ติ๊งต่อง...
เสียงกริ่งหน้าประตูซึ่งดังขึ้นติดกันสามครั้งแล้ว ทำให้สายขิมที่กำลังวุ่นวายอยู่ในครัวรีบถอดผ้ากันเปื้อนออก จากนั้นก็รีบวิ่งมาเปิดประตู เธอรู้อยู่แล้วว่าวันนี้ใครจะมาหา ถึงได้รีบตื่นแต่เช้ามาทำกับข้าว ทั้งที่ยังปวดหัวเพราะอาการแฮงค์เหล้าที่ดื่มมากเกินไปเมื่อคืน
“สวัสดีค่ะคุณแม่”
ทันทีที่ประตูเปิดออก เสียงหวานใสก็เอ่ยทักทายคนตรงหน้า พร้อมกับยื่นมือไปช่วยรับกระเป๋าและถุงกระดาษอีกหลายถุงที่อยู่ในมือของคุณหญิงเธียรธารามาถือเอาไว้ แล้วเดินนำมายังห้องนั่งเล่น
“ตาธีร์ไปไหนเสียล่ะ”
ผู้เป็นแม่เอ่ยถามขณะที่กำลังหย่อนตัวลงนั่งที่โซฟาในห้องรับแขก พลางใช้สายตากวาดดูรอบ ๆ คอนโดของลูกชายก่อนที่จะหันมามองหน้าว่าที่ลูกสะใภ้ของตนเอง
“เฮียธีร์ยังไม่ตื่นค่ะ พอดีเมื่อคืนกลับมาดึกค่ะ”
“แล้วนี่ขิมกำลังทำอะไรอยู่เหรอลูก”
“อ๋อ...ขิมทำกับข้าวไว้รอคุณแม่ค่ะ รออีกสิบนาทีก็เสร็จแล้วล่ะค่ะ คุณแม่หิวหรือยังคะ”
คุณหญิงเธียรธารามองดูหน้าเจ้าของคำตอบแล้วยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ สายขิมเป็นเด็กน่ารัก รู้จักกาลเทศะ ทั้งยังรู้จักเอาอกเอาใจผู้ใหญ่ งานบ้าน งานเรือน ทำได้ทุกอย่าง ไม่เสียแรงที่เลี้ยงดูมาเองกับมือ
“แล้วกับตาธีร์ ไปถึงไหนกันแล้วล่ะ”
“เอ่อ...คือว่า”
แค่ได้เห็นท่าทีอึกอักของอีกฝ่าย ผู้ที่อาบน้ำร้อนมาก่อนย่อมรู้ดีว่า ความสัมพันธ์ที่ตอนหวังเอาไว้นั้นคงยังไม่ถึงไหนเป็นแน่
“อะ แม่ซื้อมาฝาก เอาไว้ใส่เวลาอยู่กับตาธีร์”
“อะไรเหรอคะ”
“ขิมเปิดดูสิลูก”
สายขิมรับถุงกระดาษที่แม่บุญธรรมของเธอยื่นมาให้แล้วเปิดดู ดวงตาคมสวยเบิกกว้างพอ ๆ กับริมฝีปากที่แยกออกจากกันด้วยความตกตะลึง
ชุดลูกไม้บางหวิวที่แทบจะปิดอะไรไม่มิด เรียกได้ว่าใส่กับไม่ใส่ก็น่าจะมีค่าเท่ากัน
“นี่แหละ ทีเด็ด ใส่แล้วถ้าตาธีร์ยังอดใจไหวนะ แม่จะจัดงานบวชให้แบบไม่ต้องสึกอีกเลย”
“แต่คุณแม่คะ...”
“เอาน่า...ขิมรักเฮียไม่ใช่เหรอ มันก็ต้องลงแรงกันหน่อย ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวโดนผู้หญิงคนอื่นแย่งไป แม่รับไม่ไหวหรอกนะ”
มันคงเป็นโชคดีของเธอ ที่ได้มาเป็นลูกบุญธรรมของคุณหญิงเธียรธารา ตั้งแต่เล็กจนโตท่านเลี้ยงดูเธอมาอย่างลูกแท้ ๆ หรือบางทีอาจจะดีกว่าลูกแท้ ๆ อย่างเฮียธีร์ก็ได้
แต่ว่า...การที่จะให้ใส่ชุดลูกไม้วาบหวิวขนาดนี้อยู่กับเขาสองคน ก็ดูเป็นวิธีการที่โจ่งแจ้งเกินไปหรือเปล่านะ
“มันจะดีเหรอคะคุณแม่ เฮียธีร์จะไม่ว่าขิม เอ่อ...แรดเหรอคะ”
“แรดเริ่ดอะไรกัน นี่มันสมัยไหนแล้วขิม กล้า ๆ ไว้ลูก”
เสียงพูดคุยกันสองคนดังเล็ดลอดเข้าไปด้านในห้องนอน ทำให้ผู้เป็นเจ้าของคอนโดต้องเปิดเปลือกตาขึ้นจนได้ ธีร์ธวัชดีดตัวลุกจากที่นอน คราวแรกกะว่าจะดุยัยตัวแสบเปิดรายการโทรทัศน์เสียงดัง แต่พอเปิดประตูออกมา ปากที่กำลังจะอ้าบ่นก็ต้องปิดลงจนสนิท
“แม่...มาตั้งแต่เมื่อไหร่ครับ”
ธีร์ธวัชรีบเอ่ยถามบุพการีซึ่งกำลังนั่งพูดคุยสนุกสนานกับว่าที่ลูกสะใภ้ที่พยายามยัดเยียดให้เขา
“มาได้สักพักแล้วล่ะ แต่ขิมบอกว่าแกนอนดึก แม่ก็เลยไม่ได้ให้น้องไปปลุก”
“แม่นี่...ลำเอียงชัดเจนเลยนะครับ กับขิมเรียกน้อง เรียกลูก ที่กับผมเรียกแก”
เสียงทุ้มบ่นราวกับน้อยใจอย่างไม่จริงจังนัก ถึงอยากจะน้อยใจจริง ๆ ก็ไม่มีประโยชน์หรอก ดูตอนนี้สิ พูดกับเขาแค่ประโยคเดียวก็หันกลับไปถามสารทุกข์สุกดิบกับลูกสาวที่รักต่อ
“เฮียธีร์ ไปอาบน้ำเร็วค่ะ จะได้มากินข้าวเช้าพร้อมกับคุณแม่ ขิมทำกับข้าวไว้หลายอย่างเลย”
“อยู่เป็นนะยัยเตี้ย”
“ตาธีร์...นี่แกว่าน้องเหรอ”
“ผมชมครับ ชมว่าลูกสาวแม่ตัวเล็ก น่ารัก”
พูดจบร่างสูงก็ลุกจากโซฟาแล้วเดินกลับเข้าห้องนอนของตัวเองเพื่อที่จะได้อาบน้ำตามคำสั่งยัยตัวแสบ ไม่ได้กลัวหรอกนะ แค่เกรงใจเพราะตอนนี้แม่อยู่ด้วย ถึงอย่างไรก็ต้องนั่งทานข้าวกับแม่อยู่แล้ว ก็อาบน้ำให้มันเสร็จ ๆ ตอนบ่ายยังมีนัดกับไอ้เพื่อนสองคนนั่นอีก
ใช้เวลาไม่นานนักธีร์ธวัชก็อาบน้ำเสร็จ พอออกมาจากห้องนอนอาหารเช้าหลายอย่างก็ถูกจัดบนโต๊ะอาหารแล้วเรียบร้อย
“มาเร็วเฮียธีร์ เช้านี้ขิมทำขนมจีนกับแกงเผ็ดด้วยนะ ของชอบเฮียเลย มีไก่ทอด มีไข่ต้มด้วย”
ต่อให้จะมาอยู่กรุงเทพฯ นานแค่ไหน แต่สายขิมก็รู้ดีว่ายังไงคนตัวโตก็ยังชอบอาหารใต้เหมือนเดิม เพราะเมื่อก่อนเวลาที่เขากลับไปเยี่ยมบ้าน มักจะให้เธอทำให้กินบ่อย ๆ
“มาเร็ว ๆ ตาธีร์ มานั่งข้างน้องนี่มา”
“ครับ”
ขนมจีนจานใหญ่ถูกวางลงตรงหน้าแล้วเขาก็เริ่มลงมือทานอย่างรวดเร็ว เป็นสิ่งเดียวที่ปฏิเสธไม่ได้เลยก็คือ ฝีมือการทำอาหารของสายขิมอร่อยมาก ถ้าใครได้ลองรับรองว่าติดใจทุกคน รวมถึงเขาด้วย...
บรรยากาศบนโต๊ะอาหารเป็นไปอย่างครึกครื้น เอ่อ...หมายถึงแค่แม่กับลูกสาวของแม่นะ ไม่เกี่ยวกับเขา
ตอนนี้ผู้หญิงสองคนทานไปพลาง คุยไปพลาง ทั้งเรื่องงานและเรื่องสัพเพเหระ จนสุดท้ายก็วกกลับมาเรื่อง...เขา
“นี่ เรื่องที่แม่สั่งแกไว้น่ะ ไปถึงไหนแล้ว”“เรื่องอะไรครับ แม่สั่งผมตั้งหลายเรื่อง”
ทำเป็นไม่รู้ไปอย่างนั้น แต่ธีร์ธวัชเข้าใจคำถามของมารดาดีว่าเรื่องที่กำลังพูดถึงคือเรื่องอะไร
“แกศึกษาดูใจกับน้องไปถึงไหนกันละ”
เคร้ง! เสียงช้อนที่อยู่ในมือของหญิงสาวตัวเล็กหล่นลงกระทบจาน จนคนทั้งคู่หันไปมองอย่างพร้อมเพรียง
“ขอโทษค่ะ พอดีมือขิมลื่น”
หัวใจดวงน้อยเต้นรัวเร็วไม่เป็นจังหวะ ส่วนหูก็รอฟังว่าอีกฝ่ายจะตอบมารดาว่าอย่างไร เฮียธีร์เงียบไปครู่หนึ่งก่อนที่จะเอ่ยตอบออกมา
“ผมก็บอกแม่ไปแล้วไม่ใช่เหรอครับ ว่าขิมเป็นน้องสาว แม่ก็ยังอยากจะให้แต่งกันอยู่ได้”
จากที่หัวใจเต้นแรงเพราะความตื่นเต้นเมื่อครู่ กลายเป็นตอนนี้รู้สึกวูบโหวงอยู่ข้างใน ผิดหวัง เสียใจ มันก็ไม่ถึงขนาดนั้น มันเพียงแค่รู้สึกน้อยใจที่เขาไม่เคยเปิดใจให้เธอเลย
“แกพูดอย่างนี้ได้ไงตาธีร์ น้องเสียใจรู้ไหม”
“แล้วผมพูดผิดตรงไหนครับ”
ตอบคำถามเสร็จสายตาก็หันไปมองเด็กดื้อที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือเปล่าว่าดวงตาคมสวยคู่นั้นดูจะเศร้าลงกว่าทุกวันนิดหน่อย
“ไม่รู้แหละ ยังไงแกก็ต้องศึกษาดูใจกับน้องต่อ นี่เป็นคำสั่ง เพราะฉันไม่รับคนอื่นเป็นสะใภ้”
“แม่ครับ...”
เสียงทุ้มเอ่ยเรียกมารดาอย่างออดอ้อน แต่คุณหญิงแม่กลับไม่ได้สนใจ เพราะตอนนี้แม่ของเขากำลังตักไก่ทอดใส่ในจานว่าที่ลูกสะใภ้จนเกือบล้น และแน่นอนว่าแม่ไม่ตักให้เขาเลยแม้แต่ชิ้นเดียว บางทีก็อยากจะน้อยใจแม่เหมือนกันนะ...
“แม่กลับก่อนนะ ไว้จะมาเยี่ยมใหม่”
มื้ออาหารเช้าจบลง นั่งคุยกันต่ออีกสักพัก หมายถึงแค่แม่กับสายขิมสองคน ไม่ได้เกี่ยวกับลูกชายหัวแก้วแหวนอย่างเขาแม้แต่น้อย แล้วคุณหญิงเธียรธาราก็ขอตัวกลับ
“ค่ะคุณแม่ มาเที่ยวบ่อย ๆ นะคะ ขิมคิดถึง”
ผู้ชายตัวโตได้แต่เบ้ปากเล็กน้อย เมื่อเห็นยัยตัวแสบอ้อนแม่ของเขาราวกับห่างกันมาสักสามปี ทั้งที่เพิ่งมาอยู่ได้ไม่ถึงสองอาทิตย์ด้วยซ้ำ
“ขิม...อย่าลืมชุดที่แม่ซื้อมาฝากนะ”
ประโยคกำชับที่กระซิบอยู่ข้างใบหูทำเอาคนฟังหน้าแดงก่ำขึ้นมา แล้วก็ปรายสายตาไปมองเฮียธีร์ที่ยืนอยู่ไม่ไกล
“ค่ะแม่ แล้วขิมจะลองดูนะคะ”
“ดีมากลูก แม่ไปแล้วนะ อ้อ...ไม่ต้องไปส่งข้างล่างนะจ๊ะ ใช้เวลากับเฮียให้เต็มที่เลย”
ประโยคหลังคนเป็นแม่เน้นย้ำชัด ๆ ราวกับต้องการให้ลูกชายของตนได้ยินด้วย
เมื่อประตูปิดลงจนสนิท ร่างเล็กก็หันหลังกลับเพื่อจะได้เข้าห้องของตัวเอง แต่ก็มีคนตัวสูงมายืนขวางเอาไว้
“เมื่อกี้คุยอะไรกับแม่ กระซิบอะไรกัน”
“เปล่านี่คะ คุณแม่ก็แค่บอกให้ขิมดูแลตัวเองดี ๆ”
“อย่ามาโกหกนะสายขิม”
“ไม่เชื่อก็แล้วแต่เฮียธีร์เถอะค่ะ”
ยัยตัวเล็กสะบัดหน้าแล้วเดินผ่านเขาไป กะว่าจะรั้งเอาไว้ให้คุยกันก่อน แต่หางตาก็เหลือบไปเห็นถุงกระดาษหลายใบที่วางอยู่บนโซฟา มันคงเป็นของที่แม่ซื้อมาฝากสายขิม ธีร์ธวัชรอจนประตูห้องนอนของเด็กดื้อปิดลงจนสนิท แล้วก็รีบมาเปิดถึงกระดาษนั้นดู
“ร้ายนักนะ ทั้งคู่เลย” เขาพูดพึมพำกับตัวเองเมื่อเห็นชุดลูกไม้บางหวิวในถุงแล้วกระตุกยิ้มมุมปาก ถ้าจะทำถึงขนาดนี้ ก็ดี...ดูสิว่าใครจะทนเก่งกว่ากัน เขาจะตบะแตกหรือเธอจะหนีกลับใต้ก่อน
///////////////////////////////////////////////////////
การมาบาร์วันนี้ต่างออกไปจากเดิมเล็กน้อย เนื่องจากคนเป็นเจ้าของต้องมาที่นี่เพียงคนเดียว ใจหนึ่งก็อยากจะหยุดอยู่คอนโดเพราะว่าสายขิมดันป่วยขึ้นมาเฉย ๆ ด้วยอาการแพ้อากาศ อยากจะดูแลอยู่ข้าง ๆ แต่ทางภรรยากลับไล่ให้ออกมาที่บาร์ เธอไม่อยากให้ตัวเองกลายเป็นภาระขนาดนั้น และบอกว่าให้เขามองงานสำคัญเป็นที่หนึ่งเสมอ...ห้ามเกเร ห้ามดื้ออีก อาจเพราะสภาพอากาศในช่วงนี้ที่ช่างน่าเบื่อหน่าย การที่ผู้คนเลือกจะหาสถานที่ดื่มด่ำผ่อนคลายจึงกลายเป็นเรื่องที่นิยมขึ้นมา ยูนิคอร์นบาร์จึงแทบไม่เหลือที่ว่าง มันประสบความสำเร็จมากกว่าที่คิด แต่ก็รองลงมาจากการประสบความสำเร็จเรื่องราวความรักอยู่ดี... ธีร์ธวัชดินตรวจดูรอบ ๆ ร้าน พูดคุยกับลูกค้าสอบถามความเห็นและปัญหาอย่างใกล้ชิดเพื่อสร้างความประทับใจให้กับผู้ใช้บริการ สิ่งนี้คืออีกเสน่ห์หนึ่งที่ทำให้บาร์ของธีร์ธวัชประสบความสำเร็จได้และติดลมบนอย่างรวดเร็วจนกระทั่งเขาเดินตรงไปยังบาร์เครื่องดื่ม ที่เวลานี้บาร์เทนเดอร์กำลังโชว์ลวดลายลีลาเชคผสมรังสรรค์เมนูเลิศรสให้กับลูกค้าชายหนุ่มสองคนที่นั่งอยู่ก่อนแล้ว มองจากข้างหลังก็ยังรู้ว่าเป็นใคร
เธอยังคงสดในเหมือนกับวันแรกที่ได้เจอ... ธีร์ธวัชลอบมองใบหน้าจิ้มลิ้มยามหลับใหลของหญิงสาวอันเป็นที่รักเงียบ ๆ เธอยังไม่ตื่น อาจเพราะเมื่อคืนบทรักที่ร่วมบรรเลงคงยาวนานไปหน่อยสำหรับเด็กดื้อเสียงลมหายใจดังขึ้นแผ่วเบา แสงอาทิตย์ยามเช้าที่ลอดผ่านม่านพลิ้วไสวสาดทับใบหน้าเนียนยิ่งทำให้ความน่าเสน่หาของสายขิมเปล่งประกาย ปลายนิ้วละเลียดสัมผัสปอยผมด้วยความรักใคร่ ทุกครั้งเวลาที่ได้อยู่ด้วยกัน ธีร์ธวัชไม่เคยนึกฝันว่าสุดท้ายแล้วตัวเองจะได้ลงเอยกับใครสักคนแบบนี้หนึ่งเดือนพ้นผ่านหลังจากงานวิวาห์ จะว่าตนเองคือรางวัลของพยายามที่สายขิมตามจีบตามตื๊ออย่างไม่ว่างเว้นก็คงไม่ผิด แต่ถึงอย่างนั้น คนที่ไม่เคยอยากจะมีเมียกลับรู้สึกอบอุ่นและโชคดีที่ได้เธอคนนี้มานอนกอดไม่ต่างกัน รัก...รัก...รัก...รักที่สุด ขิมของเฮีย! ใบหน้าหล่อเหลายิ้มกริ่มขึ้นมาในความเงียบงัน เป็นเวลาเดียวกับที่แพขนตาสวยขยับเปิดขึ้น สายขิมลืมตาขึ้นมาอย่างแช่มช้า ขยับตัวไปมาในวงแขนของสามี ก่อนที่จะได้เห็นว่าอีกฝ่ายตื่นอยู่ก่อนแล้ว “เฮียธีร์...ตื่นนานหรือยังคะ” เสียงใสเอ่ยถาม พอสายตาได
“เฮียธีร์...เป็นอะไรคะ” สายขิมเอ่ยถามพร้อมกับใช้สายตามองดูสามีที่นอนคว่ำอยู่บนที่นอน ทั้งยังใช้กำปั้นทุบบริเวณไหล่ตัวเองไม่หยุด “ปวดไหล่เหรอคะ”“อืม...” ธีร์ธวัชพยักหน้ารับอย่างช้า ๆ“ถ้าอย่างนั้นขิมช่วยนวดให้นะ” มือนุ่มวางสัมผัสลงไปบนแผ่นหลังกว้าง เปลือกตาคมปิดลงให้ภรรยาตัวน้อยช่วยนวดคลายความปวดเมื่อย “ไปทำอะไรมาคะ ทำไมจู่ ๆ ถึงได้ปวดหลัง ปวดไหล่ได้ หรือว่าเฮียไปยกอะไรหนัก ๆ มา” “เมื่อคืนช่วยเด็กยกลังใส่โซดาน่ะ เดินผ่านเห็นคนไม่พอ น่าจะผิดท่าไปหน่อย” มือนุ่มเริ่มขยับออกแรงกดลงไปหนัก ๆ ใบหน้าคมเอียงซบลงไปบนหมอนนิ่ม เอียงข้างหันมาด้านหนึ่ง เมื่อเส้นตึงได้รับการบีบนวดถูกอกถูกใจ จึงเผลอครางออกมาผ่านลำคอ เหมือนต้องการอยากบอกกับหมอนวดส่วนตัวว่าตนพออกพอใจเพียงใด “อืม...ขิมนวดเก่งจัง ตรงนั้นแหละ” “ตรงนี้เหรอคะ” คนตัวเล็กขยับตัวขึ้นมาอีกนิดเพื่อจะได้กดน้ำหนักลงบนไหล่แกร่งได้สะดวก ทำให้ตอนนี้ลำตัวของเธออยู่ระดับสายตาของคนที่นอนอยู่อย่างพอดิบพอดี “อืม...”เจ้าของไหล่กว้างปรือตาขึ้นมาเล็กน้อย ก่อนจะเห็นว่าตอนนี้สายตา
โห่...ฮี้โห่...ฮี้โห่...ฮี้โห่...ฮิ้ว.... จบเสียงโห่นำก็ตามมาด้วยเสียงกลองยาว ฉิ่ง ฉาบ ที่เริ่มบรรเลงดนตรีเป็นจังหวะสนุกสนาน พร้อมกับคนที่เดินอยู่ในขบวนขันหมากต่างยกไม้ยกมือขึ้นฟ้อนรำมาตามถนน ธีร์ธวัชในชุดเจ้าบ่าวสีขาวสะอาดพาดบ่าด้วยสไบสีทองเดินอยู่หน้าสุด ข้าง ๆ กันเยื้องไปด้านหลังนิดหน่อยมีเพื่อนสนิทสองคนที่เดินถือพานสินสอดตามมาด้วย “หน้าบานเหมือนจานข้าวหมา” เป็นเสียงของกิตติภพพูดขึ้นปนหมั่นไส้ เนื่องจากสีหน้าของคนเป็นเจ้าบ่าววันนี้ดูจะเบิกบานเกินหน้าเกินตา ไม่เหมือนกับไอ้คนที่ประกาศปาว ๆ ว่าจะไม่แต่งงานเมื่อหลายเดือนก่อนเลยสักนิดเดียว “เรื่องของกู” คนโดนแขวะตอบกลับทั้งที่สายตายังจ้องมองไปยังถนนที่ตรงไปยังบ้านของเขา รอยยิ้มกว้างที่อยู่บนใบหน้าไม่ได้หุบลงแม้แต่วินาทีเดียว ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าตัวเองจะพ่ายแพ้ยับเยินให้กับเด็กดื้อที่เคยตั้งใจเอาไว้ว่าจะไม่แต่งงานด้วยเด็ดขาด แต่ใครใช้ให้เธอน่ารัก น่ามอง แถมยั่วเก่ง นาทีนี้อดใจไหวก็คงไม่ใช่ผู้ชาย แต่ที่มากกว่านั้น ก็คงเป็นความจริงใจที่สายขิมมีให้ หากคิดทบทวนกลับไปให้ดี
สายขิมจ้องมองโทรศัพท์มือถือที่อยู่ในมือของธีร์ธวัช ก่อนที่ทั้งสองคนจะหันมองหน้ากัน แล้วก้มมองรายชื่อที่โชว์อยู่บนหน้าจออีกครั้ง “เฮียธีร์แน่ใจแล้วนะ” “แน่ใจแล้วสิ ถ้าไม่แน่ใจเฮียไม่ทำแบบนี้หรอก” เขาตอบแล้ววาดวงแขนรั้งคนตัวเล็กให้มาอยู่ในอ้อมกอด ก่อนที่ปลายนิ้วจะกดโทรออกหาคนที่โชว์อยู่บนหน้าจอ ไม่นานนักก็มีเสียงทักทายมาจากปลายสาย //โทรมาแต่เช้า มีอะไรหรือเปล่าตาธีร์ หรือว่าน้องไม่สบายแกถึงได้โทรมาหาแม่// แม่ของเขานี่ยังไงกัน นึกถึงแต่ลูกสาวสุดที่รักตลอด ไม่ถามไถ่ลูกตัวเองสักคำว่าสุขสบายดีไหม “นี่แม่คิดแต่ว่าผมจะรังแกลูกสาวแม่หรือไงครับ ถึงได้ถามแบบนี้” น้ำเสียงน้อยอกน้อยใจกรอกไปตามสาย ทำเอาคนตัวเล็กที่อยู่ในอ้อมแขนได้แต่แอบหัวเราะอยู่คนเดียว ก็เวลาเฮียธีร์คุยกับคุณแม่ เหมือนว่าจะทำตัวเป็นเด็กมากกว่าตอนอยู่กับเธอเสียอีก //แล้วแกโทรมาทำไมแต่เช้า// “ผมมีข่าวดีจะบอกแม่ด้วยล่ะ” //ข่าวดีอะไรของแก// แม้จะเป็นประโยคคำถาม แต่น้ำเสียงของคุณหญิงแม่ดูจะไม่ค่อยตื่นเต้นสักเท่าไหร่กับคำว่า ‘ข่าว
แสงแดดในยามบ่ายตกกระทบน้ำทะเลจนเป็นประกายระยิบระยับราวกับเพชรที่กำลังต้องแสง สายลมพัดโชยพาเอาไอเค็มของทะเลมาแตะต้องผิวหนัง ธีร์ธวัชเอนกายอยู่บนเก้าอี้ชายหาดสีขาว สายตาคมกวาดมองไปทั่วบริเวณจนกระทั่งไปหยุดอยู่ที่ร่างบางของเด็กดื้อที่กำลังเล่นน้ำทะเลอยู่ไม่ไกล สายขิมในชุดบิกินี่สีชมพูอ่อนตัดกับผิวสีน้ำผึ้งดูโดดเด่น ขณะที่คลื่นลูกเล็กๆ ซัดเข้าใส่ร่างอรชร ทำให้ชุดว่ายน้ำแนบชิดไปกับเรือนร่างยิ่งขึ้น นัยน์ตาคมเข้มไล่มองคนตัวเล็กที่กำลังเล่นน้ำอย่างสนุกสนาน ตั้งแต่เส้นผมสีดำสนิทที่ปลิวไปตามลม ใบหน้าหวานที่เปื้อนยิ้ม แก้มนุ่มที่แดงระเรื่อจากแสงแดด ไปจนถึงเรือนร่างที่ดูสมส่วนในชุดบิกินี่ตัวจิ๋ว แล้วก้อนเนื้อใต้หน้าอกข้างซ้ายก็เต้นรัวขึ้นมาอย่างควบคุมไม่ได้ เป็นเอามากแล้วจริง ๆ ยิ่งเขามองยัยตัวเล็กนานมากเท่าไหร่ รอยยิ้มที่อยู่บนใบหน้าก็กว้างขึ้นมากเท่านั้น และมันก็กว้างเสียจนกิตติภพที่เอนกายอยู่บนเก้าอี้ชายหาดข้าง ๆ กันพูดขึ้น “อาการมันเป็นยังไงบอกกูมาดิ๊ ต้องกินยา หรือว่าต้องไปหาหมอไหมไอ้ธีร์” ได้ยินคำถามของเพื่อนซี้ ธีร์ธวัชก็ค่อย ๆ เบนสายต