LOGINหลี่เสวี่ยซินหลุดจากภวังค์ “เจ้าบอกว่าชื่อของข้ากับนางคล้ายกัน ข้าตาย เอ่อ...ไม่สิ ข้าหลับไปวันเดียวกับที่นางสิ้นใจอย่างนั้นหรือ”
หลิวอี้พยักหน้าหงึกหงัก หม่าเซียวจึงลดมือของตนลงแช่มช้า
ครั้นหลิวอี้เป็นอิสระนางก็เร่งเอ่ยปาก “ท่านหญิงอย่าคิดมากเลยนะเจ้าคะ บ่าวปากไม่ดีเอง”
เพียะ!
หลิวอี้ยกมือตบปากของตนเสียงดังสนั่น หลี่เสวี่ยซินเบิกตาโพลง “ทำอะไรของเจ้า!?”
“ยามปกติหากบ่าวปากไม่ดี ท่านหญิงจะให้ตบปากมิใช่หรือเจ้าคะ”
“หา...พอเลย พอเลย ต่อไปพวกเจ้าไม่ต้องทำเช่นนี้อีก เข้าใจหรือไม่” หลี่เสวี่ยซินคลึงขมับ นึกไม่ถึงว่าหนิงเสวี่ยซินจะเข้มงวดเอาแต่ใจเพียงนี้
ทั้งหลิวอี้และหม่าเซียวก้มหน้างุด ประสานเสียงตอบรับ “เจ้าค่ะ”
“ข้าขอถามได้หรือไม่ ว่าข้าตกฟากเมื่อใด”
สองสาวใช้แหงนหน้าขึ้น ครุ่นคิดเสียจนหัวคิ้วเคลื่อนชนกัน
หม่าเซียวเอ่ย “ท่านหญิงจำวันตกฟากของตนไม่ได้หรือเจ้าคะ”
“ข้าหลับไปนาน บางเรื่องก็ลืมไปแล้ว”
“เช่นนี้เอง เห็นท่านโหวและฮูหยินเคยเอ่ยถึงเรื่องนี้บ่อย ๆ ท่านหญิงตกฟากฤกษ์ดาวหงส์เชียวนะเจ้าคะ ต้นสือเยว่เจ้าค่ะ กลางวันหรือกลางคืนบ่าวไม่แน่ใจ แต่...” หม่าเซียวหรี่ตาลง “อ้อ...สือเยว่ดาวหงส์จะต้องถือกำเนิดยามพระอาทิตย์ทอแสง หากถือกำเนิดยามอาทิตย์อัสดงก็จะเป็นดาวหายนะ เช่นนั้นท่านหญิงต้องเกิดในยามพระอาทิตย์ทอแสงแน่นอนเจ้าค่ะ”
หลี่เสวี่ยซินใจเต้นครึกโครม ที่แท้พวกนางก็เกิดในเดือนและวันเดียวกันเว้นเพียงปีที่แตกต่าง ส่วนช่วงเวลาหลี่เสวี่ยซินไม่ค่อยแน่ใจ เพราะพ่อแม่ผู้ให้กำเนิดของนางไม่เคยเอ่ยถึงเรื่องนี้
สำหรับครอบครัวธรรมดาสามัญย่อมมิได้ใส่ใจเรื่องชะตาหยุมหยิม เฉกเช่นตระกูลใหญ่ที่มักใช้ดวงชะตาส่งเสริมอำนาจ เรื่องนี้ทำให้หลี่เสวี่ยซินบังเกิดสังหรณ์บางอย่าง ดูเหมือนว่าที่ดวงวิญญาณของนางเข้ามาสวมร่างหนิงเสวี่ยซินต้องมีที่มาที่ไปและไม่ใช่ความบังเอิญ
“เรื่องนี้เอาไว้ก่อนก็แล้วกัน เช่นนั้นอาอี้ เจ้าช่วยเล่าเรื่องของตระกูลลั่วให้ข้าฟังต่อได้หรือไม่” สิ่งที่หลี่เสวี่ยซินสนใจเหนืออื่นใดก็คือความเป็นอยู่ของคนในตระกูลเส็งเคร็งนั่น
ตอนนี้ไร้เงาของนางเป็นตัวขวางความเจริญ ดูสิว่าพวกเขาจะมีความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่นได้ยั่งยืนเพียงใด
“เจ้าค่ะ”
หลิวอี้เริ่มเล่าเรื่องราวที่ตนทราบมาอย่างออกรสชาติ บ้างก็เป็นเรื่องซุบซิบของเหล่าแม่ค้าในตลาด บ้างก็เป็นเรื่องเล่าของบรรดาหญิงสาวที่สนใจลั่วเทียนเฉิน
“ดูเขามีเสน่ห์มากมายเสียจริง สูญเสียฮูหยินไม่ทันไรก็มีหญิงสาวจ้องเสียบแทนที่ เหอะ!”
ท่าทีประชดประชันเจือความน้อยใจของหลี่เสวี่ยซินทำให้สาวใช้ทั้งสองรู้สึกถึงความประหลาด หม่าเซียวและหลิวอี้จ้องตากันหลุกหลิก
“เจ้าว่าต่อสิ”
หลิวอี้สะดุ้งโหยง “เจ้าค่ะ ไม่พอนะเจ้าคะ ฮูหยินของใต้เท้าลั่วยังเขียนหนังสือหย่าทิ้งเอาไว้ด้วย ว่ากันว่านางน้อยเนื้อต่ำใจที่ใต้เท้าลั่วพาหญิงอื่นเข้าบ้าน นางก็เลยดื่มสุราพิษเพื่อประชดชีวิตรัก”
คิ้วสวยขมวดแน่น “นางคงไม่ได้อยากประชดชีวิตรักอะไรหรอก คงแค่อยากถอยเพื่อรุก บางทีการตายอาจมิใช่จุดสิ้นสุด แต่ถ้าจะบอกว่านางคิดน้อยไปหน่อยก็ย่อมไม่ผิด” หลี่เสวี่ยซินยิ้มเยาะแด่ความบ้าบิ่นของตน หากตอนนั้นนางถูกหลอก คงไม่มีหน้ามานั่งชูคออยู่ตรงนี้แน่นอน
หม่าเซียวกะพริบตาปริบ ๆ “จะถอยอย่างไรเจ้าคะ นั่นคือตายไปเลยนะเจ้าคะ อีกอย่างท่านหญิงก็หลับไปวันเดียวกันด้วย ท่านหญิงคงไม่รู้ข้อเท็จจริง แต่เหตุใดท่านหญิงจึงดูมั่นใจว่าไม่ใช่อย่างที่พวกบ่าวเล่าหรือเจ้าคะ”
“ข้าเพียงแค่มองไม่เห็นความสมเหตุสมผลเท่านั้น”
หลิวอี้กล่าวต่อ “เพราะว่าฮูหยินใต้เท้าลั่วผู้นี้ตาบอดด้วยกระมังเจ้าคะ สองปีก่อนโน้นนางก็ยังสายตาดี ๆ ทว่าหลังจากนั้นหนึ่งปีก่อนสามีจะกลับอยู่ ๆ นางก็ตาบอดเจ้าค่ะ” หลิวอี้หันรีหันขวาง พลางคลานเข่าเข้าใกล้หลี่เสวี่ยซิน เสียงที่เอ่ยลดลงเป็นกระซิบ “เล่าลือกันว่านางอาจโดนวางยา เพราะแม่สามีไม่ชอบขี้หน้าตั้งแต่แต่งเข้าตระกูลเจ้าค่ะ”
จู่ ๆ หลี่เสวี่ยซินก็หัวเราะออกมาด้วยเสียงเย็นเยียบ แววตาของนางวาวระยับดุจมีดดาบ หลิวอี้ผงะรู้สึกขนพองไปหมดทั้งร่าง “นั่นสินะ สะใภ้ที่มาจากตระกูลต่ำต้อย มีพ่อเป็นนายกองยศเล็กจ้อย แม่ก็ป่วยออด ๆ แอด ๆ ฐานะทางบ้านไม่ต้องพูดถึง ข้นแค้นแม้แต่ข้าวกรอกหม้อสักเม็ดก็ยังไม่มี แล้วผู้ใดจะอยากเกี่ยวดองด้วย ตอนนั้นฮูหยินใต้เท้าลั่วคงตาต่ำที่เชื่อคำพูดดุจผายลมของบุรุษ”
หม่าเซียวและหลิวอี้ตื่นตะลึงจนพูดไม่ออก มีเพียงขนอ่อนบนกายที่ยังพร้อมใจตั้งชันอยู่เช่นนั้น
ทั้งที่ลั่วเทียนเฉินเคยรับปากนางไว้ว่า หากแต่งกันแล้วจะดูแลนางอย่างดี ทว่าหลังจากที่หลี่เสวี่ยซินออกเรือนไปเป็นสะใภ้ตระกูลลั่วเพียงแค่หนึ่งเดือน ลั่วเทียนเฉินก็ถูกเรียกตัวไปประจำการที่ชายแดนห่างไกลนับพันลี้
สามปีให้หลัง บุรุษที่สัญญาเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าจะรักและซื่อสัตย์ต่อนางแต่เพียงผู้เดียวกลับพาสตรีต่างเมืองนามว่าหวางเหยามาหยามหน้า วันเดียวกันนางไม่ทันพบหน้าของเขาด้วยซ้ำ ลั่วเทียนเฉินก็หนีหน้านางเข้าวังไปอีก ตั้งแต่นั้นร่วมสัปดาห์หลี่เสวี่ยซินก็ไม่เคยเห็นแม้แต่เงาของสามีมาดูดำดูดีนางสักวัน ทั้งที่นางเจ็บป่วยจนตามืดบอดเขาก็ยังไม่คิดสนใจ
หลี่เสวี่ยซินจดจำวันนั้นได้ดี วันที่เขาปล่อยนางเอาไว้อย่างโดดเดี่ยว ผู้หญิงคนนั้นก็เริ่มเป่าหูแม่สามีให้ยิ่งชิงชังในตัวนาง
“ท่านพี่เทียนเฉินส่งจดหมายมาให้เจ้า เจ้าอยากรู้หรือไม่ว่าในนี้เขาบอกว่าอย่างไร”
ในตอนนั้นหลี่เสวี่ยซินดีใจราวกับพบแสงสว่างสาดประกายอยู่ตรงหน้า ในที่สุดเขาก็มีเรื่องอธิบายต่อนางเสียที “ท่านพี่ว่าอย่างไรหรือ”
หลี่เสวี่ยซินทิ้งกายลงบนฟูกนอนด้วยร่างอันไร้เรี่ยวแรง เปลือกตาบางปิดลมแช่มช้า ทว่าลมหายใจกลับปั่นป่วน ร่างระหงพลิกซ้ายตะแคงขวา ริมฝีปากสีกุหลาบเม้ม ๆ คลาย ๆ อยู่เช่นนั้นโซนสมองของนางยามนี้กำลังตีกันจ้าละหวั่น ราวกับว่ามีทูตสวรรค์และทูตนรกเสี้ยมอยู่ข้างหู หนึ่งฝั่งคะยั้นคะยอให้เปิด อีกฝั่งชิงชังให้ขว้างทิ้งหลี่เสวี่ยซินทนเสียงร่ำร้องไม่ไหว หญิงสาวสะบัดผ้าบนกายเสียงดัง จากนั้นหย่อนร่างลงจากเตียง ขาเสลาเดินมาหยุดที่หน้าม้วนกระดาษแผ่นนั้นอีกครั้ง“เขาทิ้งมันเอาไว้หรือ”เดิมทีที่ตรงนี้ควรต้องว่างเปล่า ทว่ามันกลับปรากฏม้วนกระดาษกลางเก่ากลางใหม่นี้อยู่ คล้ายกับว่ามันถูกเก็บรักษาอย่างดี กระนั้นก็ยังมีรอยยับย่นกับรอยเปื้อนสีน้ำตาลเข้มเป็นด่างดวงไม่มาก‘เจ้าไม่อยากรู้หรือ ว่าด้านในคือสิ่งที่คิดหรือไม่ เปิดสิ เจ้าเปิดมันเลย หากปล่อยเอาไว้ก็มีแต่ค้างคา’‘เจ้าจะเปิดให้เสียเวลาทำไม คนทำผิดก็คือผิด ตอนนั้นไม่คิดแก้ไขปล่อยเจ้าตายไปอย่างน่าสังเวช คนเช่นนี้คู่ควรกับเจ้าหรือ ทิ้งมันไปเสีย ปิดหูปิดตาจะได้ไม่รับรู้ ไม่เจ็บปวด ดีกว่าเป็นไหน ๆ’ปลาย
ม่านตากลมโตขยายกว้าง “ใต้เท้าลั่ว ท่านกล้าดีอย่างไรจึงได้บุกรุกห้องของข้า”“ใต้เท้าลั่วหรือ? เจ้าเป็นเช่นนี้คงโกรธเคืองข้ามากทีเดียว” ท่อนขาสูงยาวก้าวเข้ามาช้า ๆหลี่เสวี่ยซินค่อย ๆ ถอยตามจังหวะของเขาเช่นเดียวกัน “ท่านอย่าเข้ามานะ ไม่เช่นนั้นข้าจะฟาดท่านให้หัวแตก”ลั่วเทียนเฉินหัวเราะขืน เขายกมือทั้งสองขึ้น “ข้าไม่มีเจตนาทำร้ายเจ้า เพียงแต่เจ้าช่วยตอบคำถามข้าสองสามข้อได้หรือไม่”“ท่านมาที่นี่เพราะเรื่องนี้รึ ท่านคิดว่ามันเหมาะสมแล้วหรือไม่ อยากถามอะไรรอฟ้าสว่างก่อน ท่านอย่าคิดว่าบุญคุณหนนี้จะเอามาบีบบังคับข้าอย่างไรก็ได้”“เจ้าคิดว่าข้าเป็นคนเช่นนั้นหรือ”หลี่เสวี่ยซินหลุกหลิก ไม่รู้เช่นกันว่าอีกฝ่ายต้องการสิ่งใด ท่าทางและคำพูดของเขาแปลกไปจากเมื่อก่อนมาก “เอาเป็นว่าชายหญิงไม่ควรใกล้ชิด ท่านมาทางไหนก็กลับไปทางนั้น เรื่องนี้ข้าจะถือว่าไม่เคยเกิดขึ้น”“ซินซิน ข้าขอโทษ เป็นข้าที่ปากหนักไม่ยอมพูดกับเจ้าให้รู้ความก่อน เจ้าจะตบจะตีข้าก็ได้ แต่ช่วยให้โอกาสข้าอธิบายก่อนได้หรือไม่”หลี่เสวี่ยซินถอนหายใจ มือที่กำแจกันแน่นค่อย ๆ ผ่อนคลาย ห
“ท่านหญิง เอาอีกแล้วนะเจ้าคะ ท่านเพิ่งเกิดเรื่องมาหมาด ๆ ยังจะนั่งทำงานอีกหรือ” หม่าเซียวเตือนด้วยความเป็นห่วงหลี่เสวี่ยซินมองแสงจากเทียนที่วูบไหว ภายในมือถือเข็มปักผ้าเอาไว้ ก่อนจะวางของเหล่านั้นลง “พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่าเมื่อก่อนท่านพ่อเคยทำเรื่องไม่ดีอันใดมา”“ตายจริง พูดเช่นนั้นได้อย่างไรเจ้าคะ ท่านโหวเป็นคนดีนะเจ้าคะ” หลิวอี้กล่าวหน้าซีดหลี่เสวี่ยซินทบทวนเรื่องที่เกิดขึ้นวนซ้ำไปมา นางสังเกตจากแววตาของชายชุดดำผู้นั้นคล้ายกับมีความแค้นฝังหุ่น ราวกับว่าจวนโหวเข่นฆ่าบิดามารดาของเขา “แล้วเหตุใดศัตรูของท่านพ่อจึงมีมากนัก”“อาจเพราะท่านโหวโดดเด่นจนผู้อื่นริษยาเจ้าค่ะ”หลี่เสวี่ยซินส่ายหน้า “หนึ่งปีก่อน ท่านพ่อเคยมีภารกิจอะไรหรือไม่”หม่าเซียวและหลิวอี้ครุ่นคิดจนหน้ายับยู่“นึกออกแล้วเจ้าค่ะ” หลิวอี้โพล่ง“นึกอะไรออก” หม่าเซียวเลิกคิ้ว“จำไม่ได้หรือว่าเมื่อหนึ่งปีก่อน หมู่บ้านแถบชายแดนเกิดโรคระบาดไม่ทราบสาเหตุ ที่นั่นแร้นแค้นอย่างหนัก”“จริงด้วย” หม่าเซียวตอบรับ“แล้วเรื่องนี้เกี่ยวอันใดกับท่านพ่อห
“นายน้อย นายน้อย ท่านเป็นอะไรหรือไม่ ข้าเรียกตั้งนาน”ฮั่วเหวินหลงยกมือคลึงขมับ เขากวาดตามองซ้ายขวาพลันประหลาดใจ “เกิดอะไรขึ้น ข้ากลับมาได้อย่างไร?”หงจวิ้นงุนงง นายของตนเป็นโรคขี้หลงขี้ลืมหรือ “เอ่อ…ท่านบอกข้าว่าไม่ต้องติดตาม วันนี้ท่านออกจากจวนไปช่วงยามจื่อ [1] ไม่กี่ชั่วยามนายน้อยกลับมาไม่พูดไม่จาโยนของสิ่งนั้นเข้าเตากำยานไม่นานท่านก็หลับไปขอรับ”ฮั่วเหวินหลงถอนหายใจ เขารู้อยู่แล้วว่าไปเยือนตลาดมืดคราใดจะต้องได้พบกับความประหลาด หลังทบทวนเรื่องราวไปมาจึงพอเข้าใจ “แล้ว…ซวี่หนิงนางเป็นอย่างไรบ้าง”“คุณหนูซวี่กินยาเสร็จก็หลับไปเลยขอรับ”“นางคงไม่ได้ก่อเรื่องใดกระมัง”“เล็กน้อยขอรับ คุณหนูซวี่อยากไปพบท่านหญิงมาก แต่ข้าขวางนางไว้ได้ หลังจากอ่อนเพลียคุณหนูจึงหลับไปขอรับ”วันนี้หงจวิ้นแทบเป็นประสาทเลยต่างหาก คุณหนูซวี่ผู้นี้รับมือยากยิ่งนัก เดี๋ยวเล่นลูกไม้เจ็บท้อง เจ็บขา ปวดเศียรเวียนหัวอยู่ตลอด ทำเอาจวนป๋อจ้าละหวั่นไปหมด กว่าจะปราบพยศได้ก็เล่นเอาหอบฮั่วเหวินหลงแค่นยิ้ม “เจ้
“ท่านพี่เหวินหลง” เสียงใสสะท้อนดังกระทบใบหู“…” คิ้วดกดำเคลื่อนเข้าชิดกันพลันขมวดแน่น“ท่านพี่เหวินหลงเจ้าคะ”ฮั่วเหวินหลงลุกพรวดขึ้นเดี๋ยวนั้น เปลือกตาบางหรี่แคบลงเล็กน้อย ด้านหน้าขาวโพลนประหนึ่งหมอกควัน ต่อให้เพ่งสายตาอย่างไรก็ไม่อาจมองคนตรงหน้าชัดแจ้ง ทว่าน้ำเสียงและการเรียกขานเมื่อครู่ฮั่วเหวินหลงคาดเดาไม่ยากว่าเป็นใครเหตุไฉนเขาจึงมาอยู่สถานที่ประหลาดเช่นนี้ได้ ในเมื่อไม่กี่ชั่วยามก่อนตัวของเขายังอยู่ในตลาดมืด“ท่านพี่เหวินหลงได้ยินข้าหรือไม่”“ซินซินหรือ”หลังจบประโยคร่างระหงพลันปรากฏเบื้องหน้าของเขา ฮั่วเหวินหลงตาโต โผเข้ากอดอีกฝ่าย ทว่าด้วยแรงเคลื่อนไหวเกือบทำให้เขาล้มหน้าคะมำ“ซินซิน เหตุใดจึง…” ฮั่วเหวินหลงสับสน ไฉนเมื่อครู่เขาจึงวิ่งทะลุผ่านร่างของนางออกมาหนิงเสวี่ยซินยิ้มบาง “ท่านพี่เหวินหลง ที่จริงข้ายังมีหลายเรื่องที่อยากบอกท่าน ถึงตอนนั้นข้ายังยึดติดและโกรธเคือง แต่มาคิดดูแล้วท่านเองก็ทำเพื่อข้าเช่นเดียวกัน ถูกหรือไม่เจ้าคะ”ลูกกระเดือกกลางลำคอขยับแผ่ว เขาไม่รู้ว่าคนตรงหน้าเป็นภาพลวงตาหรือว่าความฝั
ภาพครอบครัวสุขสันต์จางหายไปแล้ว ตอนนี้ร่างของเขามายืนตระหง่านที่จวนตระกูลลั่ว นี่เป็นจวนของเขาเอง“เจ้ามันไร้ประโยชน์ เป็นบุตรีของหญิงโคมเขียวยังกล้ามาแต่งงานกับลูกชายข้า สินสอดที่ได้ไปไม่ใช่น้อย อย่าสำออยไปหน่อยเลย” ลั่วเหมิงเท้าเอวหน้าเคร่ง มืออีกด้านก็ชี้ดะไปยังฟูกนอนซึ่งมีร่างบอบบางกำลังนอนซมตัวสั่น ทั้งมือและคอของนางเต็มไปด้วยผื่นคันสีแดง“ท่านแม่” ลั่วเทียนเฉินหน้านิ่วคิ้วขมวด เขารู้ว่ามารดาไม่ชอบภรรยาตน แต่นึกไม่ถึงว่านางจะใช้คำพูดคำจารุนแรงเพียงนี้“ลุกขึ้นเลยนังตัวดี ไปหาบน้ำต่อ”“แค่ก แค่ก” หลี่เสวี่ยซินพยุงร่างที่อ่อนระโหยโรยแรงขึ้น “ท่านแม่ แต่ข้าแพ้น้ำฝน หากออกไปอีก…”“สำออยนัก แพ้นั่นแพ้นี่คิดว่าตัวเองเป็นลูกคุณหนูหรืออย่างไร” ลั่วเหมิงทั้งลากทั้งดึงหลี่เสวี่ยซินให้ลุกขึ้นมาหลี่เสวี่ยซินไม่อาจขัดขืน วันนั้นนางจึงต้องลุกไปหาบน้ำด้วยร่างสะบักสะบอม วันเดียวกันนั้นเองนางก็ทรุดจนป่วยหนักลั่วเหมิงเชิญหมอมาตรวจอาการของหลี่เสวี่ยซินอย่างขอไปที“ฮูหยินน้อยท่านนี้ร่างกายอ่อนแอ มีอาการแพ้ร่วมด้วย นี่นางต้องตรากตรำเพียงใดกั







