หลังออกจากหอจารึก ลู่จิ่นซานไม่ได้กลับโรงเตี๊ยมในทันที หากแต่เดินทอดเท้าไปตามตรอกหิมะของหมู่บ้านอวิ๋นหลิง เงียบงันราวเมืองที่ถูกฝังอยู่ใต้ม่านขาว
เขาเดินอย่างไร้จุดหมาย แต่หัวใจกลับมีเป้าหมายชัดเจนยิ่งนัก เขาต้องรู้ให้ได้ว่าตำนานพิณต้องห้ามนั้นเกี่ยวพันกับเขาและอวี้หลานอย่างไรในภพก่อน และบทเพลงนั้นมีจุดจบเช่นใด
เมื่อเดินผ่านศาลเจ้าร้างเก่าแก่ที่ตั้งอยู่บนเนินเล็ก ๆ ข้างหมู่บ้าน จู่ ๆ หูเขาก็แว่วเสียงบางอย่าง เสียงรัวสายพิณเพียงวูบเดียวแล้วเงียบลง
เขาหยุดชะงัก หันมองรอบกาย ไม่มีผู้ใด ไม่มีรอยเท้า มีเพียงร่องรอยหิมะบาง ๆ ที่ไถลคล้ายกับมีเงาบางอย่างเคลื่อนไหวผ่านไปก่อนหน้าเขาไม่นาน
เสียงนั้นมาจากในศาลเจ้า...
ลู่จิ่นซานก้าวขึ้นบันไดไม้ผุอย่างระแวดระวัง เมื่อดันประตูไม้คร่ำคร่าเข้าไป กลิ่นอับของธูปเก่าและฝุ่นโบราณก็ลอยเข้าจมูก
ภายในศาลเจ้ามีรูปสลักเทพสวมหมวกพิณโบราณ มือข้างหนึ่งยกดีดสายพิณ มืออีกข้างแตะที่หน้าอกตนเอง บรรยากาศเย็นเยียบราวกับกาลเวลาไม่อาจเคลื่อนไหวภายในที่แห่งนี้ เขาเดินเข้าไปช้า ๆ แล้วก็เห็นสิ่งหนึ่งวางอยู่บนแท่นบูชา
มันเป็นแผ่นไม้ไผ่หนึ่งชิ้น...
ลู่จิ่นซานหยิบมันขึ้นมาอย่างระวัง ตัวอักษรจารึกบนไม้นั้นซีดจางด้วยกาลเวลา แต่เขาอ่านออกทันที
“เจ็ดสายพิณ สะท้อนเจ็ดจิตเจ็ดกรรม หนึ่งรัก หนึ่งผิด หนึ่งเลือด หนึ่งพราก เมื่อสายสุดท้ายถูกดีด ความเป็นมนุษย์จะจบสิ้น
ผู้เล่น จึงไม่มีใครจบเพลงได้ครบ”
เขาอ่านทวนอีกครั้งด้วยหัวใจที่เต้นช้าลง สายพิณทั้งเจ็ด คือจิต วิญญาณ และกรรมเก่า ผู้ใดดีดจนครบ จะสิ้นความเป็นมนุษย์?
เขายืนนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะได้ยินเสียงเบา ๆ ลอยมาจากเบื้องหลัง
“เจ้าอยากจบเพลงนั้นจริงหรือ?”
เป็นเสียงของหญิงสาว เขาหันกลับไปอย่างรวดเร็ว แต่ตรงนั้นกลับไม่มีใคร
หิมะโปรยลงจากช่องไม้บนหลังคา ฝุ่นปลิวกระจายราวกับเงาบางอย่างเพิ่งเคลื่อนผ่าน
คืนนั้น เขากลับมาที่โรงเตี๊ยมอีกครั้ง เจ้าของโรงเตี๊ยมร่างอ้วนยกถ้วยน้ำชามาให้ เห็นลู่จิ่นซานถือแผ่นไม้ไผ่ก็เอ่ยขึ้น
“นั่น...ข้าเคยเห็นของแบบนั้น”
“เห็นที่ใด?” จิ่นซานเงยหน้าถาม
“ชายแก่คนหนึ่ง เคยถือมันมาตั้งหลายสิบปีก่อน ข้าเด็กอยู่ในเวลานั้น เขามาที่ศาลเจ้า แล้วก็หายไปในคืนหิมะคลั่ง”
“หิมะคลั่ง?”
“ใช่ หิมะตกไม่หยุดสามวัน พายุซัดจนน้ำแข็งในแม่น้ำแตก คนหายไปหลายคน”
เจ้าของโรงเตี๊ยมลดเสียงลง “เขาว่ากันว่า เสียงพิณดังในหมู่บ้านก่อนวันนั้นหนึ่งคืนพอดี”
จิ่นซานนิ่งงัน เสียงพิณก่อนคืนหิมะคลั่ง...
แผ่นไม้ไผ่ที่บอกถึงเจ็ดกรรม...
นักพิณที่ไม่มีใบหน้า…
และสายพิณที่ตื่นทีละเส้น...
“หรือว่าข้าจะต้องจบเพลงนี้ เพื่อหยุดบางสิ่ง?”
เขากระซิบกับตนเองเบา ๆ คืนนั้น ลู่จิ่นซานนอนหลับตาแต่ไม่อาจข่มตาให้หลับได้จริง
เสียงพิณในหัวเงียบไปแล้ว หากแต่บางสิ่งยังคงกึกก้องอยู่ในอก ความรู้สึกเหมือนเขากำลังยืนอยู่บนขอบเขตระหว่างความจริงกับอดีต ความเป็นมนุษย์กับสิ่งที่ไม่ควรมีอยู่ในโลก
และเมื่อเขาลืมตาขึ้นอีกครั้งในยามดึก…
สายพิณเส้นที่สามก็ปรากฏขึ้นบนกล่องไม้สีดำโดยไม่มีเสียงเตือนใด ๆ มันเกิดขึ้นอย่างเงียบเชียบ ราวกับผู้ตายค่อย ๆ เปิดเปลือกตาขึ้นมองโลกอีกครั้ง
“สายสาม…โทษ”
ทันทีที่คำนี้ดังขึ้นในหัว ลู่จิ่นซานรู้สึกเหมือนถูกกระชากออกจากโลกความจริงอีกครั้ง
เขายืนอยู่กลางท้องพระโรง แท่นบัลลังก์สูงชันตั้งตระหง่าน เบื้องล่างคือเหล่าขุนนางในชุดครุยยาวล้อมเป็นวงใหญ่ เสียงพิณหนึ่งบรรเลงอยู่เงียบ ๆ ตรงมุมห้อง
และเขา ในชุดคลุมแม่ทัพ กลับมิได้อยู่ท่ามกลางผู้ฟัง หากแต่ยืนอยู่ข้างหญิงสาวคนหนึ่งที่กำลังดีดพิณอยู่
อวี้หลาน…
ในภพนั้น นางมีใบหน้าชัดเจน ดวงตาสงบและปวดร้าว มือของนางสั่นแต่ยังดีดต่อไปไม่หยุด
เสียงพิณนั้นมิใช่เพื่อกล่อมคน ไม่ใช่เพื่อความไพเราะ หากแต่เพื่อพิพากษา และเป้าหมายของเสียงนั้นคือ “ฮ่องเต้”
“หากเจ้าดีดสายที่เจ็ด ฝ่าบาทจะสิ้นลมทันที” ลู่จิ่นซานกระซิบ
“ข้ารู้” นางตอบโดยไม่หันมา
“แต่ข้าคือผู้สั่งเจ้าเองมิใช่หรือ” เขาเอ่ย “เช่นนั้น โทษนี้ก็คือโทษของข้า”
นางดีดสายต่อไปอย่างนิ่งงัน “ข้ามิอาจหยุดได้แล้ว” เสียงของนางชัดเจน “เมื่อบทเพลงเริ่ม ทุกสิ่งจะถูกลากให้ดำเนินตามโชคชะตา”
เสียงสุดท้ายดีดลง และภาพตรงหน้าก็แหลกสลายเป็นผงหิมะ...
ลู่จิ่นซานสะดุ้งตื่นอีกครั้งในยามดึก เหงื่อเย็นไหลซึมทั่วแผ่นหลัง มือของเขาแน่นิ่งอยู่บนกล่องพิณ ที่บัดนี้มีสายพิณสามเส้นแล้ว
และยิ่งน่าตระหนกกว่านั้นคือ ข้างหน้าต่างห้องของเขา หิมะที่ควรจะตกลงมาเป็นแผ่นบาง กลับกลายเป็นเศษน้ำแข็งแหลมคมคล้ายมีบางสิ่งผิดปกติในลมฟ้า ลู่จิ่นซานลุกพรวดขึ้น เดินไปเปิดหน้าต่างทันที สิ่งที่เขาเห็นคือชาวบ้านกลุ่มหนึ่งกำลังรวมตัวกันหน้าโรงเตี๊ยม พูดจาเสียงสั่น
“แม่น้ำแข็งตัวไม่หยุด!”
“ปลาหายหมด เหลือแต่ผิวน้ำแข็งหนาเกินสองฉื่อ!”
“ข้าไม่เคยเห็นเหตุการณ์เช่นนี้แม้ในหน้าหนาวก่อน!”
“ต้องเป็นเพราะเสียงนั้นแน่ ๆ ! ข้าฝันถึงเสียงพิณเมื่อคืน!”
“เมื่อคืนข้าก็เหมือนจะได้ยินเช่นกัน ไม่รู้ว่าฝันหรือความจริง เหมือนว่าข้ากึ่งหลับกึ่งตื่น”
เสียงของพวกชาวบ้านพูดคุยถกเถียงกันดังเซ็งแซ่ไม่หยุดหย่อน
เสียงพิณที่เขาดีดในความฝัน หรือมันจะเป็นความจริง?
นั่นคือจุดเริ่มต้นของอาเพศนี้หรือไม่?
เขาหันไปมองกล่องไม้บนโต๊ะอีกครั้ง สายพิณเส้นต่อไปกำลังค่อย ๆ ก่อตัวขึ้นทีละน้อย เสียงหนึ่งแว่วผ่านในหัวเขาอีกครา เสียงของอวี้หลาน
“เจ้าจำได้เร็วเกินไป ข้ายังไม่พร้อมจะให้อภัย...”
กาลเวลาผันผ่าน โลกหมุนเวียนสู่ยุคใหม่ กลิ่นหอมของดอกเหมยยังไม่จาง แต่ผู้คนมิรู้จักตำนานเดิมอีกต่อไปบนเส้นทางสายหิมะที่ไร้ชื่ออยู่บนแผนที่มีเด็กสาวผู้หนึ่งแบกกล่องพิณเก่าเดินต้านลม นางมิใช่นักเดินทาง มิใช่นักดนตรี แต่เป็นเพียงเด็กสาวจากหมู่บ้านตีนเขาที่ฝันซ้ำแล้วซ้ำเล่าถึงหญิงชุดขาวกับชายผู้เงียบงันเขานั่งอยู่ใต้ต้นไม้ในหิมะที่ไม่ละลาย และหญิงผู้นั้นดีดเพลงทั้งที่ไม่มีพิณอยู่ในมือนางตื่นทุกเช้าแล้วจดโน้ตเพลงจากในฝันลงบนกระดาษเก่า ใครก็ว่าเป็นความเพ้อฝัน เป็นเด็กสาวเพี้ยน ๆ ที่พูดคนเดียวกับหิมะ แต่ในใจนางรู้ดีว่าเสียงเหล่านั้นไม่ใช่ความฝันธรรมดาในวันหนึ่ง หิมะเริ่มตกช้า ๆ เด็กสาวจึงตัดสินใจ เดินขึ้นเขาตามเสียงในหัวใจ กล่องพิณในมือเป็นกล่องที่เก่าเก็บมาตั้งแต่รุ่นยาย ไม่มีใครรู้ที่มา ไม่มีใครรู้ว่าทำไมในกล่องถึงมีพิณที่ขาดไปหนึ่งสายนางปีนขึ้นเขา ฝ่าหิมะและพายุด้วยแรงใจจากเพลงที่ไม่มีผู้ใดสอน เมื่อถึงยอดเขามีเพียงเงาไม้หนึ่งต้น และร่างเงียบงันของชายชรา เขานั่งหลับตา มือวางบนตัก หิมะเกาะบนไหล่ของเขาแต่ใบหน้ากลับสงบ ราวกับรอฟังบางสิ่ง“ท่านรอฟังข้าใช่หรือไม่” เด็กสาวเอ่ยแผ่วเบาเงียบ..
หากจะย้อนกลับไปยังจุดเริ่มของพันธะกรรมทั้งปวงเราต้องก้าวข้ามกาลเวลา และเดินทางย้อนเข้าสู่ชาติภพแรกในยุคสมัยที่ดินแดนยังไม่มีชื่อ แม่น้ำยังไม่มีสะพานภูเขายังไม่ถูกสลักชื่อโดยนักปราชญ์ มีหมู่บ้านเล็กแห่งหนึ่งกลางหุบเขาเหมยซึ่งทุกต้นไม้ผลิดอกตลอดปีแม้ฤดูเหมันต์จะเข้ามาเยือนหมู่บ้านนั้นเรียบง่าย อบอุ่น และไม่มีสงคราม ผู้คนต่างใช้ชีวิตตามจังหวะของฟ้า และในหมู่บ้านนั้น มีหญิงสาวคนหนึ่งซึ่งสามารถทำให้ดอกเหมยร่วงเพียงแค่ดีดพิณหนึ่งสาย“นางคือเทพธิดาแห่งเสียงพิณ” ผู้เฒ่าเล่าขาน“หรืออาจเป็นเพียงหญิงสาวธรรมดาที่ฟ้าส่งมาเพื่อปลอบใจมนุษย์”นางมีชื่อว่า “หลานเอ๋อร์” ชื่อที่เรียบง่ายเหมือนน้ำใสไหลผ่านก้อนหิน นางเติบโตมากับเสียงสายลมและพิณไม้เก่า นางมิได้ร่ำเรียนวิชาใดจากผู้ใดหากแต่สามารถสร้างท่วงทำนองจากเสียงหัวใจตนเองทุกเย็นหลังเสร็จจากงานในไร่นา นางจะนั่งใต้ต้นเหมยต้นใหญ่กลางหมู่บ้าน ดีดเพลงเพียงเบา ๆ ผู้คนฟังแล้วใจสงบ เด็กน้อยหลับสบาย และชายคนหนึ่งกลับมาตรงเวลาในทุกวันเพื่อฟังเสียงนั้นชายผู้นั้นชื่อ “จิ่นซาน” เขาไม่ใช่ชาวบ้านแต่เป็นนักเดินทางผู้หลงทางจากแดนไกลครั้งแรกที่พบหลานเอ๋อร์ เขาเปรอ
บนโลกนี้มีดินแดนหนึ่งไม่มีผู้ใดบันทึกในแผนที่ ไม่มีชื่อในราชโองการ ไม่มีผู้ใดรู้ว่าเคยมีอยู่จริงดินแดนนั้น อยู่เหนือปลายเขาสูงซึ่งหิมะตกตลอดทั้งปี ไม่มีฤดูใบไม้ผลิ ไม่มีร้อน ไม่มีฝน มีเพียงเกล็ดขาวโปรยปราย ราวม่านบางที่ซ่อนโลกทั้งใบไว้เบื้องหลังว่ากันว่า หากใครเดินลึกเข้าไปจนถึงใจกลางหุบหิมะจะได้ยินเสียงหนึ่ง เสียงที่ไม่ใช่ลม ไม่ใช่น้ำตก หากแต่คือเสียงพิณที่ไม่มีสาย เสียงดั่งถ้อยคำของผู้จากไป เสียงของแม่นางคนหนึ่ง แม่นางผู้ที่ไม่มีนามสกุล ไม่มีบ้านเกิด ไม่มีบรรพบุรุษ ไม่มีอนาคต มีเพียงชื่อหนึ่งซึ่งเหลืออยู่แต่ในตำนาน“อวี้หลาน...”ในยามที่โลกยังไม่ลืมนาง อวี้หลานเคยเป็นหญิงสาวจากสำนักดนตรีหลวง ผู้มีมือขวาที่สามารถแต่งเพลง และมือซ้ายที่ดีดพิณได้โดยไม่ต้องมองสาย“แม้มิได้กล่าวคำใด ข้าก็สามารถดีดหัวใจของผู้ฟังให้สั่นสะท้านได้” นางเคยกล่าวไว้แก่ศิษย์ร่วมสำนักอวี้หลานมิใช่นางสนม มิใช่นักรบ มิใช่นักพรต แต่นางคือเสียงในสนามรบ คือเสียงกล่อมทหารผู้ที่จะสละชีพคือเสียงสุดท้ายของวีรบุรุษที่ถูกลืมนางรับราชโองการจากฮ่องเต้ให้ไปยังชายแดนทางใต้เพื่อดีดเพลงสงบจิตให้เหล่าทหารได้หลับตาอย่างไร้ความหว
ห้องเล็ก ๆ ชั้นสองของโรงเตี๊ยมเงียบสงัด แสงโคมตะเกียงวูบไหวราวกับเต้นตามจังหวะลมหายใจของคืนหนาว เด็กสาวนั่งลงตรงข้ามชายชรา วางกล่องพิณเก่าไว้เบื้องหน้าไม้เก่าลอกลาย รอยลวดลายบางส่วนเลือนรางแต่ความรู้สึกกลับชัดเจนยิ่งกว่าสิ่งใด“ท่านเคยอยู่ในวังหลวงหรือไม่”นางถามเสียงเบาดวงตาจับจ้องผู้สูงวัยตรงหน้าผู้มีแววตาราวกับผ่านหลายภพชาติชายชราพยักหน้า น้ำเสียงเอื้อนเอ่ยราวกับบรรเลงผ่านกาลเวลา“ข้าเคยเป็นขุนนางของหอดนตรีฝ่ายพิณ รับใช้ในรัชสมัยก่อน จวบจนค่ำคืนที่โลกทั้งใบเปลี่ยนไป”เด็กสาวเงียบฟังโดยไม่ขัด เมื่อได้ยินคำว่า ค่ำคืนที่โลกเปลี่ยนไป เสียงพิณในหัวใจก็ดังขึ้นอีกวูบคล้ายทำนองที่ถูกกลืนหายไปเริ่มกลับคืน“วันนั้น…” ชายชรากล่าว “ฮ่องเต้รับสั่งให้หญิงนางหนึ่งเข้าไปบรรเลงในท้องพระโรง นางผู้นั้นผิวซีด ดวงตาเรียบสงบ ราวกับมิใช่คนในโลกนี้”เขาหลับตามองย้อนในห้วงเวลา เสียงสายพิณไร้นามยังคงฝังใจเขาแม้ผ่านกว่าครึ่งศตวรรษ“เสียงพิณของนางไม่ใช่เพื่อความรื่นรมย์ แต่คือบทอำลา นางดีดเพียงหกสาย ก่อนหยุดลงโดยไม่กล่าวสิ่งใด”เด็กสาวเผลอยกมือแตะกล่องพิณ ความหนาวเย็นลอดผ่านไม้แต่ใจกลับอุ่นขึ้นแปลกประหลาด“ห
เมืองเล็ก ๆ ริมชายแดน ยามเช้าของฤดูใบไม้ผลิอบอุ่นกว่าที่เคย ทว่าท้องฟ้ากลับยังคงโรยด้วยหมอกบาง ราวกับหิมะที่ยังหลงเหลือในความทรงจำของแผ่นดินเสียงระฆังในวัดเก่าดังขึ้นสามครั้ง นักเดินทางผู้หนึ่งปรากฏตัวที่เชิงเขา นางคือเด็กสาววัยสิบห้าปี ผิวขาวซีดจากการเดินทางไกล นัยน์ตาเศร้าเจือความเฉยชา ในอ้อมแขนของนางคือกล่องพิณเก่าเก็บคร่ำคร่า ไม้แห้งแตกตามอายุของมัน แต่หัวใจของกล่องพิณนั้นยังสั่นไหว“ท่านตาเคยบอกข้าว่า กล่องนี้ไม่ใช่ของข้า แต่เสียงของมันอยู่ในตัวข้ามาตลอด”ไม่มีใครรู้ว่านางชื่ออะไรและไม่มีใครถาม เพราะในเมืองนี้เสียงพิณเคยเป็นเรื่องต้องห้ามนางเดินไปยังลานกว้างหน้าศาลเจ้าร้าง กวาดตาผ่านคนเฒ่าคนแก่ที่มุงดูเงียบ ๆ แล้วค่อย ๆ วางกล่องพิณลงบนแท่นหิน“ข้าอยากลองเล่น แม้มันจะไม่มีสาย แต่ข้าอยากรู้ว่า ข้าเคยได้ยินมันจากที่ใด”มือเรียวบางไล้ผ่านกล่องไม้ นิ้วทั้งสิบวางลงบนร่องเดิมของสายพิณที่ไม่หลงเหลือ ไม่มีเสียงใดเปล่งออก แต่นางหลับตาและเงียบ กระทั่งลมแรกของเช้า พัดปลายผมของนางให้ลอยไหว ใบหน้าขาวซีดนั้นสงบเยือกเย็นเหมือนคนที่ฟังเสียงจากอดีตอันไกลโพ้น“เจ้าได้ยินหรือไม่?”ชายชราคนหนึ่งถาม
ฤดูเปลี่ยนผ่านอีกครา ต้นเหมยยังผลิบานทุกปี พิณเก่ายังคงวางอยู่ ณ ที่เดิม แต่มือที่เคยดีดมันไม่มีอีกแล้วไม่มีผู้ใดเห็นลู่จิ่นซานอีกเลย ไม่มีร่าง ไม่มีเสียง ไม่มีแม้กระทั่งร่องรอยว่าเขาเคยจากไปอย่างไรหรือไปที่ใด ผู้คนบางกลุ่มเชื่อว่าเขาสิ้นใจใต้ต้นเหมยในวันนั้น บางคนบอกว่าร่างเขากลายเป็นลมที่พัดผ่านสายพิณ แต่ก็ไม่มีใครกล้ายืนยันสิ่งใดได้กระท่อมหลังเล็กในหุบเขาตะวันตกมีชายชราไร้นามอาศัยอยู่เงียบ ๆ เขาไม่พูด ไม่หัวเราะ ไม่เล่นพิณ แต่ทุกวันเขาจะนั่งอยู่หน้าประตูมองไปยังผืนฟ้าราวกับกำลังฟังเสียงบางอย่าง“ท่านปู่ ข้าดีดเพลงนี้ได้ไหมเจ้าคะ?”เด็กน้อยคนหนึ่งยื่นพิณมาให้ ชายชราเพียงยิ้มและเอื้อมมือไล้ผ่านสายอย่างนุ่มนวลโดยไม่ดีดเสียงใด แม่ไม่มีเสียงเกิดขึ้นแต่เด็กน้อยกลับนิ่งงันและน้ำตาก็ไหลลงมาช้า ๆ อย่างไม่รู้สาเหตุ“ข้ารู้สึกเหมือนมีใครสักคนกำลังพูดกับข้า…”พิณนั้นไม่มีสาย แต่มือเขายังจำท่วงทำนองได้ แม้เขาจะเป็นใบ้ แม้เสียงมิได้เปล่งออกมาด้วยถ้อยคำ แต่ภายในความเงียบนั้นกลับดังก้องกว่าเสียงใดในโลกในคืนเดือนมืดเด็กน้อยผู้นั้นกลับมาที่กระท่อมอีกครั้ง ในมือมีเพียงกล่องพิณเก่าที่ไม่มีสายใดเหลื