เวลา 05.00 น. ที่สนามบิน
ยังไม่ได้ทันจะก้าวลงจากรถ เสียงโทรศัพท์มือถือที่อยู่ในกระเป๋ากางเกงก็ดังขึ้น ธีร์ธวัชรีบล้วงเข้าไปแล้วหยิบออกมา เวลาตี 5 แบบนี้ใครจะโทรมาหาเขาได้ นอกจากคนที่บอกให้เขามาสนามบินตอนตี 5
“แม่ตรงเวลามากเลยนะครับ” เสียงของคนครึ่งหลับครึ่งตื่นกรอกไปตามสาย
//แน่นอนสิ แม่ก็อยากจะรู้ว่าแกมาตามที่พูดไว้จริง ๆ หรือเปล่า แล้วนี่อยู่ไหนแล้ว//
เสียงผู้เป็นมารดาเอ่ยถามมาตามสาย ทำให้ธีร์ธวัชได้แต่ถอนหายใจออกมา
“อยู่สนามบินแล้วครับ กะว่าจะเปิดห้องนอนสักสองสามชั่วโมง ไว้เก้าโมงเช้าค่อยไปรอรับลูกรักของแม่” น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความประชดประชัน แต่ทางปลายสายนั้นกลับหัวเราะออกมาอย่างดีใจ
//ดีแล้ว รับน้องเสร็จก็พาไปคอนโดเลยนะ ดูแลน้องให้ดีล่ะ ช่วงนี้งานแม่ยุ่งมากคงไม่มีเวลาไปเยี่ยมน้องเท่าไหร่//
‘ข้ออ้างชัด ๆ’ ธีร์ธวัชได้แต่แอบบ่นในใจ อย่างแม่ของเขานี่เหรองานยุ่ง ทุกวันนี้ก็แทบจะนั่งนับเงินอย่างเดียว ส่วนเรื่องอื่น ๆ ก็มีลูกน้องพ่วงตำแหน่งเลขาคนสนิททำให้แทบทุกอย่างอยู่แล้ว
“เข้าใจแล้วครับแม่ ผมจะดูแลสายขิมของแม่อย่างดีเลยล่ะครับ เรียกได้ว่ายุงไม่ให้ไต่ ไรไม่ให้ตอม ไม่ให้อดอยากแม้แต่วินาทีเดียว” เขาตอบกลับด้วยน้ำเสียงเชื่อฟัง แต่ว่าริมฝีปากกำลังกระตุกยิ้มเมื่อนึกถึงแผนการที่ตัวเองกับเพื่อนได้วางแผนเอาไว้
จะดูแลอย่างดี ดีจนอยู่ไม่ได้เลยล่ะ
//ก็อย่าให้น้องโทรมาฟ้องแม่แล้วกันว่าแกดูแลน้องไม่ดี ไม่อย่างนั้น แกได้อดเงินมรดกจริง ๆ แน่//
พูดเพียงแค่นั้นคุณหญิงเธียรธาราก็วางสายใส่ทันที
ธีร์ธวัชถอนลมหายใจออกมาอีกครั้งก่อนที่จะเก็บโทรศัพท์เข้ากระเป๋ากางเกงแบบเดิม ความจริงถ้าพ่อของเขายังมีชีวิตอยู่ ก็อยากจะถามเหมือนกันว่าเป็นมายังไงถึงได้มาจีบแม่ หรือว่าโดนผีผลักให้ตกกระไดพลอยโจน
เดินมาได้ไม่นานก็มาถึงโรงแรมที่จองเอาไว้เพื่อนอนพักรอเวลาจะไปรับสายขิม จ่ายเงินรับกุญแจเรียบร้อย ธีร์ธวัชก็รีบมายังห้องพักทันที
“โคตรง่วง” ผู้ชายตัวโตบ่นกับตัวเองเบา ๆ ก่อนที่จะทิ้งตัวลงบนเตียงนุ่ม แต่ยังไม่ทันจะได้ปิดเปลือกตาลงเสียงข้อความโทรศัพท์ก็ดังขึ้น เมื่อเห็นว่าข้อความมาจากใคร เปลือกตาที่กำลังจะปิดก็เปิดขึ้นทันที
กิ๊บซี่: เมื่อคืนเสี่ยทิ้งกิ๊บซี่ไว้กลางทางนะคะ
“เสี่ยเปล่าทิ้งหนูนะ หนูก็เห็นว่าเสี่ยต้องคุยธุระกับแม่ เอาไว้คืนนี้เสี่ยเรียกมาหาใหม่นะ จะให้รางวัลเพิ่มเป็นสองรอบ ดีไหมเอ่ย”
นิ้วยาวรีบจิ้มข้อความตอบกลับไปเพื่อง้อหญิงสาวที่ตัวเองดีลมาเมื่อคืน แต่ดันมาแจ๊กพอตตรงที่แม่เขามาหาเสียก่อน เลยไม่ได้ไปเล่นจ้ำจี้กันต่อ
กิ๊บซี่: ถ้าอย่างนั้นกิ๊บซี่จะรอนะคะ
อ่านข้อความสุดท้ายเสร็จธีร์ธวัชก็ไม่ตอบอะไรกลับไปอีก แต่ก่อนที่จะโยนโทรศัพท์ไว้บนเตียงเขาก็ไม่ลืมที่จะตั้งนาฬิกาปลุกก่อน ไม่เช่นนั้นคงเป็นเรื่องใหญ่แน่หากนอนแล้วตื่นไม่ทันไปรับสายขิม
/////
เวลา 09.00 น. ที่สนามบิน
ชายหนุ่มเจ้าของส่วนสูงเกือบ 190 เซนติเมตร กำลังชะเง้อคอมองอยู่ตรงทางออกของช่องผู้โดยสารขาเข้า และยกข้อมือขึ้นมาดูเวลาสลับไปมา
ไม่นานนัก หญิงสาวคนที่เขาต้องมารับก็เดินออกมา สายขิมในชุดเสื้อยืดพอดีตัวกับกางเกงขายาวที่แสนจะธรรมดา แต่ผิวสีน้ำผึ้ง ใบหน้าได้รูปรับกับดวงตาสวยคมมันทำให้ดูสวยจนสะดุดตา แต่อย่างว่า คนไม่ชอบมันก็คือไม่ชอบ (หรือเปล่า) ต่อให้สวยแค่ไหนก็ตาม
“สวัสดีค่ะเฮียธีร์” หญิงสาววัยยี่สิบสามปีมาหยุดยืนตรงหน้า เอ่ยทักทายพร้อมกับยกมือขึ้นไหว้อย่างที่เธอเคยทำ
“อืม...หวัดดี” ธีร์ธวัชตอบกลับด้วยเสียงห้วน ๆ นี่ก็เป็นหนึ่งในแผนการของเขา ก็คือไม่ต้องพูดดี ๆ กับเธอ
“ยังไงขิมก็ต้องรบกวนเฮียสักพักนะคะ จนกว่าคุณแม่จะเปลี่ยนใจค่ะ” สายขิมเอ่ยบอก เพราะการที่เธอต้องขึ้นมากรุงเทพฯ ในครั้งนี้มันเป็นความต้องการของคุณหญิงเธียรธารา จะขัดใจก็ไม่ได้เลยต้องตามน้ำไปก่อน แต่ว่าในใจลึก ๆ ก็รู้สึกดีใจมาก
“อยู่ไปตลอดชีวิตเลยก็ได้นะ ยังไงเธอก็เป็นลูกรักของแม่ฉันอยู่แล้วนี่”
คำพูดของผู้ชายตัวโตทำให้คนฟังตาลุกวาว สายขิมเขยิบตัวเข้าใกล้ แต่ด้วยความที่เธอสูงแค่ 160 เซนติเมตร เลยต้องเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่าย
“เฮียธีร์พูดจริงเหรอคะ ขิมสามารถอยู่กับเฮียได้ตลอดชีวิตจริง ๆ เหรอ ไม่เปลี่ยนใจนะคะ”
สายตาคมหลุบมองผู้หญิงที่ตัวเตี้ยกว่าเกือบหนึ่งฟุต พร้อมกับพ่นลมหายใจใส่แรง ๆ อย่างนึกรำคาญ
“เธอไม่เข้าใจคำว่าประชดหรือไง”
“ไม่ค่ะ ขิมเป็นคนซื่อเฮียก็น่าจะรู้”
“หึ ซื่อบื้อน่ะสิ”
ประโยคสุดท้ายแม้ว่าเขาจะพูดออกมาเพียงเบา ๆ แต่หญิงสาวก็ได้ยินชัดเจนดี ริมฝีปากอิ่มเผยยิ้มกรุ้มกริ่ม ดูเหมือนว่าภารกิจที่ได้รับมอบหมายมาคงจะไม่ง่ายอย่างที่คิด แต่ระดับสายขิมแล้วมีเหรอจะทำงานพลาด
ในเมื่อเธอรักเฮียธีร์มาตั้งแต่เด็ก ยังไงก็ต้องแต่งงานกับเขาให้ได้
“กลับกันเถอะเฮีย ขิมอยากนอนพัก” เสียงหวานพูดออดอ้อนแล้วช้อนสายตาขึ้นมองคนที่อยู่ตรงหน้า
“มันต้องเป็นฉันหรือเปล่าที่ต้องบอกว่าอยากนอนพัก กว่าจะปิดร้าน กว่าจะกลับถึงคอนโด ยังไม่ทันได้นอนก็ต้องออกมาสนามบินเพื่อมารอรับเธอเนี่ย”
ได้ทีเขาก็บ่นออกมาเสียยาวเหยียด แต่แทนที่ยัยตัวแสบจะหยุดฟังกลับลากกระเป๋าใบใหญ่สองใบเดินนำหน้าไปแล้ว
“เหนื่อยก็เดินเร็วเข้าสิเฮีย จะได้รีบกลับไปนอน”
สายขิมพูดออกมาเพียงเท่านั้นแล้วก็หันกลับ ส่วนคนที่กำลังบ่นก็ได้แต่ก้าวเท้ายาว ๆ เดินตามไป แต่ปากก็ยังบ่นขมุบขมิบตลอดทางจนมาถึงรถที่จอดเอาไว้
“โห นี่เฮียเปลี่ยนรถคันใหม่อีกแล้วเหรอ ดีจัง ถ้าว่างเมื่อไหร่พาขิมไปเที่ยวรอบ ๆ กรุงเทพฯ หน่อยนะ”
“ฉันบอกเหรอว่าจะพาเธอไปเที่ยว แค่ให้มาอยู่ด้วยก็บุญแล้ว”
ดูเหมือนว่าสายขิมจะไม่ค่อยใส่ใจกับคำพูดของเขาเท่าไหร่นัก คนตัวเล็กรีบเปิดประตูแล้วยัดตัวเองเข้าไปนั่งยังตำแหน่งข้างคนขับอย่างไม่ต้องรอขออนุญาต
“แล้วที่คอนโดเฮียอยู่กับใครคะ มีเพื่อนมาอยู่ด้วยหรือเปล่าคะ” พอรถเริ่มแล่นออกจากที่จอด เสียงใส ๆ ก็เริ่มถามคำถาม
“อยากรู้ไปทำไม”
“ก็ถ้าเฮียอยู่กับเพื่อน ขิมก็จะได้ทำตัวถูกไง”
“ฉันไม่ได้อยู่กับเพื่อน แต่บางทีก็มีผู้หญิงมาอยู่ด้วยเป็นบางคืน วันไหนที่มาเธอก็อยู่แต่ในห้องก็พอ”
พอได้ยินคำตอบสายขิมก็เงียบไป ธีร์ธวัชหันไปมองก็เห็นว่ายัยต้วแสบนั่งเอามือจับคาง ทำท่าเหมือนกำลังคิดอะไรอยู่สักอย่าง และเธอก็พูดออกมา
“ถ้าวันไหนมีผู้หญิงมาค้างกับเฮีย ขิมก็จะอยู่แต่ในห้องตามที่เฮียบอกค่ะ”
“ดี เข้าใจง่าย ๆ ก็ดี” คนตัวโตยิ้มกริ่มได้ใจ ที่ดูเหมือนเธอจะว่านอนสอนง่ายกว่าที่คิด
“แต่ว่า ขิมก็จะโทรรายงานคุณแม่ตามที่คุณแม่สั่งเอาไว้เหมือนกันค่ะ เฮียคงไม่ว่าอะไรนะคะ”
ใบหน้าหล่อเหลาหุบยิ้มอย่างรวดเร็วแล้วตวัดสายตามามองคนที่นั่งอยู่ข้างกันอย่างเอาเรื่อง
“เฮียอย่าทำหน้าดุใส่ขิมแบบนั้นสิ ขิมเชื่อฟังเฮียยอมทำตามที่เฮียบอก แต่ขิมก็ต้องเชื่อฟังคำสั่งคุณแม่เหมือนกันนะคะ”
“เธอนี่มัน...” ธีร์ธวัชพูดออกมาเพียงเท่านั้นก็เงียบไป เธอช่างสมกับที่ถูกเลี้ยงดูมาด้วยแม่ของเขาจริง ๆ เจ้าเล่ห์ เจ้าแผนการ แต่ถึงยังไงเขาก็จะไม่ยอมแต่งงานกับเธอเด็ดขาด จะทำทุกวิถีทางให้สายขิมหนีกลับใต้ไปให้ได้
“ก็แล้วแต่เธอ ฉันไม่สนหรอกว่าจะฟ้องแม่ว่ายังไง”
“งั้นก็ดีลค่ะ เฮียอยากทำอะไรก็ทำเลย ส่วนขิมก็มีหน้าที่ของขิมที่ต้องทำเหมือนกัน”
‘แม่รู้ว่าขิมรักตาธีร์ และแม่ก็อยากได้ขิมเป็นสะใภ้แค่คนเดียว ทำยังไงก็ได้ให้ตาธีร์ตกหลุมรักเราจนโงหัวไม่ขึ้น’
นั่นคือคำสั่งก่อนที่เธอจะเดินทางมากรุงเทพฯ ในครั้งนี้ และแน่นอนว่าสายขิมนั้นเชื่อฟังและจะทำตามอย่างดีที่สุด ถึงจะรู้ดีว่าเฮียธีร์ไม่อยากแต่งก็ตาม
///////////////////////////////////////////////////////
การมาบาร์วันนี้ต่างออกไปจากเดิมเล็กน้อย เนื่องจากคนเป็นเจ้าของต้องมาที่นี่เพียงคนเดียว ใจหนึ่งก็อยากจะหยุดอยู่คอนโดเพราะว่าสายขิมดันป่วยขึ้นมาเฉย ๆ ด้วยอาการแพ้อากาศ อยากจะดูแลอยู่ข้าง ๆ แต่ทางภรรยากลับไล่ให้ออกมาที่บาร์ เธอไม่อยากให้ตัวเองกลายเป็นภาระขนาดนั้น และบอกว่าให้เขามองงานสำคัญเป็นที่หนึ่งเสมอ...ห้ามเกเร ห้ามดื้ออีก อาจเพราะสภาพอากาศในช่วงนี้ที่ช่างน่าเบื่อหน่าย การที่ผู้คนเลือกจะหาสถานที่ดื่มด่ำผ่อนคลายจึงกลายเป็นเรื่องที่นิยมขึ้นมา ยูนิคอร์นบาร์จึงแทบไม่เหลือที่ว่าง มันประสบความสำเร็จมากกว่าที่คิด แต่ก็รองลงมาจากการประสบความสำเร็จเรื่องราวความรักอยู่ดี... ธีร์ธวัชดินตรวจดูรอบ ๆ ร้าน พูดคุยกับลูกค้าสอบถามความเห็นและปัญหาอย่างใกล้ชิดเพื่อสร้างความประทับใจให้กับผู้ใช้บริการ สิ่งนี้คืออีกเสน่ห์หนึ่งที่ทำให้บาร์ของธีร์ธวัชประสบความสำเร็จได้และติดลมบนอย่างรวดเร็วจนกระทั่งเขาเดินตรงไปยังบาร์เครื่องดื่ม ที่เวลานี้บาร์เทนเดอร์กำลังโชว์ลวดลายลีลาเชคผสมรังสรรค์เมนูเลิศรสให้กับลูกค้าชายหนุ่มสองคนที่นั่งอยู่ก่อนแล้ว มองจากข้างหลังก็ยังรู้ว่าเป็นใคร
เธอยังคงสดในเหมือนกับวันแรกที่ได้เจอ... ธีร์ธวัชลอบมองใบหน้าจิ้มลิ้มยามหลับใหลของหญิงสาวอันเป็นที่รักเงียบ ๆ เธอยังไม่ตื่น อาจเพราะเมื่อคืนบทรักที่ร่วมบรรเลงคงยาวนานไปหน่อยสำหรับเด็กดื้อเสียงลมหายใจดังขึ้นแผ่วเบา แสงอาทิตย์ยามเช้าที่ลอดผ่านม่านพลิ้วไสวสาดทับใบหน้าเนียนยิ่งทำให้ความน่าเสน่หาของสายขิมเปล่งประกาย ปลายนิ้วละเลียดสัมผัสปอยผมด้วยความรักใคร่ ทุกครั้งเวลาที่ได้อยู่ด้วยกัน ธีร์ธวัชไม่เคยนึกฝันว่าสุดท้ายแล้วตัวเองจะได้ลงเอยกับใครสักคนแบบนี้หนึ่งเดือนพ้นผ่านหลังจากงานวิวาห์ จะว่าตนเองคือรางวัลของพยายามที่สายขิมตามจีบตามตื๊ออย่างไม่ว่างเว้นก็คงไม่ผิด แต่ถึงอย่างนั้น คนที่ไม่เคยอยากจะมีเมียกลับรู้สึกอบอุ่นและโชคดีที่ได้เธอคนนี้มานอนกอดไม่ต่างกัน รัก...รัก...รัก...รักที่สุด ขิมของเฮีย! ใบหน้าหล่อเหลายิ้มกริ่มขึ้นมาในความเงียบงัน เป็นเวลาเดียวกับที่แพขนตาสวยขยับเปิดขึ้น สายขิมลืมตาขึ้นมาอย่างแช่มช้า ขยับตัวไปมาในวงแขนของสามี ก่อนที่จะได้เห็นว่าอีกฝ่ายตื่นอยู่ก่อนแล้ว “เฮียธีร์...ตื่นนานหรือยังคะ” เสียงใสเอ่ยถาม พอสายตาได
“เฮียธีร์...เป็นอะไรคะ” สายขิมเอ่ยถามพร้อมกับใช้สายตามองดูสามีที่นอนคว่ำอยู่บนที่นอน ทั้งยังใช้กำปั้นทุบบริเวณไหล่ตัวเองไม่หยุด “ปวดไหล่เหรอคะ”“อืม...” ธีร์ธวัชพยักหน้ารับอย่างช้า ๆ“ถ้าอย่างนั้นขิมช่วยนวดให้นะ” มือนุ่มวางสัมผัสลงไปบนแผ่นหลังกว้าง เปลือกตาคมปิดลงให้ภรรยาตัวน้อยช่วยนวดคลายความปวดเมื่อย “ไปทำอะไรมาคะ ทำไมจู่ ๆ ถึงได้ปวดหลัง ปวดไหล่ได้ หรือว่าเฮียไปยกอะไรหนัก ๆ มา” “เมื่อคืนช่วยเด็กยกลังใส่โซดาน่ะ เดินผ่านเห็นคนไม่พอ น่าจะผิดท่าไปหน่อย” มือนุ่มเริ่มขยับออกแรงกดลงไปหนัก ๆ ใบหน้าคมเอียงซบลงไปบนหมอนนิ่ม เอียงข้างหันมาด้านหนึ่ง เมื่อเส้นตึงได้รับการบีบนวดถูกอกถูกใจ จึงเผลอครางออกมาผ่านลำคอ เหมือนต้องการอยากบอกกับหมอนวดส่วนตัวว่าตนพออกพอใจเพียงใด “อืม...ขิมนวดเก่งจัง ตรงนั้นแหละ” “ตรงนี้เหรอคะ” คนตัวเล็กขยับตัวขึ้นมาอีกนิดเพื่อจะได้กดน้ำหนักลงบนไหล่แกร่งได้สะดวก ทำให้ตอนนี้ลำตัวของเธออยู่ระดับสายตาของคนที่นอนอยู่อย่างพอดิบพอดี “อืม...”เจ้าของไหล่กว้างปรือตาขึ้นมาเล็กน้อย ก่อนจะเห็นว่าตอนนี้สายตา
โห่...ฮี้โห่...ฮี้โห่...ฮี้โห่...ฮิ้ว.... จบเสียงโห่นำก็ตามมาด้วยเสียงกลองยาว ฉิ่ง ฉาบ ที่เริ่มบรรเลงดนตรีเป็นจังหวะสนุกสนาน พร้อมกับคนที่เดินอยู่ในขบวนขันหมากต่างยกไม้ยกมือขึ้นฟ้อนรำมาตามถนน ธีร์ธวัชในชุดเจ้าบ่าวสีขาวสะอาดพาดบ่าด้วยสไบสีทองเดินอยู่หน้าสุด ข้าง ๆ กันเยื้องไปด้านหลังนิดหน่อยมีเพื่อนสนิทสองคนที่เดินถือพานสินสอดตามมาด้วย “หน้าบานเหมือนจานข้าวหมา” เป็นเสียงของกิตติภพพูดขึ้นปนหมั่นไส้ เนื่องจากสีหน้าของคนเป็นเจ้าบ่าววันนี้ดูจะเบิกบานเกินหน้าเกินตา ไม่เหมือนกับไอ้คนที่ประกาศปาว ๆ ว่าจะไม่แต่งงานเมื่อหลายเดือนก่อนเลยสักนิดเดียว “เรื่องของกู” คนโดนแขวะตอบกลับทั้งที่สายตายังจ้องมองไปยังถนนที่ตรงไปยังบ้านของเขา รอยยิ้มกว้างที่อยู่บนใบหน้าไม่ได้หุบลงแม้แต่วินาทีเดียว ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าตัวเองจะพ่ายแพ้ยับเยินให้กับเด็กดื้อที่เคยตั้งใจเอาไว้ว่าจะไม่แต่งงานด้วยเด็ดขาด แต่ใครใช้ให้เธอน่ารัก น่ามอง แถมยั่วเก่ง นาทีนี้อดใจไหวก็คงไม่ใช่ผู้ชาย แต่ที่มากกว่านั้น ก็คงเป็นความจริงใจที่สายขิมมีให้ หากคิดทบทวนกลับไปให้ดี
สายขิมจ้องมองโทรศัพท์มือถือที่อยู่ในมือของธีร์ธวัช ก่อนที่ทั้งสองคนจะหันมองหน้ากัน แล้วก้มมองรายชื่อที่โชว์อยู่บนหน้าจออีกครั้ง “เฮียธีร์แน่ใจแล้วนะ” “แน่ใจแล้วสิ ถ้าไม่แน่ใจเฮียไม่ทำแบบนี้หรอก” เขาตอบแล้ววาดวงแขนรั้งคนตัวเล็กให้มาอยู่ในอ้อมกอด ก่อนที่ปลายนิ้วจะกดโทรออกหาคนที่โชว์อยู่บนหน้าจอ ไม่นานนักก็มีเสียงทักทายมาจากปลายสาย //โทรมาแต่เช้า มีอะไรหรือเปล่าตาธีร์ หรือว่าน้องไม่สบายแกถึงได้โทรมาหาแม่// แม่ของเขานี่ยังไงกัน นึกถึงแต่ลูกสาวสุดที่รักตลอด ไม่ถามไถ่ลูกตัวเองสักคำว่าสุขสบายดีไหม “นี่แม่คิดแต่ว่าผมจะรังแกลูกสาวแม่หรือไงครับ ถึงได้ถามแบบนี้” น้ำเสียงน้อยอกน้อยใจกรอกไปตามสาย ทำเอาคนตัวเล็กที่อยู่ในอ้อมแขนได้แต่แอบหัวเราะอยู่คนเดียว ก็เวลาเฮียธีร์คุยกับคุณแม่ เหมือนว่าจะทำตัวเป็นเด็กมากกว่าตอนอยู่กับเธอเสียอีก //แล้วแกโทรมาทำไมแต่เช้า// “ผมมีข่าวดีจะบอกแม่ด้วยล่ะ” //ข่าวดีอะไรของแก// แม้จะเป็นประโยคคำถาม แต่น้ำเสียงของคุณหญิงแม่ดูจะไม่ค่อยตื่นเต้นสักเท่าไหร่กับคำว่า ‘ข่าว
แสงแดดในยามบ่ายตกกระทบน้ำทะเลจนเป็นประกายระยิบระยับราวกับเพชรที่กำลังต้องแสง สายลมพัดโชยพาเอาไอเค็มของทะเลมาแตะต้องผิวหนัง ธีร์ธวัชเอนกายอยู่บนเก้าอี้ชายหาดสีขาว สายตาคมกวาดมองไปทั่วบริเวณจนกระทั่งไปหยุดอยู่ที่ร่างบางของเด็กดื้อที่กำลังเล่นน้ำทะเลอยู่ไม่ไกล สายขิมในชุดบิกินี่สีชมพูอ่อนตัดกับผิวสีน้ำผึ้งดูโดดเด่น ขณะที่คลื่นลูกเล็กๆ ซัดเข้าใส่ร่างอรชร ทำให้ชุดว่ายน้ำแนบชิดไปกับเรือนร่างยิ่งขึ้น นัยน์ตาคมเข้มไล่มองคนตัวเล็กที่กำลังเล่นน้ำอย่างสนุกสนาน ตั้งแต่เส้นผมสีดำสนิทที่ปลิวไปตามลม ใบหน้าหวานที่เปื้อนยิ้ม แก้มนุ่มที่แดงระเรื่อจากแสงแดด ไปจนถึงเรือนร่างที่ดูสมส่วนในชุดบิกินี่ตัวจิ๋ว แล้วก้อนเนื้อใต้หน้าอกข้างซ้ายก็เต้นรัวขึ้นมาอย่างควบคุมไม่ได้ เป็นเอามากแล้วจริง ๆ ยิ่งเขามองยัยตัวเล็กนานมากเท่าไหร่ รอยยิ้มที่อยู่บนใบหน้าก็กว้างขึ้นมากเท่านั้น และมันก็กว้างเสียจนกิตติภพที่เอนกายอยู่บนเก้าอี้ชายหาดข้าง ๆ กันพูดขึ้น “อาการมันเป็นยังไงบอกกูมาดิ๊ ต้องกินยา หรือว่าต้องไปหาหมอไหมไอ้ธีร์” ได้ยินคำถามของเพื่อนซี้ ธีร์ธวัชก็ค่อย ๆ เบนสายต