LOGIN‘เกิดอะไรขึ้น!?’
“ซินเอ๋อร์ เป็นอะไร” หนิงถงไท่ตกใจหน้าถอดสี เขาหันไปเร่งหมออีกครั้ง “หมอ นางเป็นอันใดไปอีกแล้ว!”
หมอสูงวัยกุลีกุจอเข้ามา ไม่ทันจับชีพจรอีกครั้งหลี่เสวี่ยซินก็ยกมือปราม “ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ คงเพราะเพิ่งฟื้นไม่นานร่างกายเลยยังไม่ชิน”
หลี่เสวี่ยซินรู้สึกว่าร่างกายใหม่นี้อ่อนแอเกินไป เมื่อครู่ความรู้สึกเจ็บแปลบที่ปรากฏเป็นเพราะใบหน้าของคนผู้หนึ่งล่องลอยเข้ามา นั่นไม่ใช่ความทรงจำของนาง ทว่าเป็นของหนิงเสวี่ยซิน
‘ฮั่วเหวินหลง เขาต้องมีเรื่องผิดปกติแน่ ท่านหญิงถึงได้โมโหเช่นนี้’
“แล้วเอ่อ…ท่านพี่ฮั่วไปที่ใดแล้วเจ้าคะ”
“ฝ่าบาทเรียกตัวเข้าเฝ้า น่าเสียดายที่พี่เขามาครู่เดียวเจ้าก็หมดสติไปก่อน ไม่เช่นนั้นคงได้รั้งอยู่ทานข้าวเย็นด้วยกัน” หนิงเข่อเหรินตอบ
ใบหน้าของหลี่เสวี่ยซินกระตุก รอยยิ้มของนางเริ่มประหลาดโดยไม่รู้ตัว เพราะเรื่องราวความสัมพันธ์ระหว่างหนิงเสวี่ยซินกับฮั่วเหวินหลงกลายเป็นปริศนาในคลังสมองของนางเป็นที่เรียบร้อย
ความทรงจำที่หลงเหลือไว้เกี่ยวกับชายผู้นั้นในตอนนี้ก็คือ เขาเป็นบุตรชายจากจวนป๋อ เขาสอบได้จอหงวน [1] เมื่อหนึ่งปีก่อน ที่สำคัญไปกว่านั้น เขาคือคู่หมั้นของหนิงเสวี่ยซิน
“เจ้าอยากพบพี่เขาหรือ เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็คงได้เจอ ตอนที่เจ้าหมดสติไปนานพี่เขาเฝ้าแวะเวียนมาเยี่ยมเจ้าทุกวันเชียวนะ” หนิงเข่อเหรินปลอบประโลม นางกำลังเข้าใจผิด เพราะคิดว่าบุตรสาวผิดหวังที่ไม่เห็นคู่หมั้นของตนอยู่ตรงหน้า
หลี่เสวี่ยซินยิ้มตาปิด “ลูกไม่ได้อยากพบเจ้าค่ะ”
หนิงถงไท่ถอนหายใจ หนึ่งปีก่อนเหมือนเด็กทั้งสองจะมีปากเสียงกัน หนิงถงไท่ไม่อยากฟื้นฝอยหาตะเข็บให้ลูกสาวต้องเจ็บปวดในตอนนี้ เขารีบตัดบท “ฮูหยิน ให้ลูกพักผ่อนเถิด”
“เจ้าค่ะ”
เนื่องจากได้เวลาสำรับเย็นแล้ว หม่าเซียวกับหลิวอี้จึงขอตัวไปเตรียมอาหารและโอสถ ครั้นกลับมาถึงห้องของเจ้านายพวกนางก็ถึงขั้นอุทานเสียงหลง เมื่อพบว่าคนในห้องลุกเดินไปมาด้วยเท้าเปลือยเปล่า
“ตายจริง ท่านหญิงทำอันใดเจ้าคะ พื้นเย็นมากประเดี๋ยวป่วยอีกนะเจ้าคะ” หม่าเซียวและหลิวอี้วางถาดอาหารและโอสถลงบนโต๊ะ พร้อมใจกันถลาเข้ามาหน้าตื่น
“ตกใจอะไรกัน ข้าดีขึ้นแล้ว ก็แค่เดินเท้าเปล่าสร้างภูมิคุ้มกัน เท้าของข้าไม่ได้สัมผัสพื้นนานแล้ว คิดจะให้ข้าเป็นง่อยหรือ”
เสียงถอนหายใจดังขึ้นอย่างพร้อมเพรียง หลิวอี้กล่าว “แต่ทำเช่นนี้ไม่เหมาะนะเจ้าคะ มาเจ้าค่ะสวมถุงเท้าก็ยังดี”
“ได้ ๆ” หลี่เสวี่ยซินกลับไปนั่งอย่างว่าง่าย
หลิวอี้ช่วยสวมถุงเท้าให้อย่างคล่องมือ จากนั้นจึงถาม “ว่าแต่ท่านหญิงกำลังหาสิ่งใดอยู่หรือเจ้าคะ”
“บันทึกของข้าน่ะ ข้าจำได้ว่าเก็บไว้ตรงนี้ แต่หาอย่างไรก็หาไม่เจอ”
หลี่เสวี่ยซินนึกขึ้นได้ว่าเมื่อก่อนหนิงเสวี่ยซินมักจดบันทึกกิจวัตรประจำวันของตนเอาไว้ บางทีในนั้นอาจมีคำตอบว่าเหตุใดนางจึงไม่อยากแต่งงานกับฮั่วเหวินหลง
หม่าเซียวใคร่ครวญครู่หนึ่ง “อ้อ...ตอนนั้นท่านหญิงบอกว่ามันหายไปแล้วมิใช่หรือเจ้าคะ อีกอย่างผ่านมาตั้งหนึ่งปีแล้วด้วย พวกเราเก็บกวาดห้องท่านหญิงทุกวันไม่เคยพบบันทึกเล่มนั้นเลยเจ้าค่ะ”
หลี่เสวี่ยซินหน้าม่อยคอตก “เช่นนี้เอง น่าเสียดายจัง”
หลิวอี้สงสัย “แล้วท่านหญิงจะหาไปทำไมหรือเจ้าคะ”
“ข้าหลับไปนาน เรื่องบางเรื่องก็จำไม่ค่อยได้แล้ว เลยคิดว่าบันทึกเล่มนั้นอาจช่วยได้บ้าง”
หม่าเซียว “เช่นนั้นพวกบ่าวเล่าให้ฟังก็ได้นะเจ้าคะ บางทีอาจช่วยได้บ้าง”
หลี่เสวี่ยซินยิ้มออก “จริงด้วย เหตุใดข้าถึงคิดไม่ได้นะ ขอบใจมากนะอาเซียว”
หม่าเซียวหน้าแดงก่ำ ยากยิ่งนักกว่าท่านหญิงของนางจะเอ่ยปากชมสักหน ได้สติคราวนี้หม่าเซียวรู้สึกว่าหญิงสาวตรงหน้านิสัยไม่ชวนอึดอัดคล้ายเมื่อก่อนแล้ว
“ท่านหญิงอยากทราบเรื่องใดก่อนหรือเจ้าคะ”
“เรื่องแรกที่ข้าอยากรู้ก็คือความสัมพันธ์ของข้าและคุณชาย เอ่อ แฮ่ม…” หญิงสาวกระแอมกลบเกลื่อน “เรื่องระหว่างข้าและท่านพี่ฮั่วเป็นอย่างไรบ้าง เอาให้ละเอียดยิบเลยนะ”
“เจ้าค่ะ แต่ว่าพรุ่งนี้คุณชายฮั่วก็มาแล้ว ไม่อยากถามจากปากคุณชายโดยตรงหรือเจ้าคะ”
“ไม่อยาก ข้าจะฟังเรื่องของเขาเดี๋ยวนี้ตอนนี้เท่านั้น อ้อ...อีกหนึ่งเรื่องที่ข้าอยากรู้ พวกเจ้าทั้งสองเคยได้ยินเรื่องของคนตระกูลลั่วหรือไม่”
หม่าเซียวขมวดคิ้ว “ตระกูลลั่ว…” ไม่นานก็ตาโต “อย่าบอกว่าท่านหญิงสนใจเรื่องของฮูหยินใต้เท้าลั่วด้วยเช่นกัน”
หลี่เสวี่ยซินเลิกคิ้ว “ใต้เท้าลั่ว? เจ้าหมายความว่าอย่างไร”
หลิวอี้สำทับ “ก็ต้องใต้เท้าลั่วสิเจ้าคะ เพราะว่าใต้เท้าลั่วผู้นั้นได้เลื่อนตำแหน่งเป็นหัวหน้าองครักษ์อวี่หลิน [2] แล้ว”
หลี่เสวี่ยซินทำหน้าดุจกลืนยาขม เมื่อก่อนลั่วเทียนเฉินก็เป็นเพียงมือปราบตำแหน่งเล็ก ๆ ระยะเวลาสามปีที่เขาจากนางไปทำงานต่างเมือง นึกไม่ถึงว่าจะสามารถไต่ขึ้นตำแหน่งหัวหน้าองครักษ์อวี่หลินอย่างรวดเร็ว หรือในวันนั้นที่เขาเร่งร้อนจากไปไม่ทันมาพบนางก็เพื่อสิ่งนี้ ถ้าเช่นนั้นเขาจะต่างอันใดกับพวกบ้าอำนาจ
หม่าเซียวสังเกตสีหน้าประหลาดของหลี่เสวี่ยซินพลางครุ่นคิด “เอ่อ…ว่าแต่…ท่านหลับไปพร้อมวันที่นางสิ้นลมนะเจ้าคะ แล้วเหตุใดจึงสนใจเรื่องของ…”
“ข้ายังไม่ได้บอกเลยว่าอยากรู้เรื่องผู้ใด แต่ในเมื่อเจ้าเกริ่นมาเช่นนี้ ถ้างั้นเอาเรื่องตระกูลลั่วก่อนก็แล้วกัน”
“หา!” สองสาวใช้อุทานโดยพร้อมเพรียง
เมื่อก่อนท่านหญิงหนิงเสวี่ยซินเคยสนใจเรื่องราวของผู้อื่นเสียเมื่อใด อีกอย่างนางก็เพิ่งตื่น ไฉนจึงอยากรู้เรื่องของตระกูลลั่วที่ตนไม่เคยรู้จักมาก่อน
สองสาวใช้มองหน้ากันตาปริบ ๆ ทั้งงุนงงและก็สงสัย
หลิวอี้กระซิบ “น่าแปลก”
หม่าเซียวขมวดคิ้ว “แปลกเรื่องใด”
“ก็ชื่อของท่านหญิงและฮูหยินใต้เท้าลั่วเหมือนกันไม่ผิดเลย ถึงแม้จะคนละสกุลก็เถอะ อีกอย่างฮูหยินใต้เท้าลั่วผู้นั้นก็ยังมาสิ้นใจตรงกันกับวันที่ท่านหญิงหลับไป”
หลี่เสวี่ยซินตกตะลึงกับสิ่งที่แอบได้ยิน หม่าเซียวเหลียวมองสีหน้าซีดขาวของผู้เป็นนายพลันตะครุบปากหลิวอี้ไม่ให้พูดซ้ำ “เจ้าพูดจาเหลวไหลอันใด ฮูหยินใต้เท้าลั่วตายไปแล้ว แต่ท่านหญิงของเรายังสุขสบายดี อีกอย่างคนเราชื่อคล้ายกันได้จะแปลกอย่างไร”
เสียงของหม่าเซียวกลายเป็นอากาศธาตุในบัดดล ยามนี้หลี่เสวี่ยซินติดอยู่ในภวังค์ดุจกำลังเดินวนอยู่ท่ามกลางเขาวงกต
นางกับข้าชื่อเหมือนกัน วันตายของข้าและวันที่นางหมดสติก็วันเดียวกันอย่างนั้นหรือ...
^จอหงวน (狀元) : ผู้ที่สอบได้อันดับหนึ่งในการสอบคัดเลือกขุนนางระดับสูงของจีน
^"อวี่หลิน" (羽林) หมายถึง "ป่าฝน" หรือ "ปีกของป่า" ซึ่งสื่อถึงความแข็งแกร่งและเกรียงไกรของหน่วยทหาร. ภารกิจหลักคือการอารักขาองค์จักรพรรดิและราชวงศ์ รวมถึงการรักษาสันติสุขและความสงบเรียบร้อยภายในราชสำนัก
หลี่เสวี่ยซินทิ้งกายลงบนฟูกนอนด้วยร่างอันไร้เรี่ยวแรง เปลือกตาบางปิดลมแช่มช้า ทว่าลมหายใจกลับปั่นป่วน ร่างระหงพลิกซ้ายตะแคงขวา ริมฝีปากสีกุหลาบเม้ม ๆ คลาย ๆ อยู่เช่นนั้นโซนสมองของนางยามนี้กำลังตีกันจ้าละหวั่น ราวกับว่ามีทูตสวรรค์และทูตนรกเสี้ยมอยู่ข้างหู หนึ่งฝั่งคะยั้นคะยอให้เปิด อีกฝั่งชิงชังให้ขว้างทิ้งหลี่เสวี่ยซินทนเสียงร่ำร้องไม่ไหว หญิงสาวสะบัดผ้าบนกายเสียงดัง จากนั้นหย่อนร่างลงจากเตียง ขาเสลาเดินมาหยุดที่หน้าม้วนกระดาษแผ่นนั้นอีกครั้ง“เขาทิ้งมันเอาไว้หรือ”เดิมทีที่ตรงนี้ควรต้องว่างเปล่า ทว่ามันกลับปรากฏม้วนกระดาษกลางเก่ากลางใหม่นี้อยู่ คล้ายกับว่ามันถูกเก็บรักษาอย่างดี กระนั้นก็ยังมีรอยยับย่นกับรอยเปื้อนสีน้ำตาลเข้มเป็นด่างดวงไม่มาก‘เจ้าไม่อยากรู้หรือ ว่าด้านในคือสิ่งที่คิดหรือไม่ เปิดสิ เจ้าเปิดมันเลย หากปล่อยเอาไว้ก็มีแต่ค้างคา’‘เจ้าจะเปิดให้เสียเวลาทำไม คนทำผิดก็คือผิด ตอนนั้นไม่คิดแก้ไขปล่อยเจ้าตายไปอย่างน่าสังเวช คนเช่นนี้คู่ควรกับเจ้าหรือ ทิ้งมันไปเสีย ปิดหูปิดตาจะได้ไม่รับรู้ ไม่เจ็บปวด ดีกว่าเป็นไหน ๆ’ปลาย
ม่านตากลมโตขยายกว้าง “ใต้เท้าลั่ว ท่านกล้าดีอย่างไรจึงได้บุกรุกห้องของข้า”“ใต้เท้าลั่วหรือ? เจ้าเป็นเช่นนี้คงโกรธเคืองข้ามากทีเดียว” ท่อนขาสูงยาวก้าวเข้ามาช้า ๆหลี่เสวี่ยซินค่อย ๆ ถอยตามจังหวะของเขาเช่นเดียวกัน “ท่านอย่าเข้ามานะ ไม่เช่นนั้นข้าจะฟาดท่านให้หัวแตก”ลั่วเทียนเฉินหัวเราะขืน เขายกมือทั้งสองขึ้น “ข้าไม่มีเจตนาทำร้ายเจ้า เพียงแต่เจ้าช่วยตอบคำถามข้าสองสามข้อได้หรือไม่”“ท่านมาที่นี่เพราะเรื่องนี้รึ ท่านคิดว่ามันเหมาะสมแล้วหรือไม่ อยากถามอะไรรอฟ้าสว่างก่อน ท่านอย่าคิดว่าบุญคุณหนนี้จะเอามาบีบบังคับข้าอย่างไรก็ได้”“เจ้าคิดว่าข้าเป็นคนเช่นนั้นหรือ”หลี่เสวี่ยซินหลุกหลิก ไม่รู้เช่นกันว่าอีกฝ่ายต้องการสิ่งใด ท่าทางและคำพูดของเขาแปลกไปจากเมื่อก่อนมาก “เอาเป็นว่าชายหญิงไม่ควรใกล้ชิด ท่านมาทางไหนก็กลับไปทางนั้น เรื่องนี้ข้าจะถือว่าไม่เคยเกิดขึ้น”“ซินซิน ข้าขอโทษ เป็นข้าที่ปากหนักไม่ยอมพูดกับเจ้าให้รู้ความก่อน เจ้าจะตบจะตีข้าก็ได้ แต่ช่วยให้โอกาสข้าอธิบายก่อนได้หรือไม่”หลี่เสวี่ยซินถอนหายใจ มือที่กำแจกันแน่นค่อย ๆ ผ่อนคลาย ห
“ท่านหญิง เอาอีกแล้วนะเจ้าคะ ท่านเพิ่งเกิดเรื่องมาหมาด ๆ ยังจะนั่งทำงานอีกหรือ” หม่าเซียวเตือนด้วยความเป็นห่วงหลี่เสวี่ยซินมองแสงจากเทียนที่วูบไหว ภายในมือถือเข็มปักผ้าเอาไว้ ก่อนจะวางของเหล่านั้นลง “พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่าเมื่อก่อนท่านพ่อเคยทำเรื่องไม่ดีอันใดมา”“ตายจริง พูดเช่นนั้นได้อย่างไรเจ้าคะ ท่านโหวเป็นคนดีนะเจ้าคะ” หลิวอี้กล่าวหน้าซีดหลี่เสวี่ยซินทบทวนเรื่องที่เกิดขึ้นวนซ้ำไปมา นางสังเกตจากแววตาของชายชุดดำผู้นั้นคล้ายกับมีความแค้นฝังหุ่น ราวกับว่าจวนโหวเข่นฆ่าบิดามารดาของเขา “แล้วเหตุใดศัตรูของท่านพ่อจึงมีมากนัก”“อาจเพราะท่านโหวโดดเด่นจนผู้อื่นริษยาเจ้าค่ะ”หลี่เสวี่ยซินส่ายหน้า “หนึ่งปีก่อน ท่านพ่อเคยมีภารกิจอะไรหรือไม่”หม่าเซียวและหลิวอี้ครุ่นคิดจนหน้ายับยู่“นึกออกแล้วเจ้าค่ะ” หลิวอี้โพล่ง“นึกอะไรออก” หม่าเซียวเลิกคิ้ว“จำไม่ได้หรือว่าเมื่อหนึ่งปีก่อน หมู่บ้านแถบชายแดนเกิดโรคระบาดไม่ทราบสาเหตุ ที่นั่นแร้นแค้นอย่างหนัก”“จริงด้วย” หม่าเซียวตอบรับ“แล้วเรื่องนี้เกี่ยวอันใดกับท่านพ่อห
“นายน้อย นายน้อย ท่านเป็นอะไรหรือไม่ ข้าเรียกตั้งนาน”ฮั่วเหวินหลงยกมือคลึงขมับ เขากวาดตามองซ้ายขวาพลันประหลาดใจ “เกิดอะไรขึ้น ข้ากลับมาได้อย่างไร?”หงจวิ้นงุนงง นายของตนเป็นโรคขี้หลงขี้ลืมหรือ “เอ่อ…ท่านบอกข้าว่าไม่ต้องติดตาม วันนี้ท่านออกจากจวนไปช่วงยามจื่อ [1] ไม่กี่ชั่วยามนายน้อยกลับมาไม่พูดไม่จาโยนของสิ่งนั้นเข้าเตากำยานไม่นานท่านก็หลับไปขอรับ”ฮั่วเหวินหลงถอนหายใจ เขารู้อยู่แล้วว่าไปเยือนตลาดมืดคราใดจะต้องได้พบกับความประหลาด หลังทบทวนเรื่องราวไปมาจึงพอเข้าใจ “แล้ว…ซวี่หนิงนางเป็นอย่างไรบ้าง”“คุณหนูซวี่กินยาเสร็จก็หลับไปเลยขอรับ”“นางคงไม่ได้ก่อเรื่องใดกระมัง”“เล็กน้อยขอรับ คุณหนูซวี่อยากไปพบท่านหญิงมาก แต่ข้าขวางนางไว้ได้ หลังจากอ่อนเพลียคุณหนูจึงหลับไปขอรับ”วันนี้หงจวิ้นแทบเป็นประสาทเลยต่างหาก คุณหนูซวี่ผู้นี้รับมือยากยิ่งนัก เดี๋ยวเล่นลูกไม้เจ็บท้อง เจ็บขา ปวดเศียรเวียนหัวอยู่ตลอด ทำเอาจวนป๋อจ้าละหวั่นไปหมด กว่าจะปราบพยศได้ก็เล่นเอาหอบฮั่วเหวินหลงแค่นยิ้ม “เจ้
“ท่านพี่เหวินหลง” เสียงใสสะท้อนดังกระทบใบหู“…” คิ้วดกดำเคลื่อนเข้าชิดกันพลันขมวดแน่น“ท่านพี่เหวินหลงเจ้าคะ”ฮั่วเหวินหลงลุกพรวดขึ้นเดี๋ยวนั้น เปลือกตาบางหรี่แคบลงเล็กน้อย ด้านหน้าขาวโพลนประหนึ่งหมอกควัน ต่อให้เพ่งสายตาอย่างไรก็ไม่อาจมองคนตรงหน้าชัดแจ้ง ทว่าน้ำเสียงและการเรียกขานเมื่อครู่ฮั่วเหวินหลงคาดเดาไม่ยากว่าเป็นใครเหตุไฉนเขาจึงมาอยู่สถานที่ประหลาดเช่นนี้ได้ ในเมื่อไม่กี่ชั่วยามก่อนตัวของเขายังอยู่ในตลาดมืด“ท่านพี่เหวินหลงได้ยินข้าหรือไม่”“ซินซินหรือ”หลังจบประโยคร่างระหงพลันปรากฏเบื้องหน้าของเขา ฮั่วเหวินหลงตาโต โผเข้ากอดอีกฝ่าย ทว่าด้วยแรงเคลื่อนไหวเกือบทำให้เขาล้มหน้าคะมำ“ซินซิน เหตุใดจึง…” ฮั่วเหวินหลงสับสน ไฉนเมื่อครู่เขาจึงวิ่งทะลุผ่านร่างของนางออกมาหนิงเสวี่ยซินยิ้มบาง “ท่านพี่เหวินหลง ที่จริงข้ายังมีหลายเรื่องที่อยากบอกท่าน ถึงตอนนั้นข้ายังยึดติดและโกรธเคือง แต่มาคิดดูแล้วท่านเองก็ทำเพื่อข้าเช่นเดียวกัน ถูกหรือไม่เจ้าคะ”ลูกกระเดือกกลางลำคอขยับแผ่ว เขาไม่รู้ว่าคนตรงหน้าเป็นภาพลวงตาหรือว่าความฝั
ภาพครอบครัวสุขสันต์จางหายไปแล้ว ตอนนี้ร่างของเขามายืนตระหง่านที่จวนตระกูลลั่ว นี่เป็นจวนของเขาเอง“เจ้ามันไร้ประโยชน์ เป็นบุตรีของหญิงโคมเขียวยังกล้ามาแต่งงานกับลูกชายข้า สินสอดที่ได้ไปไม่ใช่น้อย อย่าสำออยไปหน่อยเลย” ลั่วเหมิงเท้าเอวหน้าเคร่ง มืออีกด้านก็ชี้ดะไปยังฟูกนอนซึ่งมีร่างบอบบางกำลังนอนซมตัวสั่น ทั้งมือและคอของนางเต็มไปด้วยผื่นคันสีแดง“ท่านแม่” ลั่วเทียนเฉินหน้านิ่วคิ้วขมวด เขารู้ว่ามารดาไม่ชอบภรรยาตน แต่นึกไม่ถึงว่านางจะใช้คำพูดคำจารุนแรงเพียงนี้“ลุกขึ้นเลยนังตัวดี ไปหาบน้ำต่อ”“แค่ก แค่ก” หลี่เสวี่ยซินพยุงร่างที่อ่อนระโหยโรยแรงขึ้น “ท่านแม่ แต่ข้าแพ้น้ำฝน หากออกไปอีก…”“สำออยนัก แพ้นั่นแพ้นี่คิดว่าตัวเองเป็นลูกคุณหนูหรืออย่างไร” ลั่วเหมิงทั้งลากทั้งดึงหลี่เสวี่ยซินให้ลุกขึ้นมาหลี่เสวี่ยซินไม่อาจขัดขืน วันนั้นนางจึงต้องลุกไปหาบน้ำด้วยร่างสะบักสะบอม วันเดียวกันนั้นเองนางก็ทรุดจนป่วยหนักลั่วเหมิงเชิญหมอมาตรวจอาการของหลี่เสวี่ยซินอย่างขอไปที“ฮูหยินน้อยท่านนี้ร่างกายอ่อนแอ มีอาการแพ้ร่วมด้วย นี่นางต้องตรากตรำเพียงใดกั







