ยามเมื่อรถม้าขัดเงาประดับตราขุนเขาแฝดสามลูกเคลื่อนผ่าน ชาวเมืองต่างพร้อมใจหลีกทางให้ ทำราวกับรถม้าคันนี้เป็นราชรถที่ไม่ควรกรายใกล้
ทุกคนต่างรู้ว่าตราสัญลักษณ์นั้น คือตราประจำตระกูลวิลส์ตัน
ความเคารพยำเกรงอันน่าอัศจรรย์นี้ไม่ได้ทำให้ไซรัสแปลกใจเท่าไหร่นัก ตรงกันข้าม มันกลับยิ่งทำให้เขาพึงพอใจ เพราะอย่างน้อยๆ มันก็ทำให้เขามั่นใจได้ว่าตัวเองเลือกเดินมาถูกทาง
ใช้เวลาไม่นาน เจ้าของกิจการค้าอัญมณีและแพรพรรณหนุ่มใหม่ไฟแรงก็มาถึงคฤหาสน์ไร้ไม้ดอกของเจ้ากรมการคลัง วิลสัน วิลส์ตัน ขุนนางพ่อค้าที่ทั้งร่ำรวยและทรงอิทธิพลที่สุดในอาณาจักร
เมื่อก้าวขาลงจากรถม้า ไซรัสรู้สึกคล้ายจะได้กลิ่นกุหลาบที่แม้จะไม่หอมเท่ากลิ่นกายท่านหญิงกุหลาบทะเลทรายแต่ก็ชวนให้นึกถึงเจ้าของแววตาซื่อใสซ่อนคม กลิ่นเหล่านั้นทำให้คนที่ปกติมักจะวางท่าทีนิ่งเฉยต้องเผลอเหลียวซ้ายแลขวาหาที่มา จนนายทหารร่างท้วมเจ้าเก่า ผู้เดินออกมาต้อนรับ ต้องออกปากถามก่อนทักทาย
“มีอะไรรึ?” โรเบิร์ต เมอร์สัน ถาม น้ำเสียงงุนงง
“ผมได้กลิ่นกุหลาบ” เขาตอบตามตรง
“อ้อ นั่นน่ะ เห็นว่าช่วงนี้ท่านเจ้ากรมติดใจกุหลาบเป็นพิเศษ ตอนนี้ข้างในคฤหาสน์ก็เลยมีดอกกุหลาบปักแจกันตั้งประดับไว้ทุกมุม”
“ผมนึกว่าท่านเจ้ากรมไม่ชอบไม้ดอกเสียอีก”
“ไม่รู้สิ” นายทหารร่างท้วมยักไหล่อวบอ้วน ชวนให้นึกถึงหนอนผีเสื้อตัวโตยามยกหัวกินใบไม้ “จู่ๆ ขุนนางท่านก็เกิดติดใจดอกกุหลาบขึ้นมา” โรเบิร์ตบอกอย่างไม่ใส่ใจ “เอาเถอะน่ะ ถ้าท่านเจ้ากรมพอใจ ก็พอแล้วนั่นละ”
“ครับ” ไซรัสตอบรับประโยคนั้นง่ายๆ
“ช่างเรื่องกุหลาบนี่เถอะ ท่านเจ้ากรมรอคุณอยู่นานแล้ว พวกเรารีบเข้าข้างในดีกว่า”
“คุณพอจะรู้บ้างไหม ว่าท่านเจ้ากรมเรียกพบผมเพราะอะไร”
โรเบิร์ตส่ายหน้าทันที “ผมว่าเรื่องไร้สาระ”
“ท่านเจ้ากรมคงไม่เรียกตัวผมมาพบเร่งด่วนเพียงเพราะเรื่องไร้สาระกระมัง” พ่อค้าหนุ่มวางสีหน้าคล้ายไม่มั่นใจ ทั้งที่รู้ดีว่าอีกฝ่ายพาตัวเขามาที่นี่ทำไม
เขาพอจะเดาออก แต่ไม่แน่ใจว่าอีกฝ่ายรู้อะไรมามากน้อยแค่ไหน
ในเมื่อไม่รู้ ก็หลอกถามเอาจาก ‘สหายช่างพูด’ คนนี้ ดีที่สุด
“รู้แล้วต้องแกล้งไม่รู้นะ” ชายร่างท้วมเหลียวซ้ายแลขวา ก่อนลดเสียงลงกระซิบกระซาบให้พอได้ยินกันแค่สองคน “จู่ๆ ท่านเจ้ากรมก็ได้ข่าวว่าคุณคิดจะจับมือกับเจ้ากรมการเมืองคัดค้านการก่อสงคราม แต่ผมไม่เชื่อข่าวแบบนี้หรอกนะ”
“เป็นแบบนี้นี่เอง...”
“นี่ ไซรัส เพราะเห็นคุณเป็นเพื่อนหรอกนะ ถึงได้อยากเตือน” โรเบิร์ตลดเสียงลงอีก “รีบแก้ปัญหาไร้สาระนี่แล้วดึงความไว้ใจกลับมาเถอะ เป็นศัตรูกับคนคนนี้ไม่ดีหรอก ธุรกิจจะเสียหาย”
“ไม่มีอะไรให้ต้องกังวลหรอกครับ” ไซรัสคลี่ยิ้มกว้างขึ้น “วางใจเถอะ ผมจะแก้ไขปัญหาเข้าใจผิดนั้นเดี๋ยวนี้”
โรเบิร์ต เมอร์สัน นำทางไซรัสไปยังห้องทำงานเจ้ากรมการคลังวิลส์ตันอย่างรวดเร็ว
ตลอดสองข้างทาง พ่อค้าหนุ่มสังเกตเห็นว่าเจ้าบ้านจัดวางกำลังทหารยืนยามไว้แน่นหนา แน่นหนาเสียจนเขาอดคิดไม่ได้ว่า ถ้าวันนี้เขาทำให้ท่านเจ้ากรมการคลังผู้นี้ไม่พอใจ ‘ไซรัส พ่อค้าผู้ปราดเปรื่องและกว้างขวาง’ อาจไม่เหลือกระทั่งชิ้นเนื้อส่งกลับไปยังย่านร้านค้า...
“มาแล้วรึ” วิลสัน วิลส์ตัน ทักทายทันทีที่โรเบิร์ตพาเขาก้าวขาข้ามกรอบประตู
“อรุณสวัสดิ์ครับ ท่านเจ้ากรม” ไซรัสค้อมศีรษะให้เจ้าของบ้านผู้ยืนจิบเครื่องดื่มสีอำพันพิงรูปปั้นอัศวินแล้วเดินเข้าไปนั่งที่ชุดเก้าอี้รับแขก...จังหวะนั้น เขาสังเกตเห็นว่า โรเบิร์ต เมอร์สัน ค้อมศีรษะให้เจ้ากรมการคลังแล้วปลีกตัวออกไปเงียบๆ
“นั่งสิ” เจ้าบ้านบอกพลางส่งสายตาสั่งให้สาวใช้รินเครื่องดื่มชนิดเดียวกันให้เขา
ทันทีที่ของเหลวสีใสไหลกระทบก้นแก้ว กลิ่นหอมผลไม้ที่ชวนให้เมามายก็ฟุ้งกระจายไปทั่ว
“ช่วงนี้กิจการเป็นยังไงบ้าง” คนเป็นเจ้าบ้านถามเสียงขรึม
“ช่วงนี้เราเสียลูกค้ารายย่อย แต่ก็ได้ลูกค้าประจำมากขึ้น รวมๆ แล้วถือว่าไม่ดีไม่เลวครับ”
“ไม่ดีไม่เลวรึ?” เจ้ากรมการคลังผู้ยังดูหนุ่มเขย่าแก้วเบาๆ
เพียงเท่านั้น ของเหลวในแก้วก็หมุนคว้างเหมือนน้ำวนที่พร้อมจะสูบเอาทุกสิ่งทุกอย่างอย่างหิวกระหาย
“แล้วเรื่องความเป็นอยู่ล่ะ ได้ข่าวว่าคุณพักที่ตึกสี่ชั้นหลังนั้น ตึกนั่นก็เก่าพอตัว ฝั่งตรงข้ามก็เป็นสถานเริงรมย์ ลำบากหรืออึดอัดใจอะไรไหม?” เจ้าบ้านยังคงถามต่อไป
“เพราะตัวตึกตั้งอยู่กลางย่านร้านค้า ทั้งยังอยู่ไม่ห่างจากสถานเริงรมย์ ก็เลยหาความส่วนตัวลำบากสักหน่อย แต่ก็ได้เรื่องความสะดวกในการติดต่อธุระปะปังเข้ามาแทนที่ แถมหลังจากปรับปรุงหลายๆ อย่าง ตึกหลังนั้นก็น่าอยู่ขึ้นมาก...”
“นี่ก็ไม่ดีไม่เลวด้วยเหมือนกัน? ” เจ้ากรมการคลังวิลส์ตันหัวเราะเบาๆ ...อันที่จริงมันดูเหมือนการแค่นหัวเราะมากกว่า “ดูคุณจะชอบตอบแบ่งรับแบ่งสู้เสียจริง จะพูดจะจาอะไร ฟังดูกลางๆ ไปเสียหมด”
“ขออภัย ขอผมอกไปสูดอากาศข้างนอกสักครู่” นี่เป็นคำพูดตัดบทขอปลีกตัวที่ไซรัสมองว่าช่างฟังดูทื่อและเสียมารยาทที่สุดเท่าที่เขาเคยทำหลุดจากริมฝีปาก แต่ตอนนี้สมองเขาเริ่มตื้อตันเกินกว่าจะนึกอะไรไหว“สีหน้าคุณดูไม่ดีเลย ไม่สบายหรือเปล่าคะ เราติดต่อขอความช่วยเหลือมหาดเล็กขอให้เขาช่วยจัดห้องพักให้คุณดีไหม”“อย่าให้ใครต้องลำบากเลยครับ ผมแค่มึนหัวนิดหน่อยเท่านั้น” เขาเริ่มนึกถึงสวน นึกถึงต้นไม้รกครึ้ม ยิ่งรู้สึกว่าตัวเองไม่ปกติก็ยิ่งอยากซ่อนตัวมากขึ้นเท่านั้น“ถ้าอย่างนั้น เราออกไปที่อุทยานกลางดีไหมคะ” สิ่งที่พริสซิลล่าเสนอ ตรงใจเขาพอดี “นะคะ เดินออกไปทางประตูตะวันออก แป๊บเดียวก็ถึงแล้ว เดี๋ยวดิฉันจะพาไป”“เปลี่ยนเป็นบอกทางดีกว่าครับ หายไปด้วยกัน ใครเห็นเข้าจะดูไม่ดี”พริสซิลล่ากัดริมฝีปากอย่างขัดใจ“แต่คุณบอกว่ามึนหัวนี่คะ” เธอจ้องหน้าเขา แววตาบ่งบอกว่าจะไม่ยอมทำตามที่บอกแน่ๆบทจะดื้อ ก็ดื้อดึงขึ้นมาแววตาท่านหญิงผมทองยามนี้ ดูรั้น ไม่ยอมคน คล้ายอัยน์นาอย
“ตาถั่วน่ะสิ” แอนนาเบลถลึงตาใส่ “เถียงคำไม่ตกฟาก แค่ถามว่าฉันทำหายที่ไหนแล้วช่วยกันหาไม่ได้หรือไง นั่นของแพงมากนะยะ”“แล้วคุณพี่ไปทำตกไว้ที่ไหนล่ะคะ”คำถามสั้นๆ จากอันย์นา ทำเอาท่านหญิงคนรองสะอึกหล่อนกลอกตา ก่อนตอบ“ในสวน”“ในสวน...? สวนไหนคะ”“ก็สวนใกล้ๆ นี่น่ะสิ!” แอนนาเบลแหวใส่ “เอาเป็นว่าหล่อนต้องมาช่วยฉันหา เดี๋ยวนี้!” บอกแล้ว คนอ้างว่าทำของหายก็เดินนำเธอมุ่งหน้าเข้าหาอุทยานที่เต็มไปด้วยพุ่มไม้ดอก ไม้ดัด และซุ้มไม้เลื้อยนานาชนิดแสงสลัวรางจากเสาติดตะเกียง ส่องให้คุณหนูทั้งสองจากตระกูลแกรนเทรนท์เห็นว่าอุทยานแห่งนี้กว้างขวางจนน่าตกใจ“คุณพี่ไปทำหายบริเวณไหนคะ” อัยน์นาถามหลังกวาดสายตามองไปรอบๆเธอแน่ใจว่าคนอย่างแอนนาเบลไม่มีทางทิ้งงานเลี้ยงหรูหราลงมาที่อุทยานซึ่งทั้งมืดสลัว ทั้งกว้างขวาง ทั้งเงียบเชียบ แบบนี้คนเดียวแน่ แต่ครั้นจะพูดว่ารู้ทัน ประเดี๋ยวพี่สาวจอมโวยวายรายนี้ ก็คงส่งเสียงแหลมแสบแก้วหูปฏิเสธคอเป็นเอ็น กลาย
“คุณจืดชืดจนใครต่อใครอิจฉา...จืดชืดเสียจนผมละสายตาจากคุณไม่ได้”กระทั่งคำพูดเชิงลบแบบนี้ ยังใช้เกี้ยวพาราสีผู้หญิงได้...เชื่อเขาเลยอัยน์นาพยายามเตือนตัวเองว่าชายคนนี้เป็นจอมเสแสร้ง ทั้งที่เกิดขัดเขินขึ้นมาจนแก้มตึง“ข่าวว่าท่านผู้หญิงสั่งตัดชุดราตรีสีฟ้าสดใสให้คุณสวมมางานนี้...เพราะอะไรถึงกลายเป็นสีทองไปได้” จู่ๆ เขาก็ชวนเปลี่ยนหัวข้อพูดคุยเสียอย่างนั้นไม่เปลี่ยนเรื่องเปล่า ยังมองเสไปทางอื่นชั่วครู่อีกด้วยคุณหนูเจ้ากรมการเมืองไม่ถึงกับรับความเปลี่ยนแปลงนี้ไม่ทัน เพียงแต่รู้สึกชัดเจน ว่าเขาจงใจพาเธอออกจากบทสนทนาเกี้ยวพาราสีที่ตัวเขาเองเป็นคนเริ่ม ชวนให้สงสัยว่าภายใต้ใบหน้าสวมหน้ากากยิ้มแย้ม เป็นมิตร พ่อค้ารายนี้ คิดอะไรอยู่ในใจท่ามกลางบรรยากาศคลอเคล้าเสียงดนตรี อัยน์นาเผลอจ้องมองนัยน์ตาสีดำ นิ่ง นาน“ความลับค่ะ” เธอเลือกตอบสั้นๆ เพราะไม่อยากพูดเรื่องตัวเองให้ใครฟังเกินจำเป็น“น่าเสียดาย ที่ผมจะไม่มีโอกาสทำความรู้จักช่
คิดได้ไม่เท่าไหร่ สายตาคมกริบก็สังเกตเห็นชายหนุ่มร่างสูง ผิวขาว รูปร่างสมส่วน สวมชุดสีดำ ขลิบขอบปกคอเสื้อไล่ยาวมาถึงชายด้วยดิ้นเงิน ดูเข้มขรึม น่าเกรงขามเธอจำเขาได้ดี...ถึงวันนี้เขาจะแต่งกายเป็นทางการผิดหูผิดตา แต่นัยน์ตาสีดำกับเส้นผมยาวเหยียดสีเดียวกันและท่าทีทรงอำนาจดุจราชาอย่างนี้ จะเป็นใครไปไม่ได้ นอกเสียจากพ่อค้าน่าสงสัยวันนี้ไซรัสไม่ได้รวบผมต่ำอย่างทุกที แต่ปล่อยให้มันพลิ้วสยาย ติดจะดูเป็นทรงผมที่ดูสบายๆ เกินเหตุ แต่กลับน่ามองอย่างที่สุดเธอส่งยิ้มให้แล้วเดินตรงไปหาเขาทันที‘วันนี้คุณหนูอัยน์นาก็ยังต้องเป็นมิตรที่ดีต่อไซรัส’ นั่นเป็นสิ่งที่เธอบอกตัวเอง เมื่อเกิดแปลกใจที่สองขาพาร่างกายเข้าใกล้เขาโดยไม่แม้แต่จะหยุดคิดไซรัสเองก็คลี่ยิ้มน้อยๆ ให้เธอเช่นกันภาพเหล่านี้ ทำให้บรรดาสาวน้อยสาวใหญ่ในวงสังคมพึงพอใจ...นัยว่าหมดคู่แข่งไปอีกราย แต่ไม่ใช่พริสซิลล่าตอนเห็นอัยน์นาเต้นรำกับเจ้าชาย เธออาจจะริษยา แต่ก็ยังรู้สึกดีกว่าตอนนี้ ตอนที่น้องสาวต่างมารดาพุ่งตรงเข้าหาผู้ชายที่เธอพึงใจโดยไม่หยุดคิดเล
นานมากแล้วที่เสียงเพลงหวานซึ้งจากเครื่องสายดังกังวานใสขับกล่อมผู้คน และทำหน้าที่ต่างเสียงบอกจังหวะก้าวขาให้คู่เต้นรำที่เหลืออยู่เพียงคู่เดียวเท่านั้น“เธอเต้นเก่งมาก” คู่เต้นหนุ่มกระซิบแผ่วเบาในจังหวะที่อัยน์นาต้องหมุนตัวเข้าใกล้เขาอย่างช่วยไม่ได้“ไม่หรอกค่ะ เพราะคุณเต้นเก่งมากกว่า” เธอหมายความตามนั้นจริงๆถ้ามีใครมาถามว่าชายตรงหน้าเต้นรำเก่งแค่ไหน อัยน์นากล้าบอกทันทีว่าชายคนนี้เต้นเก่งมาก มากจนสามารถเปลี่ยนให้คนเต้นรำพอได้อย่างเธอกลายเป็นคนที่เหมือนเต้นเก่งได้ในพริบตาอยู่ในวงแขนเขา เธอก็ไม่ต่างจากขนนก ได้แต่ล่องลอยพลิ้วไหวไปตามสายลมทุกฝีเท้า ทุกการก้าวเดิน ทุกท่วงท่าการหมุนที่เขาชี้นำ ทำให้เธอได้รับเสียงปรบมือจากแขกในงานเป็นระยะเวลานี้ ใครต่อใครล้วนไม่กล้าก้าวขาเข้ามาเต้นเทียบเคียง พวกเขาเอาแต่เฝ้ามองเธอกับคู่เต้น...นั่นเป็นเรื่องที่น่าอึดอัดที่สุด“ฉันไม่เคยเห็นหน้าเธอมาก่อน” นักเต้นหนุ่มบอกพลางยกแขนส่งให้เธอหมุนตัวใต้การควบคุมอีกครั้ง “
กว่าตระกูลแกรนเทรนท์จะมาถึงประตูท้องพระโรงที่ใช้เป็นสถานที่จัดงานเลี้ยงหนนี้ งานเลี้ยงก็เริ่มไปนานแล้วอย่างที่ท่านผู้หญิงว่า สร้างความพึงพอใจให้ท่านผู้หญิง พริสซิลล่า และแอนนาเบลไม่น้อยงานเลี้ยงหนนี้ จัดเป็นงานเลี้ยงเต้นรำอย่างที่อัยน์นาเคยได้ข่าวมันเป็นงานเลี้ยงขนาดใหญ่ ภายในท้องพระโรงกว้างขวางปูพรมสีแดงจัดผู้คนมากมายในชุดหรูหราต่างจับคู่เต้นรำ บ้างก็พูดคุย ยิ้มแย้มผู้คนและการแต่งกายว่าน่าประทับใจแล้ว ต้นเสาและเพดานโค้งสีขาวสลักลายละเอียดอ่อน โคมไฟระย้าคริสตัลขนาดใหญ่ใจกลางเพดาน สายประดับคริสตัลที่ห้อยทิ้งตัวเป็นสาย ช่อดอกลิลลี่สีขาวดอกใหญ่จำนวนนับไม่ถ้วน ทหารยืนยามและบริกรในชุดหรูหรา วงดนตรีเล่นสดขนาดมหึมา เครื่องดื่มสีสันแปลกตามากกว่าสิบชนิด ม้านั่งบุกำมะหยี่สีแดงเข้มขาตั้งฉลุลายแบบเดียวกับเพดานดูเรียบหรูรับกับพื้นพรมและผนัง อาหารและของว่างนับร้อยชนิดจัดไว้เป็นคำๆ ประดับประดาด้วยผงสีทองสวยเด่น แต่ละรายละเอียดในงานเลี้ยงล้วนดูสวยงามมีระดับจนไม่อาจนิยามเพียงสั้นๆ ได้ว่า ‘น่าประทับใจ’“เข้าไปตอนนี้ต้องเด่นแน่ๆ ”