เด็กหญิงตัวน้อยสูดอากาศเข้าปอดเรียกความมั่นใจให้ตัวเอง แล้ววิ่งออกจากใต้ต้นไม้ใหญ่ที่นางและท่านตานั่งสนทนากันทันที เป้าหมายแรกที่นางสนใจคือทุ่งหญ้าโล่งกว้างเต็มไปด้วยสีเขียวระยิบระยับ ยามลมพัดโชยยอดหญ้าพลันพลิ้วไหวไปตามลม ทั้งดูอ่อนนุ่มและงดงาม
“โอ้โห...”
ปากเล็กอ้ากว้างยกมือสองข้างประกบแก้มตัวเองไว้ ดวงตาคล้ายมีหมู่มวลดาราอยู่ภายในทอประกายระยิบระยับงดงาม เจ้าตัวน้อยเริ่มเก็บอาการไม่อยู่ ขาสองข้างสั่นระริก นางอยากเดินเข้าไปในทุ่งหญ้ากว้างและวิ่งเล่นให้สุขใจ แต่ก็กลัวเจ้าต้นหญ้าจะบาดเจ็บ หากนางเหยียบแล้วมันตายเล่า จะทำอย่างไร ตั้งแต่เกิดมานางยังไม่เคยเห็นที่ไหนมีสีเขียวชอุ่มเต็มไปด้วยประกายเเห่งชีวิตอุดมสมบูรณ์เท่านี้มาก่อนเลยนะ!
ตอนนี้ทั้งตื่นเต้นทั้งดีใจที่ตัวเองมีสถานที่สวยงามเช่นนี้ นางไม่อยากทำลายมัน! ดวงตาคู่กลมจับจ้องไปยังใบเรียวเล็กมีสีดังหยกบริสุทธิ์ของต้นหญ้าไม่กะพริบตา ขณะนั้นเองความพิเศษของดวงเนตรสวรรค์พลันแสดงผล
[หญ้ามรกต สมุนไพรระดับสูง เนื่องจากขึ้นอยู่ในสถานที่พลังปราณหนาแน่นจึงเลื่อนขั้นเป็นสมุนไพรปราณ หนึ่งในสมุนไพรการหลอมโอสถสงบจิต เมื่อนำไปทำโอสถสงบจิตจะช่วยให้มีสมาธิดูดซับลมปราณมากขึ้น *หากเป็นสมุนไพรปราณจะเพิ่มค่าความบริสุทธิ์ของโอสถ]
“โอ้...”
เจ้าตัวน้อยร้องออกมากับสรรพคุณของทุ่งหญ้ากว้างตรงหน้า เป็นสมุนไพรระดับสูงไม่พอ ยังเลื่อนขั้นเป็นสมุนไพรปราณอีก
สมุนไพรปราณ คือสมุนไพรที่เกิดในที่ที่มีลมปราณหนาแน่น หลังดูดซับพลังปราณเข้ามาในตัวเองจนมีพลังหนาแน่น จะกระจายละอองปราณออกมา เช่นหญ้ามรกตตรงหน้าที่มีแสงสีเขียวเป็นประกายระยิบระยับ
ในดินแดนเบื้องล่างที่แร้นแค้นนี้ อย่าว่าเเต่สมุนไพรปราณเลย แค่สมุนไพรระดับสูงสักต้นยังหาได้ยาก ดังนั้นสิ่งที่เจ้าตัวน้อยเห็นในขณะนี้ไม่ต่างจากขุมสมบัติ!
“โฮะ ๆ ตำลึงเงินตำลึงทองของอาหง” เจ้าตัวน้อยยกมือปิดปากหัวเราะจนตาปิด นางนั่งลงแล้วใช้มือสัมผัสหญ้ามรกตตรงหน้าไปมา ยิ่งนานยิ่งชอบใจ จากที่ไม่กล้าเดินเหยียบย่ำเพราะกลัวจะทำลายต้นหญ้า ตอนนี้ได้นั่งทับพวกมันเป็นที่เรียบร้อย
“คิกคิก อาหงจะรวยแล้ว โฮะ ๆ ๆ” พูดหัวเราะคนเดียวพร้อมกลิ้งไปมาบนหญ้ามรกตที่ให้สัมผัสนุ่มและผ่อนคลาย กระทั่งรู้ตัวว่าตัวเองเดินเข้ามาไกลจนเกือบจะถึงใจกลางทุ่งหญ้าเสียแล้ว นางหันขวับกลับไปดูต้นหญ้าด้านหลังที่เดินผ่านด้วยใบหน้าตื่นตระหนก แต่เมื่อเห็นว่าทิศทางที่นางเดินมาเจ้าหญ้ามรกตพวกนี้ยังอยู่ดีไม่มีร่องรอยการบุบสลายก็ยิ้มกว้าง
“อา... ที่แท้อาหงก็เดินผ่านพวกมันได้ ดีจังที่พวกมันไม่เสียหาย ขอบคุณที่แข็งแรงนะเจ้าหญ้ามรกต”
เล่นอยู่ทุ่งหญ้ามรกตอยู่ครู่หนึ่ง เจ้าตัวน้อยก็เดินสำรวจไปเรื่อย ๆ สถานที่กว้างใหญ่ที่เรียกว่ามิติพฤกษาสวรรค์แห่งนี้อุดมสมบูรณ์มากจริง ๆ ทั้งพลังปราณก็หนาแน่น ทุกที่ที่นางไปไม่เจอสมุนไพรธรรมดาเลยสักต้น มีแต่สมุนไพรปราณทั้งนั้น ขนาดสมุนไพรระดับต่ำยังเป็นสมุนไพรปราณเลย หากนางนำออกไปขายสักต้นสองต้น รับรองว่ารวยมากแน่นอน!
ว่ากันด้วยเรื่องระดับของสมุนไพร
ในพิภพผู้ฝึกปราณนี้ จำแนกสมุนไพรออกเป็น 2 ประเภท คือสมุนไพรธรรมดา และสมุนไพรปราณ มีด้วยกัน 6 ระดับ คือ สมุนไพรระดับต่ำ กลาง สูง ศักดิ์สิทธิ์ เซียน และระดับเทพ คัดแยกได้ด้วยสีของระดับพลัง
สมุนไพรระดับต่ำมีสีแดง ระดับกลางสีเหลือง ระดับสูงสีเขียว ระดับศักดิ์สิทธิ์สีน้ำเงิน ระดับเซียนสีขาว และสมุนไพรระดับเทพมีสีทอง
สำหรับดินแดนเบื้องล่างนี้ จะพบสมุนไพรเพียงแค่สี่ระดับเท่านั้น คือ สมุนไพรระดับต่ำ ระดับกลาง ระดับสูง ส่วนระดับศักดิ์สิทธิ์นาน ๆ จึงจะมีออกมาสักครั้ง ทุกครั้งที่ปรากฏผู้คนต้องประมูลแข่งกันจึงจะได้มา
ส่วนดินแดนเบื้องบนพบตั้งแต่สมุนไพรระดับต่ำตลอดจนสมุนไพรระดับเทพ ทว่าแม้จะเป็นดินแดนเบื้องบนก็น้อยนักที่จะมีสมุนไพรระดับเซียนและระดับเทพปรากฏ สองชนิดให้หลังนี้นิยมพบได้ที่มิติบรรพชน สุสานและสถานที่พิเศษต่าง ๆ อันเต็มไปด้วยพลังปราณหนาแน่นและอันตรายมากกว่า ทั้งยังพบเจอได้ยากอีกต่างหาก เรียกได้ว่าหากไร้ซึ่งวาสนาย่อมไม่สามารถพบเจอโดยง่าย
สิ่งที่แยกระหว่างสมุนไพรธรรมดากับสมุนไพรปราณออกจากกันอย่างชัดเจนคือ แสงระยิบระยับของระดับสมุนไพรที่แผ่ออกมา ยกตัวอย่างเช่น
หญ้ามรกตมีสีเขียว ถือเป็นสมุนไพรระดับสูง แต่เมื่อรอบต้นของหญ้ามรกตแผ่กลิ่นอายพลังปราณ และมีแสงระยิบระยับออกมาตลอดเวลา จะยกระดับจากสมุนไพรระดับสูงธรรมดาเป็นสมุนไพรปราณระดับสูงทันที
ข้อมูลพื้นฐานเหล่านี้เจ้าตัวน้อยเว่ยซือหงย่อมรู้และเข้าใจดี เช่นนั้นนางถึงได้ยิ้มแก้มปริเวลาเดินผ่านสถานที่ต่าง ๆ แล้วพบเห็นสมุนไพรมากมาย ล้วนเป็นสมุนไพรปราณทั้งสิ้น!
นางรวยแล้ว!
กระนั้นเดินสำรวจมานานเจ้าตัวน้อยก็ยังไม่พบสมุนไพรระดับเซียนและสมุนไพรระดับเทพแต่อย่างใด แต่เจ้าตัวไม่หวั่นเดินสำรวจต่อไปอย่างมีความสุข นอกจากจะพบสมุนไพรมากมายแล้วนางยังเจอต้นผลไม้อีกด้วย ซึ่งทั้งหมดล้วนเป็นผลไม้ปราณ
แน่นอน... เจ้าตัวน้อยไม่ลังเลที่จะเก็บมากิน
“ง่ำ ๆ อร่อยจริง ๆ หวานฉ่ำอมเปรี้ยวนิด ๆ แถมยังหอมมากด้วย เจ้าเฉ่าเหมยที่หาได้ยากด้านนอก มิติของเรากลับมีมันเต็มไปหมด อิอิ” พูดไปก็กัดเฉ่าเหมยลูกโตสีแดงไปด้วย สองข้าก้าวไปข้างหน้าไม่หยุดยั้ง
ทว่าต่อให้เจ้าตัวน้อยมีใจสำรวจมากเท่าใดก็ไม่สามารถสำรวจได้หมด ด้วยสถานที่กว้างใหญ่ไพศาลนี้ นางคงไม่สามารถสำรวจเสร็จง่าย ๆ แน่
“เมื่อยแล้วนะ เมื่อไหร่อาหงจะเดินไปถึงบ้านที่ท่านตาบอกไว้สักที เหวอ...”
พรึบ!
จบคำร่างของเว่ยซือหงพลันเลือนหายก่อนโผล่ไปยังพื้นที่ว่างด้านหน้าต้นไม้ขนาดใหญ่ที่มีเรือนไม้สร้างอยู่บนนั้น?
ส่วนกลุ่มคนที่มาจากขุมอำนาจหรือจวนขุนนางต่าง ๆ มีความต้องการผลผลิตปราณจำนวนมาก ต่างตรงไปที่ชั้นสองของร้าน แล้วแจ้งชนิดและจำนวนผักที่ต้องการเสร็จ คนของตระกูลเว่ยที่มีหน้าที่รับผิดชอบในส่วนนี้ จะนำผลผลิตออกมาจากแหวนมิติตามจำนวนที่ลูกค้าต้องการ หลังตรวจสอบความถูกต้องเรียบร้อย ทำการจ่ายเงินเป็นอันจบการซื้อขายงานในส่วนนี้ถูกดำเนินไปอย่างรวดเร็ว ขุมอำนาจต่าง ๆ ต่างชื่นชอบการจัดการด้วยวิธีนี้เช่นกัน ไม่จำเป็นต้องยื้อแย่งกับคนทั่วไป เพราะผลผลิตปราณถูกคนตระกูลเว่ยเตรียมพร้อมไว้อยู่แล้ว โดยผักผลไม้ปราณในร้านค้าตระกูลเว่ยมีราคาดังนี้ผักกาดขาว ผักบุ้ง กวางตุ้ง คะน้า ถั่วฝักยาว พริกชั่งละ 1 ตำลึงทองหัวไชเท้า แครอท แตงกวา ฟักทอง ฟักเขียว ชั่งละ 5 ตำลึงทอง มะเขือเทศ บัวหิมะ ชั่งละ 10 ตำลึงทองกล้วยชนิดต่าง ๆ ขายที่หวีละ 1 ตำลึงทอง แต่ละหวีมีถึงสิบลูกแตงโมขายผลละ 3 ตำลึงทอง ส้ม ผิงกั่ว(แอปเปิล) สับปะรด ชั่งละ 10 ตำลึงทององุ่น เฉ่าเหมย(สตรอว์เบอร์รี) และผลไม้ตระกูลเหมยทั้งหมดชั่งละ 20 ตำลึงทองลูกท้อ ทับทิม ลูกพลับจัดเป็นผลไม้มงคลขายชั่งละ 30 ตำลึงทองส่วนข้าว มันฝรั่งและมันเทศนั้นมีความต้องกา
ร้านค้าตระกูลเว่ย “สวรรค์ พวกเขาปลูกผักปราณได้จริง ๆ”“เจ้าดูแสงสีเขียวระยิบระยับนั่นสิ นี่มันผักปราณระดับสูง”“ตระกูลเว่ยจะเก่งกาจเกินไปแล้ว”หน้าร้านตระกูลเว่ยมีแต่เสียงพูดคุยหลายช่วงอายุทั้งชายหญิง ดังสลับกันไปมา เรื่องที่ตระกูลเว่ยจะเปิดขายผักปราณสร้างความแตกตื่นไปทั้งยุทธภพ จะเห็นได้ว่าแคว้นโจวมีคนเข้าออกค่อนข้างมาก ทั้งผู้ฝึกยุทธ์อิสระ คนจากสำนักศึกษาต่าง ๆ เหล่าบัณฑิต และคนจากดินแดนเบื้องบน ที่ยืนปลดปล่อยพลังความแข็งแกร่งออกมาจาง ๆ เพียงเท่านั้นก็สร้างความอึดอัดให้คนของดินแดนเบื้องล่างได้แล้ว“ไม่คิดว่าข่าวที่คนของเราส่งไปจะเป็นเรื่องจริง”“ถ้าไม่เห็นผักปราณจำนวนมากที่อยู่ในร้านรอขายข้าก็ไม่อยากเชื่อเช่นกันขอรับคุณชาย”“ถึงลมปราณดินแดนเบื้องล่างจะขาดแคลนทว่าก็ไม่อาจดูเบาพวกเขาได้เช่นกันขอรับคุณชาย”“ไม่ถูกต้อง คนที่เราไม่อาจดูเบาคือตระกูลเว่ยเจ้าของผักปราณระดับสูงมากมายนี้ต่างหาก...”คุณชายของกลุ่มวิเคราะห์ออกมา พลางมองผักปราณระดับสูงที่ถูกจัดเตรียมไว้บนชั้นวางของ และอยู่ในตะกร้าแบ่งแยกเป็นชนิดต่าง ๆ ชัดเจน ง่ายต่อการเลือกหา ทั้งยังสะดวกต่อการซื้อขายราคาบนป้ายไม้ที่เด่นหราอยู
อย่างไรก็ตามทัณฑ์สวรรค์มีเพียงสามสายเท่านั้น ทั้งยังทำอันใดกับหินแร่นิฬกาลไม่ได้ สมกับเป็นวัตถุดิบไร้ระดับ สมบัติประเมินค่าไม่ได้เช่นนี้ นางอยากครอบครองให้มากสักหน่อย ขนาดทัณฑ์สวรรค์ที่เป็นดังตำนานเล่าขาน ยังไม่สามารถสร้างรอยขีดข่วนให้มันได้เลย เป็นเช่นนี้จะไม่ให้นางโลภอยากได้เพิ่มได้อย่างไรเล่า!ตัวหินแร่นิฬกาลลอยนิ่งอยู่เช่นนั้นอย่างองอาจราวกับกำลังเยาะเย้ยสายฟ้าจากสวรรค์ ก่อนที่มันจะค่อย ๆ เลือนรางหายไปอันที่จริงหินแร่นิฬกาลยังอยู่ที่เดิม เพียงแต่มันหลบซ่อนตัวเองด้วยอักขระพรางตา จึงไม่มีใครมองเห็น นอกจากเว่ยซือหงเท่านั้น ซึ่งนับเป็นข้อดีอย่างมาก เพราะถ้ามีคนต้องการทำลายไร่ของนางขึ้นมา ก็จะทำได้ยาก เนื่องจากหาตาค่ายกลไม่เจอกระบวนการทุกอย่างเสร็จสิ้นลงไปแล้ว เว่ยซือหงยืนมองผลงานนี้ของตนด้วยความภาคภูมิใจท่ามกลางสายตาแตกตื่นของคนงานทั้งหมดรวมถึงครอบครัวตนเองด้วยแน่นอนว่าเหตุการณ์ที่เกิดในไร่ตระกูลเว่ยเช่นนี้ คนอื่น ๆ ต่างก็รับรู้แล้วเช่นกัน ม่านพลังสีทองที่ครอบคลุมทั่วไร่ตระกูลเว่ยมันชัดเจนเกินไป ราวกับเป็นพื้นที่ที่ตัดขาดจากโลกภายนอกนอกจากเหตุการณ์ในวันนี้จะสร้างความแตกตื่นให้ผู้ค
การจะปลูกผักปราณนั้นใช่ว่าเพียงพูดออกมาแล้วจะทำได้เลยทันที ตระกูลเว่ยต้องเตรียมตัวหลายอย่าง จนเมื่อทุกอย่างพร้อมสรรพ พวกเขาจึงพากันไปที่ไร่ตระกูลเว่ยประตูจวนที่ปิดมานานหลายวันของตระกูลเว่ยถึงได้เปิดออก รถม้าประจำตระกูลทั้งสองคัน เคลื่อนออกจากประตูจวนท่ามกลางสายตาของชาวเมือง และเหล่าขุนนางที่คอยจับตาดูความเคลื่อนไหวของพวกเขาเมื่อถึงไร่ตระกูลเว่ย คนงานทั้งหมดทั้งแรงงานที่เป็นชาวบ้าน บ่าวตระกูลเว่ย รวมถึงทหารที่คอยดูแลความปลอดภัย และความเรียบร้อยของไร่ถูกเรียกมารวมตัวกันที่จุดเดียวพวกเขาทั้งงุนงงและสับสนว่าเจ้านายเรียกรวมตัวด้วยเหตุใด บ้างกังวลกลัวจะถูกเลิกจ้าง ยิ่งบรรดาเจ้านายไม่ปริปาก ความคิดพลันล่องลอยไปไกลมากกว่าเดิม ก่อนทุกคนจะแตกตื่นไปมากกว่านี้ พ่อบ้านอวิ๋นจึงเข้ามาไขข้อข้องใจเสียก่อน“ไม่ต้องแตกตื่น เจ้านายของพวกเราไม่ได้คิดจะเลิกจ้างพวกเจ้า ที่เรียกมารวมตัวกันเพราะจะมีการปรับเปลี่ยนไร่ตระกูลเว่ย การให้พวกเจ้าอยู่รวมกันเป็นจุดเดียวจะทำให้ปลอดภัยและดูแลง่ายกว่าเดิม”คนงานที่เป็นชาวบ้านต่างพากันโล่งใจ หม้อข้าวของตนยังอยู่ ยังไม่ได้ถูกทุบแต่อย่างใด ทว่าความสงสัยใคร่รู้ก็กลับมาอีก
“ทุกคนเจ้าคะ อาหงมีเรื่องจะคุยด้วยเจ้าค่ะ” “ว่าเช่นไรลูกรัก มีเรื่องอะไรจะคุยกับพวกเราหรือ” เว่ยซือซานถามบุตรสาวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน“เราเลิกขายผักกันเถอะเจ้าค่ะ”“เลิกขายผัก? เลิกแล้วผักที่ปลูกอยู่พันหมู่จะทำอย่างไร” ถึงจะแปลกใจที่เว่ยซือหงเอ่ยเรื่องการยกเลิกกิจการที่กำลังรุ่งเรืองในตอนนี้ แต่พวกเขาไม่ได้แตกตื่น เรื่องราวที่ผ่านมาได้สอนพวกเขาแล้ว ว่าเจ้าตัวน้อยเป็นคนมีเหตุผลเพียงใด การเอ่ยว่าจะไม่ขายผักแล้ว ไม่ใช่คำพูดที่เอ่ยออกมาเพราะต้องการล้อเล่นแน่“ไม่ต้องทำอันใดเลยเจ้าค่ะ แค่เปลี่ยนจากผักธรรมดาพวกนั้นเป็นผักปราณให้หมด”“เจ้าหมายความว่าอยากปลูกผักผลไม้ปราณแทนการปลูกผักธรรมดาหรือ”“เจ้าค่ะท่านแม่”สมาชิกในตระกูลเว่ยนิ่งคิด ความต้องการของบุตรสาวใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ ด้วยน้ำพลังปราณที่เจ้าตัวมี การเปลี่ยนจากผักธรรมดาเป็นผักปราณนั้นทำได้ง่ายราวพลิกฝ่ามือ ไม่ใช่ว่าทุกวันนี้พวกตนก็กินผักผลไม้ปราณและเห็ดปราณ ที่ปลูกอยู่หลังเรือนของเว่ยซือหงหรอกหรือหลินซือเหยาถอนหายใจมองหลานสาวพลางว่า “บอกเหตุผลให้ย่าและพวกเราทุกคนฟังได้หรือไม่ ว่าเหตุใดจึงอยากปลูกและขายผักปราณ”ซึ่งคำถามของฮูหยินผู้เฒ่
ช่วงนี้เว่ยซือหงไม่ได้เคลื่อนไหวหรือทำอะไรเป็นพิเศษ นางทุ่มเวลาทั้งหมดให้ครอบครัว ทดแทนที่ตนหายไปตลอดระยะเวลาหนึ่งเดือน คนในตระกูลก็พอใจมากที่เจ้าตัวน้อยใช้ชีวิตสมกับที่เป็นเด็กเสียทีทว่าเป็นคนตระกูลใหญ่ ทั้งยังเป็นสตรี สิ่งที่ควรเรียนยังต้องเรียน นางจึงถูกท่านย่าคุมเข้มเรื่องศาสตร์ทั้งสี่เป็นประจำ ถึงจะไม่ค่อยชอบแต่เว่ยซือหงก็เข้าใจและทำได้ดี ทั้งนี้ยังต้องออกไปร่วมงานเลี้ยงกับท่านย่าหรือท่านแม่ยังจวนอื่น ๆ ตามบัตรเชิญที่ถูกส่งมาเป็นครั้งคราว เจ้าตัวน้อยเลยไม่รู้สึกเบื่อนักการออกไปพบปะผู้คนและเจอเพื่อนบ้างนับเป็นเรื่องดี เช่นวันนี้ที่นางมาเดินเที่ยวตลาดกับหลินหว่าน เด็กสาวจากตระกูลหลินที่เพิ่งทำความรู้จักกันไปเมื่อครั้งงานเลี้ยงต้อนรับคณะทูตที่ผ่านมานั่นเอง“เจ้าว่าปิ่นอันนี้สวยหรือไม่” หลินหว่านเอ่ยถามสหายพร้อมยื่นปิ่นดอกหมู่ตาน(โบตั๋น) ให้ดูเว่ยซือหงดูแล้วทั้งตัวรูปปิ่นและขนาดที่ไม่ใหญ่มากเกินไป เหมาะกับเด็ก ๆ อย่างพวกหน้า ก็พยักหน้ารับตอบคำทันทีเช่นกัน “สวยมาก เหมาะกับเจ้า”“จริงหรือ”“จริง”“เช่นนั้นข้าเอาอันนี้เจ้าค่ะ” คุณหนูตระกูลหลินส่งปิ่นให้สาวใช้ที่ติดตามมานำไปคิดเงิน“