เหลืออีกสามวัน... ไซรัสนึกพลางตวัดดาบไปข้างหน้า
ทั้งๆ ที่แววตาพ่อค้าหนุ่มในยามนี้ดูเหม่อลอยเหมือนครุ่นคิดบางเรื่องอยู่ในใจ แต่ฝีดาบเขากลับแม่นยำ พลิ้วไหว ราวกับปลายดาบมีตาที่สามคอยบอกให้ชายร่างสูงซึ่งสวมเพียงกางเกงขายาวทรงกระชับสีดำสนิทคนนี้รู้ ว่าจังหวะไหนควรรุกไล่ จังหวะใดควรตั้งรับ
“ขอเวลานอก!” ราจีฟที่แต่งกายแบบเดียวกันร้องเสียงหลงหลังโดนปลายดาบไซรัสสะกิดแก้ม
เสียงนั้นดังมากพอให้คนอื่นๆ ที่จับคู่ซ้อมต่อสู้กันอยู่ หยุดมือ เหลียวมามอง
แต่คนที่ราจีฟอยากให้หยุดมือที่สุด กลับไม่ยอมหยุด
“เฮ้ย! ไซรัส ข้าบอกแล้วไง ขอเวลานอก!”
คราวนี้ไซรัสตอบแทนคำขอนั้นด้วยการตวัดดาบจ่อคอคนช่างขอพัก แววตาคล้ายเหม่อลอยเปลี่ยนกลับเป็นแววตากล้าแกร่งเปี่ยมสมาธิ
“ถ้านี่เป็นการต่อสู้จริง เจ้าคงตายไปแล้ว” พ่อค้าหนุ่มบอกเสียงเรียบ ทำเอาผู้ติดตามผิวสีหัวโล้นเลี่ยนต้องกลืนน้ำลายลงคอ
“ท่านนี่...” คนโดนตำหนิเลื่อนดาบขึ้นง้างดาบไซรัสออกจากคอด้วยท่าทีหวาดเสียว “ให้ตายเถอะ...ท่านนี่เติบโตมาในโลกแบบไหนกันแน่วะ ทั้งวิธีคิด ทั้งวิธีสอน โหดชะมัด!”
“โลกใบเดียวกับพวกเจ้าไงล่ะ” เขาตอบสีหน้าเรียบเฉยเหมือนทุกครั้ง
“ฮึ้ย ถ้าคิดจะเอาจริงก็อย่าใช้ดาบจริงสิ! ช่วงนี้ข้ายิ่งเนื้อหอมอยู่ด้วย จู่ๆ หน้ามาเป็นรอยแบบนี้ สาวๆ ก็หนีหน้ากันพอดี!” คนได้แผลจากการฝึกซ้อมบ่นอุบ
“อ้าว ก็ถ้าอย่างงั้นจะเรียกเอาจริงได้ไงล่ะ! ” ประโยคสั้นๆ จากโทมัส ทำเอาผู้ติดตามคนอื่นๆ ฮาครืน
“เอาน่า...” ลูคัสที่วันนี้โดนสั่งให้ปลีกตัวจากหน้าร้านมาฝึกทบทวนศิลปะป้องกันตัว เดินเข้ามากอดคอตบตบบ่าเพื่อนผิวสี “อย่ากังวลไปเลยน่ะ ราจีฟ ดูยังไงพวกนางไม่ได้ชอบเจ้าที่หน้าตาแน่ๆ ”
แล้ว ทอม คนหนุ่มหน้าหวาน ผมน้ำตาลเข้มหยิกติดหนังหัว ที่เกือบจะจะอายุน้อยที่สุดในกลุ่ม ก็ขยับเข้ามาต่อประโยคให้ด้วยถ้อยคำแสบสัน
“เพราะพวกนางชอบที่ตอนนี้เจ้าเป็นพวกเงินถุงเงินถังที่ใช้จ่ายมือเติบไงล่ะ!” ประโยคสั้นๆ จากผู้ติดตามรายนี้ เรียกเสียงหัวเราะจากคนอื่นๆ ได้อีกระลอก
แต่ ‘นายท่าน’ กลับไม่ขำด้วย
“ที่ทอมพูดเป็นเรื่องจริงหรือเปล่า” ไซรัสถามเสียงขรึม
“จริงที่ไหนกันล่ะ” ราจีฟยกมือขึ้นไล้ศีรษะไร้ผมแก้เก้อ “ข้าก็แค่ซื้อนี่ซื้อนั่นให้คนละนิดละหน่อยเพราะเห็นว่าพวกนางน่าสงสาร ก็พวกนางไม่ค่อยได้อะไรที่อยากได้ ไม่เหมือนพวกคุณหนูลูกผู้ดีมีเงินที่ได้ทุกอย่างที่อยากได้”
“การเผื่อแผ่ ถ้าทำด้วยใจบริสุทธิ์ก็เป็นเรื่องดี แต่เจ้าก็ไม่ควรลืมว่าต้องคิดถึงอนาคตเสียบ้าง” ไซรัสทั้งสอนทั้งปรามไปในตัว
ว่าจบ คนรับบทครูฝึกจอมโหดก็ส่งดาบให้โทมัสรับไปเก็บเข้าชั้นวาง
“จริงสิ พูดเรื่องการคิดถึงอนาคต...” พ่อค้าหนุ่มรับผ้าซับเหงื่อจากอารีมาเช็ดหน้าเช็ดตัว ก่อนเอ่ยต่อไป “ตอนนี้เครือข่ายผลประโยชน์ของเจ้ากรมการคลังเคลื่อนไหวอะไรบ้างหรือเปล่า”
“เรื่องธุรกิจดูคงเส้นคงวา ไม่มีอะไรเพิ่มหรือลด แต่เรื่องสังคม ข้ามองว่านิ่งเกินไป” คนเป็นหัวหน้ากลุ่มผู้ติดตามทั้งหมดรายงานทันที สีหน้าท่าทางชายผิวสีรายนี้ดูขึงขังขึ้น บ่งบอกถึงความเป็นคนจริงจังกับงาน
“นิ่งหรือ?”
“ใช่เลย นายท่าน” โทมัสแทรกเสียงแหบห้าวอย่างเด็กชายแตกเนื้อหนุ่ม “นิ่งแบบที่ท่านเคยเรียกว่าอะไรนะ...อ้อ ใช่ๆ เหมือนลม ลมที่สงบๆ ก่อนจะมีพายุ!”
ไซรัสเลิกคิ้วให้ประโยคนั้น “เดี๋ยวนี้รู้จักใช้สำนวน”
“เพราะข้ามีอาจารย์ดีน่ะสิ” เด็กหนุ่มฉีกยิ้มกว้างเมื่อเอ่ยประโยคนี้ ทำเอาคนโดนเหมาว่าเป็นอาจารย์ถึงกับหัวเราะหึ
“ข้ารู้นะว่าท่านขำ หัวเราะมากกว่านี้หน่อยสิ” เด็กหนุ่มช่างจ้อบ่นอุบ “นายท่านเคร่งขรึมก็น่านับถือดีอยู่หรอก แต่ข้าอยากให้นายท่านดูยิ้มแย้มแจ่มใสมากกว่า”
คนไม่ค่อยยิ้มยีผมโทมัสเบาๆ แทนการตอบ ก่อนเริ่มคุยเรื่องงานต่อไป
“พวกเจ้ากรมการคลังยังติดต่อเราเป็นปกติ แต่ถึงจะติดต่อเป็นปกติก็พยายามรักษาระยะห่าง ไม่แสดงความสนิทสนมเกินงาม ไม่เจรจาค้าขายผูกมัด” ไซรัสสรุปจากช่วงสองสามวันที่ผ่านมา “พวกเขาต้องรอดูอะไรสักอย่างอยู่แน่ บางทีอาจเป็นเรื่องที่กลุ่มพ่อค้ารายย่อยรวมหัวกันต่อต้านเรา...หรือไม่ก็เพราะเรื่องสงคราม”
“เรื่องสงครามทำไมรึ?” อารีถามทันที “เราไม่ได้ข้องแวะกับเรื่องนี้สักหน่อย”
“ขออภัย ขอผมอกไปสูดอากาศข้างนอกสักครู่” นี่เป็นคำพูดตัดบทขอปลีกตัวที่ไซรัสมองว่าช่างฟังดูทื่อและเสียมารยาทที่สุดเท่าที่เขาเคยทำหลุดจากริมฝีปาก แต่ตอนนี้สมองเขาเริ่มตื้อตันเกินกว่าจะนึกอะไรไหว“สีหน้าคุณดูไม่ดีเลย ไม่สบายหรือเปล่าคะ เราติดต่อขอความช่วยเหลือมหาดเล็กขอให้เขาช่วยจัดห้องพักให้คุณดีไหม”“อย่าให้ใครต้องลำบากเลยครับ ผมแค่มึนหัวนิดหน่อยเท่านั้น” เขาเริ่มนึกถึงสวน นึกถึงต้นไม้รกครึ้ม ยิ่งรู้สึกว่าตัวเองไม่ปกติก็ยิ่งอยากซ่อนตัวมากขึ้นเท่านั้น“ถ้าอย่างนั้น เราออกไปที่อุทยานกลางดีไหมคะ” สิ่งที่พริสซิลล่าเสนอ ตรงใจเขาพอดี “นะคะ เดินออกไปทางประตูตะวันออก แป๊บเดียวก็ถึงแล้ว เดี๋ยวดิฉันจะพาไป”“เปลี่ยนเป็นบอกทางดีกว่าครับ หายไปด้วยกัน ใครเห็นเข้าจะดูไม่ดี”พริสซิลล่ากัดริมฝีปากอย่างขัดใจ“แต่คุณบอกว่ามึนหัวนี่คะ” เธอจ้องหน้าเขา แววตาบ่งบอกว่าจะไม่ยอมทำตามที่บอกแน่ๆบทจะดื้อ ก็ดื้อดึงขึ้นมาแววตาท่านหญิงผมทองยามนี้ ดูรั้น ไม่ยอมคน คล้ายอัยน์นาอย
“ตาถั่วน่ะสิ” แอนนาเบลถลึงตาใส่ “เถียงคำไม่ตกฟาก แค่ถามว่าฉันทำหายที่ไหนแล้วช่วยกันหาไม่ได้หรือไง นั่นของแพงมากนะยะ”“แล้วคุณพี่ไปทำตกไว้ที่ไหนล่ะคะ”คำถามสั้นๆ จากอันย์นา ทำเอาท่านหญิงคนรองสะอึกหล่อนกลอกตา ก่อนตอบ“ในสวน”“ในสวน...? สวนไหนคะ”“ก็สวนใกล้ๆ นี่น่ะสิ!” แอนนาเบลแหวใส่ “เอาเป็นว่าหล่อนต้องมาช่วยฉันหา เดี๋ยวนี้!” บอกแล้ว คนอ้างว่าทำของหายก็เดินนำเธอมุ่งหน้าเข้าหาอุทยานที่เต็มไปด้วยพุ่มไม้ดอก ไม้ดัด และซุ้มไม้เลื้อยนานาชนิดแสงสลัวรางจากเสาติดตะเกียง ส่องให้คุณหนูทั้งสองจากตระกูลแกรนเทรนท์เห็นว่าอุทยานแห่งนี้กว้างขวางจนน่าตกใจ“คุณพี่ไปทำหายบริเวณไหนคะ” อัยน์นาถามหลังกวาดสายตามองไปรอบๆเธอแน่ใจว่าคนอย่างแอนนาเบลไม่มีทางทิ้งงานเลี้ยงหรูหราลงมาที่อุทยานซึ่งทั้งมืดสลัว ทั้งกว้างขวาง ทั้งเงียบเชียบ แบบนี้คนเดียวแน่ แต่ครั้นจะพูดว่ารู้ทัน ประเดี๋ยวพี่สาวจอมโวยวายรายนี้ ก็คงส่งเสียงแหลมแสบแก้วหูปฏิเสธคอเป็นเอ็น กลาย
“คุณจืดชืดจนใครต่อใครอิจฉา...จืดชืดเสียจนผมละสายตาจากคุณไม่ได้”กระทั่งคำพูดเชิงลบแบบนี้ ยังใช้เกี้ยวพาราสีผู้หญิงได้...เชื่อเขาเลยอัยน์นาพยายามเตือนตัวเองว่าชายคนนี้เป็นจอมเสแสร้ง ทั้งที่เกิดขัดเขินขึ้นมาจนแก้มตึง“ข่าวว่าท่านผู้หญิงสั่งตัดชุดราตรีสีฟ้าสดใสให้คุณสวมมางานนี้...เพราะอะไรถึงกลายเป็นสีทองไปได้” จู่ๆ เขาก็ชวนเปลี่ยนหัวข้อพูดคุยเสียอย่างนั้นไม่เปลี่ยนเรื่องเปล่า ยังมองเสไปทางอื่นชั่วครู่อีกด้วยคุณหนูเจ้ากรมการเมืองไม่ถึงกับรับความเปลี่ยนแปลงนี้ไม่ทัน เพียงแต่รู้สึกชัดเจน ว่าเขาจงใจพาเธอออกจากบทสนทนาเกี้ยวพาราสีที่ตัวเขาเองเป็นคนเริ่ม ชวนให้สงสัยว่าภายใต้ใบหน้าสวมหน้ากากยิ้มแย้ม เป็นมิตร พ่อค้ารายนี้ คิดอะไรอยู่ในใจท่ามกลางบรรยากาศคลอเคล้าเสียงดนตรี อัยน์นาเผลอจ้องมองนัยน์ตาสีดำ นิ่ง นาน“ความลับค่ะ” เธอเลือกตอบสั้นๆ เพราะไม่อยากพูดเรื่องตัวเองให้ใครฟังเกินจำเป็น“น่าเสียดาย ที่ผมจะไม่มีโอกาสทำความรู้จักช่
คิดได้ไม่เท่าไหร่ สายตาคมกริบก็สังเกตเห็นชายหนุ่มร่างสูง ผิวขาว รูปร่างสมส่วน สวมชุดสีดำ ขลิบขอบปกคอเสื้อไล่ยาวมาถึงชายด้วยดิ้นเงิน ดูเข้มขรึม น่าเกรงขามเธอจำเขาได้ดี...ถึงวันนี้เขาจะแต่งกายเป็นทางการผิดหูผิดตา แต่นัยน์ตาสีดำกับเส้นผมยาวเหยียดสีเดียวกันและท่าทีทรงอำนาจดุจราชาอย่างนี้ จะเป็นใครไปไม่ได้ นอกเสียจากพ่อค้าน่าสงสัยวันนี้ไซรัสไม่ได้รวบผมต่ำอย่างทุกที แต่ปล่อยให้มันพลิ้วสยาย ติดจะดูเป็นทรงผมที่ดูสบายๆ เกินเหตุ แต่กลับน่ามองอย่างที่สุดเธอส่งยิ้มให้แล้วเดินตรงไปหาเขาทันที‘วันนี้คุณหนูอัยน์นาก็ยังต้องเป็นมิตรที่ดีต่อไซรัส’ นั่นเป็นสิ่งที่เธอบอกตัวเอง เมื่อเกิดแปลกใจที่สองขาพาร่างกายเข้าใกล้เขาโดยไม่แม้แต่จะหยุดคิดไซรัสเองก็คลี่ยิ้มน้อยๆ ให้เธอเช่นกันภาพเหล่านี้ ทำให้บรรดาสาวน้อยสาวใหญ่ในวงสังคมพึงพอใจ...นัยว่าหมดคู่แข่งไปอีกราย แต่ไม่ใช่พริสซิลล่าตอนเห็นอัยน์นาเต้นรำกับเจ้าชาย เธออาจจะริษยา แต่ก็ยังรู้สึกดีกว่าตอนนี้ ตอนที่น้องสาวต่างมารดาพุ่งตรงเข้าหาผู้ชายที่เธอพึงใจโดยไม่หยุดคิดเล
นานมากแล้วที่เสียงเพลงหวานซึ้งจากเครื่องสายดังกังวานใสขับกล่อมผู้คน และทำหน้าที่ต่างเสียงบอกจังหวะก้าวขาให้คู่เต้นรำที่เหลืออยู่เพียงคู่เดียวเท่านั้น“เธอเต้นเก่งมาก” คู่เต้นหนุ่มกระซิบแผ่วเบาในจังหวะที่อัยน์นาต้องหมุนตัวเข้าใกล้เขาอย่างช่วยไม่ได้“ไม่หรอกค่ะ เพราะคุณเต้นเก่งมากกว่า” เธอหมายความตามนั้นจริงๆถ้ามีใครมาถามว่าชายตรงหน้าเต้นรำเก่งแค่ไหน อัยน์นากล้าบอกทันทีว่าชายคนนี้เต้นเก่งมาก มากจนสามารถเปลี่ยนให้คนเต้นรำพอได้อย่างเธอกลายเป็นคนที่เหมือนเต้นเก่งได้ในพริบตาอยู่ในวงแขนเขา เธอก็ไม่ต่างจากขนนก ได้แต่ล่องลอยพลิ้วไหวไปตามสายลมทุกฝีเท้า ทุกการก้าวเดิน ทุกท่วงท่าการหมุนที่เขาชี้นำ ทำให้เธอได้รับเสียงปรบมือจากแขกในงานเป็นระยะเวลานี้ ใครต่อใครล้วนไม่กล้าก้าวขาเข้ามาเต้นเทียบเคียง พวกเขาเอาแต่เฝ้ามองเธอกับคู่เต้น...นั่นเป็นเรื่องที่น่าอึดอัดที่สุด“ฉันไม่เคยเห็นหน้าเธอมาก่อน” นักเต้นหนุ่มบอกพลางยกแขนส่งให้เธอหมุนตัวใต้การควบคุมอีกครั้ง “
กว่าตระกูลแกรนเทรนท์จะมาถึงประตูท้องพระโรงที่ใช้เป็นสถานที่จัดงานเลี้ยงหนนี้ งานเลี้ยงก็เริ่มไปนานแล้วอย่างที่ท่านผู้หญิงว่า สร้างความพึงพอใจให้ท่านผู้หญิง พริสซิลล่า และแอนนาเบลไม่น้อยงานเลี้ยงหนนี้ จัดเป็นงานเลี้ยงเต้นรำอย่างที่อัยน์นาเคยได้ข่าวมันเป็นงานเลี้ยงขนาดใหญ่ ภายในท้องพระโรงกว้างขวางปูพรมสีแดงจัดผู้คนมากมายในชุดหรูหราต่างจับคู่เต้นรำ บ้างก็พูดคุย ยิ้มแย้มผู้คนและการแต่งกายว่าน่าประทับใจแล้ว ต้นเสาและเพดานโค้งสีขาวสลักลายละเอียดอ่อน โคมไฟระย้าคริสตัลขนาดใหญ่ใจกลางเพดาน สายประดับคริสตัลที่ห้อยทิ้งตัวเป็นสาย ช่อดอกลิลลี่สีขาวดอกใหญ่จำนวนนับไม่ถ้วน ทหารยืนยามและบริกรในชุดหรูหรา วงดนตรีเล่นสดขนาดมหึมา เครื่องดื่มสีสันแปลกตามากกว่าสิบชนิด ม้านั่งบุกำมะหยี่สีแดงเข้มขาตั้งฉลุลายแบบเดียวกับเพดานดูเรียบหรูรับกับพื้นพรมและผนัง อาหารและของว่างนับร้อยชนิดจัดไว้เป็นคำๆ ประดับประดาด้วยผงสีทองสวยเด่น แต่ละรายละเอียดในงานเลี้ยงล้วนดูสวยงามมีระดับจนไม่อาจนิยามเพียงสั้นๆ ได้ว่า ‘น่าประทับใจ’“เข้าไปตอนนี้ต้องเด่นแน่ๆ ”