และแล้วก็ถึงเวลาที่ต้องจากกันไปชั่วนิจนิรันดร์เปรมยุดากอดรูปของบุพการีทั้งสองไว้แนบอก มองควันพวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าเกาะกลุ่มลอยไปเป็นสาย ยิ้มทั้งน้ำตาให้พวกท่านได้เห็นว่าตนเข็มแข็งมากแล้ว
‘อยู่บนนั้นคอยดูวันที่หนูประสบความสำเร็จอย่างที่เราเคยคุยกันไว้นะคะ พ่อจ๋าแม่จ๋า’
แม้จะไม่มีเสียงตอบรับกลับมาดั่งเช่นเก่าก่อน แต่เชื่อว่าพวกท่านได้ยินความในใจสื่อออกไปอย่างแน่นอน
ไม่รู้ว่ายืนอยู่ตรงนี้นานแค่ไหนปล่อยให้ตัวเองพาความคิดล่องลอยไปไกลแสนไกล กระทั่งสัมผัสถึงความอบอุ่นจากใครบางคนหยุดใกล้ ๆ ถึงได้เรียกสติของตนเองกลับคืนมา
“ต่อไปจะทำอะไรคิดไว้หรือยัง”
“อากาน!” สูดน้ำมูกขณะที่หันมาทางคนตัวสูง
“อืม” เห็นดวงตาเต็มไปด้วยร่องรอยบอบช้ำทีไรเขาเหมือนจะหายใจไม่ออกทุกที!
“เรียนหนังสือค่ะ” ตอบเท่าที่พอจะให้ข้อมูลได้ เพราะยังไม่แน่ใจว่าจะเลือกมาหาลัยฯ ไหนดี สมองตอนนี้คิดอะไรไม่ออกเลย
“อืม เรียนนั่นแหละดี มีโอกาสก็กอบโกยความรู้ไว้เยอะ ๆ มีอะไรขาดเหลืออยากให้อาช่วยก็บอก นี่เบอร์โทรของอา”
การันต์ยื่นกระดาษโน้ตเขียนด้วยลายมือของตนเองส่งให้ ปกติแล้วจะให้เป็นนามบัตรเพียงแต่ว่าเบอร์เหล่านั้นไม่ใช่ของส่วนตัว หากโทรไปก็ต้องผ่านเลขาก่อนซึ่งไม่ตรงกับจุดประสงค์ในครั้งนี้ หากว่าเธอต้องการความช่วยเหลือคนแรกที่อยากให้เธอได้ยินเสียงก็คือตัวเขาเอง
เปรมยุดารับกระดาษใบเล็กมาถือไว้
“ขอบคุณนะคะ หนูจะเก็บไว้อย่างดีถ้ามีอะไรจะโทรไปค่ะ” แม้ไม่รู้ว่าจะมีโอกาสนั้นไหม เขาเป็นเพื่อนของพ่อที่มาในครั้งนี้ก็เพื่อมาลาท่าน
แต่ก็ไม่กล้าพูดอย่างนั้นออกไปตรง ๆ กลัวจะทำให้ผู้มีอายุมากกว่าต่อว่าตัวเองในใจ ซึ่งไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมเธอต้องใส่ใจเรื่องนี้ด้วย ทั้งที่ไม่ใช่นิสัยตัวเองเลยสักนิด
“เย็นนี้อาต้องกลับแล้ว”
“เดินทางปลอดภัยนะคะ”
“ขอบใจ แล้วก็...ดูแลตัวเองด้วย”
“ค่ะ อากานเองก็เหมือนกันนะคะ” ไม่รู้ว่าน้ำเสียงและสีหน้าเผยออกไปเป็นแบบไหนถึงทำให้คุณอายิ้มกว้างกว่าทุกครั้ง
การันต์ให้เหตุผลกับตัวเองว่าเป็นเพราะเปรมยุดาดูสดใสแล้วยังเข้มแข็งขึ้น เป็นการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีทำให้ความกังวลก่อนหน้าบางเบาลงไปมาก
เธอเก่งกว่าคาดไว้เสียอีก ชายหนุ่มพูดคุยกับเด็กสาวอีกไม่กี่ประโยคก็ปลีกตัวออกมาจากตรงนั้น แม้ส่วนลึกจะปรารถนาให้ตัวเองอยู่ตรงพื้นที่ส่วนนี้อีกหน่อย ทว่าหลาย ๆ อย่างไม่มารถมารถเอื้อให้ตนกระทำการใดได้อย่างใจคิดเสมอไป
เสร็จสิ้นพิธีการต่าง ๆ คนเป็นเด็กอย่างเธอก็ไม่รู้จะช่วยงานส่วนไหนได้อีก จึงกลับมาบ้านเก็บกวาดหลังจากปล่อยให้รกมาหลายวัน แต่ก่อนที่จะทำอะไรไม่ลืมที่จะเก็บกระดาษแผ่นเล็กที่ได้มาจากคุณอาไว้ในลิ้นชักส่วนตัวเสียก่อน ไม่ว่าในภายภาคหน้าจะได้ใช้หรือไม่ยังไงน้ำใจนี้ก็ควรเก็บไว้ให้ดี
หนึ่งทุ่มในวันเดียวกัน
การันต์และดลธีเตรียมตัวกลับชลบุรีในคืนนี้ ทั้งสองอาศัยอยู่ในจังหวัดเดียวกันเพียงแต่คนละพื้นที่ การันต์อยู่เขตสัตหีบส่วนดลธีอยู่เขตบ่อทองจึงไม่ใช่ปัญหาเรื่องเวลาในการเดินทาง
“เก็บของหมดแล้วใช่ไหม”
ดลธีทิ้งตัวนั่งมุมเดิมสำรวจด้วยสายตาแล้วก็พอรู้แต่ก็อยากถาม
“อืม ไม่ได้เอาอะไรมาเยอะ” รอแค่เจ้าของรถออกไปจากห้องซึ่งก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมต้องเข้าแทนที่จะออกไปรอที่รถ
คนเอ่ยถามพยักหน้าเข้าใจแต่ก็ยังรั้งอยู่จุดเดิมไม่มีทีท่าว่าจะย้ายก้นออกไปจากเก้าอี้ จนถูกสายตาเฉี่ยวคมจากผู้เป็นเจ้าของห้องกดดันถึงได้เริ่มปริปากบอกเหตุผลของการอยู่ในห้องนี้ต่อ
“ตอนเราแยกกันหลังจากเผาพี่รงค์กับพี่วีกูได้ยินเรื่องน้องเปรมมาว่ะ”
หลังจากได้ยินเพื่อนเอ่ยชื่อลูกสาวของรุ่นพี่บ่อย ๆ จากเรียกแค่น้องก็เริ่มใส่ชื่อเข้าไปด้วย ถึงจะได้คุยกันไม่กี่คำแต่เธอก็นับได้ว่าเป็นหลานคนหนึ่ง
“เรื่องอะไร?”
“กูไม่รู้นะว่าจริง ๆ แล้วมูลมีความจริงมากแค่ไหน แค่ได้ยินมา...”
“.....”
แม้จะเงียบแต่สายตาเขานั้นคาดคั้นสุด ๆ ทำให้ดลธีต้องรีบเอ่ยแต่เนื้อไม่เอาน้ำใด ๆ ทั้งสิ้น
“พี่สาวพี่รงค์จะไม่ให้น้องเปรมเรียนต่อ บอกไม่มีปัญญาส่งเธอเรียน”
“แล้ว...”
“แค่นี้ แอบฟังมาเหมือนกัน” ตอบได้ก็ไม่แอบฟังแล้วคงเป็นร่วมวงสนทนาเลยแหละ
การันต์ขบกรามแน่นใบหน้าสุขุมบัดนี้เต็มไปด้วยความเคร่งขรึมแววตาฉายแววดุดัน
“แต่เท่าที่กูเห็นป้าแกก็ดูจะเอ็นดูน้องอยู่นะ อาจจะไม่ใช่อย่างที่ได้ยินมาก็ได้” เห็นหน้าเพื่อนแล้วใจเขาก็ว้าวุ่นเลยสิ
“บางทีกูก็อยากเอาอะไรเคาะสมองมึงเหมือนกันนะดล ถ้าคิดว่าที่ได้ยินมาเป็นแค่เรื่องสนุกปากของชาวบ้านแล้วมึงจะเล่าให้กูฟังทำไม” หางตาเฉี่ยวคมปรายตามองเพื่อนรักเจือความคุกรุ่นอยู่หลายส่วน หากประเคนเท้าออกไปได้ก็คงทำ แต่นั่นไม่ใช่นิสัยของเขาที่เอากำลังมาใช้
“โอเค ๆ กูขอโทษที่เอาเรื่องไม่เป็นเรื่องมาพูด ต่อไปจะสืบให้แน่ใจก่อนโอเคไหมครับท่านประธาน” ต้องรีบแก้ไขสถานการณ์เพราะดูท่าแล้วเขาคงไม่รอดแน่
ผู้ส่งข่าวถึงกับขนอ่อนบนหลังคอตั้งชัน เข้าใจว่าตัวเองปากเปราะไปหน่อยแต่ก็เพราะเห็นว่าเกี่ยวกับลูกสาวผู้มีพระคุณของเพื่อนก็เลยเล่าให้ฟัง
ไม่คิดว่าสุดท้ายแล้วหวยจะมาออกที่ตนเองเสียได้ ดลธีหยัดกายลุกจากเก้าอี้ทันทีเมื่อการันต์ดึงสายตาพิฆาตไปจากตน ก่อนเร่งฝีเท้าไปยังประตูเพื่อออกไปจากห้องนี้ให้เร็วที่สุด รั้งรออยู่นานอาจจะมีภัยมาหาตัวได้!
วันต่อมา...
บริษัทเอเจกรุ๊ป
ผู้บริหารหนุ่มในชุดสูทแบรนด์ดังสีดำทั้งตัว นั่งอยู่ภายในห้องทำงานขนาดใหญ่สมกับตำแหน่ง CEO บริษัทลงทุนด้านการเงินชั้นนำของเมืองไทย เรียวนิ้วก้านยาวตวัดปลายปากกาวาดลงบนช่องอนุมัติเงินลงทุนไตรมาสที่สองกับนิตยสารรักสุขภาพ
“เมื่อวานท่านประธานยังกลัวว่าคุณกานจะกลับมาไม่ทันประชุมบ่ายนี้ เร่งให้พริโทรตามคุณกานตั้งแต่เย็นเมื่อวานด้วยนะคะ” เลขาสาวยื่นมือไปรับแฟ้มจากผู้เป็นเจ้านายพร้อมกับรายงานความเคลื่อนไหวเหตุการณ์ระหว่างที่เขาไม่อยู่
“ผมดูแล้วว่าไม่ได้ด่วนอะไร ทำไมต้องเร่งคุณด้วย”
เอนหลังพิงพนักมองใบหน้ารูปไข่ของเลขาสาวด้วยสายตาราบเรียบ ไม่ได้บ่งบอกว่าพอใจหรือไม่พอใจกับการถูกตามตัว เป็นอย่างนี้มานานเนื่องจากในส่วนรับผิดชอบของตนต้องมีการอัปเดตข่าวสารตลอดเวลา ซึ่งเบื้องบนไม่ใคร่จะตามข้อมูลเหล่านี้จากปากคนอื่นด้วยนี่สิ
“ไม่ทราบค่ะ พริถามแล้วท่านก็บอกแค่ว่า ‘เปล่า’ แล้วจะให้พริถามอะไรต่อได้ล่ะคะ”
พริมาอธิบายด้วยสีหน้าลำบากใจ เธอก็ไม่ทราบถึงเหตุผลที่แท้จริงครั้นจะให้เดาแล้วปรากฏว่าไม่ใช่ได้โดนสองเด้งเลยนะสิ
“ครับ” นั่นคงเป็นเพราะว่าไม่ใช่เรื่องด่วนอะไร อาจจะหารือกับเขาก่อนเข้าประชุมหรือไม่ก็ถามไปงั้นเพราะความเคยชิน “คุณไปส่งงานนั่นเถอะ เดี๋ยวผมคุยกับท่านประธานเอง”
“ได้ค่ะคุณกาน”
การันต์รอกระทั่งประตูห้องทำงานปิดสนิทจึงได้หยิบมือถือของตนเองออกมาจากกระเป๋ากางเกง ค้นหาชื่อคนที่ต้องการจะติดต่อ รอไม่นานปลาสายก็ตอบรับกลับมา
“ดลมึงว่างหรือเปล่า”
[พึ่งออกมาจากห้องประชุมมึงมีอะไรหรือเปล่า]
“เย็นนี้ไปไหนไหม”
[ทำไม]
“ถามก็แค่ตอบไม่เห็นต้องถามกลับนี่หว่า หรือไม่เข้าใจ”
[มึงโทรมาไงอยากรู้ไม่ถามแล้วจะพูดอะไร ไม่ใช่มึงนะที่ปล่อยให้คนอื่นคิดเอาเองน่ะ]
การันต์ไม่ตอบโต้คำพูดของดลธีเพราะนั่นเป็นความจริง แต่ก็ไม่ใช่ทั้งหมดที่ว่าปล่อยให้อีกฝ่ายคิดเอาเอง บางครั้งหากพูดไปแล้วยิ่งทำให้เกิดการเข้าใจผิด สู้เขาเงียบเสียยังดีกว่า
[ตกลงจะบอกไหมว่ามีอะไรกูมีงานต่อนะเว้ย ไม่ได้ว่างนั่งเซ็นแค่เอกสารอย่างมึง]
“ถ้าแค่ประชุมเดือนละครั้งอย่างมึงแล้วบอกว่ายุ่ง กูจะไม่ติดต่อธุรกิจกับบริษัทมึงเลย”
[เกินไป เดือนละสามครั้งก็เคยมีเว้ย]
“หึ”
[หัวเราะเบา ๆ สะเทือนถึงนี่เลยนะ]
“แล้วบอกว่ายุ่ง แต่มีเวลายอกย้อนเนี่ยนะ”
[ไหว้แล้วครับเพื่อน อยากให้ช่วยอะไรก็ว่ามาเลย]
“เย็นนี้คุยกันหน่อย”
[ก็แค่นี้บอกตั้งแต่แรกก็จบแล้ว อย่านะ! ถ้ามึงว่ากูอีกไม่ให้มานะ]
หากไม่ห้ามไว้ก่อนมีหวังถูกต้นสายร่ายคำด่าแสนสุภาพออกมาอีกเป็นกระบุงแน่ จากนั้นดลธีก็ตัดสายทิ้งไปถือว่าตนได้รับปากไปแล้ว
ร่างใหญ่กำยำของผู้นั่งแท่น CEO ผุดลุกจากเก้าอี้ก้าวไปยังกำแพงกระจกบานใหญ่ นัยน์ตาสีดำกดลงทอดมองไปเบื้องล่าง...
การันต์ดีดตัวจากเก้าอี้ตัวยาวเร่งรุดไปหยุดตรงหน้าคุณหมออย่างรวดเร็ว “ภรรยากับลูกผมเป็นยังไงบ้างครับหมอ” ความตื่นเต้นระคนกังวลทำเสียงที่เอ่ยถามนายแพทย์ออกมาสั่นไหว “ยินดีกับคุณพ่อด้วย คุณแม่และ ‘ลูกชาย’ ปลอดภัยและแข็งแรงทั้งคู่ครับ อีกเดี๋ยวเราจะย้ายพวกเขาไปห้องพักฟื้น ถ้ามีอะไรต้องการเพิ่มก็แจ้งพยาบาลได้เลยครับ” นายแพทย์กล่าวเสียงละมุน เห็นสีหน้าของสามีคนไข้แล้วคงกระวนกระวายใจไม่น้อย “ขอบคุณครับ ขอบคุณมากจริง ๆ” การันต์ไม่อาจกลั้นความปรีติยินดีเอาไว้ได้ น้ำตาแห่งความดีใจหล่นออกมาอย่างไม่นึกอายพอได้ยินกับหูตัวเองแล้วว่าคนที่ตนเองรักสุดชีวิตทั้งสองปลอดภัย “กูบอกแล้ว สองคนนั้นเก่งจะตาย” ดลธีตบไหล่ปลอบเพื่อน “ต้องอยากเจอหน้าหลานจังเลยค่ะ งั้นขอไปรอหน้าห้องเด็กนะคะ” “ไปด้วย ผมกับต้องไปทางนู้นนะครับ” ขุนพลหันมาบอกคุณอาทั้งสองก่อนจะวิ่งตามต้องใจไป ดลธีมองกระทั่งภาพหลังหนุ่มสาวทั้งสองลับสายตาจึงหันกลับมาหาเพื่อนรักที่เช็ดน้ำตาตัวเองออกอย่างรวดเร็ว “ยินดีด้วย ต่อไปก็เป็นพ่อเต็มตัวแล้วนะ ดีที่ไม่ต้องไว้หนวดตั้งแต่ตอนนี้” คุณพ่อป้ายแดงหันมาทางเพื่อนยืนอยู่ข้างกัน ดวงตาแดง ๆ ของเขาจ้
เดือนต่อมา...รถเมอร์เซเดสสีขาวของการันต์มุ่งหน้าไปยังหมูบ้านกลางน้ำอีกครั้ง ความตั้งใจของเขาในวันนี้ก็เพื่อจะพาคนรักนั่งข้างกันมีสีหน้าราบเรียบทว่าดวงตากลมโตมีแววสั่นไหวอย่างคนเป็นกังวล “อาจะพาหนูไปวัดแล้วกลับเลย ไม่ต้องกลัว” อุ้งมือใหญ่วางทาบมือเล็ก แม้แต่ตอนนี้ก็ยังรู้สึกได้ถึงความกังวลของเธอ ถึงจะผ่านไปแล้วหลายปี หากแต่ว่าความทรงจำของเปรมยุดาก็อยู่ที่นี่ไม่น้อย “ขอบคุณนะคะ” ยิ้มอ่อน ๆ พลางหันมาทางคุณอา สายตาอบอุ่นของเขาทำให้ใจว้าวุ่นตลอดทางผ่อนคลายลงไปมาก คราแรกที่รู้ว่าเขาจะพากลับมาไหว้พ่อกับแม่น้ำตาเธอนองเต็มหน้า คิดถึงพวกท่านจับหัวใจ ต่อให้ไม่ได้พบหน้ากันอีกแค่ได้ไหว้กระดูกคนเป็นลูกอย่างเธอก็ซาบซึ้งใจ“ไม่ต้องขอบคุณ อาตั้งใจจะมาพบพ่อกับแม่หนูอยู่แล้ว”เปรมยุดายิ้มกว้าง คนรักทำราวกับจะได้พบหน้ากัน...คงไม่ต่างจากเธอ!ทั้งสองใช้เวลาชั่วโมงเศษ ๆ ก็มาถึงที่หมาย ฝ่ายลูกสาวของผู้ลาลับหอบช่อดอกไม้สีสันสดใสกับผ้าหนึ่งผืนเดินนำเจ้าของเรือนกายภูมิฐานไปยังเจดีย์บรรจุอัฐิของพ่อและแม่ “หนูกลับมาหาพ่อกับแม่แล้วนะคะ” วางช่อดอกไม้ตรงฐานกว้าง เช็ดฝุ่นออกจากกรอบรูปที่ดูเหมือนว่าจะไม่ค่อยมีใค
กว่าสถานการณ์จะกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้ก็ใช้เวลาไปหลายนาที ดีที่ไม่มีใครแซวหรือพูดอะไร จึงทำให้พวกเรากลับมาสนุกกันต่อ เวลา 00.41 น.“รอกันตรงนี้เรียกรถให้แล้ว” ดลธีบอกขุนพลและต้องใจหลังจากงานเลี้ยงจบลง เขาดูแลทั้งสองเปรียบเสมือนน้องนั่นก็เพราะเปรมยุดาได้กำชับไว้ก่อนที่เธอจะแยกไปกับเพื่อนเขาดีจริง ๆ เลยทั้งหลานทั้งเพื่อน!“ขอบคุณนะครับ” ขุนพลไหว้ผู้ใหญ่ใจดี มื้อนี้เจ้ามือหมดไปไม่น้อย “ไม่เป็นไร ต่อไปถ้ามีงานทำก็กลับมาเลี้ยงฉันบ้างก็แล้วกัน” ดลธีหันไปตอบเพื่อนหลานด้วยใบหน้าทะเล้น“ต้องคิดเป็นบุญคุณด้วยเหรอคะ?” คนที่แม้แต่จะทรงตัวก็ลำบากยังอุตส่าห์หันมาถามเสียงอ่อน “ต้อง! เงียบบ้างก็ได้” ขุนพลห้ามเพื่อนพลางประคองไหล่เล็กให้ยืนได้ตรงเสียก่อนจะปากดี ไม่ดูตัวเองบ้างเลย! ชายหนุ่มได้แต่ส่ายหัว“แค่บอกว่าให้เลี้ยงคืน? เป็นบุญคุณเหรอ ถ้าบอกให้เอาเงินมาคืนก็ว่าไปอย่าง หรือเธอจะคืนฉันล่ะยัยขี้เมา” “ก็เอาบัญชีมาสิ เดี๋ยวโอนให้ตอนนี้เลย ชิ!” “มือถือ?”“เอาไป”“ต้อง!”“นายเงียบเลยขุน” จะว่าเหมือนเด็กก็ไม่ใช่เสียทีเดียว ทว่าคนทั้งสองต่างไม่มีใครยอมกัน คนกลางอย่างขุนพลจึงได้แต่ยิ้มแห้งให้คุณอาขอ
ปีสุดท้ายของการเป็นนักศึกษาของเปรมยุดาและเพื่อน ๆ ต่างก็ดีอกดีใจเมื่อเดินทางมาถึงจุดสำเร็จสาขาบัญชีรวมตัวถ่ายรูปหมู่ไว้เป็นที่ระลึก เปรมยุดา ต้องใจและขุนพลฉีกยิ้มให้กับกล้อง เสียงกดชัตเตอร์รัวติดต่อกัน พร้อมกับช่างภาพยกนิ้วขึ้นโอเค ทุกคนก็ร้องเฮ คละเคล้าเสียงโห่ร้องตะโกนด้วยความดีใจต่างโอบกอดลากันด้วยน้ำตานองหน้า สี่ปีที่เรียนด้วยกันมาความผูกพันแน่นแฟ้นจนอดใจหายไม่ได้เมื่อต้องแยกจากเพื่อไปเติบโตใช้ชีวิตวัยทำงานไม่ว่าจะอย่างไร พวกเขาจะไม่มีวันลืมมิตรภาพที่ดีเหล่านี้เลย“เร็วนะว่าไหม? ไม่อยากจากพวกแกไปเลย”ต้องใจนั่งจับมือเปรมยุดา และมองเพื่อนสนิทอีกคนที่นั่งห่างออกไป เธอเห็นสายตาอาวรณ์ที่ขุนพลใช้มองเปรมยุดา ไม่ว่าจะครั้งแรกหรือกระทั่งตอนนี้ก็ยังเป็นเช่นเดิม แต่ก็คงทำได้แค่นั้นเพราะตอนนี้เพื่อนรักของเธอมีเจ้าของแล้ว และไม่ใช่ใครอื่นไกล เป็นคุณอาสุดหล่อที่กำลังถือช่อดอกไม่ช่อใหญ่เดินเคียงคู่มากับอิตาคุณอาขี้เก๊กนั่นเอง“เรายังเจอกันได้ แค่เรียนจบไม่ได้จากไปไหนไกลนี่น่า จริงไหมขุน” “ใช่ทำอย่างกับจะจากกันไปไหนไกลเว่อร์จริง ๆ เลยเธอเนี่ย”“โดนรุมอีกละ!”“เรียนจบแทนที่จะดีใจกลับทำหน้าบูด
กายโชกไปด้วยเหงื่อทรุดลงทาบทับร่างเปลือยเปล่าหอบหายใจโยนป้อก⁓“อะ” เปรมยุดารู้สึกกึ่งกลางกายวูบโหวงเมื่อคุณอาถอดถอนตัวตนลำใหญ่ออกไปจากตัวเธอ การันต์หายใจหอบใบหน้าชื้นไปด้วยเหงื่อ ดึงผ้าห่มคลุมกายเปลือยเปล่าทั้งสองจนถึงอก “มีคำหนึ่งใช่ไหมที่อายังไม่ได้บอกหนู” เกลี่ยปอยผมปกใบหน้ารูปไข่เล่น “อะไรเหรอคะ” ตะแคงตัวโอบกอดกายใหญ่ ซุกหน้าเข้าซอกคอแกร่ง ทำให้คุณอาหัวเราะในลำคอพลอยให้เธอยิ้มตามไปด้วย“อารักหนูเปรม รักมาก รักเกินกว่าใคร ๆ ฉะนั้น...อย่าพูดว่าจะให้อามีคนอื่นหรือคิดว่าอาจะไปมีใคร เพราะแค่มีหนูเปรมคนเดียวก็พอแล้ว” “อาบอกว่ารักหนูเหรอคะ” แหงนหน้าขึ้นมองใบหน้าคมคาย วางฝ่ามือบนใบหน้าเริ่มมีตอหนวดขึ้นบาง ๆ มิน่าเมื่อครู่ถึงได้รู้สึกระคาย “อารักหนูเปรม” ทาบฝ่ามือใหญ่บนหลังมือเล็ก ย้ำให้คนจ้องหน้าด้วยสายตาเปี่ยมไปด้วยความสดใสสุขล้นฉายชัด เขาชอบเปรมยุดาเป็นแบบนี้มากกว่า ต้องโทษที่ตนไม่ชัดเจนตั้งแต่แรกจนทำให้เธอเข้าใจผิด“หนูก็รักอา รักมาก ๆ รักที่สุด รักกว่าใครในโลกเลย” ปีนขึ้นไปอยู่เหนือกายใหญ่ อกฟูบดเบียดหน้าอกเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อของคนใต้ร่าง สอดแขนไปใต้ไหล่กว้างก่อนจะซุกหน้าลงหาควา
“อื๊อ” ห้ามยังไงทันเมื่อปลายนิ้วก้านยาวไล้กลีบดอกไม้ผ่านเนื้อผ้า ซ้ำยังคลึงจนเธอสะท้านเฮือกสยิวเสียวซ่านต้องยกสะโพกขึ้นรับความดุดันทันที“หนูเปรมของอาแฉะเร็วเหมือนกันนะเนี่ย ‘อยาก’ เหมือนกันใช่ไหมเด็กน้อย”ลมร้อนพ่นผ่านซอกคอหอม กดเรียวปากร้อนแนบชิดผิวละมุน ดอมดมกลิ่นกายที่คุ้นเคย“อ๊าส์...” ครางกระเส่าเสียงหวิวเมื่อคุณอาสอดนิ้วเข้ามาในร่องคับแคบและมันตอบรับเขาอย่างดี ตอดรัดทักทายความแข็งแกร่งราวกับว่ารอคอยในสัมผัสเร่าร้อนนี้มานานเสียงครางผะผ่าวกระตุ้นข้อมือใหญ่สอดใส่ท่อนนิ้วเพิ่ม เขาเกร็งกระแทกเข้าใส่ดุดันจนเส้นเลือดรายล้อมข้อแขนขึ้นปูดบวม ดวงตาเต็มไปด้วยเพลิงพิศวาสมองเรือนร่างส่ายเร้า เขาถอนก้านนิ้วออกหลังจากทนความปรารถนากำลังเผาไหม้ตนเองไม่ไหว ต้องการให้ความอึดอัดเบื้องล่างเข้าไปแทนที่ท่อนนิ้วแกร่งของตัวเองชุดนักศึกษาถูกถอดออกด้วยชายหนุ่มผู้เป็นเจ้าของเตียง ไม่นานกายเปลือยเปล่าสวยงามก็ปรากฏแก่สายตา ผิวเนียนละเอียดอมชมพูสวยกระแทกใจการันต์ “หนูเปรมของอาสวยเหลือเกิน” “อาอย่ามองนานนักได้ไหม”“มากกว่ามองก็ทำมาแล้ว”มุมปากหยักกระตุกให้กับเจ้าของมือที่ยกขึ้นปิดส่วนสวยงามเอาไว้ ทั้งขาเร