รุ่งสางของวันที่สาม หิมะยังไม่หยุดตก และดูจะไม่มีวี่แววว่าจะหยุดในเร็ววัน
ท้องฟ้าเหนือหมู่บ้านอวิ๋นหลิงปกคลุมด้วยม่านหมอกสีขาวอมเทา ราวกับสวรรค์เบื้องบนกำลังปิดฉากเวทีให้เสียงหนึ่งได้ดังก้องขึ้น เสียงที่ไม่ใช่จากธรรมชาติ หากเป็นเสียงแห่งความทรงจำ
ลู่จิ่นซานนั่งนิ่งอยู่ข้างหน้าต่าง กล่องพิณไม้ดำยังวางอยู่ตรงหน้า สายพิณเส้นแรก ปรากฏขึ้นแล้ว ไม่มีใครแตะ ไม่มีใครเปิดกล่องนั้น แต่มันกลับผุดขึ้นมาอย่างเงียบงัน คล้ายถูก “เรียกคืน” ด้วยเสียงบางอย่างในใจ
“สายหนึ่ง…ลืม”
เขาได้ยินคำนี้อีกครั้ง แม้ไม่มีเสียงใดพูด จิ่นซานยื่นมือออกไป ปลายนิ้วเกือบจะแตะสายพิณเส้นนั้น แต่แล้วกลับชะงักกะทันหัน กล่องพิณนี้มีบางอย่างอยู่ในนั้นที่ไม่ใช่เพียงเครื่องดนตรี
เขาลุกขึ้น หยิบกล่องนั้นเข้าห่อผ้าอย่างแน่นหนา แล้วเดินออกจากโรงเตี๊ยมมุ่งตรงไปยังสถานที่เดียวที่พอจะให้คำตอบแก่เขาได้
ที่นั่นก็คือหอจารึกหมอกจันทร์...
หอจารึกหมอกจันทร์ตั้งอยู่ท้ายหมู่บ้าน เป็นเรือนไม้สามชั้นหลังใหญ่ที่ถูกสร้างตั้งแต่สมัยราชวงศ์ก่อน ไม่มีใครรู้แน่ชัดว่าใครคือผู้ก่อตั้ง
บ้างว่าเป็นนักพรตผู้เร้นลับ บ้างว่าเป็นบัณฑิตสำนักหลวงที่ลี้ภัยมาอยู่ ณ ดินแดนห่างไกลนี้ แต่ที่แน่ ๆ คือภายในหอหลังนี้รวบรวมคัมภีร์ ตำรา และบันทึกเก่ามากมาย โดยเฉพาะสิ่งที่ราชสำนักไม่ต้องการให้หลงเหลือ
ลู่จิ่นซานเคยมาที่นี่เมื่อปีกลาย ด้วยความใคร่รู้ในประวัติศาสตร์ท้องถิ่น แต่วันนี้เขามาเพื่อค้นหาความจริงที่พัวพันกับวิญญาณและความตาย เสียงกระดิ่งไม้ดังขึ้นเบา ๆ เมื่อเขาเปิดประตู
กลิ่นกระดาษเก่าและธูปจาง ๆ ลอยมาปะทะจมูก กลางห้องมีเพียงชายชราร่างผอมหลังโก่งนั่งอยู่ข้างเตาไฟ มือข้างหนึ่งค่อย ๆ พลิกหน้ากระดาษ ส่วนอีกมือยังกุมพู่กันไว้
“คุณชายลู่ ข้ามิคิดว่าจะได้พบเจ้าที่นี่ในเช้าหิมะแรก” ชายชราเอ่ยเสียงพร่า โดยไม่ต้องเงยหน้าขึ้น
“อาจารย์ซ่ง” ลู่จิ่นซานยกมือลา “ข้ามีเรื่องหนึ่ง ข้าต้องการรู้ความจริง”
“ความจริงล้วนต้องจ่ายด้วยราคาหนึ่งเสมอ เจ้ายอมจ่ายหรือไม่?”
“หากไม่รู้ ข้าจะสูญเสียมากกว่า” เขาตอบทันควัน
ชายชราหัวเราะเบา ๆ ก่อนจะวางพู่กันลง แล้วเงยหน้าขึ้นช้า ๆ ดวงตาคู่นั้นแม้ขุ่นมัวด้วยวัย แต่ลึกซึ้งดั่งอ่านความลับของคนได้ตั้งแต่ยังไม่เอ่ย
“ว่ามาเถิด เจ้าอยากรู้อันใด?”
ลู่จิ่นซานไม่อ้อมค้อม เขาวางกล่องพิณห่อผ้าเบื้องหน้า แล้วกล่าวชัดถ้อย
“ตำนานเพลงพิณต้องห้าม เป็นของจริงหรือ?”
บรรยากาศในหอจารึกเย็นลงในพริบตา แม้ไม่มีลมพัด ชายชราเงียบไปนาน นานเสียจนจิ่นซานเกือบจะถามซ้ำ ก่อนที่เขาจะถอนหายใจ และเอ่ยเพียงคำเดียว
“จริง”
เสียงคำตอบนั้นเหมือนปลดโซ่บางอย่างออกจากหัวใจของจิ่นซาน และในขณะเดียวกันก็ราวกับใส่ตรวนเส้นใหม่ลงแทน
“เพลงนั้นชื่อว่า หิมะนิรันดร์” อาจารย์ซ่งเริ่มเล่า
“เป็นท่วงทำนองที่เขียนขึ้นในสมัยแคว้นจิ่ง ตรงกับรัชศกเทียนเหอปีที่ 9 ว่ากันว่าเป็นเพลงที่ใช้ปลุกวิญญาณทหารให้ไม่ระส่ำกลางสนามรบ”
“ผู้แต่งเป็นขุนนางหนุ่มคนหนึ่งที่มีชื่อเสียงเรื่องบทกวีและกลยุทธ์ แต่ไม่เคยเผยนามจริงไว้ในจารึก”
“เขาแต่งเพลงนี้ให้สตรีคนหนึ่ง นักพิณจากภูเขาหิมะซึ่งมีเสียงสะกดวิญญาณ”
“นางเล่นเพลงนี้หน้ากองทัพครั้งสุดท้ายก่อนแคว้นจิ่งล่มสลาย หลังจากนั้น ไม่มีใครเห็นนางอีกเลย”
ลู่จิ่นซานฟังแล้วหัวใจเต้นแรง เขาเอ่ยถามเบา ๆ
“ขุนนางผู้นั้น ใช่ข้าหรือไม่?”
ชายชราไม่ตอบในทันที หากแต่มองกล่องพิณที่วางอยู่บนโต๊ะ ก่อนจะเอื้อมมือไปเปิดผ้าห่อออก เมื่อเห็นสายพิณเส้นเดียวบนกล่อง สายเดียวที่โผล่ขึ้นอย่างไร้คำอธิบาย ดวงตาของเขาหรี่ลง
“เช่นนั้น มันเริ่มแล้วจริง ๆ” เขากล่าวเสียงแผ่ว
“ท่านหมายความว่าอย่างไร?” ลู่จิ่นซานขมวดคิ้ว
อาจารย์ซ่งเงียบไปอึดใจ ก่อนจะเอ่ยด้วยเสียงหนักแน่น
“สายพิณทั้งเจ็ดคือประตูแห่งความจำ หากเจ้าดีดแต่ละสาย เจ้าจะระลึกชาติภพเก่าทีละน้อย”
“แต่เมื่อถึงสายสุดท้าย หากเจ้าดีดมัน เจ้าจะต้องเลือก...”
“เลือกงั้นหรือ?”
“เลือกระหว่างให้นางคงอยู่ หรือลบชื่อของนางจากทุกภพชาติไปตลอดกาล”
เสียงพิณในหัวลู่จิ่นซานพลันดังขึ้นโดยไม่มีผู้ใดดีด ลู่จิ่นซานนั่งนิ่ง รู้สึกราวกับเลือดในกายหยุดไหลชั่วขณะ
“เลือกระหว่างให้นางคงอยู่ หรือให้ลบนางจากทุกภพชาติ”
คำพูดนั้นยังดังก้องซ้ำไปมาอยู่ในหัว คล้ายเสียงของสายพิณเส้นหนึ่งที่ไม่ยอมหยุดสะท้อนกลับ
“เหตุใดจึงต้องเลือกระหว่างความจำกับการสูญเสีย?” เขาถามเสียงแผ่ว
“หากเป็นเช่นนั้น ข้าจะต้องสูญเสียทั้งนางและตัวข้าเองใช่หรือไม่?”
อาจารย์ซ่งมองเขา แววตาเต็มไปด้วยความเข้าใจ
“มีหลายเรื่องในโลกนี้ ที่เมื่อเจ้ารู้แล้ว เจ้ามิอาจเป็นคนเดิมได้อีกต่อไป”
กล่องพิณยังวางนิ่งอยู่บนโต๊ะ ไม้ดำเงาเยือกเย็นราวหิมะจับตัว ด้านข้างกล่องเริ่มปรากฏรอยบาง ๆ ที่คล้ายเส้นสายพิณอีกหนึ่งเส้น กำลังก่อตัวขึ้นช้า ๆ
ลู่จิ่นซานยื่นมือไปแตะปลายนิ้วลงบนนั้น สัมผัสได้ถึงแรงสั่นสะเทือนบางอย่างที่มิใช่จากโลกนี้
“สายสอง…จำ”
ทันทีที่เสียงกระซิบดังขึ้นในหัว ทุกอย่างรอบกายพลันเลือนรางลง และในวินาทีถัดมา เขาก็ยืนอยู่บนระเบียงไม้สูง เสียงลมรบกวนม่านผ้าขาวสะบัดพลิ้ว ด้านหน้าเขาคือลานกว้างของค่ายทหาร เปื้อนเลือดและธงรบปลิวไสวกลางพายุ
เบื้องล่างมีทหารนับพันล้มตายเรียงราย แต่ตรงกลางลานกลับมีร่างหนึ่งนั่งนิ่งในท่าขัดสมาธิ มือของนางวางลงบนพิณไม้ดำ ยามที่นางดีด สายพิณสะท้อนแสงเงินเหมือนคมมีดเสียงนั้นก้องไปทั้งค่ายรบ ทหารศัตรูที่ย่างก้าวเข้ามา หยุดชะงักทีละคน ทีละกลุ่ม แล้วทรุดร่างลงโดยไร้รอยแผล
พวกเขา ตายด้วยเสียง...
บนระเบียง ลู่จิ่นซานในชุดเกราะเต็มยศกำลังเฝ้ามองอย่างเงียบ ๆ ริมฝีปากเอ่ยกับขุนนางข้างกายอย่างเย็นชา
“อย่าให้ใครเข้าไปหยุดนาง เพลงนี้ยังไม่จบ”
ขุนนางผู้นั้นหน้าซีดสลด “แต่นาง...นางใช้พลังชีวิตบรรเลงเพลงนี้ ขืนปล่อยให้เล่นจนจบ นางจะ...”
“ก็ให้จบเสีย” ลู่จิ่นซานในความทรงจำกล่าวเสียงเรียบ “ให้สงครามนี้จบลงด้วยเสียงของนาง”
ฉับพลัน ภาพนั้นก็สลายไป จิ่นซานสะดุ้งตื่นในหอจารึกอีกครั้ง หยาดเหงื่อเย็นชื้นไหลผ่านขมับ แม้อากาศหนาวยะเยือก มือที่แตะสายพิณเมื่อครู่ยังคงสั่นเล็กน้อย เขาหันมองอาจารย์ซ่งที่เฝ้ามองเขาเงียบ ๆ
“เจ้าเริ่มจำได้แล้วใช่หรือไม่?” ชายชราเอ่ยเสียงแผ่ว
“ใช่” ลู่จิ่นซานตอบ “ข้าเคยเป็นแม่ทัพ และข้าเคยสั่งให้นางดีดเพลงต้องห้ามเพื่อสังหารศัตรู”
“แต่นางก็ต้องแลกมันด้วยชีวิต”
“มิใช่แค่ชีวิต” จิ่นซานกัดฟัน “หากแต่ด้วยความเป็นมนุษย์”
หิมะนอกหอจารึกยังคงตกไม่หยุด กล่องพิณยังวางนิ่ง แต่สายพิณเส้นที่สองส่องแสงจาง ๆ เหมือนมีไฟในตัวเอง ความทรงจำไม่ได้ปลอบโยน แต่เปิดบาดแผลลึกในใจ
เมื่อเดินออกจากหอจารึก ลู่จิ่นซานเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าดวงตาของเขาไม่เหมือนเมื่อเช้าอีกต่อไป ในนั้นมีภาพของอวี้หลานไม่ใช่นางในม่านหิมะ หากแต่เป็นนางในวันนั้น นางที่เขาเคยสั่งให้ฆ่าตัวตนของตนเองเพื่อเขียนบทจบให้สงคราม และนางที่กลับมาพบเขาอีกครั้งในภพนี้...
กาลเวลาผันผ่าน โลกหมุนเวียนสู่ยุคใหม่ กลิ่นหอมของดอกเหมยยังไม่จาง แต่ผู้คนมิรู้จักตำนานเดิมอีกต่อไปบนเส้นทางสายหิมะที่ไร้ชื่ออยู่บนแผนที่มีเด็กสาวผู้หนึ่งแบกกล่องพิณเก่าเดินต้านลม นางมิใช่นักเดินทาง มิใช่นักดนตรี แต่เป็นเพียงเด็กสาวจากหมู่บ้านตีนเขาที่ฝันซ้ำแล้วซ้ำเล่าถึงหญิงชุดขาวกับชายผู้เงียบงันเขานั่งอยู่ใต้ต้นไม้ในหิมะที่ไม่ละลาย และหญิงผู้นั้นดีดเพลงทั้งที่ไม่มีพิณอยู่ในมือนางตื่นทุกเช้าแล้วจดโน้ตเพลงจากในฝันลงบนกระดาษเก่า ใครก็ว่าเป็นความเพ้อฝัน เป็นเด็กสาวเพี้ยน ๆ ที่พูดคนเดียวกับหิมะ แต่ในใจนางรู้ดีว่าเสียงเหล่านั้นไม่ใช่ความฝันธรรมดาในวันหนึ่ง หิมะเริ่มตกช้า ๆ เด็กสาวจึงตัดสินใจ เดินขึ้นเขาตามเสียงในหัวใจ กล่องพิณในมือเป็นกล่องที่เก่าเก็บมาตั้งแต่รุ่นยาย ไม่มีใครรู้ที่มา ไม่มีใครรู้ว่าทำไมในกล่องถึงมีพิณที่ขาดไปหนึ่งสายนางปีนขึ้นเขา ฝ่าหิมะและพายุด้วยแรงใจจากเพลงที่ไม่มีผู้ใดสอน เมื่อถึงยอดเขามีเพียงเงาไม้หนึ่งต้น และร่างเงียบงันของชายชรา เขานั่งหลับตา มือวางบนตัก หิมะเกาะบนไหล่ของเขาแต่ใบหน้ากลับสงบ ราวกับรอฟังบางสิ่ง“ท่านรอฟังข้าใช่หรือไม่” เด็กสาวเอ่ยแผ่วเบาเงียบ..
หากจะย้อนกลับไปยังจุดเริ่มของพันธะกรรมทั้งปวงเราต้องก้าวข้ามกาลเวลา และเดินทางย้อนเข้าสู่ชาติภพแรกในยุคสมัยที่ดินแดนยังไม่มีชื่อ แม่น้ำยังไม่มีสะพานภูเขายังไม่ถูกสลักชื่อโดยนักปราชญ์ มีหมู่บ้านเล็กแห่งหนึ่งกลางหุบเขาเหมยซึ่งทุกต้นไม้ผลิดอกตลอดปีแม้ฤดูเหมันต์จะเข้ามาเยือนหมู่บ้านนั้นเรียบง่าย อบอุ่น และไม่มีสงคราม ผู้คนต่างใช้ชีวิตตามจังหวะของฟ้า และในหมู่บ้านนั้น มีหญิงสาวคนหนึ่งซึ่งสามารถทำให้ดอกเหมยร่วงเพียงแค่ดีดพิณหนึ่งสาย“นางคือเทพธิดาแห่งเสียงพิณ” ผู้เฒ่าเล่าขาน“หรืออาจเป็นเพียงหญิงสาวธรรมดาที่ฟ้าส่งมาเพื่อปลอบใจมนุษย์”นางมีชื่อว่า “หลานเอ๋อร์” ชื่อที่เรียบง่ายเหมือนน้ำใสไหลผ่านก้อนหิน นางเติบโตมากับเสียงสายลมและพิณไม้เก่า นางมิได้ร่ำเรียนวิชาใดจากผู้ใดหากแต่สามารถสร้างท่วงทำนองจากเสียงหัวใจตนเองทุกเย็นหลังเสร็จจากงานในไร่นา นางจะนั่งใต้ต้นเหมยต้นใหญ่กลางหมู่บ้าน ดีดเพลงเพียงเบา ๆ ผู้คนฟังแล้วใจสงบ เด็กน้อยหลับสบาย และชายคนหนึ่งกลับมาตรงเวลาในทุกวันเพื่อฟังเสียงนั้นชายผู้นั้นชื่อ “จิ่นซาน” เขาไม่ใช่ชาวบ้านแต่เป็นนักเดินทางผู้หลงทางจากแดนไกลครั้งแรกที่พบหลานเอ๋อร์ เขาเปรอ
บนโลกนี้มีดินแดนหนึ่งไม่มีผู้ใดบันทึกในแผนที่ ไม่มีชื่อในราชโองการ ไม่มีผู้ใดรู้ว่าเคยมีอยู่จริงดินแดนนั้น อยู่เหนือปลายเขาสูงซึ่งหิมะตกตลอดทั้งปี ไม่มีฤดูใบไม้ผลิ ไม่มีร้อน ไม่มีฝน มีเพียงเกล็ดขาวโปรยปราย ราวม่านบางที่ซ่อนโลกทั้งใบไว้เบื้องหลังว่ากันว่า หากใครเดินลึกเข้าไปจนถึงใจกลางหุบหิมะจะได้ยินเสียงหนึ่ง เสียงที่ไม่ใช่ลม ไม่ใช่น้ำตก หากแต่คือเสียงพิณที่ไม่มีสาย เสียงดั่งถ้อยคำของผู้จากไป เสียงของแม่นางคนหนึ่ง แม่นางผู้ที่ไม่มีนามสกุล ไม่มีบ้านเกิด ไม่มีบรรพบุรุษ ไม่มีอนาคต มีเพียงชื่อหนึ่งซึ่งเหลืออยู่แต่ในตำนาน“อวี้หลาน...”ในยามที่โลกยังไม่ลืมนาง อวี้หลานเคยเป็นหญิงสาวจากสำนักดนตรีหลวง ผู้มีมือขวาที่สามารถแต่งเพลง และมือซ้ายที่ดีดพิณได้โดยไม่ต้องมองสาย“แม้มิได้กล่าวคำใด ข้าก็สามารถดีดหัวใจของผู้ฟังให้สั่นสะท้านได้” นางเคยกล่าวไว้แก่ศิษย์ร่วมสำนักอวี้หลานมิใช่นางสนม มิใช่นักรบ มิใช่นักพรต แต่นางคือเสียงในสนามรบ คือเสียงกล่อมทหารผู้ที่จะสละชีพคือเสียงสุดท้ายของวีรบุรุษที่ถูกลืมนางรับราชโองการจากฮ่องเต้ให้ไปยังชายแดนทางใต้เพื่อดีดเพลงสงบจิตให้เหล่าทหารได้หลับตาอย่างไร้ความหว
ห้องเล็ก ๆ ชั้นสองของโรงเตี๊ยมเงียบสงัด แสงโคมตะเกียงวูบไหวราวกับเต้นตามจังหวะลมหายใจของคืนหนาว เด็กสาวนั่งลงตรงข้ามชายชรา วางกล่องพิณเก่าไว้เบื้องหน้าไม้เก่าลอกลาย รอยลวดลายบางส่วนเลือนรางแต่ความรู้สึกกลับชัดเจนยิ่งกว่าสิ่งใด“ท่านเคยอยู่ในวังหลวงหรือไม่”นางถามเสียงเบาดวงตาจับจ้องผู้สูงวัยตรงหน้าผู้มีแววตาราวกับผ่านหลายภพชาติชายชราพยักหน้า น้ำเสียงเอื้อนเอ่ยราวกับบรรเลงผ่านกาลเวลา“ข้าเคยเป็นขุนนางของหอดนตรีฝ่ายพิณ รับใช้ในรัชสมัยก่อน จวบจนค่ำคืนที่โลกทั้งใบเปลี่ยนไป”เด็กสาวเงียบฟังโดยไม่ขัด เมื่อได้ยินคำว่า ค่ำคืนที่โลกเปลี่ยนไป เสียงพิณในหัวใจก็ดังขึ้นอีกวูบคล้ายทำนองที่ถูกกลืนหายไปเริ่มกลับคืน“วันนั้น…” ชายชรากล่าว “ฮ่องเต้รับสั่งให้หญิงนางหนึ่งเข้าไปบรรเลงในท้องพระโรง นางผู้นั้นผิวซีด ดวงตาเรียบสงบ ราวกับมิใช่คนในโลกนี้”เขาหลับตามองย้อนในห้วงเวลา เสียงสายพิณไร้นามยังคงฝังใจเขาแม้ผ่านกว่าครึ่งศตวรรษ“เสียงพิณของนางไม่ใช่เพื่อความรื่นรมย์ แต่คือบทอำลา นางดีดเพียงหกสาย ก่อนหยุดลงโดยไม่กล่าวสิ่งใด”เด็กสาวเผลอยกมือแตะกล่องพิณ ความหนาวเย็นลอดผ่านไม้แต่ใจกลับอุ่นขึ้นแปลกประหลาด“ห
เมืองเล็ก ๆ ริมชายแดน ยามเช้าของฤดูใบไม้ผลิอบอุ่นกว่าที่เคย ทว่าท้องฟ้ากลับยังคงโรยด้วยหมอกบาง ราวกับหิมะที่ยังหลงเหลือในความทรงจำของแผ่นดินเสียงระฆังในวัดเก่าดังขึ้นสามครั้ง นักเดินทางผู้หนึ่งปรากฏตัวที่เชิงเขา นางคือเด็กสาววัยสิบห้าปี ผิวขาวซีดจากการเดินทางไกล นัยน์ตาเศร้าเจือความเฉยชา ในอ้อมแขนของนางคือกล่องพิณเก่าเก็บคร่ำคร่า ไม้แห้งแตกตามอายุของมัน แต่หัวใจของกล่องพิณนั้นยังสั่นไหว“ท่านตาเคยบอกข้าว่า กล่องนี้ไม่ใช่ของข้า แต่เสียงของมันอยู่ในตัวข้ามาตลอด”ไม่มีใครรู้ว่านางชื่ออะไรและไม่มีใครถาม เพราะในเมืองนี้เสียงพิณเคยเป็นเรื่องต้องห้ามนางเดินไปยังลานกว้างหน้าศาลเจ้าร้าง กวาดตาผ่านคนเฒ่าคนแก่ที่มุงดูเงียบ ๆ แล้วค่อย ๆ วางกล่องพิณลงบนแท่นหิน“ข้าอยากลองเล่น แม้มันจะไม่มีสาย แต่ข้าอยากรู้ว่า ข้าเคยได้ยินมันจากที่ใด”มือเรียวบางไล้ผ่านกล่องไม้ นิ้วทั้งสิบวางลงบนร่องเดิมของสายพิณที่ไม่หลงเหลือ ไม่มีเสียงใดเปล่งออก แต่นางหลับตาและเงียบ กระทั่งลมแรกของเช้า พัดปลายผมของนางให้ลอยไหว ใบหน้าขาวซีดนั้นสงบเยือกเย็นเหมือนคนที่ฟังเสียงจากอดีตอันไกลโพ้น“เจ้าได้ยินหรือไม่?”ชายชราคนหนึ่งถาม
ฤดูเปลี่ยนผ่านอีกครา ต้นเหมยยังผลิบานทุกปี พิณเก่ายังคงวางอยู่ ณ ที่เดิม แต่มือที่เคยดีดมันไม่มีอีกแล้วไม่มีผู้ใดเห็นลู่จิ่นซานอีกเลย ไม่มีร่าง ไม่มีเสียง ไม่มีแม้กระทั่งร่องรอยว่าเขาเคยจากไปอย่างไรหรือไปที่ใด ผู้คนบางกลุ่มเชื่อว่าเขาสิ้นใจใต้ต้นเหมยในวันนั้น บางคนบอกว่าร่างเขากลายเป็นลมที่พัดผ่านสายพิณ แต่ก็ไม่มีใครกล้ายืนยันสิ่งใดได้กระท่อมหลังเล็กในหุบเขาตะวันตกมีชายชราไร้นามอาศัยอยู่เงียบ ๆ เขาไม่พูด ไม่หัวเราะ ไม่เล่นพิณ แต่ทุกวันเขาจะนั่งอยู่หน้าประตูมองไปยังผืนฟ้าราวกับกำลังฟังเสียงบางอย่าง“ท่านปู่ ข้าดีดเพลงนี้ได้ไหมเจ้าคะ?”เด็กน้อยคนหนึ่งยื่นพิณมาให้ ชายชราเพียงยิ้มและเอื้อมมือไล้ผ่านสายอย่างนุ่มนวลโดยไม่ดีดเสียงใด แม่ไม่มีเสียงเกิดขึ้นแต่เด็กน้อยกลับนิ่งงันและน้ำตาก็ไหลลงมาช้า ๆ อย่างไม่รู้สาเหตุ“ข้ารู้สึกเหมือนมีใครสักคนกำลังพูดกับข้า…”พิณนั้นไม่มีสาย แต่มือเขายังจำท่วงทำนองได้ แม้เขาจะเป็นใบ้ แม้เสียงมิได้เปล่งออกมาด้วยถ้อยคำ แต่ภายในความเงียบนั้นกลับดังก้องกว่าเสียงใดในโลกในคืนเดือนมืดเด็กน้อยผู้นั้นกลับมาที่กระท่อมอีกครั้ง ในมือมีเพียงกล่องพิณเก่าที่ไม่มีสายใดเหลื