเป็นเวลานาน
“หนึ่งปี! นี่นาง ไม่สิ นี่ข้าหลับไปหนึ่งปีเต็ม ๆ เลยรึ”
หลิวอี้สลด “เจ้าค่ะ ครบหนึ่งปีแล้วเจ้าค่ะ”
“ว่าแต่นี่รัชศกที่เท่าใดหรือ”
“รัชศกหย่งหนิงปีที่สี่สิบสี่เจ้าค่ะ”
หลี่เสวี่ยซินตัวแข็งค้างประหนึ่งดินปั้นไม้แกะสลัก ประกายบางอย่างฉายวาบเข้าสู่ดวงตา ความทรงจำเจ้าของร่างกำลังหลั่งไหลเข้ามาดุจสายน้ำหลาก
“โอ๊ย! ปวดหัว ปวดหัวจัง”
หลิวอี้ตระหนกตื่น ถลาเข้ารับร่างบอบบางที่เอาแต่ทุบศีรษะของตนราวกับจะทำให้กะโหลกนั้นแหลกละเอียด “ท่านหญิงเป็นอะไรไปเจ้าคะ”
หลี่เสวี่ยซินปวดสมองเจียนจะระเบิด ใบหน้าของนางขาวซีดลงอีกครั้ง “ข้า…นี่ตัวข้าตายไปนานเพียงนี้เชียวหรือ”
ผลัวะ
ประตูบานหนาถูกผลักออก บุรุษหน้าวสันต์ร่างสูงโปร่งสาวเท้าเข้ามาพร้อมสีหน้าเป็นกังวล “ซินซินเจ้าฟื้นแล้วหรือ”
ร่างสูงหย่อนกายขนาบข้างหญิงสาว “นางเป็นอะไร?”
หลิวอี้ตาแดงก่ำ “อยู่ดี ๆ ท่านหญิงก็ปวดหัวเจ้าค่ะ”
หลี่เสวี่ยซินผลักอกกว้างออกห่างด้วยสัญชาตญาณ ชายหนุ่มชะงัก “เจ้าเป็นอะไร จำพี่ไม่ได้แล้วหรือ”
หลิวอี้หน้าถอดสี “คุณชายฮั่ว อย่าถือสาท่านหญิงเลยนะเจ้าคะ ดูเหมือนท่านหญิงอาจความจำเสื่อมเจ้าค่ะ”
“ความจำเสื่อมรึ?” เขาหันมองหลี่เสวี่ยซินอีกครั้ง คิ้วเข้มเลิกขึ้นหนึ่งฝั่ง “ซินซิน เจ้าจำพี่ไม่ได้แล้วหรือ”
หลี่เสวี่ยซินสลัดศีรษะเพื่อขับไล่ภาพซ้อนตรงหน้า เปลือกตาบางหรี่ลงจนแคบ “ฮั่ว...เหวิน...หลง ท่านเองหรือ”
^อนธการ หมายถึง ความมืด, ความมัว, ความมืดมิด, ความเขลา, หรือเวลาค่ำ
^เทพมังกรเห็นหัวไม่เห็นหาง การกระทำที่ไม่แน่นอน ไม่สามารถคาดเดาได้ เหมือนมังกรที่โผล่มาให้เห็นแค่หัว แต่หางหายไป ทำให้ไม่สามารถรู้ได้ว่ามันจะไปทางไหน
หลี่เสวี่ยซินทิ้งกายลงบนฟูกนอนด้วยร่างอันไร้เรี่ยวแรง เปลือกตาบางปิดลมแช่มช้า ทว่าลมหายใจกลับปั่นป่วน ร่างระหงพลิกซ้ายตะแคงขวา ริมฝีปากสีกุหลาบเม้ม ๆ คลาย ๆ อยู่เช่นนั้นโซนสมองของนางยามนี้กำลังตีกันจ้าละหวั่น ราวกับว่ามีทูตสวรรค์และทูตนรกเสี้ยมอยู่ข้างหู หนึ่งฝั่งคะยั้นคะยอให้เปิด อีกฝั่งชิงชังให้ขว้างทิ้งหลี่เสวี่ยซินทนเสียงร่ำร้องไม่ไหว หญิงสาวสะบัดผ้าบนกายเสียงดัง จากนั้นหย่อนร่างลงจากเตียง ขาเสลาเดินมาหยุดที่หน้าม้วนกระดาษแผ่นนั้นอีกครั้ง“เขาทิ้งมันเอาไว้หรือ”เดิมทีที่ตรงนี้ควรต้องว่างเปล่า ทว่ามันกลับปรากฏม้วนกระดาษกลางเก่ากลางใหม่นี้อยู่ คล้ายกับว่ามันถูกเก็บรักษาอย่างดี กระนั้นก็ยังมีรอยยับย่นกับรอยเปื้อนสีน้ำตาลเข้มเป็นด่างดวงไม่มาก‘เจ้าไม่อยากรู้หรือ ว่าด้านในคือสิ่งที่คิดหรือไม่ เปิดสิ เจ้าเปิดมันเลย หากปล่อยเอาไว้ก็มีแต่ค้างคา’‘เจ้าจะเปิดให้เสียเวลาทำไม คนทำผิดก็คือผิด ตอนนั้นไม่คิดแก้ไขปล่อยเจ้าตายไปอย่างน่าสังเวช คนเช่นนี้คู่ควรกับเจ้าหรือ ทิ้งมันไปเสีย ปิดหูปิดตาจะได้ไม่รับรู้ ไม่เจ็บปวด ดีกว่าเป็นไหน ๆ’ปลาย
ม่านตากลมโตขยายกว้าง “ใต้เท้าลั่ว ท่านกล้าดีอย่างไรจึงได้บุกรุกห้องของข้า”“ใต้เท้าลั่วหรือ? เจ้าเป็นเช่นนี้คงโกรธเคืองข้ามากทีเดียว” ท่อนขาสูงยาวก้าวเข้ามาช้า ๆหลี่เสวี่ยซินค่อย ๆ ถอยตามจังหวะของเขาเช่นเดียวกัน “ท่านอย่าเข้ามานะ ไม่เช่นนั้นข้าจะฟาดท่านให้หัวแตก”ลั่วเทียนเฉินหัวเราะขืน เขายกมือทั้งสองขึ้น “ข้าไม่มีเจตนาทำร้ายเจ้า เพียงแต่เจ้าช่วยตอบคำถามข้าสองสามข้อได้หรือไม่”“ท่านมาที่นี่เพราะเรื่องนี้รึ ท่านคิดว่ามันเหมาะสมแล้วหรือไม่ อยากถามอะไรรอฟ้าสว่างก่อน ท่านอย่าคิดว่าบุญคุณหนนี้จะเอามาบีบบังคับข้าอย่างไรก็ได้”“เจ้าคิดว่าข้าเป็นคนเช่นนั้นหรือ”หลี่เสวี่ยซินหลุกหลิก ไม่รู้เช่นกันว่าอีกฝ่ายต้องการสิ่งใด ท่าทางและคำพูดของเขาแปลกไปจากเมื่อก่อนมาก “เอาเป็นว่าชายหญิงไม่ควรใกล้ชิด ท่านมาทางไหนก็กลับไปทางนั้น เรื่องนี้ข้าจะถือว่าไม่เคยเกิดขึ้น”“ซินซิน ข้าขอโทษ เป็นข้าที่ปากหนักไม่ยอมพูดกับเจ้าให้รู้ความก่อน เจ้าจะตบจะตีข้าก็ได้ แต่ช่วยให้โอกาสข้าอธิบายก่อนได้หรือไม่”หลี่เสวี่ยซินถอนหายใจ มือที่กำแจกันแน่นค่อย ๆ ผ่อนคลาย ห
“ท่านหญิง เอาอีกแล้วนะเจ้าคะ ท่านเพิ่งเกิดเรื่องมาหมาด ๆ ยังจะนั่งทำงานอีกหรือ” หม่าเซียวเตือนด้วยความเป็นห่วงหลี่เสวี่ยซินมองแสงจากเทียนที่วูบไหว ภายในมือถือเข็มปักผ้าเอาไว้ ก่อนจะวางของเหล่านั้นลง “พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่าเมื่อก่อนท่านพ่อเคยทำเรื่องไม่ดีอันใดมา”“ตายจริง พูดเช่นนั้นได้อย่างไรเจ้าคะ ท่านโหวเป็นคนดีนะเจ้าคะ” หลิวอี้กล่าวหน้าซีดหลี่เสวี่ยซินทบทวนเรื่องที่เกิดขึ้นวนซ้ำไปมา นางสังเกตจากแววตาของชายชุดดำผู้นั้นคล้ายกับมีความแค้นฝังหุ่น ราวกับว่าจวนโหวเข่นฆ่าบิดามารดาของเขา “แล้วเหตุใดศัตรูของท่านพ่อจึงมีมากนัก”“อาจเพราะท่านโหวโดดเด่นจนผู้อื่นริษยาเจ้าค่ะ”หลี่เสวี่ยซินส่ายหน้า “หนึ่งปีก่อน ท่านพ่อเคยมีภารกิจอะไรหรือไม่”หม่าเซียวและหลิวอี้ครุ่นคิดจนหน้ายับยู่“นึกออกแล้วเจ้าค่ะ” หลิวอี้โพล่ง“นึกอะไรออก” หม่าเซียวเลิกคิ้ว“จำไม่ได้หรือว่าเมื่อหนึ่งปีก่อน หมู่บ้านแถบชายแดนเกิดโรคระบาดไม่ทราบสาเหตุ ที่นั่นแร้นแค้นอย่างหนัก”“จริงด้วย” หม่าเซียวตอบรับ“แล้วเรื่องนี้เกี่ยวอันใดกับท่านพ่อห
“นายน้อย นายน้อย ท่านเป็นอะไรหรือไม่ ข้าเรียกตั้งนาน”ฮั่วเหวินหลงยกมือคลึงขมับ เขากวาดตามองซ้ายขวาพลันประหลาดใจ “เกิดอะไรขึ้น ข้ากลับมาได้อย่างไร?”หงจวิ้นงุนงง นายของตนเป็นโรคขี้หลงขี้ลืมหรือ “เอ่อ…ท่านบอกข้าว่าไม่ต้องติดตาม วันนี้ท่านออกจากจวนไปช่วงยามจื่อ [1] ไม่กี่ชั่วยามนายน้อยกลับมาไม่พูดไม่จาโยนของสิ่งนั้นเข้าเตากำยานไม่นานท่านก็หลับไปขอรับ”ฮั่วเหวินหลงถอนหายใจ เขารู้อยู่แล้วว่าไปเยือนตลาดมืดคราใดจะต้องได้พบกับความประหลาด หลังทบทวนเรื่องราวไปมาจึงพอเข้าใจ “แล้ว…ซวี่หนิงนางเป็นอย่างไรบ้าง”“คุณหนูซวี่กินยาเสร็จก็หลับไปเลยขอรับ”“นางคงไม่ได้ก่อเรื่องใดกระมัง”“เล็กน้อยขอรับ คุณหนูซวี่อยากไปพบท่านหญิงมาก แต่ข้าขวางนางไว้ได้ หลังจากอ่อนเพลียคุณหนูจึงหลับไปขอรับ”วันนี้หงจวิ้นแทบเป็นประสาทเลยต่างหาก คุณหนูซวี่ผู้นี้รับมือยากยิ่งนัก เดี๋ยวเล่นลูกไม้เจ็บท้อง เจ็บขา ปวดเศียรเวียนหัวอยู่ตลอด ทำเอาจวนป๋อจ้าละหวั่นไปหมด กว่าจะปราบพยศได้ก็เล่นเอาหอบฮั่วเหวินหลงแค่นยิ้ม “เจ้
“ท่านพี่เหวินหลง” เสียงใสสะท้อนดังกระทบใบหู“…” คิ้วดกดำเคลื่อนเข้าชิดกันพลันขมวดแน่น“ท่านพี่เหวินหลงเจ้าคะ”ฮั่วเหวินหลงลุกพรวดขึ้นเดี๋ยวนั้น เปลือกตาบางหรี่แคบลงเล็กน้อย ด้านหน้าขาวโพลนประหนึ่งหมอกควัน ต่อให้เพ่งสายตาอย่างไรก็ไม่อาจมองคนตรงหน้าชัดแจ้ง ทว่าน้ำเสียงและการเรียกขานเมื่อครู่ฮั่วเหวินหลงคาดเดาไม่ยากว่าเป็นใครเหตุไฉนเขาจึงมาอยู่สถานที่ประหลาดเช่นนี้ได้ ในเมื่อไม่กี่ชั่วยามก่อนตัวของเขายังอยู่ในตลาดมืด“ท่านพี่เหวินหลงได้ยินข้าหรือไม่”“ซินซินหรือ”หลังจบประโยคร่างระหงพลันปรากฏเบื้องหน้าของเขา ฮั่วเหวินหลงตาโต โผเข้ากอดอีกฝ่าย ทว่าด้วยแรงเคลื่อนไหวเกือบทำให้เขาล้มหน้าคะมำ“ซินซิน เหตุใดจึง…” ฮั่วเหวินหลงสับสน ไฉนเมื่อครู่เขาจึงวิ่งทะลุผ่านร่างของนางออกมาหนิงเสวี่ยซินยิ้มบาง “ท่านพี่เหวินหลง ที่จริงข้ายังมีหลายเรื่องที่อยากบอกท่าน ถึงตอนนั้นข้ายังยึดติดและโกรธเคือง แต่มาคิดดูแล้วท่านเองก็ทำเพื่อข้าเช่นเดียวกัน ถูกหรือไม่เจ้าคะ”ลูกกระเดือกกลางลำคอขยับแผ่ว เขาไม่รู้ว่าคนตรงหน้าเป็นภาพลวงตาหรือว่าความฝั
ภาพครอบครัวสุขสันต์จางหายไปแล้ว ตอนนี้ร่างของเขามายืนตระหง่านที่จวนตระกูลลั่ว นี่เป็นจวนของเขาเอง“เจ้ามันไร้ประโยชน์ เป็นบุตรีของหญิงโคมเขียวยังกล้ามาแต่งงานกับลูกชายข้า สินสอดที่ได้ไปไม่ใช่น้อย อย่าสำออยไปหน่อยเลย” ลั่วเหมิงเท้าเอวหน้าเคร่ง มืออีกด้านก็ชี้ดะไปยังฟูกนอนซึ่งมีร่างบอบบางกำลังนอนซมตัวสั่น ทั้งมือและคอของนางเต็มไปด้วยผื่นคันสีแดง“ท่านแม่” ลั่วเทียนเฉินหน้านิ่วคิ้วขมวด เขารู้ว่ามารดาไม่ชอบภรรยาตน แต่นึกไม่ถึงว่านางจะใช้คำพูดคำจารุนแรงเพียงนี้“ลุกขึ้นเลยนังตัวดี ไปหาบน้ำต่อ”“แค่ก แค่ก” หลี่เสวี่ยซินพยุงร่างที่อ่อนระโหยโรยแรงขึ้น “ท่านแม่ แต่ข้าแพ้น้ำฝน หากออกไปอีก…”“สำออยนัก แพ้นั่นแพ้นี่คิดว่าตัวเองเป็นลูกคุณหนูหรืออย่างไร” ลั่วเหมิงทั้งลากทั้งดึงหลี่เสวี่ยซินให้ลุกขึ้นมาหลี่เสวี่ยซินไม่อาจขัดขืน วันนั้นนางจึงต้องลุกไปหาบน้ำด้วยร่างสะบักสะบอม วันเดียวกันนั้นเองนางก็ทรุดจนป่วยหนักลั่วเหมิงเชิญหมอมาตรวจอาการของหลี่เสวี่ยซินอย่างขอไปที“ฮูหยินน้อยท่านนี้ร่างกายอ่อนแอ มีอาการแพ้ร่วมด้วย นี่นางต้องตรากตรำเพียงใดกั







