LOGINภาพในหัววนซ้ำราวกับกดปุ่มรีเพลย์ การไล่ล่า การสูญเสีย และเสียงเตือนของแม่ที่ดังแทรกขึ้นมาอีกครั้ง
อย่าเอาตัวเองไปยุ่งกับคนพวกนั้น
แม่หมายถึงใครกันแน่?
ฉันพยายามนึกภาพเรื่องราวทั้งหมด ทว่าเหมือนจิ๊กซอว์บางชิ้นยังขาดหายไป ทำให้ภาพนั้นไม่ชัดเจน แต่เสียงในหัวกลับย้ำชัด ว่า ทุกอย่างไม่ใช่เรื่องบังเอิญแน่ๆ หากแต่ถูกวางแผนไว้อย่างแยบยลตั้งแต่แรก
ติ้ง เสียงเตือนดังขึ้นในที่สุด ราวกับสัญญาณเปิดฉากละครบทใหม่ ที่กำลังจะเริ่ม ..
ฉันก้าวออกจากลิฟต์ทันที ราวกับกำลังหลบหนีเงาของตัวเอง ความสับสนและความไม่แน่ใจเกี่ยวกับอารัญยังคงรัดแน่นอยู่ในอกเสียงรองเท้าหนังกระทบพื้นห้องโถงเบา ๆ ทว่าแต่ละก้าวกลับทำให้หัวใจฉันเต้นแรงขึ้นเรื่อย ๆด้านหน้าอาคาร ฝนเทกระหน่ำจนฟ้ามืดมัว
ยังไม่ทันที่สมองจะสั่งการ เท้ากลับก้าวออกไปเองราวกับถูกบางอย่างดึง ฉันยกกระเป๋าขึ้นบังศีรษะ พยายามฝ่าสายฝนอันหนักหน่วงไปข้างหน้าเพี้ยว!
แสงไฟหน้ารถคมกริบพุ่งแหวกม่านฝนเข้ามาอย่างฉับพลัน
รถหรูสีดำพุ่งเข้าชนฉันเต็มแรง ร่างฉันสะบัดถอยไปตามแรงกระแทก ก่อนที่รถคันนั้นจะถอยหลังเพียงเสี้ยววินาที แล้วเร่งเครื่องหายลับไปในความมืดมิดของสายฝนอย่างไร้ร่องรอย
เสียงใครบางคนตะโกนลั่น
“ลิลิน!”นั่นคือเสียงสุดท้ายที่ได้ยิน… ก่อนทุกอย่างดับวูบ กลายเป็นความมืดสนิท
***
เวลาผ่านไปเหมือนนิรันดร์
หน้าห้องผู้ป่วยในโรงพยาบาลเอกชน แสงไฟนวลอุ่นจากเพดานส่องลงมาอย่างอ่อนโยน
นายแพทย์ในชุดกาวด์เดินออกมาพร้อมแฟ้มเวชระเบียน“คุณอารัญ ใช่ไหมครับ?”
เขาหันไปถามชายหนุ่มในสูทสีเข้ม ใบหน้าหล่อเหลาท่าทางสุขุม “ครับ”“คุณ ลิลิน พ้นขีดอันตรายแล้วนะครับ แต่ต้องพักฟื้นอีกระยะหนึ่ง ความจำจะค่อย ๆ กลับมาเป็นปกติ”
น้ำเสียงของแพทย์เรียบมั่นคง ก่อนปิดแฟ้มในมืออารัญพยักหน้า หายใจออกอย่างโล่งใจเล็กน้อย
“ครับ… ขอบคุณครับ” แม้คำตอบนั้นจะทำให้เขาโล่งอกขึ้นบ้าง แต่ก็ยังไม่อาจคลายความกังวลในใจได้**นานแค่ไหนไม่รู้ ที่ฉันตกอยู่ในเหวลึกแห่งการหลับไหล และ ค่อย ๆ กระพริบเปลือกตา ก่อนภาพตรงหน้าจะเริ่มชัดขึ้น ชายคนหนึ่งนั่งอยู่ข้างเตียง ใบหน้าเข้ม ขอบกรามได้รูป จมูกโด่งเรียว และแววตาที่เหมือนแบกความกังวลเอาไว้ตลอดหลายคืนที่ผ่านมา“คุณหมดสติไป… สามคืนแล้ว” น้ำเสียงทุ้มต่ำเอ่ยช้า ๆ หยุดไปเสี้ยววินาที “ผมเป็นห่วงคุณ”แววตาของเขาเต็มไปด้วยความห่วงใยจนทำให้ฉันรู้สึกอุ่นวาบในอก แต่ในขณะเดียวกัน… ฉันกลับจำเขาไม่ได้เลย
สมองยังหนักอึน เหตุการณ์ก่อนหน้าพร่าเลือนราวกับถูกปิดซ่อนเอาไว้ชั่วคราว ความทรงจำเหมือนถูกปัดตกลงไปในก้นเหว
“คุณอาจต้องพักฟื้นอีกสักระยะ เพื่อให้ร่างกายและความจำค่อย ๆ กลับมาเป็นปกติ” เขาพูดอย่างใจเย็นพลางปลายนิ้วแตะหลังมือฉันเบา ๆ สัมผัสนั้นอบอุ่น… และเป็นเพียงสิ่งเดียวที่ฉันรับรู้ได้อย่างชัดเจนที่สุดในตอนนี้“ผมจะดูแลคุณเอง”
ฉันพยักหน้ารับคำอย่างว่าง่าย แม้ในใจยังสับสนกับทุกอย่างที่เกิดขึ้นทันใดนั้น
“ลิลิน!” หญิงสาวในชุดเรียบหรูรีบก้าวเข้ามาหาฉัน สีหน้าตื่นตระหนก เต็มไปด้วยความเป็นห่วง ฉันเพ่งมองใบหน้าของเธอ แววตาอบอุ่น… คุ้นเคยอย่างประหลาด แต่ยิ่งพยายามนึกเท่าไร ความทรงจำก็ยิ่งว่างเปล่า
“ฉันเป็นห่วงแกมาก”
เธอพูดด้วยน้ำเสียงสั่น เผลอขยับเข้ามาใกล้ขึ้นเล็กน้อย “ฉันแนนซี่… เพื่อนเธอไงล่ะ”ฉันยังคงเงียบ สายตาเธอสั่นไหวเมื่อเห็นฉันมองตอบด้วยความว่างเปล่า
ในหัวพยายามปะติดปะต่ออะไรบางอย่าง แต่กลับยิ่งมึนหนักขึ้น“ฉัน… ปวดหัว”
แนนซี่หันไปมองอารัญที่นั่งเงียบอยู่ข้างเตียง เขาไม่ได้เอ่ยสักคำ แต่แววตาของเขาเหมือนอธิบายแทนทุกอย่างว่ามันไม่ใช่เพียงฉันที่กลัวกับสิ่งที่หายไป
“ไม่เป็นไรนะลิลิน เดี๋ยวความจำเธอก็จะกลับมา”
เธอปลอบด้วยรอยยิ้มบาง ๆ แม้จะมีความกังวลซ่อนอยู่เต็มแววตาฉันยิ้มตอบ… ไม่ได้เพราะจำได้ แต่เพราะไม่อยากให้เธอเป็นห่วง
“งั้น… ให้เธอพักก่อนนะ เดี๋ยวฉันค่อยมาเยี่ยมใหม่”
เธอพูดจบก่อนจะถอยออกไปอย่างอ้อยอิ่ง เหมือนยังทิ้งความห่วงใยเอาไว้ในห้องนี้
“เดี๋ยวผมกลับมาใหม่นะครับ คุณต้องกินยาและพักผ่อน”
อารัญเอ่ยเสียงนุ่มฉันเพียงยกมุมปากขึ้น ก่อนเห็นทั้งสองร่างเดินออกจากประตูไปทิ้งไว้เพียง ความว่างเปล่า
***เจ้าหน้าที่สองนายที่รออยู่หน้าห้องเอ่ยรายงานด้วยท่าทีจริงจัง
“เรากำลังติดตามรถหรูคันนั้นอยู่ครับ แต่รถไม่ได้ติดแผ่นป้ายทะเบียน ทำให้ระบุตัวผู้ก่อเหตุได้ยากหน่อย”
อีกนายเสริมทันที สีหน้าเคร่งเครียดไม่แพ้กัน
“กล้องวงจรปิดที่หน้าอาคารจับภาพได้ไม่ชัดเพราะฝนตกหนัก แต่เรากำลังตรวจภาพจากมุมอื่นอยู่ครับ เราจะหาตัวคนร้ายให้ได้แน่นอน”“ขอบคุณมากครับ ฝากรบกวนด้วย”อารัญตอบกลับด้วยเสียงหนักแน่น
“งั้นพวกผมขอตัวก่อนนะครับ”
เจ้าหน้าที่คนหนึ่งเอ่ยขึ้น ทั้งสองโค้งเล็กน้อยแล้วเดินออกไปตามทางเดินของโรงพยาบาลแนนซี่และอารัญมองตามหลังพวกเขาไปด้วยความหวังที่ยังมีช่องโหว่ จากนั้นแนนซี่จึงหันกลับมามองอารัญ สีหน้าของเธอเต็มไปด้วยความกังวลที่ปิดไม่มิด
“ฝากดูแลลิลินด้วยนะคะ” เธอเอ่ยเสียงแผ่ว “เธออยู่ตัวคนเดียว… แม่ก็เพิ่งเสียไป แล้วยังต้องมาเจอเรื่องแบบนี้อีก”
อารัญนิ่งฟัง แววตาของเขาไม่ได้มีแค่ความเห็นใจ แต่เหมือนแบกรับความตั้งใจบางอย่างไว้แล้วตั้งแต่แรก
“ครับ… ผมสัญญา”มันไม่ใช่แค่ประโยคตอบกลับ แต่คือคำมั่นที่ถูกกล่าวออกมาต่อหน้าเพื่อนสนิท โดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย
วรากร เลขาคู่ใจ ขยับเข้ามาเล็กน้อยก่อนเอ่ยเตือนสุภาพ
“ท่านประธานครับ… ใกล้เวลาประชุมแล้วครับ”
อารัญถอนหายใจแผ่ว ๆ พยักหน้ารับ
“ผมขอตัวก่อนนะครับ”
“ค่ะ” แนนซี่ตอบเบา ๆ
เธอยืนมองแผ่นหลังของอารัญจนลับสายตา ความเงียบที่ทิ้งไว้เบื้องหลังกลับดังก้องกว่าที่คิดในหัวมีแต่คำถามไม่รู้จบ
ใครคือผู้บงการ?
ทำไมลิลินต้องเป็นเป้าหมาย?รถคันนั้นยังหายลับไปไร้ร่องรอย
ทุกอย่างยังคลุมเครือ สับสน และอันตรายกว่าที่เห็นแนนซี่กำมือแน่น
เกมเพิ่งเริ่มต้น และครั้งนี้ เธอจะไม่ใช่แค่ผู้ชมอีกต่อไป“ผมตามคุณลิลินไปครับ… แล้วเจอเธอนอนหมดสติอยู่ที่คอนโดของพ่อเธอ ‘โฮชิคาวะ’ ครับ ”วรากรรายงานอารัญด้วยเสียงเรียบ แต่สัมผัสได้ถึงความกังวลที่ซ่อนอยู่ลึก ๆเขายื่นซองสีน้ำตาลให้ อักษรบนหน้าซองเขียนไว้ว่า H.F. Project“แล้วนี่ครับ… สิ่งที่ผมเจอ”อารัญมองวรากรด้วยสายตาคมราวกับพยายามค้นความหมายจากใบหน้าเรียบนิ่ง ก่อนรับซองมาไว้ในมือและค่อย ๆ แกะออก ความเงียบรอบตัวหนาแน่นจนเหมือนอากาศหยุดไหล.ภายในซองคือ แผ่นฟิล์มเก่าบนขอบฟิล์มมีตัวเลขเขียนด้วยลายมือ… ปี
นิ้วเรียวดันบานประตูให้เปิดออกภายในห้องเงียบสงบ ทุกอย่างยังคงวางอยู่อย่างเรียบง่ายในตำแหน่งเดิม ทว่ากลับให้ความรู้สึกว่างเปล่า ราวกับเวลาได้ถูกตรึงไว้ตั้งแต่วันที่ใครบางคนจากไปฉันก้าวไปอย่างช้า ๆ พลางกวาดสายตามองไปรอบห้อง แสงนีออนจากป้ายริมทางด่วนลอดผ่านผ้าม่านเป็นเส้นเรื่อบาง สะท้อนบนกรอบรูปที่ยังแขวนเด่นอยู่บนผนังฉันยื่นมือไปแตะสวิตช์ไฟในรูปนั้น… หญิงชราผู้มีใบหน้าอ่อนโยนกำลังยิ้มให้หญิงสาวคนหนึ่ง ‘ตัวฉันเอง’ เพียงสบตากับภาพนั้น ความอบอุ่นก็ซัดเข้ามาจนหัวใจสั่นวูบ..ฉันเคลื่อนกายไปยังอีกห้อง
เวลาผ่านไปรวดเร็วราวกับมีใครกดปุ่มกรอชีวิตให้ฉันข้ามช่องว่างนั้นมาทันทีที่ประตูรถเปิดออก เบื้องหน้าคือเพนต์เฮาส์หรูหรากลางใจเมือง งดงามราวกับฉากหนึ่งในชีวิตของใครบางคน…แต่อาจไม่ใช่ของฉัน“ถึงแล้วครับ” อารัญผายมือพร้อมเอ่ยด้วยน้ำเสียงทุ้มลึกฉันยืนนิ่ง เท้าเหมือนถูกตรึงกับพื้น มือกำชายเสื้อแน่น เมื่อความลังเลกับความประหม่าพุ่งขึ้นมาพร้อมกัน“หรือจะให้ผมอุ้มเข้าไป?” คำพูดนั้นทำให้หัวใจสะดุดไปหนึ่งจังหวะ ก่อนจะรีบตอบกลับ“ไม่เป็นไรค่ะ ฉันเดินเองได้”ฉันสูดลมหายใจ พยายามรวบรวมสติ ขณะที่วรากรหัวเราะคิกคักอยู่ด้านหลังราวกับเป็นเรื่องน่าขันอารัญยกมือมาประคองทิศทางให้ฉันหันกลับไปหา แววตาคมมั่นคงราวกับต้องการย้ำให้ฉันรับฟังทุกคำที่เอ่ยออกมา“คุณต้องอยู่ที่นี่นะครับ ผมจะดูแลคุณเอง”ความอุ่นจากปลายนิ้วค่อย ๆ แทรกเข้ามาจนลมหายใจฉันติดขัด ร่างกายพลันนิ่งงันราวกับต่อมรับรู้ทั้งหมดถูกดึงให้โฟกัสไปที่เขาเพียงคนเดียว…แม้ฉันจะไม่รู้จักตัวตนของเขาและตัวเอง แต่ท่าทีอ่อนโยนและการดูแลที่แฝงความพิเศษ กลับทำให้รู้สึกปลอดภัย..ทว่าท่ามกลางสัมผัสและความอบอุ่นนั้น คำถามหนึ่งยังดังก้องไม่หยุดฉันคือใคร?และเ
“ลิลิน…”เสียงเรียกอ่อนโยนดังก้องในห้องว่างเปล่า..ฉันยืนอยู่ลำพัง เลื่อนสายตารอบห้อง ทุกสิ่งดูคุ้นเคยแต่พร่าเลือนราวกับความทรงจำที่ยังโหลดไม่เสร็จมุมหนึ่ง แสงส้มจากโคมไฟทาบลงบนใบหน้าอ่อนโยนของหญิงชรา เธอมองฉันด้วยดวงตาเปี่ยมด้วยความรัก อบอุ่นจนหัวใจฉันสั่นไหวจากนั้น ชายอีกคนก้าวออกมาจากมุมด้านใน มายืนเคียงข้างเธอ รอยยิ้มของทั้งคู่ช่างงดงามราวกับภาพที่ฉันเคยเห็นที่ไหนสักแห่ง… แต่จำไม่ได้แต่แล้ว ร่างของทั้งสองค่อย ๆ มลายกลายเป็นหมอกบาง ฉันยื่นมือออกไปพร้อมคำวิงวอนสั่นเครือ “เดี๋ยว… อย่าเพิ่งไป”แต่ปลายนิ้วกลับคว้าได้เพียงความว่างเปล่า ทุกอย่างหายไปในพริบตาฉันยืนนิ่ง ดวงตาไล่มองหาบางสิ่งด้วยหัวใจที่ถูกดึงรั้ง จนกระทั่งสายตาหยุดลงที่กรอบรูปครอบครัวบนผนังพ่อ แม่ ลูก… และเด็กหญิงในภาพใบหน้าของเธอคล้ายฉันอย่างไม่น่าเชื่อ รอยยิ้มของเธอสว่างไสวกว่าที่ฉันจำได้เสียอีกบางอย่างภายในอกบีบรัดแน่น เหมือนจะบอกฉันว่า “ภาพนั้น…สำคัญ”ฉันยกมือขึ้น ตั้งใจจะสัมผัสความจริงบางอย่างที่ซ่อนอยู่ในกรอบรูปนั้นทันใดนั้น แสงสีขาวเจิดจ้าพุ่งวาบขึ้นมาฉันหรี่ตาแน่น พลางยกมือขึ้นบังจากความสว่างที่โถมเข้าใส่
“ดูมีพิรุธ… ต้องตามไปดูให้รู้เรื่องสักหน่อย กำลังเล่นอะไรกันอยู่ ยัยอเล็กซี่” แนนซี่พึมพำกับตัวเอง พอคิดได้ก็รีบยื่นมือออกไปโบกแท็กซี่ล้อรถยังไม่ทันหยุดสนิท ร่างบางก็เปิดประตูพุ่งขึ้นไปบนเบาะ พลางสั่งเสียงชัด “พี่! ตามรถคันนั้นไปเลยค่ะ เดี๋ยวให้พิเศษหลายเท่า”คนขับรับคำอย่างว่าง่าย ก่อนเร่งเครื่องตามรถหรูสีดำที่แล่นนำหน้าไป ไม่นาน จากถนนกลางเมืองอึกทึก เส้นทางก็เริ่มเปลี่ยนไป แสงตึกสูงถูกแทนด้วยไฟนีออนและป้าย LED สีสันฉูดฉาดที่เรียงรายตลอดสองข้างทางท้ายที่สุด รถหรูคันนั้นชะลอหยุดหน้าอาคารสูงโอ่อ่าที่ไร้ป้ายชื่อ
ในขณะที่ชื่อของ StrideX Group กำลังถูกสาดด้วยข่าวฉาวรายวัน จู่ ๆ สื่อออนไลน์ ก็ถูกเขย่าด้วยบทความที่ไม่มีใครตั้งตัวชื่อบทความนั้นคือ“StrideX: ความจริงที่ซ่อนอยู่หลังแบรนด์พันล้าน”ชื่อที่ฟังดูเหมือนจะเป็นแค่การวิจารณ์เชิงธุรกิจแต่เนื้อหาภายในกลับพุ่งเป้าไปที่อารัญโดยตรง ทั้งตัวเขา และรองเท้าที่กำลังเป็นกระแสของบริษัทในตอนนี้Quantum Primeประโยคเปิดที่ทำให้ทั้งวงการสะดุ้ง มีเพียงบรรทัดเดียว: “ข่าวลือที่ว่าโครงการ Quantum Prime เป็นการต่อยอดจากโครงการที่ปิดตัวลงไปเมื่อ 20 ปี… และมีการฝังข้อมูลเอไอไว้ในรองเท้า







