เสียงการเลื่อนระดับสามครั้งติดต่อกันดังในห้วงจิต เว่ยซือหงลืมตาขึ้น ดวงตาทอประกายยินดี นางเลื่อนขั้นพลังถึงสามขั้นรวด! ตอนนี้พลังปราณของนางอยู่ที่ พลังปราณระดับเริ่มต้นขั้นสูง!
แม้แต่เทพโชคชะตายังอดอึ้งไม่ได้ ทั้งที่รู้ว่าอัตราการดูดซับของนางรวดเร็วเหนือผู้ใด การเลื่อนระดับขั้นพลังของนางยังไม่มีการติดขัดอีกต่างหาก เขาเป็นเทพยังอึ้งขนาดนี้ หากเรื่องนี้รู้ถึงโลกภายนอก ไม่รู้ว่าคนที่ปิดด่านกักตนกันเป็นเดือนเป็นปีจะพากันกัดลิ้นตายหรือไม่ ช่างเถอะใครใช้ให้พวกเขาไม่มีมิติพฤกษาสวรรค์เล่า!
“ปรับสมดุลพลังปราณก่อนเสี่ยวหง”
“เจ้าค่ะท่านตา”
เว่ยซือหงทำตามอย่างเชื่อฟัง นางเป็นเด็กดีมาก ๆ แค่นั่งสมาธิต่อเหตุใดนางจะทำไม่ได้ ทว่าคราวนี้การนั่งสมาธิไม่ได้สงบนิ่งอีกต่อไป คิ้วน้อย ๆ ของเจ้าตัวเริ่มขมวดเข้าหากัน พร้อม ๆ กับความทรงจำบางอย่างที่วาบผ่านเข้ามาในห้วงภวังคจิต
‘ที่แห่งนั้นกำลังเผชิญกับความเลวร้าย ข้าวยากหมากแพง บ้านเมืองแห้งแล้ง อยู่ในสภาวะแร้นแค้นอย่างหนัก สิ่งที่ผู้คนกำลังเผชิญอยู่มันไม่ใช่เพราะฤดูกาล แต่เป็นความชั่วร้ายที่กำลังกัดกินทุกสิ่งอย่างทีละเล็กละน้อย หากมิตินั้นไม่ได้รับความช่วยเหลือและป้องกัน คงได้ถึงคราวล่มสลาย เพราะเหตุนี้ข้าจึงจะส่งคนมีความสามารถเช่นเจ้า ซึ่งตรงกับเงื่อนไขที่ข้าตั้งเอาไว้ไปที่นั่น’
‘ทุกอย่างเป็นเจ้าลิขิตชะตาชีวิตตนเอง แต่ขอให้เจ้าระลึกไว้ เมื่อใดที่เจ้ามีความสามารถมากพอ เพียงช่วยเหลือผู้คนในโลกนั้นบ้างข้าก็พอใจแล้ว จงระวังพวกมาร’
‘ข้าจะมอบมิติพฤกษาแห่งนี้ให้เจ้า ข้าจะมอบองค์ความรู้ขนาดใหญ่ให้กับเจ้าด้วยเช่นกัน ซึ่งมันจะอยู่ในมิติแห่งนี้ ไว้เจ้าค่อยมาสำรวจเอง สุดท้ายถือเป็นของขวัญสำคัญจากข้า ข้าขอมอบดวงเนตรสวรรค์ให้แก่เจ้า นับจากนี้ไปขอให้เจ้าใช้ชีวิตให้ดีตามแต่ใจเจ้าปรารถนาเถิดเว่ยซือหง’
พรึบ!
เว่ยซือหงลืมตาขึ้นมาทันทีหลังเสียงทรงอำนาจทว่าแฝงความอบอุ่นอ่อนโยนหมดไป ดวงตากลมโตสับสน เสียงในความฝันคือผู้ใด แล้วเขากล่าวกับนางใช่หรือไม่? ยังไม่ทันได้สงสัยนาน ความทรงจำอีกประเภทพลันแทรกเข้ามาจนเจ้าตัวน้อยต้องหลับตาแน่น การเข้ามาของภาพความทรงจำนี้ทำนางปวดหัวอย่างมาก!
เนิ่นนานกว่าทุกอย่างจะสงบ หลังกรองและจัดเรียงข้อมูลที่ได้รับมาให้เข้าที่แล้ว นางจึงได้ลืมตาขึ้น
“ที่แท้ความทรงจำเมื่อครู่คือองค์ความรู้ด้านการปลูกผัก หรือเรียกอีกอย่างว่าเกษตรกรรมนี่เอง ดียิ่ง! อาหงกำลังอยากปลูกผักพอดีเลย!”
เจ้าตัวกลมกลับมาร่าเริงอีกครั้ง ปากเล็กฉีกยิ้มจนสองแก้มซาลาเปาเป็นก้อนกลม ๆ
ความดีใจที่ตัวเองมีวิธีการเพาะปลูกมากมายทำให้เว่ยซือหงหลงลืมเสียงทรงอำนาจที่กล่าวกับนางชั่วคราว เทพโชคชะตาลอบถอนหายใจ เขานึกว่านางจะจำได้ทุกภพชาติที่จุติเสียอีก! เป็นเช่นนี้ดีแล้ว ให้นางได้มีช่วงเวลาร่าเริงสมกับเป็นเด็ก ดีกว่าเคร่งเครียดเกินอายุจริง
‘เพราะข้าจำกัดความทรงจำของนางไว้ตามระดับพลังอย่างไรเล่า เมื่อระดับพลังของนางสูงขึ้น ความทรงจำที่ข้าผนึกไว้ไว้จะค่อย ๆ หลุดออกมาหลอมรวมให้นางได้รับรู้เอง’
‘ท่านมหาเทพ’ เทพโชคชะตาส่งกระแสจิตตอบกลับท่านมหาเทพไปทันทีที่เสียงของผู้เป็นใหญ่ดังขึ้นมาในห้วงจิตเขา
‘ท่านควรกลับมาได้แล้วเทพโชคชะตา นับจากนี้ห้ามท่านลงไปหานางอีก’
‘ข้ารู้แล้ว! นางน่ารักน่าเอ็นดูขนาดนี้ ข้ามาเล่นกับนางไม่ได้หรือไรเล่า’
‘ข้าก็อยากเล่นกับบุตรสาวข้าเช่นกันข้ายังหักห้ามใจได้เลย ไม่รู้แหละ ถ้าท่านไม่รีบกลับขึ้นมาก็จงเตรียมรับโทษได้เลย’
‘จะไปเดี๋ยวนี้แหละ ขอข้าลานางก่อนสิท่านมหาเทพ’ เทพโชคชะตาไม่สนใจเสียงขึงขังที่ดังในห้วงจิต
“เสี่ยวหง”
“ท่านตา” เจ้าตัวกลมขานรับเสียงหวานใสจนเทพโชคชะตาไม่อยากจาก ทว่าเขาไม่อาจฝืนคำสั่งห้ามไปได้มากกว่านี้แล้ว
“มอบให้เจ้า” เขายื่นแหวนหยกที่ลงอักขระอาคมระดับเทพให้กับนาง
“แหวนอันใดหรือเจ้าคะท่านตา” ถึงนางจะเด็ก แต่นางย่อมรู้ว่าแหวนที่ท่านตาปริศนาชอบผลุบ ๆ โผล่ ๆ เวลากลางคืนให้มาต้องไม่ธรรมดาแน่
“แหวนปกปิดพลังระดับเทพ”
“ระดับเทพ!” เพราะเคยศึกษาเรื่องระดับพลังขั้นต่าง ๆ มาก่อน เว่ยซือหงตัวน้อยจึงไม่สามารถระงับอาการตื่นเต้นได้ นี่มันระดับเทพเชียวนะ แหวนระดับเทพ!
“ใช่ แหวนวงนี้จะช่วยปกปิดระดับพลังของเจ้าไว้ไม่ให้ผู้ใดมองเห็น ข้ารับรองจะไม่มีใครเห็นพลังที่แท้จริงของเจ้าแน่นอน เพียงเจ้าอยากเปิดเผยระดับพลังที่ขั้นใด เจ้าก็ส่งจิตจำนงไปที่แหวน แหวนวงนี้จะตอบรับความต้องการของเจ้าทันที หยดเลือดเสียสิแล้วมันจะเป็นของเจ้า ไม่มีผู้ใดเเย่งชิงไปได้”
เว่ยซูหงตัวน้อยใช้เข็มเล็ก ๆ ที่ท่านตาปริศนายื่นให้เจาะเลือดที่นิ้วชี้แล้วหยดลงใส่แหวน เมื่อทำพันธสัญญาเป็นเจ้าของแหวนเรียบร้อยแล้ว เจ้าตัวกลมก็ไม่รอช้าแต่อย่างใดสวมไว้ที่นิ้วกลางข้างขวาทันที
“ขอบคุณเจ้าค่ะท่านตา”
“ตาต้องไปแล้ว เจ้าก็ศึกษาเรื่องราวต่าง ๆ ในนี้เล่า อ้อ อย่าลืมสำรวจมิติของเจ้าล่ะ มีสิ่งสำคัญเกี่ยวกับมิตินี้ที่เจ้าต้องรับรู้ไว้”
“อะไรหรือเจ้าคะท่านตา”
“ในมิติแห่งนี้เวลาจะเดินเร็วกว่าโลกภายนอก เจ้าอยากให้เดินเร็วเท่าไหร่ เจ้าก็ตั้งจิตเอาเองเลย มิติมันเป็นของเจ้า มันจะตอบรับความต้องการของเจ้าเอง อีกข้อ ถึงเจ้าจะอยู่ศึกษาในนี้เป็นร้อยเป็นพันปี อายุและอัตราการเจริญเติบโตของเจ้าจะเท่าโลกภายนอก ไม่โตเร็วไปกว่าเดิมแน่นอน”
“อาหงเข้าใจเเล้วเจ้าค่ะท่านตา”
“ดี ตาต้องไปแล้ว”
“ท่านตาจะมาหาอาหงอีกหรือไม่เจ้าคะ”
“ตามาไม่ได้แล้ว แต่เมื่อไรที่เสี่ยวหงเข้มเเข็งมีระดับพลังมากขึ้น วันนั้นเราจะได้พบกันอีกครั้ง เอาละ ตาไปก่อน ใช้ชีวิตให้ดีเล่าเทพธิดาตัวน้อยของตา”
“ขอบคุณเจ้าค่ะท่านตา อาหงจะไม่ลืมท่านตาเลย ท่านตาอย่าลืมอาหงนะเจ้าคะ!” เด็กน้อยตะโกนเสียงดังเมื่อท่านตาของนางค่อย ๆ หายไปจนกลายเป็นภาพเงาเลือนราง
เจ้าตัวน้อยยืนเศร้าอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะกระตือรือร้นอีกครั้ง
สำรวจมิติกันเถอะ!
ส่วนกลุ่มคนที่มาจากขุมอำนาจหรือจวนขุนนางต่าง ๆ มีความต้องการผลผลิตปราณจำนวนมาก ต่างตรงไปที่ชั้นสองของร้าน แล้วแจ้งชนิดและจำนวนผักที่ต้องการเสร็จ คนของตระกูลเว่ยที่มีหน้าที่รับผิดชอบในส่วนนี้ จะนำผลผลิตออกมาจากแหวนมิติตามจำนวนที่ลูกค้าต้องการ หลังตรวจสอบความถูกต้องเรียบร้อย ทำการจ่ายเงินเป็นอันจบการซื้อขายงานในส่วนนี้ถูกดำเนินไปอย่างรวดเร็ว ขุมอำนาจต่าง ๆ ต่างชื่นชอบการจัดการด้วยวิธีนี้เช่นกัน ไม่จำเป็นต้องยื้อแย่งกับคนทั่วไป เพราะผลผลิตปราณถูกคนตระกูลเว่ยเตรียมพร้อมไว้อยู่แล้ว โดยผักผลไม้ปราณในร้านค้าตระกูลเว่ยมีราคาดังนี้ผักกาดขาว ผักบุ้ง กวางตุ้ง คะน้า ถั่วฝักยาว พริกชั่งละ 1 ตำลึงทองหัวไชเท้า แครอท แตงกวา ฟักทอง ฟักเขียว ชั่งละ 5 ตำลึงทอง มะเขือเทศ บัวหิมะ ชั่งละ 10 ตำลึงทองกล้วยชนิดต่าง ๆ ขายที่หวีละ 1 ตำลึงทอง แต่ละหวีมีถึงสิบลูกแตงโมขายผลละ 3 ตำลึงทอง ส้ม ผิงกั่ว(แอปเปิล) สับปะรด ชั่งละ 10 ตำลึงทององุ่น เฉ่าเหมย(สตรอว์เบอร์รี) และผลไม้ตระกูลเหมยทั้งหมดชั่งละ 20 ตำลึงทองลูกท้อ ทับทิม ลูกพลับจัดเป็นผลไม้มงคลขายชั่งละ 30 ตำลึงทองส่วนข้าว มันฝรั่งและมันเทศนั้นมีความต้องกา
ร้านค้าตระกูลเว่ย “สวรรค์ พวกเขาปลูกผักปราณได้จริง ๆ”“เจ้าดูแสงสีเขียวระยิบระยับนั่นสิ นี่มันผักปราณระดับสูง”“ตระกูลเว่ยจะเก่งกาจเกินไปแล้ว”หน้าร้านตระกูลเว่ยมีแต่เสียงพูดคุยหลายช่วงอายุทั้งชายหญิง ดังสลับกันไปมา เรื่องที่ตระกูลเว่ยจะเปิดขายผักปราณสร้างความแตกตื่นไปทั้งยุทธภพ จะเห็นได้ว่าแคว้นโจวมีคนเข้าออกค่อนข้างมาก ทั้งผู้ฝึกยุทธ์อิสระ คนจากสำนักศึกษาต่าง ๆ เหล่าบัณฑิต และคนจากดินแดนเบื้องบน ที่ยืนปลดปล่อยพลังความแข็งแกร่งออกมาจาง ๆ เพียงเท่านั้นก็สร้างความอึดอัดให้คนของดินแดนเบื้องล่างได้แล้ว“ไม่คิดว่าข่าวที่คนของเราส่งไปจะเป็นเรื่องจริง”“ถ้าไม่เห็นผักปราณจำนวนมากที่อยู่ในร้านรอขายข้าก็ไม่อยากเชื่อเช่นกันขอรับคุณชาย”“ถึงลมปราณดินแดนเบื้องล่างจะขาดแคลนทว่าก็ไม่อาจดูเบาพวกเขาได้เช่นกันขอรับคุณชาย”“ไม่ถูกต้อง คนที่เราไม่อาจดูเบาคือตระกูลเว่ยเจ้าของผักปราณระดับสูงมากมายนี้ต่างหาก...”คุณชายของกลุ่มวิเคราะห์ออกมา พลางมองผักปราณระดับสูงที่ถูกจัดเตรียมไว้บนชั้นวางของ และอยู่ในตะกร้าแบ่งแยกเป็นชนิดต่าง ๆ ชัดเจน ง่ายต่อการเลือกหา ทั้งยังสะดวกต่อการซื้อขายราคาบนป้ายไม้ที่เด่นหราอยู
อย่างไรก็ตามทัณฑ์สวรรค์มีเพียงสามสายเท่านั้น ทั้งยังทำอันใดกับหินแร่นิฬกาลไม่ได้ สมกับเป็นวัตถุดิบไร้ระดับ สมบัติประเมินค่าไม่ได้เช่นนี้ นางอยากครอบครองให้มากสักหน่อย ขนาดทัณฑ์สวรรค์ที่เป็นดังตำนานเล่าขาน ยังไม่สามารถสร้างรอยขีดข่วนให้มันได้เลย เป็นเช่นนี้จะไม่ให้นางโลภอยากได้เพิ่มได้อย่างไรเล่า!ตัวหินแร่นิฬกาลลอยนิ่งอยู่เช่นนั้นอย่างองอาจราวกับกำลังเยาะเย้ยสายฟ้าจากสวรรค์ ก่อนที่มันจะค่อย ๆ เลือนรางหายไปอันที่จริงหินแร่นิฬกาลยังอยู่ที่เดิม เพียงแต่มันหลบซ่อนตัวเองด้วยอักขระพรางตา จึงไม่มีใครมองเห็น นอกจากเว่ยซือหงเท่านั้น ซึ่งนับเป็นข้อดีอย่างมาก เพราะถ้ามีคนต้องการทำลายไร่ของนางขึ้นมา ก็จะทำได้ยาก เนื่องจากหาตาค่ายกลไม่เจอกระบวนการทุกอย่างเสร็จสิ้นลงไปแล้ว เว่ยซือหงยืนมองผลงานนี้ของตนด้วยความภาคภูมิใจท่ามกลางสายตาแตกตื่นของคนงานทั้งหมดรวมถึงครอบครัวตนเองด้วยแน่นอนว่าเหตุการณ์ที่เกิดในไร่ตระกูลเว่ยเช่นนี้ คนอื่น ๆ ต่างก็รับรู้แล้วเช่นกัน ม่านพลังสีทองที่ครอบคลุมทั่วไร่ตระกูลเว่ยมันชัดเจนเกินไป ราวกับเป็นพื้นที่ที่ตัดขาดจากโลกภายนอกนอกจากเหตุการณ์ในวันนี้จะสร้างความแตกตื่นให้ผู้ค
การจะปลูกผักปราณนั้นใช่ว่าเพียงพูดออกมาแล้วจะทำได้เลยทันที ตระกูลเว่ยต้องเตรียมตัวหลายอย่าง จนเมื่อทุกอย่างพร้อมสรรพ พวกเขาจึงพากันไปที่ไร่ตระกูลเว่ยประตูจวนที่ปิดมานานหลายวันของตระกูลเว่ยถึงได้เปิดออก รถม้าประจำตระกูลทั้งสองคัน เคลื่อนออกจากประตูจวนท่ามกลางสายตาของชาวเมือง และเหล่าขุนนางที่คอยจับตาดูความเคลื่อนไหวของพวกเขาเมื่อถึงไร่ตระกูลเว่ย คนงานทั้งหมดทั้งแรงงานที่เป็นชาวบ้าน บ่าวตระกูลเว่ย รวมถึงทหารที่คอยดูแลความปลอดภัย และความเรียบร้อยของไร่ถูกเรียกมารวมตัวกันที่จุดเดียวพวกเขาทั้งงุนงงและสับสนว่าเจ้านายเรียกรวมตัวด้วยเหตุใด บ้างกังวลกลัวจะถูกเลิกจ้าง ยิ่งบรรดาเจ้านายไม่ปริปาก ความคิดพลันล่องลอยไปไกลมากกว่าเดิม ก่อนทุกคนจะแตกตื่นไปมากกว่านี้ พ่อบ้านอวิ๋นจึงเข้ามาไขข้อข้องใจเสียก่อน“ไม่ต้องแตกตื่น เจ้านายของพวกเราไม่ได้คิดจะเลิกจ้างพวกเจ้า ที่เรียกมารวมตัวกันเพราะจะมีการปรับเปลี่ยนไร่ตระกูลเว่ย การให้พวกเจ้าอยู่รวมกันเป็นจุดเดียวจะทำให้ปลอดภัยและดูแลง่ายกว่าเดิม”คนงานที่เป็นชาวบ้านต่างพากันโล่งใจ หม้อข้าวของตนยังอยู่ ยังไม่ได้ถูกทุบแต่อย่างใด ทว่าความสงสัยใคร่รู้ก็กลับมาอีก
“ทุกคนเจ้าคะ อาหงมีเรื่องจะคุยด้วยเจ้าค่ะ” “ว่าเช่นไรลูกรัก มีเรื่องอะไรจะคุยกับพวกเราหรือ” เว่ยซือซานถามบุตรสาวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน“เราเลิกขายผักกันเถอะเจ้าค่ะ”“เลิกขายผัก? เลิกแล้วผักที่ปลูกอยู่พันหมู่จะทำอย่างไร” ถึงจะแปลกใจที่เว่ยซือหงเอ่ยเรื่องการยกเลิกกิจการที่กำลังรุ่งเรืองในตอนนี้ แต่พวกเขาไม่ได้แตกตื่น เรื่องราวที่ผ่านมาได้สอนพวกเขาแล้ว ว่าเจ้าตัวน้อยเป็นคนมีเหตุผลเพียงใด การเอ่ยว่าจะไม่ขายผักแล้ว ไม่ใช่คำพูดที่เอ่ยออกมาเพราะต้องการล้อเล่นแน่“ไม่ต้องทำอันใดเลยเจ้าค่ะ แค่เปลี่ยนจากผักธรรมดาพวกนั้นเป็นผักปราณให้หมด”“เจ้าหมายความว่าอยากปลูกผักผลไม้ปราณแทนการปลูกผักธรรมดาหรือ”“เจ้าค่ะท่านแม่”สมาชิกในตระกูลเว่ยนิ่งคิด ความต้องการของบุตรสาวใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ ด้วยน้ำพลังปราณที่เจ้าตัวมี การเปลี่ยนจากผักธรรมดาเป็นผักปราณนั้นทำได้ง่ายราวพลิกฝ่ามือ ไม่ใช่ว่าทุกวันนี้พวกตนก็กินผักผลไม้ปราณและเห็ดปราณ ที่ปลูกอยู่หลังเรือนของเว่ยซือหงหรอกหรือหลินซือเหยาถอนหายใจมองหลานสาวพลางว่า “บอกเหตุผลให้ย่าและพวกเราทุกคนฟังได้หรือไม่ ว่าเหตุใดจึงอยากปลูกและขายผักปราณ”ซึ่งคำถามของฮูหยินผู้เฒ่
ช่วงนี้เว่ยซือหงไม่ได้เคลื่อนไหวหรือทำอะไรเป็นพิเศษ นางทุ่มเวลาทั้งหมดให้ครอบครัว ทดแทนที่ตนหายไปตลอดระยะเวลาหนึ่งเดือน คนในตระกูลก็พอใจมากที่เจ้าตัวน้อยใช้ชีวิตสมกับที่เป็นเด็กเสียทีทว่าเป็นคนตระกูลใหญ่ ทั้งยังเป็นสตรี สิ่งที่ควรเรียนยังต้องเรียน นางจึงถูกท่านย่าคุมเข้มเรื่องศาสตร์ทั้งสี่เป็นประจำ ถึงจะไม่ค่อยชอบแต่เว่ยซือหงก็เข้าใจและทำได้ดี ทั้งนี้ยังต้องออกไปร่วมงานเลี้ยงกับท่านย่าหรือท่านแม่ยังจวนอื่น ๆ ตามบัตรเชิญที่ถูกส่งมาเป็นครั้งคราว เจ้าตัวน้อยเลยไม่รู้สึกเบื่อนักการออกไปพบปะผู้คนและเจอเพื่อนบ้างนับเป็นเรื่องดี เช่นวันนี้ที่นางมาเดินเที่ยวตลาดกับหลินหว่าน เด็กสาวจากตระกูลหลินที่เพิ่งทำความรู้จักกันไปเมื่อครั้งงานเลี้ยงต้อนรับคณะทูตที่ผ่านมานั่นเอง“เจ้าว่าปิ่นอันนี้สวยหรือไม่” หลินหว่านเอ่ยถามสหายพร้อมยื่นปิ่นดอกหมู่ตาน(โบตั๋น) ให้ดูเว่ยซือหงดูแล้วทั้งตัวรูปปิ่นและขนาดที่ไม่ใหญ่มากเกินไป เหมาะกับเด็ก ๆ อย่างพวกหน้า ก็พยักหน้ารับตอบคำทันทีเช่นกัน “สวยมาก เหมาะกับเจ้า”“จริงหรือ”“จริง”“เช่นนั้นข้าเอาอันนี้เจ้าค่ะ” คุณหนูตระกูลหลินส่งปิ่นให้สาวใช้ที่ติดตามมานำไปคิดเงิน“