ร่างสูงของรณพีร์นั่งลงบนเตียงนุ่มกว้างพลางคิดถึงเรื่องที่เขาได้รับรู้มาก่อนหน้านี้ ถึงแม้ว่าเขาและหล่อนจะคบหาดูใจกันมาเพียงไม่นาน แต่ลึก ๆ ในจิตใจของเขากลับหลงใหลอยากแต่งงานสร้างครอบครัวกับหล่อนมากที่สุด เขาตัดสินใจที่จะกลับมาขอหล่อนแต่งงานแต่จำเป็นต้องยกเลิกกะทันหัน เพราะหล่อนโพสต์รูปคู่ลงในโซเชียลมีเดียส่วนตัวว่ากำลังคบหาดูใจกับผู้ชายคนอื่น
มันเป็นช่วงเวลาไล่เลี่ยกันกับที่เพื่อนสนิทของเขาได้ส่งภาพนั้นมาให้ดูพอดี เขาไม่เชื่อจึงกลับมาดูเพื่อให้เห็นกับตาตัวเองจนรู้ว่าหล่อนนั้นคบหาอยู่กับผู้ชายคนนั้นจริง ๆ เขาจึงตัดสินใจอยู่ดูแลงานที่ต่างประเทศต่ออีกหนึ่งปีเพื่อไม่ให้คิดฟุ้งซ่านและลืมผู้หญิงทรยศคนนั้นให้หมดใจ
ชายหนุ่มลุกขึ้นยืนเต็มความสูง สลัดศีรษะไล่ความคิดฟุ้งซ่านให้ออกจากหัวเพื่อไม่ให้นึกถึงเรื่องราวของผู้หญิงทรยศคนนั้นอีก ถ้าหากวันใดเขาได้เจอเธออีกครั้ง แน่นอนว่าเขาจะเอาคืนให้เจ็บปวดมากกว่าที่เขาเจ็บเป็นร้อยเท่าพันเท่า
ไม่นานชายหนุ่มก็ตรงเข้าห้องน้ำชำระร่างกายแล้วออกมานอนพักผ่อน เพื่อให้หายเหนื่อยล้าจากการเดินทางข้ามน้ำข้ามทะเลมาหลายชั่วโมง
วันนี้เขาต้องการพักผ่อนให้เต็มที่เพื่อไม่ให้เสียงานในวันต่อไป หรือปล่อยเวลาทิ้งไปโดยเปล่าประโยชน์ ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาทำให้เรื่องงานเสียหายเป็นอันขาดเพราะมันไม่ได้ทำให้อะไรดีขึ้น...แต่จะกลับกลายเป็นแย่ลงเสียมากกว่า
รณพีร์ตื่นขึ้นมากลางดึกหลังจากที่นอนหลับไปเกือบเจ็ดชั่วโมง ณ เวลานี้เพิ่งจะสามทุ่มกว่า ๆ ครั้นจะข่มตาให้หลับลงอีกครั้งก็ทำไม่ได้จึงเดินตรงเข้าไปในห้องน้ำ ล้างหน้าจนรู้สึกสดชื่น เขาได้ยินเสียงข้อความดังขึ้นจึงกลับมาเปิดดู พบว่าไม่ใช่ใครที่ไหนหรอก กลุ่มเพื่อนของเขานั่นเองที่ส่งข้อความมาชวนให้ไปเที่ยวสังสรรค์กันตามประสา พวกมันคิดว่าเขาอยู่ต่างประเทศยังไม่กลับมา เพราะมัวแต่ทำงาน และพักใจจากเรื่องที่ทำให้เจ็บปวดก็เลยส่งข้อความมาก่อกวน
หลังจากที่ได้อ่านข้อความเสร็จแล้วเขาต่อสายหาเพื่อนทันที
“ฮัลโหล มึงอยู่ร้านไหนวะ” รณพีร์ถามเมื่อปลายสายกดรับ
“ร้านไอ้จิณณ์ มึงจะมาไหมวะไอ้สอง”
“เดี๋ยวกูไป ครึ่งชั่วโมงน่าจะถึง” ชายหนุ่มตอบกลับก่อนที่จะกดตัดสาย และออกจากบ้านเพื่อไปยังสถานบันเทิงของเพื่อนสนิททันที
ไม่นานรณพีร์ก็เข้ามาที่สถานบันเทิงเต็มไปด้วยนักท่องราตรีมากมายที่ออกมาหาความสุขชั่วครั้งชั่วคราว ทันทีที่ย่างกรายเข้ามาภายในร้าน พนักงานก็ตรงเข้ามาต้อนรับพร้อมกับถามไถ่ว่าต้องการอะไรหรือไม่
แต่ดูเหมือนว่าพนักงานคนนี้จะเป็นพนักงานใหม่ ก็เลยไม่รู้ว่าเขาเป็นเพื่อนสนิทกับจอมพลเจ้าของที่นี่
“มีเรื่องอะไรให้ช่วยไหมครับ” พนักงานประจำผับถามด้วยน้ำเสียงและท่าทีสุภาพ
“ฉันมาหาเพื่อน” ชายหนุ่มตอบตามตรงเพราะคิดว่าพนักงานที่นี่รู้จักเขาทุกคน
ระหว่างที่กำลังมองหาอยู่นั้น ผู้จัดการร้านเดินเข้ามาพอดีจึงเอ่ยถามขึ้น “มีเรื่องอะไรให้ช่วยหรือเปล่าครับ”
เอ่ยถามอย่างนอบน้อมก่อนจะเงยหน้าขึ้น พบว่าเป็นรณพีร์ที่หายหน้าไปนานจึงทักทายด้วยความดีใจ ก่อนจะบอกให้พนักงานออกไปทำงานของตนและเป็นฝ่ายให้บริการรณพีร์เอง
“สวัสดีครับคุณสอง”
ชายหนุ่มพยักหน้ารับก่อนจะตอบกลับไป “ฉันมาหาไอ้จิณณ์”
“งั้นเชิญทางนี้เลยครับคุณสอง” ว่าแล้วก็เดินนำหน้าคนตัวสูงและพาไปยังโต๊ะที่เหล่าเพื่อนสนิทของรณพีร์นั่งรออยู่
“มึงกลับไทยตั้งแต่เมื่อไรวะ” นทีถามด้วยความประหลาดใจเมื่อเพื่อนสนิทที่ไม่ได้เจอกันเป็นเวลาสามปีเดินเข้ามา
“วันนี้บ่าย ๆ” ชายหนุ่มตอบเสียงเรียบพร้อมกับทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาสีแดงตัดดำตัวนุ่ม
จากนั้นหันไปสั่งเครื่องดื่มกับพนักงานและดื่มพร้อมกันกับเพื่อน ๆ แน่นอนว่าเพื่อนสนิทที่ไม่ได้มานั่งกินเหล้าด้วยกันนานปีย่อมมีเรื่องมากมายที่ต้องพูดคุยสัพเพเหระกันไปเรื่อยเปื่อย
“มึงเห็นผู้หญิงที่ใส่เสื้อเชิ้ตสีขาวกางเกงยีนขายาวสีเข้มไหมวะ” พชรมองหญิงสาวคนนั้นพลางเอ่ยถามรณพีร์
“เห็น ทำไมวะ” ไม่ใช่แค่รณพีร์ที่ตอบ แต่เพื่อนทั้งสามคนพูดขึ้นพร้อมกันและหันมองไปในทางเดียวกัน
“เมียมึงหรือไงวะ” จอมพล หรือ จิณณ์พูดแซวก่อนจะพากันหัวเราะร่วน
“ไม่ใช่เว้ย” พชรปฏิเสธแล้วรีบแก้ตัว “พอดีมีคนรู้จักมาบอกกูว่าผู้หญิงที่ยืนอยู่ตรงนั้นน่ะ...เด็ดสุด!”
“จริง พนักงานกูก็บอกว่าพาผู้ชายกลับไปด้วยไม่เคยซ้ำหน้า”
จอมพลช่วยยืนยันด้วยน้ำเสียงจริงจัง เป็นจังหวะเดียวกับที่รณพีร์มองไปเห็นสาวสวยตัวเล็กที่แต่งตัวละม้ายคล้ายกับคนที่พชรบอกหันมาพอดี
“เดี๋ยวมึงบอกกูทีสิ ว่าผู้หญิงที่มึงว่าเนี่ยมันคนไหน แล้วดันแต่งตัวคล้ายกันสองคน”
“คนที่เป็นนางแบบน่ะ ส่วนอีกคนไม่รู้จักว่ะว่าเป็นใคร”
สายตาของรณพีร์มองไปยังผู้หญิงชุดสีขาวที่เดินเข้าไปหาใครบางคน เขาได้ยินชื่อเสียงเรียงนามของเธอแว่ว ๆ ว่า ‘ม่าน…’ อะไรสักอย่าง แต่ก็ไม่ได้สนใจต่อเพราะมันไม่ใช่นิสัยของเขาที่จะมายุ่งเรื่องของชาวบ้าน แล้วตั้งหน้าตั้งตาดื่มเหล้าจนหมดแก้ว
นทีมองหน้าเพื่อนสนิทก็พอจะเดาออกว่าเครียดเรื่องอะไรถึงดื่มเอาเป็นเอาตายขนาดนี้
“ไอ้สอง นี่มึงยังเสียใจอยู่ใช่ไหมวะ”
“กลับมาเจอเพื่อนทั้งที มึงจะให้กูนั่งดมกลิ่นเหล้าหรือไง”
“ไอ้เวรเอ๊ย! กูอุตส่าห์เป็นห่วง”
รณพีร์อมยิ้มบาง ๆ ไม่อยากทำให้เพื่อนเสียบรรยากาศ แล้วพากันดื่มหนักไปเรื่อย ๆ โดยไม่พูดถึงเรื่องของเขากับผู้หญิงทรยศคนนั้นอีก
รณพีร์ตื่นขึ้นมาในช่วงสายของอีกวันก็พบว่าภายในบ้านนั้นเงียบเชียบเหลือเกินทั้ง ๆ ที่วันนี้เป็นวันหยุด เขาสอดส่ายสายตามองหาสมาชิกในครอบครัวอีกครั้งก็ไม่พบใครจึงเอ่ยถามแม่บ้านที่เพิ่งจะกลับเข้ามา
“ป้าเจียมครับ เช้าจนป่านนี้แล้วทุกคนเขาหายไปไหนกันหมดครับ”
“คุณสองคะ ไม่เช้าแล้วนะคะ...จะบ่ายโมงแล้วค่ะ” นางรีบค้านให้คนหลงเวลารู้ตัวก่อนจะตอบคำถามที่ชายหนุ่มต้องการอยากรู้ “คุณนายกับคุณท่านออกไปทานอาหารร้านประจำค่ะ ส่วนคุณหนึ่งกับคุณมายด์ไปเที่ยวภูเก็ตสองสามวันค่ะ”
ชายหนุ่มนิ่งฟังคำตอบที่ได้รับก่อนจะนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ “ไอ้หนึ่งไปภูเก็ตกับคุณมายด์แล้วยัยตัวเล็กได้ไปด้วยกันหรือเปล่าครับ”
“น้องพายนอนกลางวันค่ะ อีกสักพักน่าจะตื่น ว่าแต่คุณสองจะรับอาหารกลางวันเลยไหมคะ” นางถามเพราะชายหนุ่มนั้นยังไม่ได้รับประทานอะไรตั้งแต่เช้า
“ครับป้าเจียม ทำอะไรก็ได้ครับง่าย ๆ อาหารจานเดียวก็ได้”
“งั้นป้าทำกะเพราทะเลกับไข่ดาวให้ทานนะคะ” ชายหนุ่มพยักหน้ารับพลางเดินไปนั่งรอที่โซฟาในห้องนั่งเล่น ทว่าได้ยินเสียงร้องเล็ก ๆ ของหลานสาวตัวน้อยดังขึ้นจึงเดินออกมาดู
“ย่าเจียมขา”
“เป็นอะไรคะน้องพาย” รณพีร์ถามหลานสาวที่ยืนถือตุ๊กตาอยู่ตรงบันไดบ้านขั้นสุดท้าย
“น้องพายหิวข้าวค่ะอาสอง” เสียงน้อย ๆ เอ่ยบอกความต้องการแบบไม่งอแง คนเป็นอาพยักหน้ารับแล้วย่อตัวลงมาอุ้มหลานสาวตัวน้อยเข้าไปในครัวด้วยกัน
“ป้าเจียมครับ ทำกับข้าวให้ตัวแสบอีกอย่างนะครับ”
“น้องพายอยากกินอะไรคะ” นางหันมาถามคุณหนูน้อยด้วยความเอ็นดู
“น้องพายอยากกินไข่เจียวค่า” เด็กน้อยตอบด้วยน้ำเสียงสดใสน่าเอ็นดู รณพีร์ลูบศีรษะหลานสาวเบาๆ
“งั้นไปรอกินไข่เจียวอร่อย ๆ ข้างนอกดีไหมคะ” คุณอาหนุ่มพูดกล่อมหลานสาวเสียงนุ่มก่อนจะพากันออกไปนั่งรอที่เดิม
ไม่นานอาหารที่ส่งกลิ่นหอมหวนก็เสร็จเรียบร้อยพร้อมรับประทาน...
“อร่อยจังเลยค่ะย่าเจียม”
“อร่อยก็ทานเยอะ ๆ นะคะ อย่ามัวแต่ดูทีวี”
สองอาหลานนั่งรับประทานข้าวด้วยกันสองคนที่ห้องนั่งเล่นแทนที่จะเป็นห้องอาหาร เพราะว่าหลานสาวตัวน้อยอยากจะดูการ์ตูนไปด้วย ซึ่งเขาก็ไม่ว่าอะไรแม้รู้ดีแก่ใจว่ามันไม่ดีต่อเด็ก เขาแค่ห้ามปรามเวลาที่หลานสาวตั้งใจดูมากเกินไปจนลืมกินข้าวเท่านั้น
“นังม่าน แกจะรีบไปไหน”เสียงขุ่นมัวดังขึ้น ใบหน้าสวยหวานจึงเงยขึ้นมามองคนตรงหน้า ไม่ใช่ใครที่ไหน วรรณา สมุทรธารา แม่เลี้ยงของเธอนั่นเอง“ไปทำงานค่ะน้าวรรณ” ม่านทิวาตอบกลับด้วยน้ำเสียงหวานละมุนก่อนจะเดินผละออกไป แต่ก็ต้องหยุดชะงักเมื่อวรรณาตวาดเรียกเธอเอาไว้อีกครั้ง“เดี๋ยว!”คนตัวเล็กชะงักเล็กน้อยก่อนที่จะพูดตอบคนตรงหน้า “มีอะไรอีกคะน้าวรรณ”“ก่อนที่แกจะออกไปเอาเงินมาให้ฉันก่อน ฉันจะเอาไปจ่ายค่าเช่าบ้านกับใช้หนี้ให้พ่อแก” นางว่าพร้อมกับแบมือขอต่อหน้าหญิงสาว“ม่านเพิ่งให้น้าวรรณกับวิไปเมื่ออาทิตย์ที่แล้วนี่คะ” ม่านทิวาสงสัยไม่น้อยกับการใช้จ่ายที่ดูจะฟุ่มเฟือยของแม่เลี้ยงที่ให้เท่าไรก็ไม่เคยพอ“มันก็ต้องกินต้องใช้ทุกวันไหมยะ” วรรณาตวาดว่าด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดหญิงสาวเปิดกระเป๋าสตางค์ใบเล็กหยิบเงินจำนวนหนึ่งยื่นให้นาง “ตอนนี้ม่านมีให้แค่นี้ค่ะ น้าวรรณช่วย…”ยังไม่ทันที่หญิงสาวจะเอ่ยจบประโยค เสียงเล็กแหลมก็ดังขึ้นขัดมาแต่ไกล ม่านทิวาหันกลับไปมองทางด้านหลังของตนก็พบกับ รวิดา สมุทรธารา ลูกสาวของวรรณาที่รีบลงบันไดตรงมาหาเธอด้วยใบหน้าบึ้งตึง“แล้วของฉันล่ะ”“วิเพิ่งขอไปเมื่อวาน หมดแล้วเหรอ”“แ
ม่านทิวากำลังเดินไปรอรถประจำทางเพื่อที่จะกลับบ้าน อยู่ ๆ ก็มีชายร่างสูงกำยำในชุดสีดำสองคนมายืนดักหน้าเธอเอาไว้ คนตัวเล็กสั่นสะท้านด้วยความกลัวว่าตนจะตกอยู่ในอันตราย“รีบไปไหน เมื่อไรมึงจะใช้หนี้ฮะ!” หนึ่งในสองคนนั้นจู่โจมถามน้ำเสียงกระชากม่านทิวาถึงกับนิ่วหน้าสงสัยว่าเธอนั้นไปติดหนี้พวกมันตั้งแต่เมื่อไร ถ้าเป็นหนี้สินของบิดาเธอจ่ายให้กับธนาคารจนจะหมดอยู่แล้ว แต่สิ่งที่ชายสองคนนี้พูดมามันคือหนี้ส่วนไหน“เงินอะไรของพวกคุณฉันไม่เข้าใจ ฉันไม่เคยติดหนี้ใคร!” ม่านทิวาตอบอย่างมั่นใจ สายตาจ้องมองมันอย่างระแวงระวังกลัวว่าตัวเองจะถูกทำร้าย“เงินห้าหมื่นที่แม่เธอติดเสี่ยอู๋เอาไว้ เมื่อไรจะคืน”“แม่เหรอ?” ม่านทิวาทวนคำพลางครุ่นคิดในใจ ‘น้าวรรณ!’ ต้องเป็นน้าวรรณแน่ ๆ ที่ก่อเรื่องให้เธอ พวกมันถึงได้เจาะจงมาทวงหนี้ที่เธอแบบนี้“ห้าหมื่นฉันไม่มีหรอก”“ถ้าไม่มี...” สายตาของมันทั้งสองกวาดมองร่างงามตั้งแต่หัวจรดปลายเท้า ทำให้หญิงสาวต้องรีบถอยหนีโดยสัญชาตญาณแต่ถูกคว้าตัวเอาไว้เสียก่อน “...ก็ต้องเอาอย่างอื่นไปใช้หนี้แทนเงิน”“ช่วยด้วย...ช่วยด้วยค่ะ ปล่อยฉันนะ!” หญิงสาวร้องตะโกนเสียงดังหวังว่าจะมีคนมาช่วย
ในหนึ่งวันของม่านทิวาหมดไปกับงานจนไม่มีเวลาหันมาสนใจเรื่องราวของวรรณากับรวิดาเลย เธอรู้เพียงแค่เรื่องเดียวคือหนี้สินที่น้าวรรณาภรรยาใหม่ของบิดาไปก่อเอาไว้หลังจากที่ท่านเสียไป นางติดเงินพนัน แต่ก็ไม่รู้ไปหยิบยืมเอามาจากใครบ้าง เท่าที่ได้ยินกับหูก็มีเสี่ยอู๋อะไรนั่นแหละคนหนึ่ง คนที่ส่งลูกน้องสองคนมาดักทวงหนี้ห้าหมื่นบาทกับเธอนั่นแล้วถ้าคนของเสี่ยอู๋ย้อนกลับมาทวงหนี้ที่เธออีกล่ะ เธอจะเอาเงินที่ไหนมาคืนให้พวกมันตั้งห้าหมื่น!พอสองแม่ลูกออกจากบ้านไปแล้ว คนตัวเล็กก็ออกจากบ้านไปจ่ายตลาด เกือบสองชั่วโมงที่หญิงสาวอยู่นอกบ้านเพราะจับจ่ายซื้อของใช้เข้าบ้านยังไม่ครบ ระหว่างที่เลือกซื้อของอยู่นั้นเธอมีลางสังหรณ์แปลก ๆ แวบเข้ามาในใจเหมือนกับว่าที่บ้านกำลังมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้น หญิงสาวจึงตัดสินใจกลับจากตลาดทั้ง ๆ ที่ยังซื้อของไม่ครบม่านทิวาแทบจะเป็นลมเมื่อเดินเข้ามาถึงทางเข้าหน้าบ้าน เพราะประตูบ้านที่ล็อกเอาไว้อย่างแน่นหนาถูกงัดออก อีกทั้งยังได้ยินเสียงดังโครมครามมาจากด้านใน แต่ผู้หญิงตัวคนเดียวจะเข้าไปในบ้านโดยที่ไม่รู้ว่าข้างในนั้นเป็นใครมีอาวุธปืนหรือไม่ได้หรือ เธอจึงมองหาสิ่งของเอาไว้ป้องกันตั
นับจากวันที่รณพีร์กลับจากต่างประเทศโดยไม่บอกคนในครอบครัวให้รับรู้ล่วงหน้าแม้แต่คนเดียว บ่อยครั้งที่ชายหนุ่มมักจะได้ยินคำถามจากบิดาและมารดาอยู่เสมอว่าเมื่อไรเขาจะแต่งงานเป็นฝั่งเป็นฝาเหมือนพี่ชายคนโตเสียที เพราะตอนนี้รณวีร์มีครอบครัวที่อบอุ่นพร้อมหน้าพร้อมตา พ่อ แม่ ลูกไปแล้ว นั่นคงเป็นเพราะว่าเขาถูกอดีตคนรักทำร้ายจึงไม่ยอมเปิดใจรับใครเข้ามาในชีวิตอีกตลอดเวลาที่ผ่านมามารดามักจะต่อว่าเขาที่ชอบควงผู้หญิงไม่ซ้ำหน้า ถ้าหากนางเห็นหรือได้ยินคนอื่นพูดเรื่องที่เขาควงผู้หญิงไม่ซ้ำหน้าอีกละก็ นางจะหาผู้หญิงที่เหมาะสมมาแต่งงานกับเขาให้รู้แล้วรู้รอดแต่สมัยนี้มันหมดยุคจับคลุมถุงชนไปแล้ว ปีนี้ก็ศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ดเข้าไปแล้วมารดายังคิดจะทำอะไรไม่เข้าท่าแบบนี้อยู่ได้“เฮ้อ!”เสียงถอนหายใจหนักหน่วงของรณพีร์ดังขึ้น เมื่อเห็นว่ามารดากำลังเดินเข้ามาภายในบ้านด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม นางดูเบิกบานราวกับว่ามีเรื่องดี ๆ ทำให้เป็นสุขใจ แต่ถ้าหากเป็นเรื่องดี ๆ ของมารดาก็โปรดจงรู้เอาไว้ว่ามันต้องเป็นเรื่องหายนะสำหรับเขาแน่นอน“อะไรกันตาสอง เห็นหน้าแม่แล้วทำไมต้องถอนหายใจแรง ๆ แบบนั้นด้วย” นางว่าด้วยท่าทีไม่สบอารมณ์
เวลาบ่ายคล้อยรณพีร์กลับลงมาอีกครั้งพร้อมกับกระเป๋าเดินทางใบย่อม เดินตรงไปยังรถยนต์ส่วนตัวโดยไม่สนใจคนในบ้านแม้แต่น้อย แต่ยังไม่ทันก้าวข้ามธรณีประตูก็ต้องชะงัก เมื่อบิดาที่กำลังนั่งดูข่าวอยู่ในห้องนั่งเล่นส่งเสียงเรียกรั้งไว้ ชายหนุ่มจึงต้องหยุดแล้วเดินกลับมาหาบิดา“ครับพ่อ”“จะไปไหน?” คนเป็นพ่อเอ่ยถามพลางลดสายตามองดูกระเป๋าเดินทางที่อยู่ในมือบุตรชายคนเล็กด้วยความสงสัย“ไปรีสอร์ตของไอ้หนึ่งที่กระบี่ครับคุณพ่อ” ร่างสูงตอบไปตามความจริงดังที่ตั้งใจจะไป เหตุผลที่จะไปก็เพื่อหลบหลีกการไปดูตัวตามที่มารดาต้องการ“ผมไปนะครับ” สายตาคมกริบของรณพีร์มองผ่านไปยังด้านหลังของบิดา เขาเห็นมารดาเดินออกมาจากในครัวจึงรีบขอตัวออกไปทันที“เดี๋ยวเจ้าสอง ก่อนไปเอาซองเอกสารนี่ติดมือไปด้วย แม่แกเตรียมเอาไว้ให้น่ะ” พูดจบก็ยื่นซองเอกสารสีน้ำตาลให้บุตรชายคนเล็ก“อะไรครับพ่อ” ชายหนุ่มรับซองเอกสารจากบิดามาพลิกดูกลับไปกลับมาก่อนเอ่ยถามอย่างงุนงงสงสัย“เอาไปเถอะน่า เปิดดูก็รู้เอง” คุณอนันต์บอกบุตรชายเพียงอ้อม ๆ กลัวว่ารู้ความจริงแล้วจะไม่ยอมเอาไปด้วย“ถ้างั้นผมไปนะครับ” เอ่ยลาแล้วรีบออกจากบ้านไปด้วยความรวดเร็ว ไม่สนใจเ
สายตาคมกริบปะทะเข้ากับร่างเล็กบอบบางในชุดเสื้อยืดสีขาวกางเกงขาสั้น รวบผมไว้กลางศีรษะที่กำลังยุ่งวุ่นวายกับการจัดเตรียมงานบางอย่าง มือเล็กเรียวกำลังจัดของ ริมฝีปากบางกระจับพลางขยับโต้ตอบกับเพื่อนอย่างสนุกสนาน พลันสายตาของเขาสะดุดเข้ากับรอยยิ้มหวาน ท่าทางน่ารักสดใส แต่เหตุใดดวงตาสวยหวานคู่นั้นถึงแฝงไปด้วยความโศกเศร้า ราวกับว่าเธอกำลังมีเรื่องทุกข์ใจเหลือแสนที่ไม่สามารถบอกกับใครได้ชายหนุ่มสะบัดศีรษะแรง ๆ ขับไล่เรื่องไร้สาระของคนที่ไม่รู้จักออกจากสมองให้หมด ผละออกมาจากระเบียงเข้าไปจัดการอาบน้ำอาบท่า ออกมาสั่งอาหารเช้ารับประทานระหว่างรอลูกน้องคนสนิทเอางานลงมาให้ที่กระบี่ ถึงแม้ว่าจะมาพักผ่อน แต่คนอย่างรณพีร์ก็ขาดงานไม่ได้แม้แต่นาทีเดียว เพราะเขาไม่ชอบเอาเรื่องส่วนตัวมาปะปนกับเรื่องงานจนทำให้เกิดความเสียหายกับบริษัทหลายนาทีต่อมาเสียงของเหล่าสาว ๆ ยังคงวุ่นวายและดังไม่หยุด ในบางครั้งก็ออกความเห็น บางครั้งก็ทะเลาะกันเป็นครั้งคราวไป ร่างสูงของรณพีร์เดินออกมายังระเบียงห้องพักอีกครั้งพร้อมกับถ้วยกาแฟหอมกรุ่นรสชาติโปรดปราน จิบไปพลางชื่นชมบรรยากาศท้องทะเล สายลมและแสงแดดตรงหน้าไปเรื่อย ๆ บางครั้ง
ตอนนี้วรรณาและรวิดาขาดการติดต่อไปเลย นับตั้งแต่พากันออกจากบ้านไปคราวก่อน เธอเองก็ไม่รู้ว่าสองคนนั้นพากันไปอยู่ที่ไหนถึงติดต่อไม่ได้ แต่ก็คงใช้ชีวิตกินหรูอยู่สบายตามประสาคนหัวสูง อยากได้อยากมีเกินฐานะของตนจนใช้ชีวิตธรรมดาสามัญอย่างคนอื่นเขาไม่เป็น การที่ม่านทิวาต้องคอยหาเงินทำงานหนักเพื่อเอามาจุนเจือครอบครัวไม่ขาด ก็เพราะว่าสองคนแม่ลูกไม่ยอมทำมาหากินช่วยเธอเลย วัน ๆ เอาแต่เข้าบ่อนเล่นการพนัน กู้หนี้ยืมสินเพื่อที่จะเอาเงินมาต่อทุนเดิมพันในการเล่นครั้งต่อไปส่วนรวิดาลูกสาวของนางวรรณานั้นชอบเที่ยวกลางคืนเป็นชีวิตจิตใจและไม่ค่อยกลับบ้านอยู่บ่อยครั้ง และถ้าหากว่าเธอจำไม่ผิดละก็...เจ้าหล่อนเลิกรากับแฟนหนุ่มที่เคยคบหาดูใจกันตอนที่เรียนอยู่ต่างประเทศหลังจากกลับประเทศไทยเพราะต้องห่างกัน แล้วหันมาคบกับคนใหม่ที่คอยสนับสนุนเรื่องค่าใช้จ่ายซื้อของแบรนด์เนมราคาแพงให้ใช้อยู่เสมอ แต่เธอเองก็ไม่เคยรู้จักหรือแม้แต่จะเคยเห็นหน้าค่าตาผู้ชายทั้งสองคนมาก่อนว่าเป็นใครมาจากไหน เพราะทุกวันของเธอนั้นทำแต่งานตั้งแต่เช้าจรดค่ำไม่มีเวลามาสนใจคนรอบข้าง ทว่าสิ่งที่เธอรู้คร่าว ๆ ก็มาจากปากของแม่เลี้ยงและลูกสาวของนางน
ร่างสูงโปร่งของรณพีร์ออกมายืนยืดเส้นยืดสายให้คลายความเมื่อยขบจากการนั่งทำงานอยู่ในห้องเป็นเวลานาน ชายหนุ่มเดินมาหยุดที่บริเวณริมระเบียงห้องนอนใกล้ทะเล สายตาคู่คมทอดมองไปยังท้องทะเลสีครามยาวสุดลูกหูลูกตาพร้อมกับฟังเสียงคลื่นลมซัดสาดเข้ากับชายหาดเมื่อฟังเสียงคลื่นลมจากท้องทะเลจนรู้สึกผ่อนคลาย ชายหนุ่มเบนสายตาจากท้องทะเลไปยังลานจัดกิจกรรมยามค่ำคืนที่ตกแต่งอย่างเรียบง่ายและสวยงาม เสียงเพลงดังต่อเนื่องมาร่วมชั่วโมงเห็นจะได้ มันไม่ได้ทำให้เขานั้นรู้สึกความรำคาญแม้แต่น้อย กลับกันเขารู้สึกสนุกสนานเมื่อเห็นผู้คนกำลังปาร์ตีกันอย่างคึกคัก ท่ามกลางรอยยิ้มและเสียงหัวเราะของคนในงานนับสิบคนหนึ่งในนั้นมีหญิงสาวที่เขาได้ช่วยเหลือเอาไว้เมื่อช่วงเย็นจากการโดนโจรวิ่งราวกระเป๋า รอยยิ้มของเธอนั้นไม่เหมือนคนที่พึ่งผ่านเหตุการณ์ร้าย ๆ มาแม้แต่น้อย กิริยาท่าทางของหญิงสาวที่เขาไม่รู้แม้แต่ชื่อเสียงเรียงนามของเธอตกอยู่ในสายตาคู่คมของรณพีร์ครู่หนึ่ง ก่อนที่ชายหนุ่มจะเดินกลับเข้าไปภายในห้องและออกมาอีกครั้งพร้อมกับแล็ปท็อป โทรศัพท์มือถือ เตรียมที่จะนั่งทำงานอีกครั้งพร้อมกับดูผู้คนที่กำลังสนุกกับงานปาร์ตีไปด้วยใ
หลังจากที่ร่างสูงของเจ้าของห้องออกไป หนูน้อยพาลิกาเปิดกระเป๋าใบน้อยสีชมพูน่ารักที่รณวีร์ซื้อให้ หยิบสมุดภาพระบายสีพร้อมทั้งกล่องสีขึ้นมาระบายเล่น มิหนำซ้ำหนูน้อยยังเรียกม่านทิวามาช่วยกันระบายสีอีกแรง"อาม่านขา...มาระบายสีกันค่ะ" ว่าจบก็ฉีกยิ้มแฉ่งจนเห็นฟันซี่น้อยๆ เรียงเป็นระเบียบคนที่ถูกเรียกยิ้มให้กับความน่าเอ็นดูของหลานสาวของสามี ก่อนลุกจากที่นั่งของตนมาหาหนูน้อยที่นั่งกับพื้นพรหมสีเทาฝั่งตรงข้าม"ไหนคะ มาให้อาม่านดูหน่อยสิว่าระบายสีอะไร" หญิงสาวถามหลานตัวน้อยเสียงอ่อนเสียงหวาน"คุณครูบอกว่าการบ้านคะ" ตัวเล็กเงยหน้ามองคุณอาสะใภ้คนสวย"ถ้าการบ้านน้องพายต้องทำเองนะคะ ไม่ให้คนอื่นช่วยนะคะ ต้องทำเองจะได้เก่งขึ้นไง" บอกเสียงอ่อนเสียงหวานพลางลูบศีรษะทุยเบา ๆ ก่อนถามประโยคต่อมา "น้องพายอยากเป็นคนเก่งไหมคะ""น้องพายอยากเป็นคนเก่งค่า""ถ้าอยากเป็นคนเก่งก็ต้องทำเอง ถ้าทำไม่ได้ให้ถามอาม่านนะคะ"หนูน้อยพยักหน้ารับและลงมือทำแบบฝึกหัดที่อยู่ตรงหน้า อันไหนหนูน้อยทำไม่ได้ก็หันไปถามคุณอาสะใภ้คนสวยจนกระทั่งทำเสร็จด้วยตัวเองในเวลาไม่นาน ร่างน
“แต่ท่านรองเคยสั่งเอาไว้ อย่าให้คู่ควงพวกนี้เข้ามาก่อกวนในที่ทำงานนี่คะ”"ผู้หญิงคนนี้คือเมียฉัน"สิ้นเสียงเข้มทรงอำนาจทำเอาหลายคนตกใจ ไม่คิดว่าผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้าจะเป็นภรรยาของรองประธานบริษัท แต่คนที่ตกใจยิ่งกว่าก็คือผู้ช่วยเลขานุการปากแดงที่หน้าซีดกับความผิดครั้งใหญ่“นะ...นี่ภรรยาของท่านรองจริง ๆ เหรอคะ” สุ้มเสียงของผู้ช่วยเลขานุการอึกอักคล้ายมีอะไรติดคอ“อือ”คำตอบรับเพียงสั้น ๆ ทำเอาเสียวสันหลังไม่น้อย จึงต้องรีบขอโทษขอโพยผู้หญิงที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นภรรยาของเจ้านายทันที“เลอเน่กราบขอโทษนะคะที่พูดจาไม่ดีกับคุณ”“ไม่เป็นไรค่ะ ก็คุณไม่รู้นี่คะ”ม่านทิวาไม่ได้ถือสาอะไรกับคนที่ไม่รู้ แต่รณพีร์หันไปแนะนำม่านทิวาให้กับทุกคนรู้จักและสั่งการกับพนักงานทุกคน รวมถึงผู้ช่วยเลขานุการที่เพิ่งเข้ามาทำงานได้ไม่นานที่ประจำการอยู่หน้าห้องด้วย“ทุกคน...ฉันจะแนะนำให้รู้จัก ผู้หญิงคนนี้ชื่อม่านทิวาเป็นภรรยาของฉัน กับน้องพายลูกสาวของคุณรณวีร์พี่ชายของฉัน ต่อไปนี้ถ้าคุณม่านมาให้เข้าไปรอในห้องได้ไม่ต้องรอให้ฉันอนุญาต”พนักงานต่างสว
"น้องพายดูทีวีนานเกินไปแล้วนะคะ ปิดก่อนเนอะเดี๋ยวค่อยดูใหม่" ม่านทิวาเกลี้ยกล่อมด้วยความเอ็นดูระคนหวังดี"ได้ค่า" หนูน้อยเอ่ยตอบอย่างว่าง่ายก่อนหันไปหาคุณปู่ที่นั่งอยู่ข้าง ๆ"คุณปู่ขา น้องพายอยากไปหาอาสอง น้องพายคิดถึงอาสอง" หลานสาวตัวน้อยหันไปอ้อนคุณปู่เสียงหวานใส"อาสองทำงาน ไปกวนไม่ได้นะลูก"คนเป็นปู่ให้เหตุผล แต่คุณย่านั้นเดินกลับมาพร้อมกล่องอาหารที่ถูกจัดเตรียมเอาไว้"งั้นก็ให้หนูม่านพาน้องพายไปสิ จะได้เอาข้าวกล่องไปให้ลูกเราด้วย ตอนนี้ลูกทำงานหนักจนลืมกินข้าวอยู่บ่อย ๆ น้องพายไปหาอาสองกับอาม่านนะคะ" นางบอกสามีก่อนหันไปคุยกับหลานสาวเสียงอ่อนละมุน"เย่ ๆ ไปหาอาสอง" หนูน้อยน่ารักกระโดดโลดเต้นออกมาอย่างดีใจ"หนูม่านเอาข้าวไปให้พี่เขาที่บริษัททีนะลูก" คุณนายสรวงสุดาบอกกับลูกสะใภ้คนสวย"แต่ว่าม่านจะไปรบกวน..." หญิงสาวกำลังเอ่ยค้านแต่ก็ถูกพูดดักเอาไว้เสียก่อน"ไม่มีแต่นะลูก เราเป็นภรรยาต้องดูแลสามีให้ดี เอาข้าวกลางวันไปให้แค่นี้ไม่ถือว่ารบกวนหรอกจ้ะ""ค่ะคุณแม่" เมื่อแม่สามีเห็นว่าดีเธอก็ไม่อาจคัดค้าน"งั้น
ร่างสูงของเจ้าของบริษัทนำเข้ารถบิ๊กไบค์รายใหญ่ ยืนมองวิวทิวทัศน์ของคอนโดมิเนียมราคาถูกที่ทัศนวิสัยไม่ได้ดีมากมายเท่าที่ตนอยู่ มือหนาค่อย ๆ ติดกระดุมเสื้อเชิ้ตแขนยาวสีเข้มพลางมองคนที่เพิ่งตื่นจากนิทรา พยายามพยุงกายลุกขึ้นนั่งพร้อมทั้งกระชับผ้าห่มสีชมพูอ่อนให้ปิดบังกายเปลือยเปล่าเอาไว้"คุณนที!" เสียงหวานเอ่ยเรียกเสียงแผ่วผ่านริมฝีปาก"ตื่นแล้วเหรอ" ชายหนุ่มหันมาถามเสียงเข้ม“ค่ะ”ร่างสูงของนทีเดินอ้อมไปอีกฝั่งแล้วคว้ากระเป๋าสตางค์ใบหรูขึ้นมา หยิบธนบัตรสีเทาจำนวนหนึ่งโยนลงบนเตียงของหญิงสาว"อะไรคะ" หญิงสาวถามอย่างไม่เข้าใจ"เงินของเธอ" นทีพูดเสียงเรียบแล้วเอ่ยประโยคต่อมา "ค่าตัวเธอที่นอนกับฉันเมื่อคืนไงธาริกา""บอกแล้วไงคะว่าฉันไม่ใช่ผู้หญิงขายตัว" ธาริกาตวาดว่าเสียงสั่นอย่างไม่พอใจ"หึ! เธอก็ไม่ต่างอะไรจากผู้หญิงพวกนั้นหรอก" พูดอย่างเหยียดหยามผู้หญิงตรงหน้าธาริกาพอได้ฟังคำพูดของเขาซึ่งเป็นเจ้านายของเธอ มือเรียวก็กำเข้ากับผ้าห่มแน่นเพื่อระบายความเจ็บปวดที่เธอได้รับตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา"อ้อ! อย่าแม้แต่จะคิดลาออกล่
q"ค่ะ แต่ว่าม่านอยู่เฉยไม่ได้หรอกค่ะ ม่านจะไปหางานที่ใหม่ทำ...หรือไม่ก็ไปทำงานกับเพื่อนค่ะ" คนที่ไม่เคยหยุดนิ่งในการทำงานต้องมาอยู่เฉย ๆ ในบ้านหลังใหญ่ แถมจะหยิบจับทำอะไรหน่อยก็ถูกห้ามไปหมดไม่ได้หรอก"หยุดความคิดไว้แค่นั้นเลย อยู่บ้านเลี้ยงหลานเฉย ๆ หรือไม่ก็รอเลี้ยงลูกของเรา"สิ้นเสียงของรณพีร์ทำเอาม่านทิวาสะดุ้งไม่น้อย เมื่อฝ่ามือใหญ่ยกมาวางทาบกับหน้าท้องแบนราบของตน"ว่าแต่มาหรือยังน้า" ชายหนุ่มเอ่ยถามเสียงอ่อนละมุน ทำเอาคนเป็นพี่ชายต้องเอ่ยแซวในความหวานที่ไม่เคยเห็นมาก่อน"โอ๊ย! จะหวานอะไรเกรงใจกันบ้างสิวะ" รณวีร์โวยขึ้น"นั่นสิคะพี่สอง ไม่ได้อยู่กันสองคนนะคะ" มธุรินเอ่ยเสริมหลังสิ้นประโยคของสามี"นั่นสิ ลูกชายแม่เป็นอะไรนะ พักนี้ดูรักหนูม่านแปลก ๆ""แปลกตรงไหนครับ คนเรามันต้องเปลี่ยนแปลงกันได้จริงไหม" รณพีร์เฉไฉตอบมารดาก่อนหันไปถามคนภรรยา ซึ่งหญิงสาวก็พยักหน้ารับอย่างว่าง่าย"ดีแล้ว เป็นครอบครัวเดียวกันต้องรักกัน อย่าทะเลาะกัน มีอะไรก็ให้คุยกันด้วยเหตุผลอย่าใช้อารมณ์เข้าใจไหม ตาหนึ่งกับหนูมายด์ด้วยนะ""ครับ”
คำตอบสั้น ๆ ทำให้ชายหนุ่มพ่นลมหายใจออกมาหนักๆ มือหนาเชยคางมนของม่านทิวาให้เงยหน้าขึ้นมามองกัน"ต่อไปนี้เรียกฉันว่าคุณสอง...หรือพี่สองก็ได้ ไอ้สิ่งที่ฉันพูดไปเมื่อคืนก็อย่าไปใส่ใจมัน เข้าใจไหม?"น้ำเสียงของรณพีร์อ่อนลง แต่ทว่ายังคงแฝงความนัยลึกซึ้งชวนค้นหากับสายตาคู่คมแสนเย็นชากำลังคิดอะไรอยู่ ทำเอาม่านทิวาส่ายหน้าด้วยความไม่เข้าใจอีกครั้ง"ฉันไม่กล้าเรียกหรอกค่ะ ฉันกลัวคุณจะโกรธแล้วพาลโมโหใส่เหมือนเมื่อคืน" เสียงหวานตอบอย่างแผ่วเบา เธอกลัวมาก ๆ เวลาเขาโกรธแล้วใส่อารมณ์กับเธอ"ถ้าเธอไม่เรียกสิฉันจะโมโห" น้ำเสียงของเขาอ่อนลง แอบแฝงความนัยบางอย่างในคำพูดที่ดูเหมือนไม่ค่อยจะจริงจังนัก"แต่ว่า..." หญิงสาวกำลังจะเอ่ยค้านแต่ก็ถูกชายหนุ่มชิงพูดไปเสียก่อน "ไม่มีแต่ ไหนลองเรียกสิ...จะเรียกคุณสองหรือพี่สองก็ได้""เอ่อ...ค่ะคุณสอง" ชั่งใจอยู่ครู่หนึ่งว่าจะเรียกหรือไม่เรียกดี สุดท้ายก็เอ่ยออกไปทำเอาคนที่รอฟังยกยิ้มมุมปากบาง ๆ ด้วยความพอใจ"เก่งมากเด็กดีของฉัน เรามาเริ่มต้นใช้ชีวิตคู่ฉันสามีภรรยาเหมือนคู่อื่น ๆ กันจะได้ไหม ลืมทุกสิ่งทุกอย่างที่ฉันเ
คนเป็นน้องไหวไหล่กวน ๆ ก่อนตอบกลับ..."ปกติเขาก็ตื่นสายอยู่แล้ว" รณพีร์รีบโยนความผิดให้ม่านทิวาหน้าซื่อ ๆ"กูว่าไม่นะ เมียกูบอกว่าม่านไม่เคยตื่นสาย แถมตื่นก่อนคนอื่นในบ้านมาเตรียมอาหารเช้าอีกต่างหาก แต่พอมึงกลับมาอยู่บ้านม่านตื่นสายประจำ ไปทำงานก็สายด้วย กูว่าต้นเหตุมันมาจากมึงแน่ ๆ" คนเป็นพี่พูดยืนยันพลางจับสังเกตที่สีหน้าของน้องชาย"ถ้าต้นเหตุมันมาจากกู มันก็ไม่แปลกไหมวะ ในเมื่อเขาเป็นเมียกู ผัวเมียกันจะเอากันเมื่อไรก็ได้ หรือว่ามึงไม่เอาเมียเลย""เออ กูรู้ว่าผัวเมียจะเอากันเมื่อไรก็ได้ แต่มึงเอาถี่ไปไหม ปล่อยให้เมียมึงพักบ้างเดี๋ยวก็โทรมกันพอดี ระวังแม่จะไม่ปลื้มที่ไปทำลูกสะใภ้สุดที่รักเขาไม่สบาย" รณวีร์เตือนน้องชายด้วยความหวังดี"แล้วไง ก็เมียกูไหมล่ะ กูจะถนอมหรือไม่…มันขึ้นอยู่กับกูเว้ย"รณพีร์ตอบแบบเอาแต่ใจสุด ๆ ทำเอาคนเป็นพี่ชายยกยิ้มมุมปากแล้วเดินเข้ามาใกล้น้องชายเพื่อกล่าวล้อ"ใครวะ...ที่บอกว่าจะไม่สนใจคนที่แม่หามาให้ แต่ไหงตอนนี้เรียกเขาว่าเมียเต็มปาก กลืนน้ำลายตัวเองนี่หว่า" เสียงเย้าหยอกของพี่ชายแทงใจดำคนเป็นน้องเข้าอย่างจ
นับว่าเป็นวันแรกที่ต้องกลายเป็นคนตกงานไปโดยปริยายของม่านทิวา อันที่จริงวันนี้เธอต้องเข้าไปที่ทำงานเพื่อเอาของใช้ส่วนตัวเล็ก ๆ น้อย ๆ กลับมา แต่อย่างที่รู้ว่ารณพีร์ได้เอาของทุกอย่างออกมาให้เธอตั้งแต่เมื่อวานแล้ว มิหนำซ้ำอดีตเจ้านายยังให้ฝ่ายบุคคลโทร.มาแจ้งเธออีกครั้งว่า ‘เหลือเวลาอีกหนึ่งวันไม่ต้องกลับเข้ามาทำงาน เพราะเป็นคำขอจากรณพีร์’ นี่เขาจะยุ่งเรื่องของเธอมากเกินไปแล้วนะเขายุ่งเรื่องของเธอได้ แต่เธอห้ามยุ่งหรือก้าวก่ายเรื่องของเขาอย่างนั้นน่ะหรือ?คนตัวเล็กที่เพิ่งตกงานไม่รู้ว่าจะทำอะไรดีรีบเดินเข้าครัว หมายจะช่วยเหล่าแม่บ้านจัดเตรียมอาหารเช้าให้ทุกคนในบ้านรับประทาน เพราะเวลานี้เธอนั้นพยายามปรับเวลาให้ตื่นเช้าขึ้นถึงแม้ว่าจะนอนดึกมากก็ตาม"คุณมายด์ ป้าเจียม มีอะไรให้ม่านช่วยไหมคะ" เสียงหวานนุ่มละมุนเหมือนทุกครั้งที่เอ่ยทักถาม แต่ทว่าวันนี้มีความอ่อนเพลียแทรกติดปลายเสียงมาด้วย"ไม่มีเลยค่ะคุณม่าน อีกนิดเดียวก็เสร็จเรียบร้อยแล้ว" แม่บ้านใหญ่เอ่ยบอกทั้ง ๆ ที่มือยังคอยคนหม้อต้มยำ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมามองหน้าเจ้านายสาวที่ท่าทางอ่อนเพลียไม่
ทันทีที่ถึงบ้านในช่วงบ่ายแก่ ๆ คนในบ้านตกใจไม่น้อยที่สองสามีภรรยาที่ดูท่าจะไม่ลงรอยกันกลับบ้านพร้อมกัน มิหนำซ้ำยังเดินจับมือกันเข้ามาภายในบ้านเสียด้วย"กลับบ้านเร็วจังวะไอ้สอง" รณวีร์ทักทายน้องชายที่เดินเข้าบ้านพร้อมกับม่านทิวา"ประชุมเสร็จก็กลับบ้านสิ...แปลกตรงไหนวะ" คนเป็นน้องย้อนตอบกวน ๆ"ถามมาได้ว่าแปลกตรงไหน มึงแปลกทุกตรงอะ แล้วยิ่งตอนนี้มึงยิ่งแปลกหนักเข้าไปใหญ่" คนเป็นพี่ชายตั้งข้อสงสัยกับคนเป็นน้องพลางเหล่มองร่างเล็กของน้องสะใภ้ที่ยืนอยู่ข้าง ๆ"คุณม่าน วันนี้ไม่ไปทำงานหรือคะ" มธุรินเอ่ยถามม่านทิวาด้วยความสงสัยเพราะวันนี้เป็นวันทำงานของหญิงสาวไม่ใช่หรือ"เอ่อ…ค่ะ พอดีม่านตื่นสายไปหน่อยเลยไม่ได้ไปทำงานน่ะค่ะ" หญิงสาวตอบกลับด้วยน้ำเสียงแหย ๆ ไม่กล้าบอกว่าตัวต้นเหตุคือคนที่ยืนอยู่ทางด้านหลังเธอ"ตื่นสายนั่นคือเหตุผลหนึ่งครับ แต่จริง ๆ มันมีหลายเหตุผลที่ทำให้ตื่นสาย"คำตอบของเขาทำเอาม่านทิวาถลึงตาหน้าบึ้งตึงใส่ทันที คนเป็นพี่ชายเห็นแล้วต้องรีบเดินเข้ามากระซิบข้างหูรณพีร์"เบาได้เบานะเว้ย เมียมึงยิ่งตัวเล็ก ๆ อยู่"คน