น้ำค้างสีใสบนใบไม้เขียวขจีสาดประกายดุจอัญมณีเปล่งประกายท่ามกลางแสงแห่งอรุณรุ่งส่องสะท้อนลอดบานหน้าต่างทรงกลม พลางตกกระทบลงบนใบหน้าเกลี้ยงเกลาดุจบุปผา
ริมฝีปากสีกุหลาบยกโค้งเล็กน้อยเผยให้เห็นเขี้ยวเล็กจากรอยยิ้มซุกซนซึ่งสลักอยู่บนคันฉ่องสีอำพัน
“ท่านหญิงตื่นหรือยังเจ้าคะ” หลิวอี้เคาะประตูเบา ๆ พลางเอ่ยถาม
“เรียบร้อยแล้ว”
เสียงบานประตูแง้มออกแช่มช้า ร่างระหงในชุดชมพูเปล่งประกายขับผิวให้ดูโดดเด่นสะท้อนเข้าม่านตา สองสาวใช้ตาเบิกค้างตกตะลึง จดจ้องหญิงสาวตรงหน้าตาไม่กะพริบ
หลี่เสวี่ยซินเอียงคอถาม “เป็นอะไรกัน ใบหน้าของข้าหน้ามีสิ่งใดเปื้อนอยู่หรือ”
หม่าเซียวส่ายหน้าระรัว “เปล่าเจ้าค่ะ วันนี้ท่านหญิงดูแปลกตาไปนะเจ้าคะ ปกติท่านหญิงจะแต่งกายงดงามสูงส่งประหนึ่งหงส์ อีกอย่างนี่ท่านลุกผัดหน้าแต่งตัวเองเลยหรือเจ้าคะ”
หลี่เสวี่ยซินพยักหน้า “อือ จะได้ไปตรงเวลากันข้าแต่งตัวเองได้ แล้วข้าสวมเสื้อผ้าผัดหน้าเช่นนี้ไม่งามหรอกหรือ”
“งามสิเจ้าคะ งามมากทีเดียวเจ้าค่ะ สวมอาภรณ์และเครื่องแต่งกายแบบนี้แล้วดูสดใสสมวัยทีเดียวเจ้าค่ะ” หม่าเซียวตอบกลับทันควัน
“อ้อ เช่นนั้นเจ้าจะบอกว่าเมื่อก่อนข้าแต่งตัวแก่แดดเกินวัยใช่หรือไม่” หลี่เสวี่ยซินแสร้งเย้า
หม่าเซียวโบกมือพัลวัน “เปล่านะเจ้าคะ บ่าวไม่ได้หมายความเช่นนั้นเจ้าค่ะ ที่จริงท่านหญิงแต่งกายแบบใดก็งามทั้งสิ้น”
เสียงใสหัวเราะคิกคัก “ดูทำหน้าเข้าสิ ข้ามิได้จะลงโทษเสียหน่อย”
เดิมทีหนิงเสวี่ยซินมักประโคมแต่งกายด้วยเครื่องเงินหรือเครื่องทอง เสื้อผ้าส่วนใหญ่สวมแล้วโตกว่าวัยอยู่บ้าง กว่าหลี่เสวี่ยซินจะหาที่ถูกใจได้ก็เล่นเอาหอบ เพราะหนิงเสวี่ยซินเป็นคนประเภทยึดติดกับหน้าตาฐานะ ยามที่นางย่างกรายไปที่ใดจะต้องงดงามอย่างไร้ที่ติ
หลี่เสวี่ยซินมองว่าอุปนิสัยของหนิงเสวี่ยซินชวนอึดอัดไม่น้อย นี่คงเป็นเหตุให้นางแทบหาสหายที่จริงใจไม่มี คนที่เข้าหาหนิงเสวี่ยซินส่วนใหญ่ล้วนเพื่อผลประโยชน์ทั้งสิ้น ดังนั้นหนิงเสวี่ยซินจึงต้องเผยแต่ด้านที่น่าเกรงขามออกมา ทำให้ดูขึงขังจนดูโตเกินวัยอย่างที่หลายคนคุ้นชิน
จะว่าไปแล้วยามนี้หลี่เสวี่ยซินก็ประหนึ่งได้ย้อนวัย เพราะหากว่ากันตามจริงปีนี้หลี่เสวี่ยซินอายุได้สิบแปดหนาวแล้ว ขณะที่หนิงเสวี่ยซินย่างเข้าปีที่สิบหก
‘หนิงเสวี่ยซินนะหนิงเสวี่ยซิน เจ้าไม่อยากใช้ชีวิตเป็นตัวของตัวเองก็ช่างเถิด ไยต้องลากข้ามาจมปลักด้วยกันเล่า ข้าจะไม่ยอมทำตัวน่าเบื่อเช่นเจ้าเป็นอันขาด’
หม่าเซียวเห็นหลี่เสวี่ยซินยืนนิ่งไม่พูดต่อ จึงคิดว่าตนอาจพูดบางอย่างพลาดไป นางจึงอยากแก้ตัวอีกหน “ท่านหญิงไม่เชื่อบ่าวหรือเจ้าคะ ท่านหญิงแต่งกายเช่นนี้งามมากจริง ๆ นะเจ้าคะ เพราะบ่าวเห็นแล้วรู้สึกสบายใจและไม่อึดอัดเจ้าค่ะ”
หลิวอี้กระทุ้งข้อศอกใส่หม่าเซียวจนหน้ายับยู่ หม่าเซียวได้สติรีบแก้ตัวละล้าละลัง “มะ… ไม่ใช่อย่างนั้นนะเจ้าคะ บ่าวไม่ได้หมายความว่าเมื่อก่อนท่านหญิงเข้มงวดแต่อย่างใด บ่าวก็แค่รู้สึกว่าท่านหญิงแต่งกายเช่นนี้ก็ยังงดงามอย่างไร้ที่ติ และดูน่าคบหา เอ๊ย... ดูเป็นกันเองเท่านั้นเจ้าค่ะ”
หลี่เสวี่ยซินยิ้มตาปิด “พอแล้ว เลิกยกยอปอปั้นข้าเสียที ข้ารู้แล้วน่าว่าพวกเจ้ารู้สึกอย่างไร ต่อไปก็เลิกทำตัวแข็งหน้าเกร็งได้แล้ว ข้าเห็นท่าทางพวกเจ้าอึกอักไปมา น่าปวดหัวนัก”
หม่าเซียวและหลิวอี้ก้มหน้างุด “เข้าใจแล้วเจ้าค่ะ”
“เอาล่ะ สายมากแล้วเรารีบไปกันเถิด”
ร่างระหงเดินตรงไปยังรถม้าพลางฮัมเพลงผ่านลำคอแผ่วเบา หลี่เสวี่ยซินเคยใช้ชีวิตภายใต้ความมืดมนมาก่อน ตอนนี้ดวงตากลับมามองเห็นอีกครั้ง นางจึงอยากเก็บเกี่ยวความสุข และบรรยากาศอันสดใสเอาไว้ให้นานที่สุด
สำหรับหลี่เสวี่ยซินแล้ว ได้ก้าวผ่านทั้งความเป็นและความตาย ข้ามผ่านความสุขและทะเลทุกข์มาหลายรูปแบบ นางจึงตระหนักได้ว่า ชีวิตคนเราไม่จีรังนัก อยากทำสิ่งใด อยากเป็นอะไร ก็ต้องรีบทำ เพราะไม่รู้เลยว่าชีวิตคนเราจะมีพรุ่งนี้ได้อีกกี่วัน
หนิงเสวี่ยซินเป็นหญิงสาวที่มีใบหน้าจิ้มลิ้มพริ้มเพรา หากนางโตขึ้นอีกสักปีสองปีต้องงดงามดุจโฉมสะคราญไม่เป็นสองรองใคร สำหรับหลี่เสวี่ยซินในเมื่อก่อน เป็นสตรีที่มีใบหน้าสวยสะกดชวนมอง ด้วยเหตุนี้นางจึงมักถูกลั่วเหมิงมารดาของลั่วเทียนเฉินกล่าวหาว่าเป็นปีศาจจิ้งจอกกลับชาติมาเกิด กล้าใช้รูปโฉมล่อหลอกบุตรชายของตน
ครั้นหลี่เสวี่ยซินแต่งเข้าไปเป็นสะใภ้ตระกูลลั่ว นางจึงผัดแป้งแต่งหน้าน้อยมาก ยิ่งเวลาที่ต้องออกไปข้างนอก หลี่เสวี่ยซินจะเลี่ยงการพบปะผู้คนให้มากที่สุด เพราะการมีหน้าตางดงามก็ดุจดั่งอาวุธร้าย
ทุกครั้งที่นางปรากฏกาย ก็ไม่ต่างจากเป้าล่อสายตาเหล่าเสือร้ายฝูงหมาป่า เมื่อใดที่ลั่วเหมิงรู้ว่านางถูกชายฉกรรจ์เหล่านั้นลวนลามทางสายตา หลี่เสวี่ยซินก็จะถูกลั่วเหมิงค่อนขอดจนหูชา ไม่วายยกเอาเรื่องที่นางมีมารดาเป็นนางสังคีตมาดูถูกสารพัด
หลี่เสวี่ยซินถอนหายใจด้วยความปลดปลง นางสลัดเรื่องราวเมื่อเก่าก่อนทิ้ง ใบหน้ายังคงประดับรอยยิ้มสดใสต่อไป
หลิวอี้ยืนทึ่มทื่อจดจ้องใบหน้าและท่าทางเริงร่าของเจ้านายอย่างไม่อยากเชื่อ หนิงเสวี่ยซินไม่เคยสดใสและเผยกิริยาม้าดีดกะโหลกให้เห็นมาก่อน หนำซ้ำยังเป็นคนเจ้าระเบียบมาตรฐานสูงส่ง ก่อนเผยโฉมไปที่ใดจะต้องเรียบร้อยทุกกระเบียดนิ้ว
“ยืนเป็นเบื้อใบ้อันใดของเจ้า ท่านหญิงขึ้นรถม้าแล้วเร็วเข้า” หม่าเซียวสะกิด
“อ้อ ไปแล้ว ๆ”
ทางด้านของหลิวอี้และหม่าเซียวจัดการว่าจ้างคนบันทึกรายงานเรียบร้อยก็รีบกลับมา แม้เกิดเรื่องกะทันหันทว่าหลี่เสวี่ยซินกลับไม่ละความตั้งใจที่จะขึ้นเขาไปยังวัดหมิงหลัน ร่างกายไม่ได้รับบาดเจ็บจนเดินไม่ได้ ศีรษะที่แตกก็แผลเล็กน้อย ใส่ยาเสร็จแล้วย่อมไร้ปัญหาหม่าเซียวและหลิวอี้ไม่วางใจ พวกนางคะยั้นคะยอให้หลี่เสวี่ยซินพบหมอ หลี่เสวี่ยซินไม่อยากทำให้ผู้อื่นลำบากใจไปมากกว่านี้ จึงยอมตกลงไปหาหมอและกลับจวนในที่สุด ขณะที่นางหมุนร่างเตรียมตัวกลับ ก็ถูกใครบางคนวิ่งมากระแทกไหล่เสียจนตัวปลิว“โอ๊ย”โชคดีที่หลิวอี้รับร่างของหลี่เสวี่ยซินไว้ทัน ไม่เช่นนั้นคงได้ล้มไปนั่งก้นจ้ำเบ้าเสียงแหลมแผดขึ้นหัวเสีย “ไม่มีตารึ!”หม่าเซียวเดือดดาลเลือดขึ้นหน้า นางปรี่เข้ามายืนบังทั้งยังเท้าสะเอวกล่าวเสียงกระด้าง “เจ้าน่ะสิไม่มีตา รู้หรือไม่ว่าเจ้ากำลังล่วงเกินผู้ใด!”“เพ้ย! ยิ่งใหญ่มาจากไหนกัน ข้าไม่สนใจหรอก ทำข้าวของข้าเสียหายเช่นนั้นก็รับผิดชอบมา” หญิงคนนั้นกวักมือหย็อย ๆ เพื่อร้องเรียกค่าเสียหายหลี่เสวี่ยซินขมวดคิ้ว มือเรียวคว้าไหล่แคบของหม่าเซียวให้หลบไปยืนหลังตน
กระทั่งเหตุการณ์สงบ หลิวอี้และหม่าเซียวจึงปรี่เข้ามาช่วยประคองหลี่เสวี่ยซิน หลิวอี้ใช้แพรพกเช็ดคราบโลหิตออกจากใบหน้าและดวงตาให้หญิงสาวหลิวอี้เสียงสั่น “ท่านหญิงเจ็บมากหรือไม่เจ้าคะ”หลี่เสวี่ยซินรับแพรพกมาไว้ในมือ “บาดเจ็บเล็กน้อย ข้าไม่เป็นไรแล้ว ไม่ต้องห่วงนะ แผลแค่นี้ไกลหัวใจ”เจ็บปวดทรมานกว่านี้หลี่เสวี่ยซินก็ผ่านมาแล้ว แผลแมวข่วนย่อมมิอาจส่งผลสั่นสะท้านต่อจิตใจนางหลี่เสวี่ยซินย้ายสายตากลับมายังชายวัยกลางคนที่ตรงหน้าตน เขายื่นขวดโอสถให้กับนาง“นี่เป็นยาห้ามเลือดขอรับ”หม่าเซียวรับ “ขอบคุณเจ้าค่ะ”หลี่เสวี่ยซินยิ้มอ่อนโยน “ขอบคุณท่านมาก หากไม่ได้ท่านพวกเราคงตายไปแล้ว”“แม่นางน้อยผู้นี้ก็คือ...”หลิวอี้โพล่ง “นี่คือท่านหญิงเสวี่ยซิน บุตรสาวเพียงคนเดียวของหนิงโหวเจ้าค่ะ”“ที่แท้ก็เป็นท่านหญิง ข้าน้อยทำไปล้วนเห็นแก่มนุษยธรรม ไม่ว่าใครเดือดร้อนก็ต้องยื่นมือเข้าช่วยทั้งสิ้น”“ท่านช่างน้ำใจงามนัก” หลี่เสวี่ยซินเอื้อมมือให้สองสาวใช้ช่วยพยุงตนให้ลุกขึ้น นางยังไม่ละสายตาจากชายตรงหน้า
วันนี้หลี่เสวี่ยซินให้คนไปแจ้งหนิงถงไท่และหนิงเข่อเหรินแล้ว นางไม่รอคำอนุญาตแต่อย่างใด ถือว่าบอกแล้วเป็นพอ เพราะหากมัวแต่อิดออด หนิงเข่อเหรินจะต้องให้นางรอไปพร้อมกับฮั่วเหวินหลงแน่“บรรยากาศสดใสเป็นเช่นนี้นี่เอง” หญิงสาวแหงนหน้าขึ้นพลางสูดกลิ่นอายธรรมชาติเข้าเต็มปอดหม่าเซียวและหลิวอี้ยิ้มตาม พวกนางคิดว่าเพราะเจ้านายหลับใหลไปนานเลยดูตื่นตาตื่นใจกับต้นไม้ใบหญ้าเป็นธรรมดาหลิวอี้ “ท่านหญิงอยากแวะตลาดเช้าก่อนหรือไม่เจ้าคะ”หลี่เสวี่ยซินครุ่นคิด ก่อนตาบอดนางเคยออกมาจับจ่ายที่ตลาดเช้าอยู่บ่อย ๆ หลังจากตาบอดนานเป็นปีหลี่เสวี่ยซินก็ไม่เคยได้สัมผัสบรรยากาศครึกครื้นเช่นนี้อีกเลย“เอาสิ เหลือเวลาอีกหน่อย ข้าจะได้ซื้อผลไม้ไปสักการะด้วย”“เจ้าค่ะ”หลิวอี้จึงออกไปแจ้งสารถีให้แวะเข้าที่ตลาดเช้าก่อน พูดคุยไม่นานก็กลับเข้ามา รถม้าเคลื่อนตัวไปตามรายทางเรียบเรื่อย อีกไม่กี่ลี้ [1] ก็จะถึงปลายทาง แต่แล้วอยู่ ๆ เจ้าม้าตัวสูงก็ตะกุยเท้าหน้าด้วยท่าทีตื่นตระหนก รถม้าถูกเทกระจาดไร้การทรงตัว ทำให้หลี่เส
น้ำค้างสีใสบนใบไม้เขียวขจีสาดประกายดุจอัญมณีเปล่งประกายท่ามกลางแสงแห่งอรุณรุ่งส่องสะท้อนลอดบานหน้าต่างทรงกลม พลางตกกระทบลงบนใบหน้าเกลี้ยงเกลาดุจบุปผาริมฝีปากสีกุหลาบยกโค้งเล็กน้อยเผยให้เห็นเขี้ยวเล็กจากรอยยิ้มซุกซนซึ่งสลักอยู่บนคันฉ่องสีอำพัน“ท่านหญิงตื่นหรือยังเจ้าคะ” หลิวอี้เคาะประตูเบา ๆ พลางเอ่ยถาม“เรียบร้อยแล้ว”เสียงบานประตูแง้มออกแช่มช้า ร่างระหงในชุดชมพูเปล่งประกายขับผิวให้ดูโดดเด่นสะท้อนเข้าม่านตา สองสาวใช้ตาเบิกค้างตกตะลึง จดจ้องหญิงสาวตรงหน้าตาไม่กะพริบหลี่เสวี่ยซินเอียงคอถาม “เป็นอะไรกัน ใบหน้าของข้าหน้ามีสิ่งใดเปื้อนอยู่หรือ”หม่าเซียวส่ายหน้าระรัว “เปล่าเจ้าค่ะ วันนี้ท่านหญิงดูแปลกตาไปนะเจ้าคะ ปกติท่านหญิงจะแต่งกายงดงามสูงส่งประหนึ่งหงส์ อีกอย่างนี่ท่านลุกผัดหน้าแต่งตัวเองเลยหรือเจ้าคะ”หลี่เสวี่ยซินพยักหน้า “อือ จะได้ไปตรงเวลากันข้าแต่งตัวเองได้ แล้วข้าสวมเสื้อผ้าผัดหน้าเช่นนี้ไม่งามหรอกหรือ”“งามสิเจ้าคะ งามมากทีเดียวเจ้าค่ะ สวมอาภรณ์และเครื่องแต่งกายแบบนี้แล้วดูสดใสสมวัยทีเดียวเจ้าค่ะ” หม่าเซียว
น่าเสียดายที่ยามนั้นดวงตาของหลี่เสวี่ยซินมองไม่เห็น จึงไม่อาจอ่านจดหมายฉบับนั้นด้วยตาตนเอง หญิงตรงหน้ายอบกายลงแช่มช้า เสียงแหลมกระซิบเบาทว่ากลับเจือไปด้วยความคำพูดเสียดแทงใจ “เขาให้เจ้าเขียนหนังสือหย่าซะ”จากรอยยิ้มดีใจก็เลือนหายในพริบตา ความเสียใจระคนผิดหวังถาโถมเข้าใส่ดุจดั่งคลื่นลูกใหญ่ซัดสาด “มะ…ไม่มีทาง ท่านพี่ไม่มีทางทำเช่นนั้น”“จะไม่มีทางได้อย่างไร ท่านพี่เทียนเฉินมีข้าแล้ว ส่วนเจ้าแม้แต่ฐานะสาวใช้ก็ไม่คู่ควร ลงนามในหนังสือหย่าแล้วไสหัวกลับบ้านเดิมของเจ้าไปเสีย อย่ามาเป็นตัวถ่วงของตระกูลลั่ว” หวางเหยาโยนหนังสือหย่าลงตรงหน้าหลี่เสวี่ยซินมือเรียวสั่นระริกคว้ากระดาษเนื้อหยาบสะเปะสะปะ “โอ๊ย”หลี่เสวี่ยซินร้องเสียงหลง เมื่อจู่ ๆ หลังมือของนางก็ถูกพื้นแข็งกระด้างจากรองเท้าบดขยี้ลงมา หวางเหยาหัวเราะเสียงเย็น “นังตาบอด เจ้าไร้ความสามารถเพียงนี้คิดว่าท่านพี่เทียนเฉินจะยังเก็บเจ้าเอาไว้รึ ฝันลม ๆ แล้ง ๆ”หลี่เสวี่ยซินสับสนจนพูดไม่ออก นางไม่ร้องโวยวายทว่าภายในใจร้าวระบมดุจถูกเข็มนับพันหมื่นเล่มค่อย ๆ ทิ่มแทงลงไป เท้าที่เหยียบลงเมื่อครู่ขยับออก แต่ยัง
หลี่เสวี่ยซินหลุดจากภวังค์ “เจ้าบอกว่าชื่อของข้ากับนางคล้ายกัน ข้าตาย เอ่อ...ไม่สิ ข้าหลับไปวันเดียวกับที่นางสิ้นใจอย่างนั้นหรือ”หลิวอี้พยักหน้าหงึกหงัก หม่าเซียวจึงลดมือของตนลงแช่มช้าครั้นหลิวอี้เป็นอิสระนางก็เร่งเอ่ยปาก “ท่านหญิงอย่าคิดมากเลยนะเจ้าคะ บ่าวปากไม่ดีเอง”เพียะ!หลิวอี้ยกมือตบปากของตนเสียงดังสนั่น หลี่เสวี่ยซินเบิกตาโพลง “ทำอะไรของเจ้า!?”“ยามปกติหากบ่าวปากไม่ดี ท่านหญิงจะให้ตบปากมิใช่หรือเจ้าคะ”“หา...พอเลย พอเลย ต่อไปพวกเจ้าไม่ต้องทำเช่นนี้อีก เข้าใจหรือไม่” หลี่เสวี่ยซินคลึงขมับ นึกไม่ถึงว่าหนิงเสวี่ยซินจะเข้มงวดเอาแต่ใจเพียงนี้ทั้งหลิวอี้และหม่าเซียวก้มหน้างุด ประสานเสียงตอบรับ “เจ้าค่ะ”“ข้าขอถามได้หรือไม่ ว่าข้าตกฟากเมื่อใด”สองสาวใช้แหงนหน้าขึ้น ครุ่นคิดเสียจนหัวคิ้วเคลื่อนชนกันหม่าเซียวเอ่ย “ท่านหญิงจำวันตกฟากของตนไม่ได้หรือเจ้าคะ”“ข้าหลับไปนาน บางเรื่องก็ลืมไปแล้ว”“เช่นนี้เอง เห็นท่านโหวและฮูหยินเคยเอ่ยถึงเรื่องนี้บ่อย ๆ ท่านหญิงตกฟากฤกษ์ดาวหงส์เชี