/ รักโบราณ / เสียงพิณในม่านหิมะ / บทที่ 4 ความจริงของเสียงพิณในอดีต

공유

บทที่ 4 ความจริงของเสียงพิณในอดีต

작가: Bosskerr
last update 최신 업데이트: 2025-08-07 23:49:05

สะพานกลางหิมะ เป็นสะพานไม้เก่าคร่ำที่ทอดข้ามลำธารแข็งตัวแห่งหนึ่ง ซึ่งตั้งอยู่กึ่งกลางระหว่างหมู่บ้านอวิ๋นหลิงกับแนวป่าทางเหนือ ว่ากันว่าในอดีตสะพานนี้เคยเป็นทางผ่านของขบวนเกวียนหลวง แต่ภายหลังเมื่อเส้นทางเปลี่ยน เส้นสะพานก็ถูกทอดทิ้งให้หิมะถมทับจนเหลือเพียงไม้ผุ ๆ กับราวจับที่ปกคลุมด้วยน้ำแข็งใสวาว แต่ยามนี้มันกลับดูเหมือนสถานที่ต้องมนตร์

ลู่จิ่นซานยืนอยู่ปลายสะพานอีกฝั่งหนึ่ง หิมะยังคงร่วงเบา ๆ สลับกับเสียงน้ำแข็งแตกร้าวเบา ๆ ใต้ฝ่าเท้า

เขารอ...

และนางก็มาตามสัญญา...

อวี้หลานในชุดขาวยืนอยู่อีกฝั่งหนึ่งของสะพาน เงียบงัน ไม่พูด ไม่ขยับ ไม่มีพิณในมือ แต่กลับคล้ายมีกลิ่นของเสียงพิณลอยคลุ้งรอบร่างนาง

วันนี้ นางไม่ได้ปิดหน้าอีก หากแต่หน้าของนางก็ยังเลือนรางเช่นเดิม ราวกับสวรรค์ยังไม่อนุญาตให้เขาจำ

ลู่จิ่นซานเป็นฝ่ายก้าวขึ้นสะพานก่อน ฝีเท้าแต่ละก้าวช้าและมั่นคง หิมะดังกรอบแกรบใต้รองเท้าหนัง

“ข้ามาแล้ว” เขาเอ่ย

“ข้ารู้” นางตอบเรียบ ๆ “เจ้าคือผู้เดียวที่มาเสมอ ไม่ว่าจะเป็นภพใด”

“ข้าหมายถึงครั้งนี้” จิ่นซานเอ่ยเบา “ในภพนี้ ข้าก็มา”

นางเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะถาม “เหตุใดจึงดื้อดึง?”

“เพราะข้าไม่อยากให้เจ้าต้องแบกพันธะไว้เพียงลำพังอย่างเดียวดาย”

เขาตอบโดยไม่ลังเล นางหลุบตาลง ม่านตาของนางคล้ายสั่นไหว

“ข้าเคยดึงเจ้าลงมาจากมรรคาแล้วครั้งหนึ่ง ในชาติภพก่อน” นางเอ่ย “ครั้งนี้ ข้าไม่ต้องการให้เจ้าทำเพื่อตอบแทนใด ๆ อีก”

ลู่จิ่นซานหัวเราะในลำคอเบา ๆ เสียงนั้นเจือเศร้า

“เจ้าคิดว่าข้ากลับมาเพียงเพื่อชดใช้หรือ?”

“มิใช่หรืออย่างไร?”

“ข้ากลับมา เพราะเสียงของเจ้าเรียกข้า”

คำตอบนั้นทำให้ลมหิมะเหมือนหยุดพัดไปชั่วขณะ อวี้หลานเงยหน้าขึ้นช้า ๆ ดวงตาของนางปรากฏความปวดร้าวลึกซึ้ง

“เจ้าไม่ควรได้ยินมันเลย ไม่ควรแม้แต่จะรอดจากคืนแรก”

“แต่ข้าก็รอดมาแล้ว” เขาตอบ “และข้าก็ยังยืนอยู่ตรงหน้าเจ้า”

หญิงสาวไม่อาจโต้แย้งได้ ลู่จิ่นซานก้าวเข้าไปใกล้ ระยะห่างระหว่างสองร่างหดเหลือเพียงไม่ถึงสามก้าว เขาเอ่ยเสียงเบา

“เจ้ายังมีพิณหรือไม่?”

“ข้าไม่มีพิณอีกแล้ว”

“เพราะเหตุใด?”

นางหลุบตาลง “เพราะหากดีดต่ออีกแม้แต่เสียงเดียว ข้าจะหายไปจากโลกนี้ตลอดกาล”

จิ่นซานนิ่งไป “นั่นคือราคาของบทเพลงเช่นนั้นหรือ?”

“มิใช่” อวี้หลานสั่นศีรษะ “แต่คือราคาของคำสาป”

นางเงยหน้าขึ้น สายตานั้นทอดลึกราวบาดทะลุเข้าไปในหัวใจเขา

“ในชาติภพก่อน ข้าคือผู้ดีดพิณเรียกวิญญาณ ข้ากล่อมทหารนับหมื่นให้นอนตายอย่างสงบ ข้าสะกดอารมณ์ของแม่ทัพ และข้าฆ่าองค์ฮ่องเต้ด้วยเสียงที่ข้ามี”

ลู่จิ่นซานเบิกตากว้างเล็กน้อย

“และผู้ที่ให้ข้าแต่งบทเพลงนั้น...ก็คือเจ้า”

คำพูดนั้นปักลงกลางอกเขา ลึกเสียจนสั่นไปทั้งร่าง เขาหลับตาลง ภาพบางอย่างแล่นแวบเข้ามา

ภาพสนามรบ เปลวเพลิง เสียงร้องของเหล่าทหาร หญิงสาวในชุดสีขาว และเขาที่กำลังจรดปากกาขีดถ้อยคำสุดท้ายลงบนแผ่นโน้ตไม้ไผ่

“เพราะข้า?” เขาถามเสียงแผ่ว

นางพยักหน้าช้า ๆ “ข้าไม่เคยมีดาบ ข้าไม่มีอำนาจ ข้ามีเพียงเสียง”

“แต่เสียงนั้นคือดาบ...ดาบที่เจ้าวางไว้ในมือข้า”

หิมะยังคงโปรยปราย ท้องฟ้าเหนือสะพานไม่มีดวงตะวัน ไม่มีจันทร์ มีเพียงหมอกบางที่ล้อมรอบสองร่างไว้ราวโลกทั้งใบหลงเหลือเพียงที่นี่ ลู่จิ่นซานเงยหน้าขึ้น

“ข้าอยากฟังอีกครั้ง บทเพลงนั้น”

อวี้หลานเบือนหน้าออกไป “หากข้าดีด เจ้าจะจำ”

“ข้าอยากจำ”

“เจ้าจะไม่อาจหวนคืนได้อีก”

“ข้าก็ไม่คิดจะหวนคืน”

หญิงสาวนิ่งไปนาน ก่อนจะเอ่ยเพียงเบา ๆ

“บทเพลงนี้ เจ้าต้องเล่นด้วยตัวเอง”

แล้วนางก็ยื่นกล่องพิณที่เคยหายไป วางลงตรงหน้าเขากล่องพิณวางอยู่ตรงหน้าลู่จิ่นซาน ไม้ดำเงานั้นเปียกด้วยหิมะบางเบา ทว่ายามที่เขามอง กลับเหมือนกล่องนั้นแผ่ความอบอุ่นบางอย่างออกมา ราวกับสิ่งที่อยู่ภายใน คือเศษเสี้ยวของจิตใจเขาเอง

อวี้หลานไม่พูดสิ่งใดอีก นางเพียงยืนอยู่เงียบ ๆ ใต้สะพานที่ลมหิมะพัดโบกชายเสื้อของนางให้พลิ้วเบา มือบางนั้นยังวางแนบกับลำตัว ใบหน้าของนางยังไม่ชัดเจน แต่ดวงตากลับเศร้าอย่างจับใจ จิ่นซานหยิบกล่องขึ้นมาเบา ๆ สัมผัสของมันเย็นเฉียบ ไม้เรียบสนิทแต่กลับรู้สึกว่ามีลมหายใจ เขาเอ่ยเสียงแผ่ว

“เจ้าต้องการให้ข้าเล่นมันจริง ๆ หรือ?”

“ข้าไม่สามารถเล่นได้อีก” นางกล่าว “แต่หากเป็นเจ้า...เจ้าจะรู้ว่าควรหยุดตรงที่ใด”

“แล้วหากข้าหยุดไม่ได้เล่า?”

“เจ้าก็จะตายอีกครั้ง”

คำตอบนั้นออกจากปากของนางด้วยน้ำเสียงเรียบสงบ ราวกับพูดถึงเรื่องธรรมดาเช่นหิมะจะตกอีกในวันพรุ่งนี้ ลู่จิ่นซานนิ่งงัน มือของเขาแน่นิ่งบนฝากล่องพิณ

หากเปิด...อาจต้องพบความจริงที่เจ็บปวด

หากไม่เปิด...เสียงในหัวจะไม่หยุดร้องเรียกเขาเลย

ในที่สุด เขาก็กล่าวช้า ๆ “ข้าจะนำมันกลับไปด้วย แต่ข้าจะยังไม่เปิด”

“จงรีบรู้ ก่อนที่เสียงนั้นจะกลืนกินเจ้าทั้งตัว” อวี้หลานเอ่ยเบา ๆ

“แล้วเจ้าเล่า เจ้าจะอยู่ที่ใด?”

นางเงียบไปชั่วอึดใจ “หากเจ้าฟังเสียงในพิณออก เจ้าจะได้พบข้าอีกครั้ง โดยที่ไม่ต้องตามหา”

แล้วร่างของอวี้หลานก็ค่อย ๆ เลือนหายไปกับม่านหมอกที่หนาทึบขึ้นอย่างไร้ที่มา เงาของนางกลืนเข้ากับหิมะ ดั่งไม่เคยมีอยู่จริง ลู่จิ่นซานยืนนิ่งอยู่ตรงสะพานอีกครู่ใหญ่ เขาก้มมองกล่องพิณในมือ ก่อนจะกล่าวเบา ๆ

“เช่นนั้น ข้าจะรอฟังเสียงนั้นด้วยตัวข้าเอง”

เมื่อเขากลับถึงโรงเตี๊ยม ด้านนอกก็เริ่มมืดอีกคราท้องฟ้าในคืนที่สองของหิมะยังขาวโพลน แต่ไร้เสียง ไม่มีลมแรง ไม่มีการเคลื่อนไหว ราวกับโลกทั้งใบกำลังเงี่ยหูฟังบางสิ่งอยู่เงียบ ๆ

เขาวางกล่องพิณลงบนโต๊ะ ห่มผ้าแน่น ล้มตัวลงนอน แต่วินาทีที่เปลือกตาหลับลง เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นในหัว

“สายหนึ่ง...ลืม”

“สายสอง...จำ”

“สายสาม...โทษ”

“สายสี่...ยอม”

“สายห้า...สิ้น”

“สายหก...รัก”

“สายเจ็ด...ตาย”

เสียงกระซิบแผ่วจากหญิงสาวดังขึ้นในความฝัน ราวกับเสียงสะกดใจของภูติหิมะ

และเมื่อลู่จิ่นซานลืมตาขึ้นอีกครั้งในยามรุ่งสาง สายพิณเส้นหนึ่ง ก็ปรากฏขึ้นบนกล่องไม้ที่ควรจะปิดสนิท...

이 책을 계속 무료로 읽어보세요.
QR 코드를 스캔하여 앱을 다운로드하세요

최신 챕터

  • เสียงพิณในม่านหิมะ   ตอนพิเศษ 3 เด็กสาวกับพิณสายสุดท้าย

    กาลเวลาผันผ่าน โลกหมุนเวียนสู่ยุคใหม่ กลิ่นหอมของดอกเหมยยังไม่จาง แต่ผู้คนมิรู้จักตำนานเดิมอีกต่อไปบนเส้นทางสายหิมะที่ไร้ชื่ออยู่บนแผนที่มีเด็กสาวผู้หนึ่งแบกกล่องพิณเก่าเดินต้านลม นางมิใช่นักเดินทาง มิใช่นักดนตรี แต่เป็นเพียงเด็กสาวจากหมู่บ้านตีนเขาที่ฝันซ้ำแล้วซ้ำเล่าถึงหญิงชุดขาวกับชายผู้เงียบงันเขานั่งอยู่ใต้ต้นไม้ในหิมะที่ไม่ละลาย และหญิงผู้นั้นดีดเพลงทั้งที่ไม่มีพิณอยู่ในมือนางตื่นทุกเช้าแล้วจดโน้ตเพลงจากในฝันลงบนกระดาษเก่า ใครก็ว่าเป็นความเพ้อฝัน เป็นเด็กสาวเพี้ยน ๆ ที่พูดคนเดียวกับหิมะ แต่ในใจนางรู้ดีว่าเสียงเหล่านั้นไม่ใช่ความฝันธรรมดาในวันหนึ่ง หิมะเริ่มตกช้า ๆ เด็กสาวจึงตัดสินใจ เดินขึ้นเขาตามเสียงในหัวใจ กล่องพิณในมือเป็นกล่องที่เก่าเก็บมาตั้งแต่รุ่นยาย ไม่มีใครรู้ที่มา ไม่มีใครรู้ว่าทำไมในกล่องถึงมีพิณที่ขาดไปหนึ่งสายนางปีนขึ้นเขา ฝ่าหิมะและพายุด้วยแรงใจจากเพลงที่ไม่มีผู้ใดสอน เมื่อถึงยอดเขามีเพียงเงาไม้หนึ่งต้น และร่างเงียบงันของชายชรา เขานั่งหลับตา มือวางบนตัก หิมะเกาะบนไหล่ของเขาแต่ใบหน้ากลับสงบ ราวกับรอฟังบางสิ่ง“ท่านรอฟังข้าใช่หรือไม่” เด็กสาวเอ่ยแผ่วเบาเงียบ..

  • เสียงพิณในม่านหิมะ   ตอนพิเศษ 2 คำสัญญาใต้ต้นเหมย

    หากจะย้อนกลับไปยังจุดเริ่มของพันธะกรรมทั้งปวงเราต้องก้าวข้ามกาลเวลา และเดินทางย้อนเข้าสู่ชาติภพแรกในยุคสมัยที่ดินแดนยังไม่มีชื่อ แม่น้ำยังไม่มีสะพานภูเขายังไม่ถูกสลักชื่อโดยนักปราชญ์ มีหมู่บ้านเล็กแห่งหนึ่งกลางหุบเขาเหมยซึ่งทุกต้นไม้ผลิดอกตลอดปีแม้ฤดูเหมันต์จะเข้ามาเยือนหมู่บ้านนั้นเรียบง่าย อบอุ่น และไม่มีสงคราม ผู้คนต่างใช้ชีวิตตามจังหวะของฟ้า และในหมู่บ้านนั้น มีหญิงสาวคนหนึ่งซึ่งสามารถทำให้ดอกเหมยร่วงเพียงแค่ดีดพิณหนึ่งสาย“นางคือเทพธิดาแห่งเสียงพิณ” ผู้เฒ่าเล่าขาน“หรืออาจเป็นเพียงหญิงสาวธรรมดาที่ฟ้าส่งมาเพื่อปลอบใจมนุษย์”นางมีชื่อว่า “หลานเอ๋อร์” ชื่อที่เรียบง่ายเหมือนน้ำใสไหลผ่านก้อนหิน นางเติบโตมากับเสียงสายลมและพิณไม้เก่า นางมิได้ร่ำเรียนวิชาใดจากผู้ใดหากแต่สามารถสร้างท่วงทำนองจากเสียงหัวใจตนเองทุกเย็นหลังเสร็จจากงานในไร่นา นางจะนั่งใต้ต้นเหมยต้นใหญ่กลางหมู่บ้าน ดีดเพลงเพียงเบา ๆ ผู้คนฟังแล้วใจสงบ เด็กน้อยหลับสบาย และชายคนหนึ่งกลับมาตรงเวลาในทุกวันเพื่อฟังเสียงนั้นชายผู้นั้นชื่อ “จิ่นซาน” เขาไม่ใช่ชาวบ้านแต่เป็นนักเดินทางผู้หลงทางจากแดนไกลครั้งแรกที่พบหลานเอ๋อร์ เขาเปรอ

  • เสียงพิณในม่านหิมะ   ตอนพิเศษ 1 หิมะสุดท้ายในดินแดนไร้ชื่อ

    บนโลกนี้มีดินแดนหนึ่งไม่มีผู้ใดบันทึกในแผนที่ ไม่มีชื่อในราชโองการ ไม่มีผู้ใดรู้ว่าเคยมีอยู่จริงดินแดนนั้น อยู่เหนือปลายเขาสูงซึ่งหิมะตกตลอดทั้งปี ไม่มีฤดูใบไม้ผลิ ไม่มีร้อน ไม่มีฝน มีเพียงเกล็ดขาวโปรยปราย ราวม่านบางที่ซ่อนโลกทั้งใบไว้เบื้องหลังว่ากันว่า หากใครเดินลึกเข้าไปจนถึงใจกลางหุบหิมะจะได้ยินเสียงหนึ่ง เสียงที่ไม่ใช่ลม ไม่ใช่น้ำตก หากแต่คือเสียงพิณที่ไม่มีสาย เสียงดั่งถ้อยคำของผู้จากไป เสียงของแม่นางคนหนึ่ง แม่นางผู้ที่ไม่มีนามสกุล ไม่มีบ้านเกิด ไม่มีบรรพบุรุษ ไม่มีอนาคต มีเพียงชื่อหนึ่งซึ่งเหลืออยู่แต่ในตำนาน“อวี้หลาน...”ในยามที่โลกยังไม่ลืมนาง อวี้หลานเคยเป็นหญิงสาวจากสำนักดนตรีหลวง ผู้มีมือขวาที่สามารถแต่งเพลง และมือซ้ายที่ดีดพิณได้โดยไม่ต้องมองสาย“แม้มิได้กล่าวคำใด ข้าก็สามารถดีดหัวใจของผู้ฟังให้สั่นสะท้านได้” นางเคยกล่าวไว้แก่ศิษย์ร่วมสำนักอวี้หลานมิใช่นางสนม มิใช่นักรบ มิใช่นักพรต แต่นางคือเสียงในสนามรบ คือเสียงกล่อมทหารผู้ที่จะสละชีพคือเสียงสุดท้ายของวีรบุรุษที่ถูกลืมนางรับราชโองการจากฮ่องเต้ให้ไปยังชายแดนทางใต้เพื่อดีดเพลงสงบจิตให้เหล่าทหารได้หลับตาอย่างไร้ความหว

  • เสียงพิณในม่านหิมะ   บทที่ 23 ท่วงทำนองที่ไม่มีจุดจบ

    ห้องเล็ก ๆ ชั้นสองของโรงเตี๊ยมเงียบสงัด แสงโคมตะเกียงวูบไหวราวกับเต้นตามจังหวะลมหายใจของคืนหนาว เด็กสาวนั่งลงตรงข้ามชายชรา วางกล่องพิณเก่าไว้เบื้องหน้าไม้เก่าลอกลาย รอยลวดลายบางส่วนเลือนรางแต่ความรู้สึกกลับชัดเจนยิ่งกว่าสิ่งใด“ท่านเคยอยู่ในวังหลวงหรือไม่”นางถามเสียงเบาดวงตาจับจ้องผู้สูงวัยตรงหน้าผู้มีแววตาราวกับผ่านหลายภพชาติชายชราพยักหน้า น้ำเสียงเอื้อนเอ่ยราวกับบรรเลงผ่านกาลเวลา“ข้าเคยเป็นขุนนางของหอดนตรีฝ่ายพิณ รับใช้ในรัชสมัยก่อน จวบจนค่ำคืนที่โลกทั้งใบเปลี่ยนไป”เด็กสาวเงียบฟังโดยไม่ขัด เมื่อได้ยินคำว่า ค่ำคืนที่โลกเปลี่ยนไป เสียงพิณในหัวใจก็ดังขึ้นอีกวูบคล้ายทำนองที่ถูกกลืนหายไปเริ่มกลับคืน“วันนั้น…” ชายชรากล่าว “ฮ่องเต้รับสั่งให้หญิงนางหนึ่งเข้าไปบรรเลงในท้องพระโรง นางผู้นั้นผิวซีด ดวงตาเรียบสงบ ราวกับมิใช่คนในโลกนี้”เขาหลับตามองย้อนในห้วงเวลา เสียงสายพิณไร้นามยังคงฝังใจเขาแม้ผ่านกว่าครึ่งศตวรรษ“เสียงพิณของนางไม่ใช่เพื่อความรื่นรมย์ แต่คือบทอำลา นางดีดเพียงหกสาย ก่อนหยุดลงโดยไม่กล่าวสิ่งใด”เด็กสาวเผลอยกมือแตะกล่องพิณ ความหนาวเย็นลอดผ่านไม้แต่ใจกลับอุ่นขึ้นแปลกประหลาด“ห

  • เสียงพิณในม่านหิมะ   บทที่ 22 เด็กสาวกับกล่องพิณเก่าเก็บ

    เมืองเล็ก ๆ ริมชายแดน ยามเช้าของฤดูใบไม้ผลิอบอุ่นกว่าที่เคย ทว่าท้องฟ้ากลับยังคงโรยด้วยหมอกบาง ราวกับหิมะที่ยังหลงเหลือในความทรงจำของแผ่นดินเสียงระฆังในวัดเก่าดังขึ้นสามครั้ง นักเดินทางผู้หนึ่งปรากฏตัวที่เชิงเขา นางคือเด็กสาววัยสิบห้าปี ผิวขาวซีดจากการเดินทางไกล นัยน์ตาเศร้าเจือความเฉยชา ในอ้อมแขนของนางคือกล่องพิณเก่าเก็บคร่ำคร่า ไม้แห้งแตกตามอายุของมัน แต่หัวใจของกล่องพิณนั้นยังสั่นไหว“ท่านตาเคยบอกข้าว่า กล่องนี้ไม่ใช่ของข้า แต่เสียงของมันอยู่ในตัวข้ามาตลอด”ไม่มีใครรู้ว่านางชื่ออะไรและไม่มีใครถาม เพราะในเมืองนี้เสียงพิณเคยเป็นเรื่องต้องห้ามนางเดินไปยังลานกว้างหน้าศาลเจ้าร้าง กวาดตาผ่านคนเฒ่าคนแก่ที่มุงดูเงียบ ๆ แล้วค่อย ๆ วางกล่องพิณลงบนแท่นหิน“ข้าอยากลองเล่น แม้มันจะไม่มีสาย แต่ข้าอยากรู้ว่า ข้าเคยได้ยินมันจากที่ใด”มือเรียวบางไล้ผ่านกล่องไม้ นิ้วทั้งสิบวางลงบนร่องเดิมของสายพิณที่ไม่หลงเหลือ ไม่มีเสียงใดเปล่งออก แต่นางหลับตาและเงียบ กระทั่งลมแรกของเช้า พัดปลายผมของนางให้ลอยไหว ใบหน้าขาวซีดนั้นสงบเยือกเย็นเหมือนคนที่ฟังเสียงจากอดีตอันไกลโพ้น“เจ้าได้ยินหรือไม่?”ชายชราคนหนึ่งถาม

  • เสียงพิณในม่านหิมะ   บทที่ 21 ความเงียบของพิณที่ไม่มีสาย

    ฤดูเปลี่ยนผ่านอีกครา ต้นเหมยยังผลิบานทุกปี พิณเก่ายังคงวางอยู่ ณ ที่เดิม แต่มือที่เคยดีดมันไม่มีอีกแล้วไม่มีผู้ใดเห็นลู่จิ่นซานอีกเลย ไม่มีร่าง ไม่มีเสียง ไม่มีแม้กระทั่งร่องรอยว่าเขาเคยจากไปอย่างไรหรือไปที่ใด ผู้คนบางกลุ่มเชื่อว่าเขาสิ้นใจใต้ต้นเหมยในวันนั้น บางคนบอกว่าร่างเขากลายเป็นลมที่พัดผ่านสายพิณ แต่ก็ไม่มีใครกล้ายืนยันสิ่งใดได้กระท่อมหลังเล็กในหุบเขาตะวันตกมีชายชราไร้นามอาศัยอยู่เงียบ ๆ เขาไม่พูด ไม่หัวเราะ ไม่เล่นพิณ แต่ทุกวันเขาจะนั่งอยู่หน้าประตูมองไปยังผืนฟ้าราวกับกำลังฟังเสียงบางอย่าง“ท่านปู่ ข้าดีดเพลงนี้ได้ไหมเจ้าคะ?”เด็กน้อยคนหนึ่งยื่นพิณมาให้ ชายชราเพียงยิ้มและเอื้อมมือไล้ผ่านสายอย่างนุ่มนวลโดยไม่ดีดเสียงใด แม่ไม่มีเสียงเกิดขึ้นแต่เด็กน้อยกลับนิ่งงันและน้ำตาก็ไหลลงมาช้า ๆ อย่างไม่รู้สาเหตุ“ข้ารู้สึกเหมือนมีใครสักคนกำลังพูดกับข้า…”พิณนั้นไม่มีสาย แต่มือเขายังจำท่วงทำนองได้ แม้เขาจะเป็นใบ้ แม้เสียงมิได้เปล่งออกมาด้วยถ้อยคำ แต่ภายในความเงียบนั้นกลับดังก้องกว่าเสียงใดในโลกในคืนเดือนมืดเด็กน้อยผู้นั้นกลับมาที่กระท่อมอีกครั้ง ในมือมีเพียงกล่องพิณเก่าที่ไม่มีสายใดเหลื

더보기
좋은 소설을 무료로 찾아 읽어보세요
GoodNovel 앱에서 수많은 인기 소설을 무료로 즐기세요! 마음에 드는 책을 다운로드하고, 언제 어디서나 편하게 읽을 수 있습니다
앱에서 책을 무료로 읽어보세요
앱에서 읽으려면 QR 코드를 스캔하세요.
DMCA.com Protection Status