ปลายยามเว่ย [1] ณ จวนหนิงโหว
“ว่าอย่างไรท่านหมอ ลูกสาวของข้าเมื่อครู่ก็ฟื้นขึ้นแล้ว เหตุใดจึงหลับไปอีก”
“ท่านโหวใจเย็นก่อนเถิดขอรับ เมื่อครู่ข้าน้อยลองจับชีพจรท่านหญิงดูแล้ว นี่เป็นอาการอ่อนเพลียเท่านั้น คือผลข้างเคียงจากการที่ร่างกายไม่อาจปรับตัวได้ทันท่วงทีจึงทำให้ท่านหญิงหมดสติอีกครั้ง”
“แล้วถ้าหากนางหลับไปเป็นปีอีกเล่า จะทำอย่างไร”
หนิงโหวหรือหนิงถงไท่สนทนากับหมอสูงวัยหน้าเคร่งเครียด ความกังวลบนใบหน้าไม่คลายลงแม้แต่น้อย กว่าบุตรีเพียงคนเดียวของเขาจะฟื้นคืนสติมิใช่เรื่องง่าย ยังไม่ทันได้พูดคุยสนทนาประสาพ่อลูกนางก็ชิงหลับใหลไปอีกคราเสียอย่างนั้น
“ซินเอ๋อร์ ซินเอ๋อร์เป็นอย่างไรบ้างลูก ท่านพี่ ท่านพี่เจ้าคะซินเอ๋อร์ฟื้นแล้วเจ้าค่ะ” หนิงเข่อเหรินโพล่งเสียงสั่น ทั้งเป็นห่วงทั้งดีใจในเวลาเดียวกัน
หนิงถงไท่ไม่รอช้า เขาปรี่เข้าหาภรรยาและลูกเดี๋ยวนั้น “ซินเอ๋อร์ โล่งอกไปที ในที่สุดลูกพ่อก็ฟื้นแล้ว”
นัยน์ตาดอกท้อกลอกมองบุรุษและสตรีวัยกลางคนสลับไปมา ทั้งใบหน้าและรูปร่างของพวกเขาดูภูมิฐานน่าเกรงขาม กระนั้นแววตาคนทั้งสองล้วนเจือไปด้วยความอาทรห่วงใย หลี่เสวี่ยซินรับรู้ได้ถึงกระแสความอบอุ่นหลั่งไหลผ่านช่วงกลางอก
“ท่านพ่อ ท่านแม่”
หนิงเข่อเหรินโอบกอดลูกสาวไว้แนบอก “ไม่เป็นไรแล้วนะลูก”
ชั่วขณะที่หลี่เสวี่ยซินนั้นหมดสติ นางได้ย้อนกลับไปยังเหตุการณ์หนึ่งซึ่งถูกฝังอยู่ใต้จิตสำนึกของหนิงเสวี่ยซิน ครั้นลืมตาตื่นเรื่องราวเหล่านั้นกลับหลอมละลายกลายเป็นหมอกควัน
หลี่เสวี่ยซินจำเรื่องพวกนั้นไม่ได้ราวกับว่าหนิงเสวี่ยซินพยายามจะลบความทรงจำที่ตรงนี้ออก ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายตั้งใจหลงเหลือเพียงความทรงจำที่สวยงามเอาไว้เท่านั้น และในยามนี้มันได้หลอมรวมเข้ากับความทรงจำเดิมของหลี่เสวี่ยซินโดยสมบูรณ์
ในเวลาเดียวกันหลี่เสวี่ยซินก็ถูกดึงเข้าไปร่วมงานสีดำ ไม่ว่าพยายามพูดคุยอย่างไรก็ไม่มีใครตอบกลับ นั่นเพราะว่าไม่มีใครมองเห็นนางเลย ร่างผอมบางขยับเข้าใกล้โลงไม้ที่แง้มฝาไว้ เคียงข้างกันยังมีแผ่นหลังของชายร่างสูงยืนนิ่งอย่างกับไม่มีจิตวิญญาณ
หลี่เสวี่ยซินถือวิสาสะมองเข้าไปด้านในโลงไม้ใบนั้น ม่านตากลมโตพลันขยายกว้าง ร่างของหญิงสาวหน้าซีดขาวซึ่งนอนเหยียดยาวภายในโลงศพเป็นนางไม่ผิดแน่ ทว่าสิ่งที่ทำให้หลี่เสวี่ยซินตื่นตะลึงยิ่งกว่ามิใช่ร่างไร้ซึ่งลมหายใจของตน แต่กลับเป็นใบหน้าของชายร่างสูงที่กำลังยืนนิ่งดุจหินผาขนาบข้างตัวนางมากกว่า
สีหน้าและแววตาของชายหนุ่มเย็นชาไร้ความรู้สึก กระบอกตาคมเข้มบวมเป่งแดงก่ำอย่างเห็นได้ชัด ราวกับเขาผ่านการร่ำไห้มาแล้วหลายวัน
แน่นอนว่าหลี่เสวี่ยซินรู้จักกับเขา เพราะเขาก็คืออดีตสามีนาง ผู้ที่ซึ่งหยามน้ำใจนางโดยการพาหญิงอื่นเข้าบ้าน เดิมทีเขาควรต้องยิ้มยินดีถึงจะถูกต้องมิใช่หรือ เหตุไฉนชายหนุ่มจึงเอาแต่ปั้นหน้าเสียใจดุจฟ้ากำลังถล่ม
หลี่เสวี่ยซินเลือกเบือนหน้าหนีจากชายร่างสูง ภาพฝันเหล่านี้เรื่องจริงก็ดี หรือปั้นแต่งก็ช่าง นางจะขอเดินต่อไปข้างหน้าโดยไร้พันธะ ไร้ความเจ็บปวด อดีตที่เคยสร้างร่วมกันมาขอให้มันจบลงเพียงภพชาตินี้
หลี่เสวี่ยซินสะบั้นด้ายแดงเส้นสุดท้ายทิ้ง นางเดินต่อไปเชื่องช้าโดยไร้จุดหมาย หลี่เสวี่ยซินผู้อ่อนแอได้ตายไปแล้ว ในยามนี้สถานะของนางก็คือท่านหญิงผู้สูงสง่า เป็นบุตรีที่หนิงโหวรักถนอม นับจากนี้ไปผู้ใดก็อย่าหมายรังแกนางโดยง่ายดายอีก ถ้าเผยหางออกมาเมื่อใด หลี่เสวี่ยซินสัญญาจะใช้ความสูงส่งเหยียบหน้าพวกคนหยาบช้าให้ต่ำต้อยยิ่งกว่าเศษธุลี
“ซินเอ๋อร์”
“…”
“ซินเอ๋อร์”
“…”
“ซินเอ๋อร์”
หลี่เสวี่ยซินหลุดจากภวังค์ ริมฝีปากซีดขาวขยับยกเป็นรอยยิ้ม “ท่านแม่ ท่านพ่อ ลูกดีขึ้นมากแล้วเจ้าค่ะ ตอนนี้แค่รู้สึกอ่อนเพลียเท่านั้น”
หนิงถงไท่ถอนหายใจโล่งอก “ดี เช่นนั้นเจ้าก็อย่าทำพวกเราตกใจอีก หมอเร็วเข้าตรวจอาการลูกข้าอีกครั้ง หนนี้ต้องเอาให้ละเอียด ต้องจัดยาบำรุงที่ดีที่สุดให้นางด้วย”
“ขอรับ”
ความรักและความพรั่งพร้อมของคนในครอบครัวสกุลหนิงมีมากจนล้น ความผูกพันหลอมรวมเข้ากับจิตวิญญาณของหลี่เสวี่ยซินไปโดยสมบูรณ์ นางกลายเป็นหนิงเสวี่ยซินแล้วจริง ๆ หนำซ้ำความทรงจำเดิมของตนก็มิได้เลือนหาย
‘นี่คงเป็นความรู้สึกของนางที่มีต่อบุพการี แล้วเหตุใดหนิงเสวี่ยซินผู้นี้จึงยกสถานะและร่างกายให้กับข้า เกิดอะไรขึ้นกับนางกันแน่’
หลี่เสวี่ยซินใคร่ครวญจนท้อ นางไม่อาจเข้าใจเจตนาแท้จริงของหนิงเสวี่ยซินได้เลย ในโลกใบนี้จะมีผู้ใดยอมละทิ้งชีวิตสวยหรูไปได้ นั่นมันเรื่องตลกร้ายชัด ๆ
‘นางคงมิได้โยนเผือกร้อน [2] เพื่อหลอกให้ข้ามาตามสะสางต่อกระมัง’ หลี่เสวี่ยซินนึกได้เช่นนั้นก็ขนลุกเกรียว
“ซินเอ๋อร์เป็นอะไรไปลูก” หนิงเข่อเหรินเอ่ยด้วยความห่วงใย
“เปล่าเจ้าค่ะ ลูกอยากพักอีกหน่อยจะได้หรือไม่”
“ได้สิ เช่นนั้นก็พักให้มาก ๆ แล้วอย่าลืมไปสูดอากาศข้างนอกบ้าง”
“เจ้าค่ะ” หลี่เสวี่ยซินยิ้มไปจนถึงดวงตา
เรื่องราวและบรรยากาศโดยรอบดั่งถูกจารึกเอาไว้ในโซนสมอง หลี่เสวี่ยซินไม่ได้อึดอัด ตรงกันข้ามนางกลับเห็นพวกเขาประหนึ่งครอบครัวที่แท้จริง
“โอ๊ะ!” หนิงเสวี่ยซินขมวดคิ้วแน่นพลางยกมือกุมอกซ้าย
‘เกิดอะไรขึ้น!?’
เชิงอรรถ
[marker-1-1] ยามเว่ย" (未时) ในการนับเวลาแบบจีนโบราณ หมายถึง ช่วงเวลา 13:00 น. ถึง 14:59 น. หรือก็คือช่วงบ่ายสองโมงถึงบ่ายสามโมงของเวลาปัจจุบัน
[marker-2-1] "เผือกร้อน" มาจากสำนวนภาษาอังกฤษ "hot potato" ซึ่งมีความหมายเดียวกัน คือ ปัญหาหรือสถานการณ์ที่ยุ่งยากและไม่มีใครอยากรับผิดชอบ
[marker-3-1]
หลี่เสวี่ยซินหลุดจากภวังค์ “เจ้าบอกว่าชื่อของข้ากับนางคล้ายกัน ข้าตาย เอ่อ...ไม่สิ ข้าหลับไปวันเดียวกับที่นางสิ้นใจอย่างนั้นหรือ”หลิวอี้พยักหน้าหงึกหงัก หม่าเซียวจึงลดมือของตนลงแช่มช้าครั้นหลิวอี้เป็นอิสระนางก็เร่งเอ่ยปาก “ท่านหญิงอย่าคิดมากเลยนะเจ้าคะ บ่าวปากไม่ดีเอง”เพียะ!หลิวอี้ยกมือตบปากของตนเสียงดังสนั่น หลี่เสวี่ยซินเบิกตาโพลง “ทำอะไรของเจ้า!?”“ยามปกติหากบ่าวปากไม่ดี ท่านหญิงจะให้ตบปากมิใช่หรือเจ้าคะ”“หา...พอเลย พอเลย ต่อไปพวกเจ้าไม่ต้องทำเช่นนี้อีก เข้าใจหรือไม่” หลี่เสวี่ยซินคลึงขมับ นึกไม่ถึงว่าหนิงเสวี่ยซินจะเข้มงวดเอาแต่ใจเพียงนี้ทั้งหลิวอี้และหม่าเซียวก้มหน้างุด ประสานเสียงตอบรับ “เจ้าค่ะ”“ข้าขอถามได้หรือไม่ ว่าข้าตกฟากเมื่อใด”สองสาวใช้แหงนหน้าขึ้น ครุ่นคิดเสียจนหัวคิ้วเคลื่อนชนกันหม่าเซียวเอ่ย “ท่านหญิงจำวันตกฟากของตนไม่ได้หรือเจ้าคะ”“ข้าหลับไปนาน บางเรื่องก็ลืมไปแล้ว”“เช่นนี้เอง เห็นท่านโหวและฮูหยินเคยเอ่ยถึงเรื่องนี้บ่อย ๆ ท่านหญิงตกฟากฤกษ์ดาวหงส์เชี
‘เกิดอะไรขึ้น!?’“ซินเอ๋อร์ เป็นอะไร” หนิงถงไท่ตกใจหน้าถอดสี เขาหันไปเร่งหมออีกครั้ง “หมอ นางเป็นอันใดไปอีกแล้ว!”หมอสูงวัยกุลีกุจอเข้ามา ไม่ทันจับชีพจรอีกครั้งหลี่เสวี่ยซินก็ยกมือปราม “ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ คงเพราะเพิ่งฟื้นไม่นานร่างกายเลยยังไม่ชิน”หลี่เสวี่ยซินรู้สึกว่าร่างกายใหม่นี้อ่อนแอเกินไป เมื่อครู่ความรู้สึกเจ็บแปลบที่ปรากฏเป็นเพราะใบหน้าของคนผู้หนึ่งล่องลอยเข้ามา นั่นไม่ใช่ความทรงจำของนาง ทว่าเป็นของหนิงเสวี่ยซิน‘ฮั่วเหวินหลง เขาต้องมีเรื่องผิดปกติแน่ ท่านหญิงถึงได้โมโหเช่นนี้’“แล้วเอ่อ…ท่านพี่ฮั่วไปที่ใดแล้วเจ้าคะ”“ฝ่าบาทเรียกตัวเข้าเฝ้า น่าเสียดายที่พี่เขามาครู่เดียวเจ้าก็หมดสติไปก่อน ไม่เช่นนั้นคงได้รั้งอยู่ทานข้าวเย็นด้วยกัน” หนิงเข่อเหรินตอบใบหน้าของหลี่เสวี่ยซินกระตุก รอยยิ้มของนางเริ่มประหลาดโดยไม่รู้ตัว เพราะเรื่องราวความสัมพันธ์ระหว่างหนิงเสวี่ยซินกับฮั่วเหวินหลงกลายเป็นปริศนาในคลังสมองของนางเป็นที่เรียบร้อยความทรงจำที่หลงเหลือไว้เกี่ยวกับชายผู้นั้นในตอนนี้ก็คือ เขาเป็นบุตรชายจากจวนป๋อ เขาสอบได้จอหงวน [1] เมื่อหนึ่งปีก่อน ที่สำคัญไปกว่านั้น เขาคือคู่หมั้นของหนิงเสว
ปลายยามเว่ย [1] ณ จวนหนิงโหว“ว่าอย่างไรท่านหมอ ลูกสาวของข้าเมื่อครู่ก็ฟื้นขึ้นแล้ว เหตุใดจึงหลับไปอีก”“ท่านโหวใจเย็นก่อนเถิดขอรับ เมื่อครู่ข้าน้อยลองจับชีพจรท่านหญิงดูแล้ว นี่เป็นอาการอ่อนเพลียเท่านั้น คือผลข้างเคียงจากการที่ร่างกายไม่อาจปรับตัวได้ทันท่วงทีจึงทำให้ท่านหญิงหมดสติอีกครั้ง”“แล้วถ้าหากนางหลับไปเป็นปีอีกเล่า จะทำอย่างไร”หนิงโหวหรือหนิงถงไท่สนทนากับหมอสูงวัยหน้าเคร่งเครียด ความกังวลบนใบหน้าไม่คลายลงแม้แต่น้อย กว่าบุตรีเพียงคนเดียวของเขาจะฟื้นคืนสติมิใช่เรื่องง่าย ยังไม่ทันได้พูดคุยสนทนาประสาพ่อลูกนางก็ชิงหลับใหลไปอีกคราเสียอย่างนั้น “ซินเอ๋อร์ ซินเอ๋อร์เป็นอย่างไรบ้างลูก ท่านพี่ ท่านพี่เจ้าคะซินเอ๋อร์ฟื้นแล้วเจ้าค่ะ” หนิงเข่อเหรินโพล่งเสียงสั่น ทั้งเป็นห่วงทั้งดีใจในเวลาเดียวกัน หนิงถงไท่ไม่รอช้า เขาปรี่เข้าหาภรรยาและลูกเดี๋ยวนั้น “ซินเอ๋อร์ โล่งอกไปที ในที่สุดลูกพ่อก็ฟื้นแล้ว”นัยน์ตาดอกท้อกลอกมองบุรุษและสตรีวัยกลางคนสลับไปมา ทั้งใบหน้าและรูปร่างของพวกเขาดูภูมิฐานน่าเกรงขาม กระนั้นแววตาคนทั้งสองล้วนเจือไปด้วยความอาทรห่วงใย หลี่เสวี่ยซินรับรู้ได้ถึงกระแสความอบอุ่นหลั่
ท่ามกลางความอนธการ [1] ม่านหมอกสีขาวลอยฟุ้งเหนือบรรยากาศ ไม่นานก็เริ่มเลือนรางและก็จางหาย มือเรียวเที่ยวควานไปทั่วทว่ากลับพบเพียงความว่างเปล่า“นี่คือที่ใด?”ท่อนขาผอมเพรียวขยับเดินไปข้างหน้า หญิงสาวยกมือทั้งสองขึ้นมาสำรวจพลางขมวดคิ้วฉงน “นี่ข้า...มองเห็นแล้วหรือ?”“หนิงเสวี่ยซิน”เสียงใสกังวานก้อง ใบหน้างามแหงนเงยขึ้นพลางกวาดสายตาสำรวจโดยรอบ “เจ้ากำลังเรียกข้าหรือ ไฉนข้าจึงเห็นแต่เพียงหมอกขาว”เสียงใสหัวเราะแว่วมาตามสายลม “ใช่ข้าเรียกเจ้า เจ้าก็คือ... หนิงเสวี่ยซิน”“ข้าหรือ? ข้ามิใช่หนิงเสวี่ยซิน ข้าคือ หลี่เสวี่ยซิน เจ้าจำคนผิดแล้ว ชื่ออาจจะคล้ายแต่สกุลของข้าคือหลี่มิใช่หนิง”“ไม่ผิด เป็นเจ้า เจ้าก็คือหนิงเสวี่ยซิน”หลี่เสวี่ยซินขมวดคิ้วแน่น นางไม่เข้าใจว่าผู้มาเยือนต้องการสิ่งใด ไฉนต้องยัดเยียดให้นางเป็นหนิงเสวี่ยซินผู้นั้นให้ได้ หนำซ้ำอีกฝ่ายยังเล่นละครปาหี่ด้วยการทำตัวดุจเทพมังกรเห็นหัวไม่เห็นหาง [2] “เจ้าเอาแต่พูดเพ้อเจ้ออยู่ฝ่ายเดียว เหตุใดจึงไม่ปรากฏกาย”สิ้นประโยคสตรีร่างระหงพลันสาวเท้าออกมาด้วยรอยยิ้มละไม ใบหน้าของนางจิ้มลิ้มพริ้มเพราแตกต่างจากหลี่เสวี่ยซินที่ยามนี้ทั้งด
ว่ากันว่าระฆังแห่งโชคชะตา คือระฆังศักดิ์สิทธิ์ที่ช่วยให้ผู้ขอพรสมหวังดั่งปรารถนา ทว่าบรรดาผู้คนกลับเล่าลือกันว่าสิ่งที่ต้องตอบแทนต่อคำอธิษฐานล้วนน่าพรั่นพรึงจนยากจะหยั่งดังนั้นจึงมิเคยมีใครหาญกล้าเฉียดกรายขึ้นมาบนหุบเขาซึ่งเป็นฐานที่ตั้งของหอระฆังเนิ่นนานนับหลายร้อยปี กระทั่งพื้นที่แห่งนี้ถูกลืมไปตามกาลเวลา จนเรียกได้ว่ารกร้างเสื่อมโทรม บรรยากาศวิเวกวังเวงค่อย ๆ กลืนกินสรรพชีวิต มีเพียงสายลมเย็นยะเยือกที่ยังพัดเอื่อยจนไผ่ต้นสูงเอนไหวกระทบกัน พวกมันส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดเสียจนบาดหู ขณะเดียวกันความน่ากลัวที่จิตปรุงแต่งไหนเลยจะเทียมเทียบสิ่งต่ำช้าในใจผู้คน ท่ามกลางบรรยากาศชวนผวากลับมีสตรีใจกล้ากำลังนั่งคุกเข่าก้มหน้าอยู่ตามลำพังบนหอคอยระฆังเปลี่ยวร้าง ใบหน้าซึ่งเคยงดงามเจือไปด้วยความโดดเดี่ยวและสิ้นหวัง สายลมที่พัดโกรกตีกระทบกายหยาบเป็นเหตุให้หญิงสาวหนาวสะท้าน ไหล่แคบทั้งสองด้านกระเพื่อมสั่น ฟันสวยเรียงกันขบแน่นจนเกิดเสียงกึก ๆ กระโปรงผ้าป่านบนหน้าตักอันเปียกชุ่มถูกมือเรียวขย้ำจนเผยรอยยับย่นบัดนี้ผิวหนังที่เคยขาวเนียนผุดผาดดั่งหยกพิสุทธิ์กลับถูกบดบังด้วยผดผื่นสีแดงก่ำมันลุกลามไปทั่ว กำลั