ログイン“เรากลับกันเถอะ แนนซี่”
ฉันลุกพรวดขึ้นพร้อมดึงแขนแนนซี่ออกจากคาเฟ่ เสียงในหัวเต้นเร่าจนแทบระเบิดออกมา“แกจะรีบไปไหนนัก” แนนซี่เบิกตากว้าง มองฉันด้วยความงง
“ไปเถอะน่า ฉันมีงานด่วนจริง ๆ”
ฉันพยายามบังคับน้ำเสียงให้ราบเรียบ แต่ฝ่ามือเย็นเฉียบ เหงื่อซึมราวกับถูกไล่ต้อนอยู่ในเงามืด“แต่สามีฉันยังไม่มารับเลยนะ” แนนซี่ยังลังเล
“ไปเถอะ ข้ามไปฝั่งนู้น เดี๋ยวฉันเรียกแท็กซี่ให้”
ฉันจับแขนเธอเบา ๆ พาข้ามถนน ใช้ช่วงที่รถยังวิ่งผ่านบังสายตา พอเหยียบถึงฟุตบาท ฉันรีบโบกแท็กซี่ทันทีเหมือนเตรียมไว้แล้ว
ไม่นาน แท็กซี่สีเหลืองก็ชะลอจอด นิ้วเรียวรีบดันแนนซี่ขึ้นรถก่อนที่เธอจะทันถามอะไร “ไปก่อนนะ เดี๋ยวค่อยคุยกัน! บาย!”มุมปากฉันยกขึ้นพยายามรักษารอยยิ้ม แต่ข้างในหัวใจหน่วงแน่น ลึก ๆ ฉันไม่อยากให้เพื่อนสนิทเพียงคนเดียวเข้ามายุ่งกับเรื่องที่ยังไม่แน่ใจว่าปลอดภัย
แล้วนับหนึ่งถึงสิบในใจ รวบรวมสติที่สั่นคลอน…เมื่อเงยหน้าขึ้น สายตาก็ชนเข้ากับอเล็กซี่อย่างจัง!
เธอมองฉันตรง ๆ เพียงไม่กี่วินาที ก่อนจะสบัดหน้าและหมุนตัวขึ้นรถหรูสีดำที่จอดติดเครื่องรออยู่หน้าคาเฟ่“ยัยโรคจิต…มองฉันทำไมแบบนั้นเนี่ย” ฉันพึมพำด้วยความหงุดหงิด พลางมองตามรถของอเล็กซี่ที่แล่นออกไปแล้วหันกลับมาที่หน้าคาเฟ่… ใช่ เขายังอยู่ตรงนั้น ผู้ชายคนเดิมที่เห็นในคาเฟ่
ตอนนี้ เขายืนนิ่ง ดวงตาจ้องมาที่ฉันราวกับเล็งเป้า ความเย็นวาบไหลขึ้นตามกระดูกสันหลังทันที และฉันก็รู้ในวินาทีนั้นว่ามันไม่ใช่เรื่องบังเอิญ
ฉันสูดลมหายใจลึก พยายามก้าวเดินเหมือนคนปกติ ทั้งที่ใจเต้นตุ้ม ๆ ต่อม ๆ มือเกร็งราวกับรู้ตัวว่ากำลังถูกจ้องและไล่ล่า
แต่ยังไม่ทันพ้นปากซอย เสียงฝีเท้าหนัก ๆ ก็ดังก้องตามหลัง ชัดเจนทุกก้าว
เขาเดินตามฉันจริง ๆฉันเร่งฝีเท้า เหมือนคนรีบกลับบ้านหลังเลิกงาน แต่หัวใจเต้นแรงทุกครั้งที่เงาของเขาเข้ามาใกล้ ความกลัวค่อย ๆ แทรกเข้ามาในใจทีละนิด
แล้วจังหวะหนึ่ง… ฉันเห็นโอกาส
รีบหักเลี้ยวเข้าซอกอาคารเก่า มุมมืดแทบไม่มีใครสนใจยืนนิ่ง ให้เหมือนกลายเป็นส่วนหนึ่งของกำแพงเขาเดินเลยไปช้า ๆ ก่อนจะหยุด หันซ้ายหันขวาเหมือนกำลังตามหาอะไร
เขาไม่รู้ว่าฉันหายไปไหนไม่รู้ว่าฉันยืนแอบมองอยู่ห่างเพียงไม่กี่เมตรฉันแนบหลังกับกำแพงอิฐเย็น สูดลมหายใจลึก ๆ พยายามบังคับตัวเองไม่ให้สั่น
ค่อย ๆ ปล่อยลมหายใจออกเมื่อเห็นว่าเขาเดินไปแล้วแต่ยังไม่ทันได้โล่งใจ ความสับสนก็พุ่งเข้ามาแทนที่ความกลัวทันทีนี่มันเรื่องอะไรกัน
ลิลิน เธอกำลังเผชิญเรื่องบ้าอะไรกันอยู่มือเลื่อนลงบนกระเป๋าสะพาย กอดมันไว้แน่น ราวกับเอกสารและภาพถ่ายจากงานล่าสุดจะมีคำตอบให้
และปลายทางเดียวที่ผุดขึ้นมาในหัวตอนนี้ชัดเจน…Stride X
***
หน้าสำนักงานใหญ่ของ Stride X ตึกระฟ้าสูงตระหง่านที่เคยชัดเจนทุกครั้งที่มองขึ้น วันนี้กลับถูกเมฆดำกลืนจนปลายยอดเลือนหาย ราวกับมันไม่เคยตั้งอยู่ตรงนั้นฉันจ้องมันนิ่ง ๆ ทั้งที่ความหนักอึ้งในอกไม่ต่างจากท้องฟ้าหม่นมืดก้าวเข้าลิฟต์โดยไม่ลังเล ประตูปิดลงอย่างนุ่มนวล เสียงกลไกแผ่วเบา พร้อมพาฉันไต่ขึ้นอย่างรวดเร็ว
สายตาจับจ้องตัวเลขที่วิ่งผ่านทีละชั้น…จนกระทั่งถึง 40 ติ๊งประตูเลื่อนเปิดช้า ๆ เสียงรองเท้าหนังหนักดังใกล้ ๆ
ตึก…ตึก…ชายสูงโปร่งในสูทหรูสีเข้มก้าวเข้ามา ใบหน้าเคร่งขรึม แววตาคมกริบทำให้อากาศเย็นในลิฟต์เหมือนอุ่นขึ้นทันที เขาแต่งตัวเนี้ยบตั้งแต่เส้นผมจนถึงปลายรองเท้า ทุกอย่างราคาสูงลิ่ว สะท้อนฐานะและรสนิยม
เขายกข้อมือขึ้นดูนาฬิกาหรูสะท้อนแสงระยิบระยับ รุ่นที่มีไม่กี่คนในประเทศได้สัมผัสด้านหลังเขา ชายตัวใหญ่สวมแว่นดำยืนท่าทางนิ่งสนิท ไร้อารมณ์เหมือนหุ่นที่ถูกตั้งโปรแกรมให้เฝ้าเพียงอย่างเดียว
ประตูลิฟต์ปิดลง ความเงียบแผ่ซ่าน ลมหายใจของฉันติดขัดเล็กน้อย ไหล่ตึงขึ้นจนต้องขยับไปชิดผนัง คว้าโทรศัพท์ขึ้นมาไถอย่างลวก ๆ ทั้งที่ในหัวกำลังพยายามนึกว่าผู้ชายคนนี้เคยเจอที่ไหนภาพความทรงจำผุดขึ้นทีละนิด… เสียงในใจก็เอ่ยชัดเจน
ใช่ เขาคือหนึ่งในคนที่ฉันเคยเห็นจริง ๆ หนึ่งในชายคนนั้น…ที่ฉันเคยเผลอถ่ายติดเฟรมระหว่างงานกาล่าหลังเวที ตอนเขาหันมามองด้วยสายตาแข็งกร้าว ฉันสะดุ้งและรีบถอยหลบติ๊ง
ประตูลิฟต์ค่อย ๆ เลื่อนเปิดอีกครั้ง เสี้ยววินาทีก่อนที่เขาจะก้าวออก เขาหันมามองฉันด้วยแววตาเยือกเย็น หัวใจฉันเต้นแรงจนแทบระเบิด มือสั่นเล็กน้อย สายตาพล่านเบลอ ราวกับถูกกระแสไฟฟ้าช็อตผ่านร่างประตูลิฟต์ปิดลง เส้นทางยังพาฉันไต่ขึ้นไปเรื่อย ๆ …จนกระทั่งถึงชั้นบนสุด
ติ๊งฉันผ่อนลมหายใจยาวก่อนก้าวออกจากลิฟต์
สายตากวาดหาวรากร เลขาหนุ่มที่มักประจำอยู่หน้าห้องประธานอารัญ “หายไปไหนนะ…” ฉันพึมพำ พลางมองซ้ายขวา แต่ไม่เห็นแม้แต่เงาเมื่อเดินเข้าใกล้ประตูห้องประธาน ฉันสังเกตว่ามันแง้มไว้
ความคิดแวบหนึ่งสะกิดให้ฉันชะโงกมองเข้าไป.. ตามสัญชาติญาณอารัญกำลังยื่นซองบางอย่างให้ชายในสูทสีเข้มอีกคน สีหน้าเรียบนิ่ง แต่แววตาเฉียบขาด ไม่ต้องเอ่ยคำสั่งใด ๆ ก็ทำให้ใคร ๆ เข้าใจทันทีสายตาของเขาสบเข้ากับฉันเต็ม ๆ เพียงวินาทีเดียว แต่พอสัมผัสเหมือนถูกอ่านทะลุทุกความคิดหัวใจเต้นรัว ภาพรอบตัวเบลอวูบเหมือนถูกช็อตซ้ำ ความสงสัยพุ่งเข้ามาพร้อมกันจนทั้งร่างเหมือนถูกสตั๊นอยู่กับที่
“คุณลิลินครับ”
เสียงเรียกจากด้านหลังทำให้ฉันสะดุ้ง เผลอหันขวับ วรากรยืนอยู่ตรงนั้น ถือถาดชาด้วยสีหน้าปกติ“คุณมีนัดกับท่านประธานอารัญเหรอครับ?”
“อ๋อ… เปล่าค่ะ” ฉันรีบตอบ ยังตั้งตัวไม่ทัน
“ฉันเอาภาพกับบทความจากงานอีเว้นต์ครั้งก่อนมาให้คุณตรวจสอบค่ะ” ฉันรีบดึงแฟ้มจากกระเป๋าแล้วยื่นให้
วรากรรับไปอย่างสุภาพ พลางพยักหน้าเล็กน้อย
“ฉันขอตัวนะคะ” พูดพลางก้าวถอย ก่อนหมุนตัวเดินกลับเข้าลิฟต์โดยไม่เหลียวหลัง
ประตูลิฟต์ค่อย ๆ เลื่อนปิดลง ราวกับฉากสุดท้ายของละครเรื่องหนึ่ง
ละครที่ฉันไม่แน่ใจเลยว่ามันคือความจริง หรือเพียงภาพลวงตาที่ใครสักคนสร้างขึ้นบนผิวสะท้อนสีเงินของประตูลิฟต์
ฉันเห็นเพียงตัวเองยืนอยู่ พร้อมคำถามนับร้อย และภาพสายตาเย็นชาของอารัญยังติดอยู่ในหัวเขาช่วยฉันจริง ๆ …
หรือทั้งหมดคือเกมที่เขาปูไว้ตั้งแต่แรก? เกมที่ฉันไม่ควรย่างเท้าเข้าไป แต่ตอนนี้กลับถลำลึกจนหาทางออกไม่เจออารัญ… คุณเป็นใครกันแน่
“ผมตามคุณลิลินไปครับ… แล้วเจอเธอนอนหมดสติอยู่ที่คอนโดของพ่อเธอ ‘โฮชิคาวะ’ ครับ ”วรากรรายงานอารัญด้วยเสียงเรียบ แต่สัมผัสได้ถึงความกังวลที่ซ่อนอยู่ลึก ๆเขายื่นซองสีน้ำตาลให้ อักษรบนหน้าซองเขียนไว้ว่า H.F. Project“แล้วนี่ครับ… สิ่งที่ผมเจอ”อารัญมองวรากรด้วยสายตาคมราวกับพยายามค้นความหมายจากใบหน้าเรียบนิ่ง ก่อนรับซองมาไว้ในมือและค่อย ๆ แกะออก ความเงียบรอบตัวหนาแน่นจนเหมือนอากาศหยุดไหล.ภายในซองคือ แผ่นฟิล์มเก่าบนขอบฟิล์มมีตัวเลขเขียนด้วยลายมือ… ปี
นิ้วเรียวดันบานประตูให้เปิดออกภายในห้องเงียบสงบ ทุกอย่างยังคงวางอยู่อย่างเรียบง่ายในตำแหน่งเดิม ทว่ากลับให้ความรู้สึกว่างเปล่า ราวกับเวลาได้ถูกตรึงไว้ตั้งแต่วันที่ใครบางคนจากไปฉันก้าวไปอย่างช้า ๆ พลางกวาดสายตามองไปรอบห้อง แสงนีออนจากป้ายริมทางด่วนลอดผ่านผ้าม่านเป็นเส้นเรื่อบาง สะท้อนบนกรอบรูปที่ยังแขวนเด่นอยู่บนผนังฉันยื่นมือไปแตะสวิตช์ไฟในรูปนั้น… หญิงชราผู้มีใบหน้าอ่อนโยนกำลังยิ้มให้หญิงสาวคนหนึ่ง ‘ตัวฉันเอง’ เพียงสบตากับภาพนั้น ความอบอุ่นก็ซัดเข้ามาจนหัวใจสั่นวูบ..ฉันเคลื่อนกายไปยังอีกห้อง
เวลาผ่านไปรวดเร็วราวกับมีใครกดปุ่มกรอชีวิตให้ฉันข้ามช่องว่างนั้นมาทันทีที่ประตูรถเปิดออก เบื้องหน้าคือเพนต์เฮาส์หรูหรากลางใจเมือง งดงามราวกับฉากหนึ่งในชีวิตของใครบางคน…แต่อาจไม่ใช่ของฉัน“ถึงแล้วครับ” อารัญผายมือพร้อมเอ่ยด้วยน้ำเสียงทุ้มลึกฉันยืนนิ่ง เท้าเหมือนถูกตรึงกับพื้น มือกำชายเสื้อแน่น เมื่อความลังเลกับความประหม่าพุ่งขึ้นมาพร้อมกัน“หรือจะให้ผมอุ้มเข้าไป?” คำพูดนั้นทำให้หัวใจสะดุดไปหนึ่งจังหวะ ก่อนจะรีบตอบกลับ“ไม่เป็นไรค่ะ ฉันเดินเองได้”ฉันสูดลมหายใจ พยายามรวบรวมสติ ขณะที่วรากรหัวเราะคิกคักอยู่ด้านหลังราวกับเป็นเรื่องน่าขันอารัญยกมือมาประคองทิศทางให้ฉันหันกลับไปหา แววตาคมมั่นคงราวกับต้องการย้ำให้ฉันรับฟังทุกคำที่เอ่ยออกมา“คุณต้องอยู่ที่นี่นะครับ ผมจะดูแลคุณเอง”ความอุ่นจากปลายนิ้วค่อย ๆ แทรกเข้ามาจนลมหายใจฉันติดขัด ร่างกายพลันนิ่งงันราวกับต่อมรับรู้ทั้งหมดถูกดึงให้โฟกัสไปที่เขาเพียงคนเดียว…แม้ฉันจะไม่รู้จักตัวตนของเขาและตัวเอง แต่ท่าทีอ่อนโยนและการดูแลที่แฝงความพิเศษ กลับทำให้รู้สึกปลอดภัย..ทว่าท่ามกลางสัมผัสและความอบอุ่นนั้น คำถามหนึ่งยังดังก้องไม่หยุดฉันคือใคร?และเ
“ลิลิน…”เสียงเรียกอ่อนโยนดังก้องในห้องว่างเปล่า..ฉันยืนอยู่ลำพัง เลื่อนสายตารอบห้อง ทุกสิ่งดูคุ้นเคยแต่พร่าเลือนราวกับความทรงจำที่ยังโหลดไม่เสร็จมุมหนึ่ง แสงส้มจากโคมไฟทาบลงบนใบหน้าอ่อนโยนของหญิงชรา เธอมองฉันด้วยดวงตาเปี่ยมด้วยความรัก อบอุ่นจนหัวใจฉันสั่นไหวจากนั้น ชายอีกคนก้าวออกมาจากมุมด้านใน มายืนเคียงข้างเธอ รอยยิ้มของทั้งคู่ช่างงดงามราวกับภาพที่ฉันเคยเห็นที่ไหนสักแห่ง… แต่จำไม่ได้แต่แล้ว ร่างของทั้งสองค่อย ๆ มลายกลายเป็นหมอกบาง ฉันยื่นมือออกไปพร้อมคำวิงวอนสั่นเครือ “เดี๋ยว… อย่าเพิ่งไป”แต่ปลายนิ้วกลับคว้าได้เพียงความว่างเปล่า ทุกอย่างหายไปในพริบตาฉันยืนนิ่ง ดวงตาไล่มองหาบางสิ่งด้วยหัวใจที่ถูกดึงรั้ง จนกระทั่งสายตาหยุดลงที่กรอบรูปครอบครัวบนผนังพ่อ แม่ ลูก… และเด็กหญิงในภาพใบหน้าของเธอคล้ายฉันอย่างไม่น่าเชื่อ รอยยิ้มของเธอสว่างไสวกว่าที่ฉันจำได้เสียอีกบางอย่างภายในอกบีบรัดแน่น เหมือนจะบอกฉันว่า “ภาพนั้น…สำคัญ”ฉันยกมือขึ้น ตั้งใจจะสัมผัสความจริงบางอย่างที่ซ่อนอยู่ในกรอบรูปนั้นทันใดนั้น แสงสีขาวเจิดจ้าพุ่งวาบขึ้นมาฉันหรี่ตาแน่น พลางยกมือขึ้นบังจากความสว่างที่โถมเข้าใส่
“ดูมีพิรุธ… ต้องตามไปดูให้รู้เรื่องสักหน่อย กำลังเล่นอะไรกันอยู่ ยัยอเล็กซี่” แนนซี่พึมพำกับตัวเอง พอคิดได้ก็รีบยื่นมือออกไปโบกแท็กซี่ล้อรถยังไม่ทันหยุดสนิท ร่างบางก็เปิดประตูพุ่งขึ้นไปบนเบาะ พลางสั่งเสียงชัด “พี่! ตามรถคันนั้นไปเลยค่ะ เดี๋ยวให้พิเศษหลายเท่า”คนขับรับคำอย่างว่าง่าย ก่อนเร่งเครื่องตามรถหรูสีดำที่แล่นนำหน้าไป ไม่นาน จากถนนกลางเมืองอึกทึก เส้นทางก็เริ่มเปลี่ยนไป แสงตึกสูงถูกแทนด้วยไฟนีออนและป้าย LED สีสันฉูดฉาดที่เรียงรายตลอดสองข้างทางท้ายที่สุด รถหรูคันนั้นชะลอหยุดหน้าอาคารสูงโอ่อ่าที่ไร้ป้ายชื่อ
ในขณะที่ชื่อของ StrideX Group กำลังถูกสาดด้วยข่าวฉาวรายวัน จู่ ๆ สื่อออนไลน์ ก็ถูกเขย่าด้วยบทความที่ไม่มีใครตั้งตัวชื่อบทความนั้นคือ“StrideX: ความจริงที่ซ่อนอยู่หลังแบรนด์พันล้าน”ชื่อที่ฟังดูเหมือนจะเป็นแค่การวิจารณ์เชิงธุรกิจแต่เนื้อหาภายในกลับพุ่งเป้าไปที่อารัญโดยตรง ทั้งตัวเขา และรองเท้าที่กำลังเป็นกระแสของบริษัทในตอนนี้Quantum Primeประโยคเปิดที่ทำให้ทั้งวงการสะดุ้ง มีเพียงบรรทัดเดียว: “ข่าวลือที่ว่าโครงการ Quantum Prime เป็นการต่อยอดจากโครงการที่ปิดตัวลงไปเมื่อ 20 ปี… และมีการฝังข้อมูลเอไอไว้ในรองเท้า







